วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บทสรุป Hi-Definition (MKV,MPEG2)

จะไม่ถึงการเข้ารหัสเสียงนะครับ ไม่งั้นยาวแน่ๆ

ก่อนอื่นเลยนะครับ สำหรับท่านที่ไม่ทราบระบบการถอดรหัส และ การเข้ารหัสสัญญาณวีดีโอนะครับ
แรกเริ่มเดิมทีเราจะได้ยิน และคุ้นเคยกับ VCD DVD Bluray HDDVD DiVX MKV หรืออะไรก็แล้วแต่
แล้วจริงๆ มันคืออะไรกัน มาตรฐานของแต่ละแบบก็จะแตกต่างกันไปนะครับ ถ้าถามว่าทำไมต้องเข้า
รหัส คำตอบก็คือหากเราไม่ทำการเข้ารหัสแล้วไฟล์วีดีโอนั้นก็จะมีขนาดไฟล์ที่ใหญ่มากครับ และ
ยากที่จะนำไปใช้งานต่อได้ครับไฟล์วีดีโอชนิดนี้มักเรียกกันว่า Full Frame Uncompressed ครับ

มาตรฐานแรกที่เรารู้จักกันดีก็คือ. VCD.-
- VCD ชื่อเต็มก็คือ Video Compact Disc นะครับมีการเข้ารหัสไฟล์วีดีโอแบบ MPEG1 ชื่อเต็มๆ
ของ MPEG ก็คือ Moving Picture Experts Group ก็คือภาพเคลื่อนไหวต่อเนื่องนั่นเองนะครับ
แผ่น VCD มีสองประเภทใหญ่ๆ นะครับ ก็คือ NTSC และ PAL ซึ่ง NTSC จะมีขนาดของภาพอยู่
ที่ 352x240 อัตราการเคลื่อนไหวของภาพ (Framerate) 29.97 ภาพต่อวินาที
และ 352x288 ในระบบ PAL อัตราการเคลื่อนไหวของภาพ (Framerate) 25 ภาพต่อวินาที
โดยมีบิทเรตเท่ากันก็คือ 1.15 Mbps ครับ


ต่อมาที่เราไม่ค่อยได้ยินกันก็คือ SVCD.-
- SVCD หรือ Super Video Compact Disc ครับ นะครับมีการเข้ารหัสไฟล์วีดีโอแบบ MPEG2 แบบ
เดียวกับ DVD ครับ แต่ความละเอียดไม่เท่ากัน แผ่น SVCD มีสองประเภทเหมือน VCD นะครับ
ก็คือ NTSC และ PAL ซึ่ง NTSC จะมีขนาดของภาพอยู่
ที่ 480x480 อัตราการเคลื่อนไหวของภาพ (Framerate) 29.97 ภาพต่อวินาที
และ 480x576 ในระบบ PAL อัตราการเคลื่อนไหวของภาพ (Framerate) 25 ภาพต่อวินาที
โดยมีสูงสุดคือ 2.6 Mbps ครับ

- อันสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุดกับ DVD
- ระบบ PAL ความละเอียดสูงสุด 720x576 ที่เฟรมเรต 25
- ระบบ NTSC ความละเอียดสูงสุด 720x480 ที่เฟรมเรต 29.97
นอกจากนี้ DVD ยังสามารถนำไฟล์ VCD มารวมได้โดยไม่ต้องเข้ารหัสใหม่ด้วย
- บิตเรตสูงสุดอยู่ที่ 9.8 Mbps นะครับ

* บางคนเข้าใจว่าขนาด Resolution ของวีดีโอยิ่งใหญ่จะยิ่งชัด นั่นส่วนนึงครับ
* แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือบิตเรต ต้องสูงขึ้นไปตามไม่เช่นนั้นภาพจะแตกครับ

ต่อไป เรามารู้จักกับคำว่า DxVA กันดีกว่าครับ

ก่อนจะมาพูดถึง DxVA เรามารู้จักกับการ์ดจอก่อนดีกว่า ย้อนไปสมัยเมื่อ 6-8 ปีที่แล้ว
ยังจำกันได้ไหมครับ การ์ดจอที่เขียนไว้ว่าเล่นวีซีดีได้ หรือเขียนข้างกล่องว่า
MPEG1 Compatible Acceleration
อะไรทำนองนี้ จริงๆ แล้วก็คือ เนื่องจากสมัยก่อนการถอดรหัส MPEG#1 ต้องใช้
การ์ดจอในการถอดรหัส แต่ถ้าการ์ดจอไม่มี หรือไม่มีตัวชั่วถอดรหัสในการ์ดจอ
ภาระก็จะตกไปอยู่กับ CPU ซึ่ง CPU สมัยก่อนช้าเหลือเกินไม่สามารถที่จะถอดรหัส
ได้ หรือถอดได้ ภาพยนตร์ที่ดูก็กระตุกเหลือเกิน คงจำโปรแกรม XingMPEG Player
กันได้นะครับ สำหรับคนยุคเก่าๆ นั่นก็เป็นโปรแกรมเล่นไฟล์วีดีโอตัวแรกเหมือนกัน
ที่เปิดมาทีไรก็มีแต่คนมากระโดดร่ม
แต่พอเมื่อเปลี่ยนยุค เปลี่ยนสมัย CPU มีความเร็วมากขึ้นก็ทำให้การถอดรหัสไฟล์VCD
หรือ MPEG1 ไม่มีปัญหาอีกต่อไป

จนมาถึงสมัย DVD เข้ามาใหม่ๆ ปัญหาเกิดอีกแล้ว CPU ถอดรหัสไม่ทันอีกภาพเลยกระตุก
หรือไม่ก็แตกก็ต้องไปหาการ์ดจอมาเสริมเพื่อที่จะดู DVD อย่างไม่ติดขัด
และเมื่อถัดมายุคนี้ก็อีกแหละ CPU ก็ถอดรหัส MPEG2 ได้หมดแล้วไม่กระตุกแล้วเพราะความ
เร็วสูงขึ้น จนมาตอนนี้..หนัง Hidef เริ่มเข้ามามีบทบาทแล้ว ปัญหาเดิมก็กลับมาอีกครั้ง...

ในตัว CPU เองตั้งแต่สมัยโบราณแล้วจะมีชุดโปรแกรมช่วยถอดรหัสอยู่ในตัวเช่น MMX
3DNow , SSE ,SSE2-3-4,IA64 เยอะแยะไปหมดหากจะนับกันจริงๆ แต่ชุดคำสั่งด้าน
มัลติมีเดียร์ ด้าน Intel จะมีชุดคำสั่งเยอะกว่าทำให้การเข้ารหัสและการถอดรหัสทำได้
ดีกว่า AMD แต่สำหรับการถอดรหัส ไม่เห็นผลต่างอะไรมากครับ.....

คำว่า DxVA จริงๆ แล้วย่อมาจาก DirectX Video Acceleration พัฒนาเสริมขึ้นมาจาก DirectShow
ก่อนอื่นต้องมาพูดถึง DirectX ก่อน DirectX ก็คือโปรแกรมเสริมที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้ Hardware
และ Software ทำงานเข้ากันได้ เป็นมาตรฐานอย่างนึงพัฒนาโดย Microsoft ซึ่ง DirectX แตกย่อย
ออกเป็นหลายส่วน เช่น Direct 3D ไว้เล่นเกมส์ DirectShow ไว้ดูหนัง DirectSound ไว้ฟังเพลง
และอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้ง DxVA นี้ด้วย

DxVA ก็คือชุดคำสั่งที่จะไปเปิดการทำงานของการถอดรหัสวีดีโอ โดยการ์ดจอเรียกอีกอย่างง่ายๆ ว่า
Hardware Acceleration ซึ่งส่วนมากชุดคำสั่งนี้จะรวมอยู่ใน Drivers ของการ์ดจอ โดย
ซอฟท์แวร์ต่างๆ จะเป็นคนเรียกเปิด Functionนี้ หากเราปิดฟังก์ชั่นนี้ ก็จะเป็นการถอดรหัสวีดีโอโดย
CPU..แทน.. ซึ่ง Software ปัจจุบันที่ Support DxVA นี้ก็มีมากมายเหลือเกิน แต่ก็อีกแหละครับ
ต้องย้อนกลับไปดูคุณสมบัติการ์ดจอและชิปเซ็ตด้วยว่า Support การถอดรหัสชนิดไหนบ้าง ซึ่งบาง
ครั้ง Software หรือ Codecs ตัวนั้นจะมีฟังก์ชั่นเปิด DxVA แต่เมื่อกดเปิดอาจไม่เกิดผลอะไรก็เป็นได้
เพราะการ์ดจอบางตัวจะไม่ Support การถอดรหัสบางชนิด ซึ่งตรงจุดนี้ ATI จะได้เปรียบ NVIDIA
ครับ.. แล้วจะมาว่ากันต่อว่าได้เปรียบกันยังไง

มาถึง MKV H.264 x264 VC-1 บ้างครับ

ก่อนที่จะรู้จัก Format เหล่านี้เราไปรู้จักกับ Bluray และ HD-DVD ก่อนนะครับ...

