วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

รู้ไหมว่า? เอกภพของ “ไอน์สไตน์” ต่างจาก “นิวตัน” ยังไง

ครั้งหนึ่งเราเคยเชื่อว่าความโน้มถ่วงเป็นแบบที่ ไอแซค นิวตัน (Isaac Newton) เสนอขึ้น แต่การศึกษาต่อมาแสดงให้เห็นว่าความโน้มถ่วงในแบบ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ถูกต้องมากกว่า โดยที่ทฤษฎีของ “นิวตัน” นั้นเป็นกรณีประมาณหรือกรณีเฉพาะกรณีหนึ่งในทฤษฎีของไอน์สไตน์

แล้วทฤษฎีความโน้มถ่วงของทั้งสองคนนั้นต่างกันอย่างไร?

อวกาศของ นิวตัน (ซ้าย) และ ไอน์สไตน์ (ขวา) ไม่เหมือนกัน
ความโน้มถ่วงและฟิสิกส์แบบนิวตันความโน้มถ่วงและฟิสิกส์แบบไอน์สไตน์
กาล (time) และ อวกาศ (space) แยกกันโดยสมบูรณ์ เวลาของทุกๆ คนเดินไปเร็วเท่าๆกัน
อวกาศและเวลามีความเกี่ยวข้องกัน
เวลาของผู้สังเกตที่เคลื่อนที่ในการกรอบการเคลื่อนที่ที่มีความเร็วต่างกันนั้นจะวัดได้ไม่เท่ากัน
กาลหรือเวลาเป็นสิ่งสมบูรณ์ไม่ขึ้นกับกรอบการเคลื่อนที่ ไม่มีการยืดออกของเวลาเวลาบนวัตถุที่มีความเร็วสูงๆ จะเดินช้าลงคือยืดออก นอกจากนี้เวลายังเดินช้าลงเมื่ออยู่ใกล้กับวัตถุที่มีมวลมากๆ
อวกาศแบนราบ มวลสสารไม่มีผลต่อการโค้งงอของอวกาศ- มวลสารทำให้อวกาศโค้งงอได้ ความโค้งของอวกาศนี้ทำให้เกิดปรากฏการณ์จีโอติค
-มวล สสารนี้หากหมุนหรือเคลื่อนที่ด้วยความเร่ง (ที่ไม่ได้เกิดจากความโน้มถ่วง) เมื่อใดแล้วจะเกิดการลากกรอบอ้างอิงซึ่งก็คือปรากฏการณ์เฟรมแดรกกิงนั่นเอง
ความโน้มถ่วงถือเป็นแรงพื้นฐานประเภทหนึ่งความโน้มถ่วงไม่ใช่แรง หากแต่เป็นลักษณะความโค้งของอวกาศ
แสงเดินทางโดยไม่ใช้เวลา เหตุการณ์เกิดขึ้นทันทีทันใด สิ่งที่เราเห็นในปรากฏการณ์บนท้องฟ้าคือสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันความเร็วแสงมีขีดจำกัด คือ ประมาณ 3x108 เมตรต่อวินาที ปรากฏบนท้องฟ้าจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต


*อนุเคราะห์ข้อมูลโดย
ดร.บุรินทร์ กำจัดภัย สถาบันสำนักเรียนท่าโพธิ์ฯ วิทยาลัยเพื่อการค้นคว้าระดับรากฐานแห่งมหาวิทยาลัยนเรศวรและศูนย์ความเป็น เลิศด้านฟิสิกส์ของ สกอ.