HD DVD
ใครคิด อันนี้ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้นะครับ ผมก็ขี้เกียจไปค้น อิอิ
เอาเป็นว่าตอนนี้ HD DVD ล่มสลายไปจากตลาด Digital เรียบร้อยแล้วเนื่องจาก
เทคโนโลยี่ และการตลาด สู้ Blu-Ray ของอีกฝั่งไม่ได้ ความจุของ HD DVD อยู่ที่ 15 GB
(single layer) และ 30 GB (dual layer) สำหรับเครื่องเกมส์ที่ใช้แผ่น HD-DVD คงเซ็ง
ไปตามๆ กันนั่นก็คือ XBOX 360 นั่นเอง

Blu-Ray
ชื่อก็บอกอยู่แล้วครับ มาจากคำว่า Blue Ray อันแปลว่า แสงสีน้ำเงิน
แรกเริ่มเดิมที DVD และ CD ที่เราใช้กันอยู่จะใช้เลเซอร์ในการยิงแสง
เป็นแสงสีแดงซึ่งมีขนาดของลำแสงที่ใหญ่กว่าสีน้ำเงินครับ แต่แสงสี
น้ำเงินมีขนาดที่เล็กกว่า จึงทำให้การออกแบบบแผ่นมี Dot Pitch ที่
เล็กลงได้ ทำให้ความจุเพิ่มขึ้นนั่นเองครับ.......ความจุของแผ่นก็อยู่
ที่ 25 GB (single layer) และ 50 GB (dual layer) ครับ

ส่วน รูปแบบของการบีบอัดก็คือ H.264/AVC , VC-1 , MPEG2 นั่นเอง

1. H.264/AVC
เป็นพัฒนาการของ MPEG4 ครับ พูดง่ายๆ ก็คือการบีบอัดวีดีโอแบบ MPEG-4 Part 10
(แถมตอนนี้ยังพัฒนาต่ออีกนะ MPEG-4) ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่เรียก MPEG5
ไปซะหมดเรื่องฮ่าฮ่า ส่วน AVC จริงๆ แล้ว ชื่อเต็มๆ ก็คือ MPEG-4 Advanced Video Coding
คือการเข้ารหัสแบบเทพนั่นเอง *-* ซึ่งการเข้ารหัสแบบ H.264 มี Software Encoding เข้ารหัส
หลายตัวมากแถมแต่ละตัวคุณสมบัติของภาพไม่เหมือนกันอีก..เช่น Nero Digital , x264 ,
QuickTime , MainConcept , Elecard , ProCoder3 , Avivo

2. VC-1 อันนี้
เป็นพัฒนาการของ WMV ครับ พัฒนาโดยไมโครซอฟท์ครับ เพราะฉะนั้นหากเราเอา
Windows Media Player 11 มาดู ก็จะดูได้สบายเลยครับ

3. x264 อันนี้ชื่อไปซ้ำกะ H.264 จริงๆ แล้วเป็นการเข้ารหัสในรูปแบบของ H.264 นั่นแหละครับ
เพียงแต่ว่า x264 คนใช้กันเยอะเพราะเป็น Free Software Endoding นั่นเอง..


4. MKV หรือ Matroska ไม่ต่างอะไรกับ AVI MP4 ASF ครับ เปรียบเสมือนตู้คอนเทนเนอร์ที่
สามารถเอาอะไรหลายๆ อย่างยัดไปได้ เช่น Subtitle เสียงหลายภาษาเป็นต้น ส่วนมาก
มักใช้คู่กับ x264 ครับ ถามว่าดีกว่า AVI ยังไงก็ตรงที่สามารถฝังซับไตเติ้ลเข้าไปได้โดยตรง
ซึ่ง AVI ทำไม่ได้ครับ จึงเป็นที่นิยมและแพร่หลายมากในปัจจุบัน...


DxVA Support MKV จริงหรือ?
MKV Support DxVA หรือไม่นั้น อันนี้ตอบยากครับเพราะ MKV เป็นแค่ตู้คอนเทนเนอร์ที่ทำหน้าที่
บรรจุเท่านั้น สิ่งสำคัญอยู่ที่ Format ด้านใน เพราะหากเป็น Format แบบ H.264 ที่มีเงื่อนไขสอด
คล้องกับการถอดรหัสของการ์ดจอก็จะทำให้ใช้ DxVA ได้ครับพูดง่ายๆ ก็คือขึ้นอยู่กับโปรแกรม
ที่เข้ารหัสมาครับว่า Support กับ DxVA หรือไม่ครับ...

ที่มา http://www.overclockzone.com/forums/showthread.php?t=306606

MPEG-2 ????????


MPEG2 เป็นระบบบีบอัดข้อมูลที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์โดยเฉพาะ ความแตกต่างอยู่ที่การเข้ารหัส/บีบอัดแบบนี้ ก่อนที่คอมพิวเตอร์จะคำนวณผลเพื่อแทนค่าจุดสีต่าง ๆ ในการบีบอัดข้อมูล คอมพิวเตอร์จะแบ่งภาพบนหน้าจอออกเป็นส่วน ๆ และจะไม่ทำการคำนวณเพื่อบีบอัดข้อมูลจากภาพเพียงภาพเดียว แต่จะดูล่วงหน้าไปอีกหลาย ๆ ภาพเป็นกรุ๊ป ๆ ไป กรุ๊ปของภาพชุดหนึ่ง Group of Picture หรือเรียกสั้น ๆ ว่า GOP เป็นการมองภาพครั้งละ 8-24 ภาพ โดยจะดูจากภาพที่หนึ่งของกรุ๊ปเป็นหลัก จากนั้นก็ทำการเข้ารหัสภาพ แล้วมองไปที่ภาพต่อไปว่ามีความแตกต่างจากภาพแรกที่ไหน จากนั้นก็ทำการเปรียบเทียบแล้วเก็บเฉพาะข้อมูลที่แตกต่างของภาพไว้เฉพาะใน เฟรมนั้น และในภาพต่อ ๆ ไปก็จะทำการเปรียบเทียบกับภาพที่ชิดกันแล้วเก็บส่วนต่างเอาไว้ ทำให้ลดจำนวนข้อมูลที่ต้องการเก็บ การส่งถ่าย และถอดรหัสลงไปได้มาก

MPEG-2 PS (MPEG2 Audio Layer 2, AAC LC, AC3(Dolby Digital), LPCM)
MPEG-2 TS(MPEG2 Audio Layer 2, AC3(Dolby Digital), AAC LC)
MPEG-2 TS(H.264/MPEG-4 AVC, AAC LC)

VOB ในแผ่น DVD คือ MPEG2-PS (MPEG-2 Program Stream)
TS คือ MPEG-2 Transport Stream file (MPEG-2 Video Stream)
TP คือ MPEG-2 TV Recorded file (MPEG-2 ที่อัดมาจาก TS อีกทีนึง)
TS TP พวกนี้มักเป็น HD และไฟล์ใหญ่มาก

ที่มา http://www.mc.co.th/knowledge/mpeg.htm

ระเบิดศึกสายเลือด !!! LED TV vs LCD TV แตกต่างกันอย่างไร? อะไรดีกว่ากัน?

คำถามที่ถามกันบ่อยๆในวงการทีวีและ เครื่องเสียงในปัจจุบันนี้ซึ่งฮอตฮิตยิ่งกว่าข่าว “เคอิโงะตามหาพ่อ" ยิ่งกว่า "ลูกหลินฮุ่ยจะชื่อว่าอะไร" จนบางทีผมก็มึนเองว่า" ลูกของเจ้าช่วงช่วงและหลินฮุ่ยชื่อเคอิโงะ"
ก็คือ “พี่ครับ LED TV กับ LCD TV ต่างกันอย่างไรครับ” จากผลสำรวจของเราเองมันคือหนึ่งในเป็นคำถามที่พนักงานขายทีวีตอนนี้แทบโดน กันหมดทุกคนครับ และแน่นอนมันก็ตามมาถึงทีมงาน LCDTVTHAILAND ซึ่งโดนคำถามนี้กันถ้วนหน้า เอาเป็นว่าผมขออธิบายรายละเอียดของ LED TV VS LCD TV ก่อนละกันครับ


LCD TV คืออะไร???
LCD TV ย่อมากจาก Liquid Crystal Display ซึ่งใช้หลอดไฟ CCFL หรือ Cold Cathode Fluorescent Lamp ซึ่งมีลักษณะเป็นหลอดผอมคล้ายๆหลอดกาแฟ เรียงในแนวนอนยาวลงมาเป็นตัวกำเนิดแสง และมี Liquid Crystal เป็นผลึกแข็งกึ่งเหลว 3 สี ทั้งสีแดง น้ำเงิน เขียว คอยบิดตัวเป็นองศาเพื่อให้แสงจากหลอด CCFL Backlight ส่องลอดผ่านออกมาเป็นสีสันต่างๆ