ที่มา http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000062705

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

การทดลองข้ามทศวรรษยืนยันอีกครั้ง “ไอน์สไตน์” ถูกต้อง

ควอตซ์วัสดุสำหรับผลิตไจโรสโคปถูกขัดจนเรียบเนียนสะท้อนภาพโปสเตอร์ของไอน์สไตน์ (Stanford University/Gravity Probe B )

แม้จะผ่านมาเป็น 100 ปีแต่ทฤษฎีของไอน์สไตน์ก็ยังต้องได้รับพิสูจน์กันต่อไป ล่าสุดการทดลองอันยาวนานของนาซาได้ยืนยัน 2 คำทำนายสำคัญตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป และเป็นครั้งแรกที่ยืนยันได้ว่ากาล-อวกาศบิดเบี้ยวไปตามการหมุนของวัตถุ ซึ่งเป็นการย้ำอย่างชัดเจนว่านักฟิสิกส์ชาวยิวผู้นี้ยังคงถูกต้อง

การยืนยันล่าสุดในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (General Relativity หรือ GR) ซึ่งเป็นทฤษฎีของความโน้มถ่วง (Gravity) ของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ว่ายังคงถูกต้องนั้น เป็นผลการสังเกตการณ์ของยานอวกาศกราวิตี โพรบ บี (Gravity Probe B) ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ซึ่งถูกส่งขึ้นไปตั้งแต่ 20 เม.ย.2004 เพื่อสังเกตปรากฏการณ์ตามคำทำนายจากทฤษฎีที่เขาเสนอมาตั้งแต่ปี 1916

ตรวจหาอวกาศโค้งงอและบิดเบี้ยว
ตามคำทำนายของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป กาลเวลา (time) และอวกาศ (space) จะบิดเบี้ยวไป เนื่องจากการมีอยู่ของวัตถุขนาดใหญ่อย่างดาวเคราะห์และดวงดาวต่างๆ และเพื่อพิสูจน์ความถูกต้องของทฤษฎี ยานกราวิตีโพรบบี หรือ จีพี-บี (GP-B) จึงถูกส่งขึ้นไปตรวจวัดปรากฏการณ์ที่เป็นผลจากวัตถุขนาดใหญ่อย่างเช่นโลกได้ 2 ปรากฏการณ์ด้วยกัน

นั่นคือ ปรากฏการณ์จีโอติก (geodetic effect) ที่กาลอวกาศโค้งงออันเนื่องจากการมีอยู่ของวัตถุขนาดใหญ่ และเมื่อโลกหรือวัตถุขนาดใหญ่อื่นๆ หมุนจะทำให้กาลอวกาศบิดเบี้ยวในลักษณะของการ “ลาก” (dragging) กาลอวกาศไป ซึ่งเรียกปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า ปรากฏการณ์เฟรมแดรกกิง (frame-dragging effect) หรือปรากฎการณ์การลากกรอบอ้างอิง ซึ่งไม่มีปรากฏการณ์เหล่านี้ในแนวคิดของ เซอร์ไอแซค นิวตัน (Sir Isaac Newton) เพราะอวกาศในแนวคิดของนิวตันนั้นสมบูรณ์และไม่โค้งงอ

“ในเอกภพของไอน์สไตน์ “กาล” (time) และ “อวกาศ” (space) โค้งงอด้วยแรงโน้มถ่วง โลกของเราได้ทำให้อวกาศที่อยู่โดยรอบโค้งงอเล็กน้อยๆ ด้วยแรงโน้มถ่วงของโลกเราเอง ลองจินตนาการว่าโลกแช่อยู่ในน้ำผึ้ง เมื่อโลกหมุน น้ำผึ้งที่อยู่รอบๆ ก็บิดตาม ซึ่งก็เป็นอย่างเดียวกับที่เกิดขึ้นกับกาลและอวกาศ” ศ.ฟรานซิส เอเวอริตต์ (Prof.Francis Everitt) นักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด (Stanford University) สหรัฐฯ และผู้ตรวจสอบหลักในโครงการยานกราวิตีโพรบบีอธิบาย

ยานกราวิตีโพรบบีถูกส่งขึ้นไปพร้อมกับไจโรสโคป (gyroscope) หรือลูกข่างวัดการหมุนที่มีความแม่นยำมากถึง 4 ตัว ซึ่งไจโรสโคปทั้งหมดจะหมุนโดยมีดาว ไอเอ็ม เปกาซี (IM Pegasi) หรือ เอชอาร์ 8703 (HR 8703) เป็นจุดอ้างอิงของแกนหมุน การเลื่อนของแกนหมุนเพียงเล็กน้อยเป็นสิ่งยืนยันว่าไอน์สไตน์ถูกต้อง แต่หากไอน์สไตน์ผิดไจโรสโคปจะหมุนอย่างมั่นคง

หัวใจการทดลองอยู่ที่ “ไจโรสโคป”
ข้อมูลจากศูนย์การบินอวกาศมาร์แชลล์ (Marshall Space Flight Center) ของนาซาระบุว่า ไจโรสโคปแต่ละตัวประกอบด้วยลูกบอลขนาด 38 มิลลิเมตร ที่ทำจากแร่ควอตซ์เคลือบนิโอเบียม ควอตซ์เป็นธาตุที่มีความเสถียรในหลายช่วงอุณหภูมิ ยืดและหดตัวน้อย ไจโรสโคปทั้งหมดถูกจัดวางเรียงเป็นแถว มี 2 ตัวที่หมุนตามเข็มนาฬิกาและอีก 2 ตัวหมุนทวนเข็มนาฬิกา

เพื่อผลการทดลองที่แม่นยำลูกบอลทรงกลมจะถูกรักษาไว้ที่ความเย็นใกล้ “ศูนย์องศาสัมบูรณ์” (absolute zero) หรือประมาณ -273 องศาเซลเซียส ภายในกระบอกสุญญากาศขนาดใหญ่ที่บรรจุฮีเลียมในสถานะของไหลยิ่งยวด (super-fluid) ซึ่งช่วยปกป้องกันสิ่งรบกวนจากภายนอก ทั้งความดัน ความร้อน สนามแม่เหล็ก แรงโน้มถ่วง และประจุไฟฟ้า

ไจโรสโคปและกล้องโทรทรรศน์ตามดาวถือเป็นหัวใจสำคัญของยานกราวิตีโพรบ บี ซึ่งโคจรรอบโลกในแนวขั้วโลกเหนือ-ขั้วโลกใต้อยู่ที่ระดับความสูง 642 กิโลเมตร โดยคาดว่าผลจากปรากฏการณ์เฟรมแดรกกิงจะทำให้แกนหมุนของไจโรสโคปในระนาบการ หมุนของโลกเปลี่ยนไปปีละ 0.014 ฟิลิปดา หรือ 0.000011 องศา ซึ่งยังไม่มีเคยมีการวัดปรากฏการณ์นี้ได้มาก่อน

จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บรวบรวมตั้งแต่ 28 ส.ค.2004 ถึง 14 ส.ค.2005 ทีมวิจัยของ ศ.เอเวอร์ริตต์ พบว่าแกนหมุนของไจโรสโคปเลื่อนไปด้วยอัตรา 6,601.818.3 มิลลิฟิลิปดาต่อปี (mas/yr) * จากปรากฏการณ์จิโอเดติก ส่วนการเลื่อนของแกนหมุนจากปรากฏการณ์เฟรมแดรกกิงอยู่ที่ 37.27.2 มิลลิฟิลิปดาต่อปี เปรียบเทียบกับคำทำนายตามทฤษฎีที่ว่าปรากฏการณ์จีโอเดติกจะทำให้แกนหมุน เลื่อนไป 6,606.1 มิลลิฟิลิปดาต่อปี ส่วนผลจากเฟรมแดรกกิงอยู่ที่ 39.2 มิลลิฟิลิปดาต่อปี