LED TV คืออะไร ???
LED TV ย่อมาจาก Light Emitting Diode เป็นหลอดไฟขนาด “จิ๋วแต่แจ๋ว” ซึ่งใช้หลอด LED เป็นตัวกำเนิดแสง และมี Liquid Crystal เป็นผลึกแข็งกึ่งเหลว 3 สีทั้งสีแดง สีน้ำเงิน และสีเขียว คอยบิดตัวเป็นองศาเพื่อให้แสงจากหลอด LED ส่องลอดผ่านออกมาเป็นสีสีนต่างๆ


สรุป
สรุปอย่างได้ใจความได้ว่า LED TV ก็คือ LCD TV ที่เปลี่ยนจากหลอด CCFL เป็นหลอด LED ในการกำเนิดแสงนั่นเอง โดยยังใช้ Liquid Crystral ผลึกแข็งกึ่งเหลว 3 สีในการสร้างสีในแต่ละพิหเซล ดังนั้นตามหลักการแล้วมันก็คือ LED LCD TV นั่นเอง เพียงแต่สลับจากการใช้หลอด CCFL ให้เป็นหลอด LED เพื่อใช้กำเนิดแสง อีกหนึ่งตัวอย่างก็คือ LED เป็นเทคโนโลยีที่มีให้เห็นกันบ่อยในจอโน็ตบุ๊คที่บางๆครับ

แล้ว LED TV กับ LCD TV อะไรดีกว่ากันหละ???
ขอตอบแบบฟันธงเลยนะครับ ในฐานะคลุกคลีกับจอภาพอยู่แทบทุกวันว่า LED TV ดีกว่า LCD TV ในหลายแง่ครับ เรามาดูตารางเปรียบเทียบกันในเชิงคุณภาพผลลัพธ์เลยนะครับ โดยเป็นการตัดสินให้คะแนนโดยทีมงาน LCDTVTHAILAND

LCD TV VS LED TV

ชนิดของ Backlight

CCFL

LED

ชื่อของทีวีในตลาด

LCD TV

LED TV

คุณภาพของภาพโดยรวม

7

9

ความสว่าง

8

8

สีสัน

7

9

ระดับสีดำ

7

9

อัตราการกินไฟ

7

10

ความบาง

7

9

ระดับราคา

9

6

ความคุ้มค่า

เครื่องถูกกว่า ค่าไฟแพงกว่า

เครื่องแพงกว่า ค่าไฟถูกกว่า

ตัวอย่างยี่ห้อและรุ่น

LG: LD650

LG: LE8500

Samsung: C650

Samsung: C8000

Sony: EX500

Sony: X & ZX Series


ด้วยความที่เป็นหลอดไฟ “จิ๋วแต่แจ๋ว” โดยความสามารถของเจ้า LED นั้นสามารถให้ “แสงสว่างได้ดีกว่าโดยที่ใช้ไฟน้อยกว่า” ทำให้ LED เป็นแหล่งกำเนิดไฟที่มีประสิทธิภาพมากกว่าหลอด CCFL ทันทีครับ และที่สำคัญด้วยขนาดหลอดที่เล็กกว่า ทำให้ LED TV มีความบางกว่า LCD TV ทั่วๆไปที่ใช้หลอด CCFL Backlight แต่อย่างไรก็ตาม LED TV นั้นก็ยังมีระดับราคาที่สูงอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า “คุ้มค่าหรือเปล่า” กับการลงทุนในช่วงนี้ โดยผมบอกได้เพียงสั้นๆว่า ค่าตัวของ LED TV ค่อนข้างแพงกว่า LCD TV อยู่พอสมควร แต่ก็มี LED TV ก็มีอัตราการกินไฟน้อยกว่า LCD TV อยู่ประมาณ 40% -50% เลยทีเดียวเชียวครับ ดังนั้นเรื่องความคุ้มค่าก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองแล้วหละว่าจะเลือกตัวไหน ครับ

LED TV มีทั้งหมดกี่แบบ ???
อันนี้หลายๆท่านอาจะจะยังสงสัยว่า LED TV มันมีหลายแบบด้วยเหรอ คำตอบแบบฟันธงนะครับว่ามีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป เรามาดูกันเลยดีกว่า

1. EDGE LED : วางหลอด LED ไว้ตรงขอบของทีวี
EDGE ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า “ขอบ” ครับ โดยหลอด LED จะถูกวางไว้ตามขอบบน ล่าง ซ้าย ขวา ของทีวีและคอยยิงแสงเข้ามาตรงกลางจอทีวี สำหรับข้อดีก็มีตรงที่ “ความบาง” ที่บางกว่า LCD TV ทั่วๆไปหลายเท่า เพราะหลอด LED อยู่แค่ด้านข้างครับ ส่วนอีกเรื่องคือเรื่องการประหยัดไฟครับ อย่างไรก็ตามข้อเสียหลักๆเมื่อเทียบกับ LED แบบ Full LED ก็คือ ไม่สามารถทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิดหลอดไฟเป็นกลุ่มๆได้เนื่องจากหลอดไฟอยู่ที่ขอบนั่นเอง


Edge LED วางหลอดไฟไว้ตาอมขอบด้านบน ล่าง และด้านข้าง


หาก Edge LED แบบดีๆหน่อยเช่น LG LE5500, Samsung C8000, Sony LX900
ก็จะทำ Local Dimming ได้ครับ แต่ไม่ละเอียดเทพแบบ Full LED


สำหรับ EDGE LED TV ได้แก่ Samsung LED TV ทุกรุ่น Sony NX700 NX800 LG LE5500 LE7500 ครับ ซึ่งถ้าเป็นตัวที่ราคาแพงหน่อยก็จะทำ Lcoal Dimming ได้แบบรูปข้างบนด้วย

2. Full LED :
หลอด LED เป็นแผงอยู่ด้านหลัง
สำหรับแบบที่ 2 เราเรียกว่า Full LED (Direct LED) เพราะว่ามีหลอดไฟอย่าด้านหลังทั้งแผงคอยให้กำเนิดแสงนั่นเอง ข้อดีของ Full LED หรือบางค่ายก็เรียก Direct LED ก็คือ ความสามารถในการทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิด หลอด LED เป็นกลุ่มๆ หรือเฉพาะจุดนั้นเองอย่างอิสระ เช่นฉากๆ นึงด้านซ้ายเป็นสีดำ ด้านขวาเป็นสีขาว หลอด LED Backlight บริเวณด้านซ้ายก็จะปิดเพื่อทำให้สีดำบริเวณด้านซ้ายดำสนิท และกลุ่ม LED Backlightด้านขวาจะเปิดเพื่อให้แสงสามารถลอดออกมาเป็นสีขาวครับ ในขณะที่ CCFL และ EDGE LED ไม่สามารถได้ ส่วนข้อเสียคือเรื่องความหนาของตัวเครื่องครับ เนื่องจากต้องใช้หลอดไฟ LED หลายตัวไว้ด้านหลังของตัวจอ ซึ่งทำให้ทีวีมีความหนาประมาณ LCD TV ทั่วๆ ไปอยู่ครับ


หลอดไฟ LED จะอยู่เต็มแผงหลังของจอ


เวลาทำ Local Dimming ก็จะทำเป็นโซนบล็อคสี่เหลี่ยมตารางหมากรุกแบบนี้


นึกภาพไม่ออกให้ดูรูปนี้ว่า Full LED มันทำ Local Dimming ได้ละเอียดกว่าอย่างไร


ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ LG LE8500 ที่เพิ่งรีวิวไป รุ่นนี้ใช้ Full LED Backlight ครับ รวมถึง Philips รุ่น PFL9704 รุ่นนี้ก็ใช้ Full LED Backlight เช่นกัน และรวมถึงรุ่นล่าสุดอย่าง LG LX9500 ตัวนี้เป็น Full LED 3 มิติด้วย แหล่มโคตร !!!