ผลการวิเคราะห์ของทีมวิจัย ศ.เอเวอร์ริตต์ครั้งนี้ ตีพิมพ์ลงวารสารวิชาการฟิสิคัลรีวิวเลตเตอร์ส (Physical Review Letters) อันมีชื่อเสียงซึ่งบีบีซีนิวส์ระบุถึงความสำคัญของงานวิจัยนี้ว่า นอกจากย้ำถึงความอัจฉริยะของไอน์สไตน์แล้ว ยังให้เครื่องมือที่มีความละเอียดมากขึ้นเพื่อทำความเข้าใจฟิสิกส์ที่ขับ เคลื่อนจักรวาลด้วย

เตรียมการทดลองยาวนาน 4 ทศวรรษ
กว่าจะได้ส่งยานกราวิตีโพรบบีขึ้นไปพิสูจน์ทฤษฎีไอน์สไตน์ต้องใช้ เวลากว่า 4 ทศวรรษ โดยแนวคิดในการส่งไจโนสโคปขึ้นไปโคจรรอบโลกเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีสัมพัทธภาพนั้น ถูกเสนอขึ้นช่วงปี 1959-1960 โดยนักฟิสิกส์ 2 คนคือ จอร์จ พัฟ (George Pugh) เลโอนาร์ด สชิฟฟ์ (Leonard Schiff) ซึ่งต่อมาชิฟฟ์ได้กลายเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด

ในช่วงแรกโครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างภาควิชาฟิสิกส์และภาควิชา อื่นภายในสแตนฟอร์ด จนกระทั่งปี 1971 การบริหารจัดการโครงการถูกโอนย้ายไปยังศูนย์การบินอวกาศมาร์แชลของนาซา ส่วน ศ.เอเวอร์ริตต์ ผู้วิเคราะห์ผลล่าสุดในการทดลองพิสูจน์ทฤษฎีของไอน์สไตน์ก็มีส่วนร่วมใน โครงการนี้มาตั้งแต่ต้น โดยเขาได้รับเชิญให้ไปทำงานที่สแตนฟอร์ดตั้งแต่ปี 1962 เพื่อร่วมโครงการนี้โดยมีสชิฟฟ์เป็นที่ปรึกษาโครงการ

แม้ว่าแนวคิดของปฏิบัติการนี้จะค่อนข้างเรียบง่าย โดยการทดลองต้องการเพียงดาวอ้างอิงการหมุน กล้องโทรทัศน์และพื้นที่ของการหมุน แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการทดลองนี้ต้องใช้เวลาหลายสิบปีเพื่อพัฒนาไจโร สโคปที่มีความแม่นยำสูง โดยลูกบอลของไจโรสโคปนี้ได้รับการบันทึกว่าเป็นลูกบอลที่กลมที่สุดในโลกที่ มนุษย์เคยสร้างขึ้น และยังต้องเตรียมเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าเพื่อตอบสนองการทดลองที่ “เรียบง่าย” นี้

นักฟิสิกส์ไทยชี้ผลทดลองเป็นไปตามคาด
ในมุมของนักฟิสิกส์ไทย ดร.บุรินทร์ กำจัดภัย จากสถาบันสำนักเรียนท่าโพธิ์ฯ วิทยาลัยเพื่อการค้นคว้าระดับรากฐานแห่งมหาวิทยาลัยนเรศวร เผยกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ว่า เขาไม่แปลกใจกับการทดลองนี้เพราะเชื่อมั่นอยู่แล้วว่าทั้ง 2 ปรากฏการณ์ที่กราวิตีโพรบบีพิสูจน์ไปนั้นน่าจะเป็นจริง แต่ก็พลอยรู้สึกตื่นเต้นยินดีไปด้วยกับผลการทดลองเช่นเดียวกับนักฟิสิกส์ ความโน้มถ่วงคนอื่นๆ ซึ่งก็น่าจะตื่นเต้นกับข้อมูลที่ได้จากปฏิบัติการในครั้งนี้ เพราะ เป็นครั้งแรกที่สามารถตรวจวัดปรากฏการณ์เฟรมแดรกกิงได้ ส่วนการโค้งงอของอวกาศนั้นยานแคสสินี (Cassini) ขององค์การอวกาศยุโรปเคยตรวจวัดได้ก่อนหน้านี้แล้ว