3. RGB LED : หลอดไฟ LED สีแดง เขียว น้ำเงิน เป็นแผงอยู่ด้านหลัง
แบบสุดท้ายผมขอยกให้เป็นตัวท็อปของ LED TV ในปัจจุบันนะครับ ซึ่งก็คือ RGB LED TV นั่นเอง โดยหลักการให้กำเนิดแสงก็คล้ายๆ กับ Full LED เพียงแต่ว่าแทนที่จะใช้หลอด LED สีเดียวซึ่งปกติเป็นสีขาวในการกำเนิดแสง เจ้า RGB LED TV ใช้หลอด LED แม่สี 3 สี (แดง R, เขียว G, น้ำเงิน B) ในการให้กำเนิดแสงแทน ซึ่งหลอดไฟ 3 สีนี้แยกการทำงานกันอย่างอิสระ ส่งผลให้การสร้างสีดีขึ้น เพราะแสงต้นขั้วนั้นออกมาเป็นแม่สีตั้งแต่แรก ความถูกต้องและคมชัดของสีจึงมีมากขึ้น ตลอดจนความสามารถในการไล่เฉดสีจนมีมิติของภาพก็ดีขึ้น ตามหลักการแล้ว RGB LED ถือว่าเป็น LED TV ที่ดีที่สุดครับ มีต้นทุนที่สูงกว่า และความสามาถในการทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิดไฟเป็นกลุ่มๆอย่างอิสระเพื่อสีดำที่ดำสนิทและคอนทราสต์ที่ มากขึ้นก็มีเช่นเดียวกับ Full LED แบบข้อที่ 2 ครับ ส่วนข้อเสียที่เห็นหลักๆก็คือระดับราคาที่ค่อนข้างสูงมากในตอนนี้



(คลิ๊กเพื่อดูรูปใหญ่)


ตัวอย่างทีวีที่ใช้ RGB ก็คือ Sony X450 ขนาด 46” 55” 70” และ Sharp XS1 ขนาด 65” ซึ่งค่าตัวของ Sharp RGB LED TV ก็ 699,990 บาท และ 70X450 ราคาอยู่ที่ 799,990 บาทซึ่งถอยรถ Vios และ Civic ได้อย่างละ 1 คันพอดีเลยหละครับ

ความแตกต่างระหว่าง CCFL LCD TV และ LED ชนิดต่างๆ
ชื่อเรียกทีวี
LCD TV
LED TV
ชนิดของ Backlight
CCFL
EDGE LED Full LED RGB LED
รูปแบบการวางหลอดไฟ
Local Dimming * ไม่ได้ ไม่ได้ ได้ ได้
Scanning ** ไม่ได้ (ได้บางรุ่น) *** ไม่ได้ (ได้บางรุ่น) ได้ ได้
ความสว่าง ปานกลาง
ดี ดีมาก ดีมาก
สีสัน ปานกลาง ดี ดีมาก ดีที่สุด
ระดับสีดำ ปานกลาง-ไม่ดี ดี ดีมาก ดีมาก
อัตราการกินไฟ ปานกลาง ต่ำที่สุด ต่ำ ต่ำ
ความบาง ปานกลาง บางที่สุด ปานกลาง ปานกลาง
ระดับราคา ปานกลาง สูง สูงมาก สูงที่สุด
ตัวอย่างยี่ห้อและรุ่น LCD TV ทั่วไป Samsung B6000 Philips PFL9704 Sony X450

Samsung B7000 Samsung A950 Sharp XS1

Sony ZX1 LG LX9500

* Local Dimming คือ การเปิด/ปิดหลอดไฟเป็นกลุ่มๆ เช่นปิดไฟเฉพาะบริเวณที่เป็นฉากมืด เพื่อให้ Contrast ดีขึ้น และสีดำที่ดำสนิท
** Scanning คือการปิดและเปิดหลอดไฟอย่างรวดเร็วบริเวณพื้นที่ที่วัตถุในฉากเคลื่อนผ่าน เพื่อลดอาการ"ลาก"ซึ่งก่อให้เกิดอาการเบลอของภาพเคลื่อนไหว
*** ทีวีที่มีหลอด CCFL ที่สามารถทำ Scanning ได้อาทิเช่น LG LH50 และ Sony X450


แล้วเลือกซื้อตัวไหนดีกว่ากันหละครับ ช่วยแนะนำหน่อย ???
จริงๆทั้ง CCFL LCD TV, EDGE LED TV, Full LED TV, และ RGB LED TV ก็มีข้อดี ข้อด้อยแตกต่างกันออกไปครับ รวมถึงระดับราคาที่สูงขึ้นไปตามความล้ำของเทคโนโลยี ทั้งนี้เรื่อง “ความคุ้มค่า” ในการเลือกซื้อนั้น อันที่ขึ้นอยู่กับความพอใจของเรามากกว่า ด้วยสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ หลายท่านคิดว่าซื้อ LCD TV ธรรมดาก็พอแล้ว ภาพก็ไม่ได้ด้อยกว่า LED TV ซักเท่าไหร่ เหลืองเงินไปซื้ออย่างอื่นได้อีก หรือบางท่านเห็นว่า LED TV ประหยัดไฟกว่าในระยะยาว น่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่า หรือบางท่านต้องการทีวีที่ให้คุณภาพระดับเทพที่สุด โดยไม่เกี่ยงเรื่องราคาก็อาจจะอัพไปเล่น RGB LED TV ตัวท็อปเลย ซื้อทีเดียว จ่ายทีเดียว ไม่ต้องเสียเวลาและเสียเงินเสียทองหลายรอบครับ อย่างที่บอก “ความคุ้มค่า” มันขึ้นอยู่กับ “ความพอใจส่วนบุคคล”

ที่มา http://www.lcdtvthailand.com/article/detail.asp?param_id=142

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข้อดีและข้อเสีย ระหว่าง PHP กับ JSP

1. ถ้าคุณเป็นนักศึกษา หรือ ผู้ที่ชื่นชอบ technology

- อย่าลืมว่า php หรือ jsp เป็นเพียงส่วน ui ( user interface )และ presentation เท่านั้น ในการพัฒนา web application ยังต้องอาศัยส่วนอื่น อีกที่จะประกอบได้เป็น web application

ex.
ui <-> presenation <-> business logic <-> data system

ฉะนั้นถ้าคุณต้องการศึกษา และพัฒนา web application สิ่งที่ผมแนะนำคืออยากให้คุณทำความเข้าใจ รูปแบบของ web application ในภาพใหญ่ และหลักการพื้นฐานจะดีกว่า เพราะไม่งั้นต่อไปคุณก็มีคำถามอีกว่า " แล้ว .NET ล่ะ อย่างไหนดีกว่า "
และจากนั้นเมื่อคุณมีความพร้อมและ ต้องการพัฒนางานจริง ๆ คุณก็จะรู้สึกว่า คุณมีความพร้อมและความสามารถในการปรับเปลี่ยนตัวเองให้ใช้งาน technology ที่คุณต้องการ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

เราก็รู้ ๆ กันอยู่ว่า "คน IT ควรจะเป็นคนที่สามารถปรับเปลี่ยน และเปิดกว้างสิ่งที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้เร็ว ถึงจะอยู่รอด " แต่การที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้เร็วทันใช้นั้น ก็ต้องอาศัยความรู้พื้นฐานที่ดีพอ ไม่ใช่รู้เพียง กระแส technology หรือ products ที่ vendor พยายามนำเสนอให้คุณมา

อย่างที่เราเจอปัญหา ตอนที่พัฒนา web application ที่เราเลือก j2ee เป็นหลัก ปัญหาหลักที่เราเจอก็คือ programmer ยังมีความเข้าใจ http protocal และ Object Oriented technology ไม่ดีพอ ซึ่งเราก็ต้องทำการ training กันใหม่อีก
สังเกตุว่าสิ่งที่ขาดหายไปไม่ได้เกี่ยวกัน java เลย แต่กลับเป็นความรู้พื้นฐานในการพัฒนา application

2. คุณเป็นนักพัฒนา web สมัครเล่น
- คุณก็จะรู้สึกว่า การหา hosting ทีราคาไม่แพงนัก และอนุญาตให้คุณพัฒนา web application ได้นั้น ดูเหมือนว่า php และ mysql นั้นค่อนข้างจะหาได้ง่ายกว่า และราคาถูกกว่า อีกทั้งคุณยังมีโอกาสศึกษาตัวอย่าง program จาก open source project ที่พัฒนาบน PHP/MySql ได้อีกมากมาย


3. คุณเป็นนักพัฒนา มืออาชีพ
- องค์ประกอบอย่างอื่นที่สำคัญคือ ในองค์กรที่คุณทำงานอยู่ นั้น คุณเป็นคู้ค้ากับใคร และได้กำไรจาก technology ไหนมากกว่ากัน อย่างเช่นคุณเป็นคู่ค้ากับ oracle,sun หรือ ibm คุณก็รู้อยู่ว่า vendor กลุ่มนี้พยายามผลักดัน product ของตนให้ทำงานอยู่บนพื้นฐานของ java
ฉะนั้นถ้าคุณพัฒนา ด้วย jsp/servlet เรื่องการ training พนักงาน การทำตลาด การช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขี้นระหว่างการพัฒนา application ก็ทำรวดเร็วและดีกว่า ที่คุณจะพัฒนาด้วย technology อื่น

" technology ที่ดีที่สุดคือ technology ที่เราสามารถใช้มัน เพื่อสร้างผลประโยชน์ทางธุรกิจของเราได้นะครับ ไม่ใช่ technology ที่เราจับต้องไม่ได้ หรือยังเป็น technology ของโลกอนาคตอยู่ "

ที่มา http://www.narisa.com/forums/index.php?showtopic=41

ลูกหมุนบนหลังคาช่วยระบายร้อนได้จริงหรือ?


ก่อน อื่นคงต้องศึกษาเรื่องความร้อนที่เข้ามาในตัวบ้านเสียก่อน โดยปรกติความร้อนจะกล้ำกรายเข้ามาให้คุณกล้ำกลืนทางหลังคาเป็นปริมาณ 70% และทางผนังอีก 30% เพราะฉะนั้นถ้าคุณหยุดและสกัดกั้นไม่ให้ความร้อนบุกรุกมาทางหลังคาได้ บ้านของคุณก็จะอยู่เย็นขึ้น

วิธีที่จะ ช่วยสกัดดาวรุ่งพุ่งแรงอย่างความร้อนทางหลังคานั้นทำได้หลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งฉนวนกันความร้อนหรือแผ่นสะท้อนไว้ใต้หลังคา บนฝ้าเพดานหรือแม้กระทั่งวิธีมุงหลังคาด้วยจากหรือหญ้าคาตามวิทยาการของคน โบราณ วิธีเหล่านี้เรียกว่า “การลดความร้อน”

แต่ ถ้าคุณใช้ช่องระบายอากาศ ปล่องระบายอากาศหรือติดตั้งลูกหมุนระบายอากาศ (ซึ่งจะพูดกันต่อไป) วิธีเหล่านี้เรียกว่า “การไล่ความร้อน” เพื่อไม่ให้ความร้อนสะสมใต้หลังคาแล้วแผ่ลงมาสร้างความร้อนให้กับบ้าน เคล็ดลับสำคัญของวิธีนี้คือเมื่อมีช่องให้อากาศไหลออกก็ต้องมีช่องให้ไหล เข้าด้วย

เพราะ ถ้าคุณไม่ทำตามเคล็ดลับนี้ต่อให้คุณติดตั้งพัดลมดูดอากาศเพิ่มอีก 2 ตัว มันจะกลับกลายเป็นดูดเงินของคุณแทนเพราะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ก็เหมือนการเปิดหน้าต่างนั่นแหละ ถ้าเปิดด้านเดียวต่อให้ลมตรึมแค่ไหน ห้องของคุณก็ไม่เย็นขึ้นเท่าไหร่ แต่ถ้าเปิดอีกข้างด้วย ลมก็พัดเข้ามาเยือนให้คุณเย็น

แต่การเจาะ ช่องระบายอากาศทั้ง 2 ช่องก็ต้องดูด้วยว่าจะวางตัวอย่างไร ซึ่งคุณต้องเข้าใจธรรมชาติของลมร้อนซะก่อน (ก็ขงเบ้งเคยบอก “รู้เขารู้เรารบ 100 ครั้ง ชนะ 100 ครั้ง”) เรื่องนี้น่ะ คุณได้เรีนยนรู้มาตั้งแต่วิชาวิทยาศาสตร์สมัยมัธยมแล้ว แต่เราลองไปทบทวนสักนิดดีไหม?

นั่นก็คือ อากาศร้อนจะลอยตัวขึ้นสูงเพื่อให้อากาศเย็นพัดเข้ามาแทนที่ แล้วคุณลองแหงนขึ้นไปมองหลังคาดูสิ อากาศที่ร้อนจะลอยตัวขึ้นสูงนั่นก็คือใต้สันจั่วหลังคา แต่ที่นั่นเป็นหลังคา อากาศจึงระบายออกไม่ได้ ถ้าคุณเปิดช่องนี้ออก ทั้งฝนทั้งแดดก็กระหน่ำใส่บ้านของคุณ นั่นคือโจทย์ที่คุณต้องแก้ปัญหา

ทำ อย่างไรก็ได้ให้ช่องไล่ลมร้อนอยู่จุดบนสุดของหลังคาและให้มีช่องเปิดรับ อากาศอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่า จะเห็นได้ว่ามีทั้งการทำแบบปล่องไฟ ปล่องควัน ลูกหมุนหรือหลังคา 2 ชั้นก็ได้ ส่วนช่องเปิดให้อากาศไหลเข้า ต้องกว้างพอ อย่าให้มีอะไรอุดตัน

แค่นี้แหละ เคล็ดลับง่าย ๆ สำหรับการติดตั้งลูกหมุนเพื่อคลายร้อน แต่ขอกระซิบไว้นิดนึงนะเพราะลูกหมุนน่ะเป็นประดิษฐกรรมที่ฝรั่งเขาสร้างขึ้น มาสำหรับใช้ในเมืองหนาวที่การเคลื่อนตัวของอากาศมีน้อย ลมค่อย ๆ พัดลูกหมุนให้หมุนเอื่อย ๆ เพื่อให้มีอากาศหมุนเวียนในอาคาร ลดความอับชื้น ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อระบายความร้อน

เพราะ ฉะนั้น การที่คุณจะติดตั้งอุปกรณ์นี้ไว้บนหลังคาบ้านของคุณก็ต้องวินิจ วิเคราะห์กันหน่อยว่ามันจะคุ้มค่าการลงทุนไหม? เพราะคุณมีวิธีการคลายร้อนให้บ้านตั้งหลายแบบในสนนราคาที่ถูกกว่าด้วย เมืองไทยมีอากาศร้อนซึ่งพร้อมจะลอยตัวสูงออกจากอาคารอยู่แล้ว ขอให้คุณหาช่องเปิดเพื่อระบายอากาศได้เท่านั้นก็พอ

ที่มา http://www.hometophit.com/hometh/interresting.php?news_id=1639&key=%C5%D9%A1%CB%C1%D8%B9%BA%B9%CB%C5%D1%A7%A4%D2%AA%E8%C7%C2%C3%D0%BA%D2%C2%C3%E9%CD%B9%E4%B4%E9%A8%C3%D4%A7%CB%C3%D7%CD%3F

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

8 วิธีเพิ่มยอดขายด้วยการเป็นมิตรกับลูกค้า

ท่าน เคยนึกบ้างหรือไม่ว่าเพราะเหตุใดที่ทำให้คนบางคนยอมเปิดกระเป๋าสตางค์จ่าย เงินซื้อสินค้าหรือบริการ และเพราะเหตุใดที่ทำให้คนบางคนเดินออกจากร้านไปแบบไม่มีวันกลับมาอีก ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่เขามีต่อบริษัทของคุณนั่นเอง คุณเองก็สามารถเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจของคุณได้ด้วยการ”เป็นมิตรกับลูกค้า” ด้วยวิธีการง่าย ๆ 8 ประการต่อไปนี้

1.พลังแห่งอิสตรี

สิ่งสำคัญประการแรกที่จะเพิ่มยอดขายก็คือต้องเข้าใจว่าลูกค้ามี พฤติกรรมในการซื้ออย่างไร ทราบหรือไม่ว่าการจะตัดสินใจซื้ออะไรสักอย่างนั้น ผู้หญิงมีส่วนสำคัญมากในการตัดสินใจถึงร้อยละ 60-80 ทีเดียว ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตามห้างสรรพสินค้าที่ใช้กลยุทธ์ลด แลก แจก แถม ที่ผู้หญิงโปรดปรานนั้นยังใช้ได้ผลเสมอ แต่ในขณะที่ธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์จะใช้กลยุทธ์ที่ต่างกันเพราะผู้หญิงมีส่วน ตัดสินใจเพียงร้อยละ 7 ของผู้ที่มีกำลังซื้อเท่านั้น

2. ประสบการณ์ที่ได้รับสำคัญกว่าราคาสินค้า

การให้บริการที่ดีและการเพิ่มยอดขายควรจะมาคู่กัน แต่บางทีก็แยกจากกันเนื่องจากคนที่เป็นเซลล์ไม่ค่อยสนใจ และ/หรือไม่ช่วยเหลือลูกค้า คุณควรคิดว่าหากคุณเป็นลูกค้าคุณอยากได้บริการอะไร อย่างไร จากนั้นให้ปรับกลยุทธ์ในการให้บริการเสียใหม่ แค่พนักงานพูดจาไม่ดีเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้คุณสูญเสียลูกค้ารายสำคัญไป ตลอดกาล

3. ให้ความรู้แก่ลูกค้า

ผู้บริโภคฉลาด ๆ สมัยนี้มีเยอะ พวกเขาจะเปรียบเทียบคุณภาพกับราคาของสินค้า ดังนั้นการจะทำให้สินค้าหรือบริการของคุณดึงดูดใจพวกเขาได้ คุณควรจะมีแหล่งข้อมูลของสินค้าของคุณที่สามารถอ่านได้สะดวก เช่น แผ่นพับ ใบปลิว วิดีโอ เว็บไซท์ หรือจัดคอสฝึกอบรมต่าง ๆ ให้ลูกค้า เป็นต้น

4. มีจรรยาบรรณ

ผู้บริโภคมักจะไม่ซื้อสินค้าหากภาพพจน์ของผู้บริหารหรือบริษัทไม่ดี ดังนั้นคุณควรจะแสดงให้เห็นว่าคุณบริหารธุรกิจแบบมีจรรยาบรรณ เช่น การรับประกันคุณภาพของสินค้า การคืนเงินหากไม่พอใจ หรือการให้เงินบริจาคกับการกุศลต่าง ๆ เป็นต้น

5. สร้างบรรยากาศในร้าน

ข้อควรคำนึงง่าย ๆ ที่จะตกแต่งร้านก็คือ “หากลูกค้าใช้เวลาอยู่ในร้านนานมากเท่าใด พวกเค้าก็มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้ามากขึ้นเท่านั้น” การลงทุนใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ จำพวกสื่อภาพและเสียงจะช่วยให้ลูกค้าใช้เวลาในร้านนานขึ้น คุณอาจจัดให้มีที่นั่งภายในร้านที่ทั้งผู้หญิงผู้ชายสามารถผ่อนคลาย เปิดเพลงเพราะ ๆ ทันสมัยช่วยด้วย หรือจะเพิ่มความสดชื่นในอากาศด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ก็มีส่วนเสริมเช่นกัน

6. คุยกับลูกค้า

ถึงแม้สังคมไทยจะเป็นสังคมที่คนไม่ค่อยพูดและขี้เกรงใจ แต่คุณยังสามารถนำวิธีการพูดคุยทักทายกับลูกค้ามาช่วยเพิ่มการขายได้ ให้ลูกค้าได้ซักถามเรื่องต่าง ๆ เป็นการเพิ่มยอดขายและช่วยให้ลูกค้าประทับใจกลับมาซื้อซ้ำหรือไม่ไปซื้อจาก ที่อื่น เห็นง่าย ๆ ในร้านบางร้านที่ให้พนักงานพูดเสียงดังเป็นระยะว่า “สอบถามได้นะค้า/คร้าบ”

7. การจัดวางสินค้า

คนส่วนมากจะถนัดด้านขวา เมื่อเดินเข้าร้านก็จะเดินชิดขวาและมองไปทางขวาก่อน ดังนั้นคุณควรจะจัดวางสินค้าที่ขายดีหรือต้องการโปรโมทไว้ทางด้านขวา หากคุณวางไว้ทางซ้าย ก็มีแนวโน้มว่าลูกค้าจะเดินผ่านไปและกลับมาโดยไม่มองอีกเลย

8. การซื้อของเป็นเรื่องของอารมณ์

ผู้บริโภคหลายรายหาซื้อของอย่างมีจุดหมาย หากคุณขายสินค้าที่เกี่ยวกับการให้หรือการใช้ส่วนตัวล่ะก็ คุณต้องสร้างบรรยากาศของร้านให้เข้ากับสินค้าที่ขาย เช่น ขายการ์ดอวยพรหรือของขวัญ ก็ควรใช้บรรยากาศและสีที่อบอุ่น จะทำให้ลูกค้าใช้เวลาอยู่ในร้านนานขึ้น

จะเห็นได้ว่าการที่จะ”เป็นมิตรกับลูกค้า”นั้นคือการให้ลูกค้ามีส่วน ร่วมตั้งแต่เริ่มเข้ามาในร้าน ซึ่งอาจจะแจกสินค้าตัวอย่าง หรือเอกสารก็ได้ นอกจากนั้นแล้วคุณควรทำแบบสอบถามเพื่อหาข้อเสนอแนะ ติชมจากลูกค้าทั้งหญิงและชาย รวมทั้งจากเซลล์ของร้านเอง เป็นครั้งคราวด้วย

ที่มา
www.smethailandclub.com
www.manager.co.th

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การผลิตและการบริการที่เร็วขึ้นด้วยหลักการ QRM (Quick Response Manufacturing)

QRM (Quick Response Manufacturing) คืออะไร

คือ แนวคิดและหลักการในการบริหารการผลิตที่มุ่งเน้นการตอบสนองลูกค้าอย่างรวดเร็ว ลดเวลาในการส่งมอบงาน

QRM สำคัญอย่างไร

ใน สภาวะธุรกิจในปัจจุบันนี้ นอกจากการแข่งขันกันทางด้านราคา และคุณภาพแล้ว การส่งมอบงานให้ลูกค้าได้รวดเร็วก็เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก ธุรกิจใดตอบสนองต่อลูกค้าได้รวดเร็วกว่า ก็จะได้เปรียบ ทำอย่างไรจึงจะตอบสนองต่อลูกค้า หรือส่งมอบงานได้รวดเร็วขึ้น นั่นก็คือ เราจะต้องเปลี่ยนแนวคิดเดิมๆ เสียก่อน ซึ่ง QRM เป็นแนวคิดและหลักการที่มุ่งเน้นในการลดเวลาอย่างถูกวิธี


แนวคิดของ QRM

คุณลองทำแบบสอบถาม 9 ข้อต่อไปนี้ ดูว่าคุณเห็นด้วยกับแนวคิดเหล่านี้หรือไม่


1. เราจะต้องทำงานให้หนักขึ้น ใช้เวลาในการทำงานมากๆ เพื่อให้งานเสร็จเร็วขึ้น

2. เพื่อที่จะให้งานเสร็จเร็ว เราจะต้องให้เครื่องจักร และคนงานยุ่งอยู่ตลอด

3. เพื่อจะให้งานเสร็จเร็วขึ้น เราจะต้องมีการวัดประสิทธิภาพและหาทางเพิ่มประสิทธิภาพ

4. แต่ละแผนกงานจะต้องกำหนดวันส่งงานของตนขึ้นมาและทำงานให้ทันกำหนดการส่งงานของแผนก

5. สำหรับชิ้นส่วนที่ผู้ขายต้องใช้เวลามากในการส่งของให้เรา เราควรจะเจรจากับผู้ขายเพื่อสั่งเป็นลอตใหญ่ๆ และขอส่วนลด

6. เราควรจะกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อทีละมากๆ และลดราคาให้ลูกค้า

7. แต่ละแผนกควรจัดตั้งกลุ่มคนเพื่อหาทางลดเวลาในส่วนงานของแต่ละแผนก

8. เราควรจะคิดเงินเพิ่ม หากทำงานด่วนให้ลูกค้าสำเร็จ

9. เราจะต้องลงทุนสูง เพื่อลดเวลาในการส่งมอบงาน

คุณ เห็นด้วยกับแนวคิดข้างต้นกี่ข้อ มีงานวิจัยซึ่งศึกษาเกี่ยวกับการลดเวลาในการส่งมอบงาน (Quick Response Manufacturing: QRM) ได้สรุปว่า แนวคิดข้างต้นนั้นไม่ถูกต้องสักทีเดียว ลองมาดูแนวคิดใหม่ๆกันบ้าง

1. แทนที่จะใช้เวลาทำงานมากๆ มาหาวิธีทำงานใหม่โดยมุ่งเน้นที่การลดเวลา จะให้ผลคุ้มค่ากว่า

2. จาก ทฤษฎีคิวพบว่า การที่ให้เครื่องจักรและคนทำงานอยู่ตลอดเวลานั้น จะทำให้สินค้าออกมาช้าลง เนื่องจากเวลารอคิวรวมจะเพิ่มขึ้น การที่เพิ่มจำนวนเครื่องจักรหรือเพิ่มกะ และให้เครื่องจักรทำงานอยู่ที่ 70% หรือ 80% ถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นแต่จะทำให้เวลารวมน้อยลง ไม่ต้องเสียเวลาเปล่าในคิว ซึ่งจะทำให้ท่านส่งสินค้าได้เร็วขึ้น เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในระยะยาว

3. การวัดประสิทธิภาพไม่ได้ประกันว่าจะช่วยลดเวลา การใช้ตัววัดเวลาจะช่วยให้เกิดการลดเวลาได้ตรงจุดกว่า

4. การ ที่แต่ละแผนกให้ความสำคัญกับการส่งงานทันกำหนดเวลาที่แต่ละแผนกตั้งไว้ อาจทำให้แต่ละแผนกกำหนดเวลาที่นานเกินความจำเป็น เพื่อให้แน่ใจว่าแผนกตนจะทำงานเสร็จทันแน่ๆ แนวคิดนี้ยิ่งจะทำให้เวลารวมเพิ่มขึ้น แต่ละแผนกน่าจะมุ่งเน้นที่การลดเวลาโดยรวมมากกว่า

5. การผลิต ลอตเล็กๆ จะทำให้เวลารวมน้อยกว่า เนื่องจากปัญหาเรื่องคิวจะน้อยกว่า ดังนั้น จึงควรเจรจาและร่วมมือกับผู้ขายเพื่อให้เกิดการส่งของเป็นลอตเล็กๆ ทั้งนี้จะเป็นการประหยัดพื้นที่และค่าใช้จ่ายในการเก็บของ และยังทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนแผนด้วย ในการที่เราจะผลิตของเป็นลอตเล็กลง ก็หมายถึงว่าจะต้องมีการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์บ่อยขึ้น ดังนั้น จะต้องหาวิธีการลดเวลาปรับตั้งเครื่องจักรลงเมื่อเวลาเปลี่ยนลอตด้วย และเมื่อเราสามารถผลิตสินค้าเป็นลอตเล็กได้รวดเร็วขึ้น เราก็จะเจรจาให้ลูกค้ารับสินค้าลอตเล็กได้ ซึ่งก็เป็นผลดีกับลูกค้าที่ว่าลูกค้าก็ไม่ต้องเก็บสินค้าไว้นาน

6. การ ที่แต่ละแผนกมุ่งที่จะลดเวลาในแต่ละแผนก อาจทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างแผนกได้ ควรจะมีการจัดตั้งกลุ่ม ที่ประกอบด้วยแผนกต่างๆ และมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือลดเวลารวมของงาน

7. การ คิดเงินลูกค้าเพิ่มในกรณีที่ส่งงานเร่งด่วนให้กับลูกค้าได้นั้น เราอาจทำได้ แต่ไม่ควรเป็นจุดประสงค์หลัก จุดประสงค์หลักควรจะเป็นการส่งมอบที่รวดเร็ว ซึ่งจะทำให้บริษัทมีชื่อเสียง และจะทำให้ได้รับผลประโยชน์ทางการเงินตามมา

8. การ ลงทุนไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ ความเข้าใจของทุกคนในบริษัท ที่จะมุ่งเน้นการทำงานเพื่อลดเวลา ควรมีการปรับปรุงตัวชี้วัดของบริษัท ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการลดเวลาการส่งมอบ


แนวทางสู่ QRM

ขั้น แรกผู้บริหารต้องให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง จากนั้นกำหนดผลิตภัณฑ์หรือส่วนงานที่จะทำการลดเวลา จัดตั้งทีมงานวางแผนและดำเนินงาน โดยหาเวลาที่ใช้ในปัจจุบัน จากนั้น กำหนดเป้าหมาย รวบรวมข้อมูล หาวิธีการลดเวลา และลงมือทำให้เกิดผล

ที่มา http://www.ismed.or.th/SME/src/bin/controller.php?view=knowledgeInsite.KnowledgesDetail&p=&nid=&sid=29&id=1406&left=10&right=11&level=3&lv1=3

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จอ AMOLED ปะทะ SLCD ใครแน่กว่ากัน

(ซ้ายจอ SLCD ขวาจอ Amoled )


สมัย นี้ผู้ใช้เครื่องส่วนใหญ่ให้ความสำคัญรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับตัวเครื่อง ค่อนข้างมากเพราะเป็นเหตุมาจากการแข่งขันของผู้ผลิตเอง ที่พยายามชูจุดขายของเครื่องต่างๆทำให้เป็นประเด็นในการพิจารณาเลือกซื้อ เครื่องมากขึ้น ปีที่ผ่านๆมา เค้าแข่งกันเรื่องของ CPU ว่าใครจะเร็วกว่ากัน แล้วก็ตามมาด้วยหน้าจอใครมีขนาดใหญ่กว่ากัน แต่พอมาปีนี้เรื่องของจอยังคงถูกหยิบออกมาเป็นจุดขายของเครื่องในแต่ละ เครื่อง เมื่อก่อนเราใช้จอแบบ QVGA แล้วก็เปลี่ยนมาเป็น WVGA ก็ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึงอะไรมากนัก แต่ยุคนี้ตั้งแต่ iPhone ชูเรื่องจอแบบ เรตินา ออกมาก็ทำให้คู่แข่งต่างๆก็พยายามยกเรื่องจอมาเป็นประเด็นในเรื่องการแสดงผล ที่ชัดสดใส

Amoled เป็นจอชนิดแรกๆที่ถูกหยิบมาเป็นจุดขายของเครื่องยี่ห้อ Samsung และพัฒนามาจนเป็นระดับ Super Amoled ส่วนทาง HTC เองในตอนนี้เริ่มประกาศที่จะไปใช้จอแบบ SLCD ในเมื่อช่วงไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้เกิดคำถามต่อมาว่าจอ SLCD คือจะอะไร ? จริงๆก็คือจอ Sony's Super LCD (SLCD) technology ที่ทาง HTC จะหยิบมาใส่ในเครื่องขนาดจอ 3.7 นิ้ว เช่น HTC Desire และ Nexus One แต่สาเหตุที่เปลี่ยนมาใช้จอ Sony's Super LCD (SLCD) ก็เพราะว่าจอ Amoled มันขาดตลาดทาง Samsung ไม่สามารถซัพพลายของให้ได้ทัน ก็เล่นขายดีกันทั้ง HTC และ Samsung ก็เลยทำให้วัตถุดิบส่วนประกอบมันก็เลยต้องขาดแคลนเป็นธรรมดา

โดยทาง HTC เองกล่าวว่าจอ SLCD นั้นหากเทียบกับจอในปัจจุบันจะให้ประสิทธิภาพที่คมชัดและประหยัดพลังงานกว่า แต่อย่างไรก็ตาม HTC เองก็ไม่ได้บอกว่าจะเลิกใช้จอ Amoled แต่ในอนาคตเครื่องบางรุ่นของ HTC ก็ยังคงจะใช้จอ Amoled ต่อไป ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่น่าจะมาจากเรื่องวัตุดิบไม่เพียงพอนั่นเอง สำหรับประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงานแบตเตอรี่เครื่อง จอแบบ Amoled ยังคงมีประสิทธิภาพดีกว่าหากเป็นการแสดงภาพในแบบสีดำแบบพื้นที่ใหญ่ๆ เพราะว่าเทคโนโลยีของ Amoled เองนั้นจะไม่กินพลังงานมากในการแสดงผลพิกเซลสีดำ แต่สำหรับจอ SLCD เองโดยรวมๆแล้วหากเป็นการแสดงภาพพื้นสีขาวๆหรือสีทั่วๆไปจะช่วยประหยัด พลังงานได้มากกว่า มีระบบการจัดการพลังงานได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม เรื่องของความแตกต่างของหน้าจอสองชนิดนนี้ทั้ง Amoled และ SLCD นั้นหากไม่ได้นำมาเปรียบเทียบกันโดยตรงๆก็คงจะยากที่จะบอกว่า อันไหนคมชัดมากกว่ากัน เพราะหากเป็นการใช้งานทั่วๆไปแล้ว ขอแค่ภาพคมๆสว่างๆก็พอแล้ว เราคงไม่ได้คอยนั่งจับผิดกันทุกพิกเซลอยู่แล้วใช่ไหมครับ เอาหละเพื่อความกระจ่างเราลองไปดูภาพเปรียบเทียบกันหน่อยดีกว่าครับ เป็นภาพจากทาง cnet เค้าเปรียบเทียบให้ดูกันแบบตัวต่อตัวกันเลย

ซ้ายจอ SLCD ขวาจอ Amoled

ซ้ายจอ SLCD ขวาจอ Amoled

www.cnet.com


ที่มา http://www.mrpalm.com/list3.php?cont_id=2531

เทคโนโลยีการสร้างบ้านจากไม้ยางพารา



ในบรรดาไม้ ที่ได้จากการปลูกเชิงพานิชย์ในประเทศไทย มีไม้สักเท่านั้นที่ได้ถูกนำมาใช้ในการก่อสร้างมากที่สุด การปลูกสวนป่าอื่นๆ ก็มีวัตถุประสงค์เพื่อการต่างๆโดยเฉพาะเช่น ต้นยูคาลิปตัส ก็เพื่อนำไปทำเยื่อกระดาษ สวนยางพาราก็เพื่อผลิตน้ำยาง เมื่อต้นยางพาราหมดอายุที่จะให้น้ำยางต่อไป จำเป็นต้องโค่นออกเพื่อปลูกต้นยางรุ่นใหม่ ชาวบ้านจะลำต้นเป็นขนาดความยาวประมาณ 1 เมตร เพื่อให้สามารถแบกขนส่งด้วยแรงคนออกมาจากสวนยางได้โดยง่าย ไม้ยางเหล่านี้ถูกนำไปเผาทำถ่านไม้ ทำเป็นฟืนบ้าง หรือเอาไปบดย่อยผสมกาวอัดออกมาเป็นแผ่นวัสดุไม้เทียมบ้าง จนกระทั่งมีคนญี่ปุ่นเห็นความสวยงามของเนื้อไม้สีอ่อน ขาวสวยของไม้ยาวพาราเข้า จึงมากว้านซื้อไม้ยางพาราจากไทยไปผลิตทำเฟอร์นิเจอร์ ไม้ยางพาราจึงเริ่มมีราคาขึ้น แต่ก็ยังไม่มีการนำมาใช้เป็นวัสดุในการสร้างบ้านและอาคาร เพราะในอดีตยังไม่มีความรู้ที่จะกันปลวก และการป้องกันการเกิดเชื้อรา กับเนื้อไม้ยางพาราได้
เมื่อความต้องการใช้ไม้ในประเทศมีมากขึ้นถึงขั้นขาดแคลน ! ประเทศไทยที่เคยมีสินค้าไม้เป็นสินค้าส่งออกสำคัญ กลับต้องสั่งไม้สน จากประเทศแถบ สแกนดิเนเวียนขนใส่เรือข้ามโลกมาใช้ สั่งไม้จากมาเลเชียที่เรียกให้ดูดีว่าเต็งมาเลเซีย คนไทยจึงหันกลับมาดูไม้ที่เรามีใช้อย่างเหลือเฟือ คือไม้ยางพารา วิทยานิพนธ์ วปอ. รุ่น 4111 ที่เสนอโดย วิทยา งานทวี สรุปว่าป่าสวนยางพารา จะมีมูลค่าอีกมหาศาลพลิกเศรษฐกิจภาคใต้ได้เพราะเราสามารถใช้ไม้ยางพารามา เป็นประโยชน์ให้มากกว่าการนำมาเผาเป็นเชื้อเพลิง หรือนำมาเพิ่มมูลค่าได้สูงสุดแค่การนำมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์แบบเดิมๆ โดยต้องใช้เทคโนโลยีการปรับปรุงคุณภาพไม้ที่ใช้กันในยุโรปและ อเมริกามาปรับเปลี่ยนไม้ยางพาราให้เหมาะสมกับการใช้ในงานก่อสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำมาใช้เป็นที่อยู่อาศัย ค่าก่อสร้างในประเทศไทยแพงอยู่ที่ราคาวัสดุมีสัดส่วนถึง 70% ของมูลค่าก่อสร้างทั้งหมด ดังนั้นชาวชนบทจึงจะสามารถปลูกและหาวัสดุก่อสร้างได้ฟรีเอง ถ้าไม้ยางพารานำมาใช้เป็นวัสดุก่อสร้างได้ กรมป่าไม้ได้ทำข้อมูลคุณสมบัติของไม้ยางพาราเทียบกับไม้อื่นๆที่ปลูกเป็น อุตสาหกรรมได้ ปรากฎว่ามีผลออกมาที่น่าสนใจ และ ต่างกับความเข้าใจเดิมๆของคนทั่วไปเพราะพบว่า เมื่อเทียบกับไม้สัก ไม้ยางพารา มีความแข็งแกร่งในด้านวิศวกรรม ใกล้เคียงเทียบเท่า กับไม้สัก ! และมีคุณสมบัติเหนือกว่าไม้ยูคาลิปตัส และไม้สะเดา เป็นอย่างมาก (ดูตารางคุณสมบัติที่ เกียรติศักดิ์ จิรเธียรนาถ ศึกษานำมาเปรียบเทียบ)

คุณสมบัติของไม้ยางพารา เปรียบเทียบ ไม้สักและไม้ปลูกเชิงพานิชย์อื่นๆ

Selected Thai Wood Properties

Parameter

Unit

สัก (สวน)

ยางพารา

ยูคาลิปตัส

สะเดาเทียม

1

ชั้นคุณภาพ

A-C, S

A

B

B

B

2

ความแน่น

กก./ม3

642-650

700

1,000

510

3

การหดตัวด้านรัศมี

%

1.08-2.52

2.95

3.25-6.31

0.99-3.26

4

การหดตัวด้านสัมผัส

%

3.05-6.36

5.58

6.49-10.37

2.81-6.42

5

ความยากง่ายในการผึ่งไม้

ง่าย-ยากมาก

ง่าย

NA

NA

ค่อนข้างง่าย

6

การอบไม้

1.0 - 7.0

4

4

4

4

7

Static Bending - MOR

MPa

100

95

132

94

8

Static Bending - MOE

MPa

10,089

9,414

14,800

9,777

9

Compression parallel to grain

MPa

49

46

69.9

52

10

Shear parallel

MPa

14.6

15.8

20

16

11

Static Bending - MOR

กก./ซม2

1,045

973

1,344

960

12

Static Bending - MOE

กก./ซม2

113,700

96,000

150,900

99,700

13

Compression parallel to grain

กก./ซม2

533

478

713

535

14

Shear parallel

กก./ซม2

169

162

199

164

15

Impact

กก-ม.

2.20

2.86

2.33

2.15

16

Hardness (ความแข็ง)

N

4,864

5,276

8,510

4,011

17

ความทนทานตามธรรมชาติ

ปี

19.4

NA

NA

NA

18

การอาบน้ำยาไม้

1.0-6.1

4

4

4

4

19

การเลื่อย

ง่าย-ยากมาก

ค่อนข้างง่าย

ปานกลาง

ค่อนข้างยาก

ปานกลาง

20

การไส

ง่าย-ยากมาก

ค่อนข้างง่าย

ปานกลาง

ค่อนข้างยาก

ปานกลาง

21

การเจาะ

ง่าย-ยากมาก

ค่อนข้างง่าย

ปานกลาง

ค่อนข้างยาก

ปานกลาง

22

การกลึง

ง่าย-ยากมาก

ค่อนข้างง่าย

ปานกลาง

ค่อนข้างยาก

ปานกลาง

23

การยึดเหนี่ยวตะปู

ดีมาก-น้อยมาก

ดี

ดี

น้อย

ปานกลาง

24

การขัดเงา

ง่ายมาก-ยาก

ง่าย

ง่าย

ค่อนข้างยาก

ง่าย

หมายเหตุ

  1. การจัดชั้นคุณภาพไม้ของกรมป่าไม้แบ่งออกเป็น 4 ชั้น ได้แก่ A (ไม้ชั้นคุณภาพดี), B (ไม้ชั้นคุณภาพปานกลาง), C (ไม้คุณภาพต่ำ) และ S (ไม้เนื้ออ่อนตามที่มีการจำแนกตามลักษณะพฤกษศาสตร์)
  2. กลสมบัติของไม้ เป็นการจัดขึ้นความแข็งแรงของเนื้อไม้ที่แยกออกเป็น 3 ชั้น ได้แก่

ชั้นความแข็งแรงของเนื้อไม้

ความแข็งแรงประลัยของการดัด

ความแข็งแรงอัดสูงสุดของ

สถิต (M.O.R.ของแรงตัดสถิต) (N/mm.2)

การอัดขนานเสี้ยน (N/mm.2)

A (ความแข็งแรงสูง)

สูงกว่า 95.0

สูงกว่า 51.0

B (ความแข็งแรงปานกลาง

60.0-94.9 (ยาง = 95)

35.0 - 50.9 (ยาง = 46)

C (ความแข็งแรงต่ำ

ต่ำกว่า 60.0

ต่ำกว่า 35.0

  1. ความทนทานตามธรรมชาติ เป็นการจัดขึ้นความทนทานตามธรรมชาติโดยได้จากการทดลองภายใต้สภาวะธรรมชาติ ของดินฟ้าอากาศในแปลงทดลองกลางแจ้ง ตามภาคต่าง ๆ ของประเทศ โดยใช้ไม้ตัวอย่างที่ปราศจากตำหนิขนาด 5 x 5 x 50 ซม. ความชื้นเฉลี่ยไม่เกิน 20 % และปักลงดิน 25 ซม. มี 4 ชั้น ได้แก่ 1) ความทนทานต่ำ (<>10 ปี) ตามความทนทานตามธรรมชาติของไม้บางบชนิดในปี พ.ศ. 2503, 2508, 2519, 2523, และ 2533 โดย พจน์ อนุวงศ์ และคณะ

ไม้ยางพารา มีจุดอ่อนอยู่ที่อายุการใช้งาน จากการการทำลายของปลวก และการเกิดเชื้อรา ที่ไม่สามารถเทียบกับไม้สักตามธรรมชาติที่มียางธรรมชาติในเนื้อไม้ที่กัน ปลวกได้ และไม้สักถึงแม้ว่าจะมีเนื้อไม้อ่อนกว่าไม้ยางพาราก็ตาม แต่มีความหนาแน่นของเนื้อไม้สูงกว่าทำให้ไม้สักมีการดูดซึมของน้ำน้อยกว่า แต่ด้วยเทคโนโลยีสารเคมีที่จะกันปลวก และการป้องกันการดูดซึมน้ำ กับเนื้อไม้ยางพาราธรรมชาติ ในปัจจุบัน ไม้ยางพาราจึงสามารถถูกปรับปรุงให้มีอายุการใช้งานได้เทียบเท่ากับไม้ก่อ สร้างตามธรรมชาติทั่วไปแล้ว
มาดูกันว่าในต่างประเทศ เขาได้ใช้ไม้สน ไม้เนื้ออ่อน ต่างๆที่ปรับคุณสมบัติด้วยสารเคมีต่างๆ กัน
อย่างไรบ้างแล้ว

คานไม้ประกอบด้วยกาว สามารถประกอบเป็นคานใหญ่ ไม่จำกัดขนาดอีกต่อไป

คานไม้ประกอบ ที่นำมาสร้างเป็นโครงหลังคาขนาดใหญ่ และมีรูปทรงสวยงาม


หน้าตัดคานไม้ประกอบ (Glue Laminated Beam)

โครงสร้าง และ การนำไม้ยางพาราไทย มาใช้ในงานพื้น ผนัง ประตู ของตัวอย่างบ้านเอื้ออาทร
ที่โครงการ ฉลุง หาดใหญ่

โดย : รศ. ดร.ต่อตระกูล ยมนาค


ที่มา http://www.constructionandproperty.net/article_detail.php?a_id=20