“ผมได้ยินเรื่องกราวิตีโพรบบีครั้งแรกเมื่อราวๆ 10 ปีก่อนครับ ตั้งแต่ครั้งยังเรียนอยู่ที่ต่างประเทศ ได้ยินว่ามีโครงการนี้และกำลังจะเริ่มส่งยานขึ้นไป ตอนนี้เพื่อนๆ นักทดลองและนักสัมพัทธภาพคนอื่นๆ คงจะตื่นเต้นกับข้อมูลนี้เพราะแรงโน้มถ่วงเป็นแรงที่มีขนาดอ่อนมากวัดได้ยาก และการยืนยันทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ข่าวนี้เป็นข่าวใหม่มากครับเพราะรายงานชิ้นนี้เพิ่งตีพิมพ์ในวารสารเมื่อวัน ที่ 1 พ.ค. นี้เอง ส่วนบทความก็เพิ่งจะปรากฏบนฐานข้อมูล arXiv ** เมื่อวันที่ 18 พ.ค.นี้” ดร.บุรินทร์กล่าว

ดร.บุรินทร์คิดว่า โดยประโยชน์ทางอ้อมแล้วการทำการทดลองของกราวิตีโพรบบีนี้ได้สะท้อนให้เห็น อย่างชัดเจนว่าการทดลองทางฟิสิกส์บริสุทธิ์เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีรากฐานนี้ได้ กระตุ้นและเหนี่ยวนำให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการวัด ประดิษฐกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงอื่นๆที่มีความแม่นยำและละเอียดสูง วิทยาศาสตร์ทำให้เกิดเทคโนโลยี และเทคโนโลยีก็ได้ย้อนมาเกื้อหนุนต่อการทดลองทางวิทยาศาสตร์

นักฟิสิกส์ไทยคนเดิมบอกด้วยว่า สิ่งที่ยืนยันความถูกต้องของ ทฤษฎีไอน์สไตน์ครั้งแรกคือปรากฏการณ์ดาวพุธเลื่อนตำแหน่งระหว่างเกิด ปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงที่ เซอร์ อาร์เธอร์ เอดดิงตัน (Sir Arthur Eddington) เป็นผู้สังเกตพบเมื่อปี 1919 ซึ่งเป็นการยืนยันว่าอวกาศโค้งงอเพราะการมีอยู่ของมวลขนาดใหญ่ทำให้แสงเดิน ทางโค้งงอและเห็นตำแน่งดาวพุธเลื่อนไป และการสังเกตการณ์ของเอดดิงตันได้ทำให้ไอน์สไตน์มีโด่งดังขึ้นอย่างมาก

ส่วนความท้าทายต่อไปของนักฟิสิกส์ทดลองขั้นต่อไปก็คือการวัด คลื่นความโน้มถ่วง ซึ่งคลื่นดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อมีการขยับหรือกระเพิ่มของมวลสารขนาดมากๆ ซึ่งจะทำให้เกิดการกระเพื่อมของกาลอวกาศรอบๆ โดยนาซาและองค์การ อวกาศยุโรป (อีซา) มีความร่วมมือกันเพื่อส่งยานอวกาศ 3 ลำในปฏิบัติการลีซา (Laser Interferometer Space Antenna: LISA) ขึ้นไปตรวจวัดคลื่นความโน้มถ่วง

* มิลลิฟิลิปดา (milliarcsecond: mas)
** arXiv: 1105.3456v1 [gr-qc] C. W. F. Everitt et al. สามารถ download ได้ฟรีจาก http://arxiv.org

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ภาพวาดแสดงการทำงานของยานกราวิตีโพรบบีที่ขึ้นไปวัดความโค้งงอของอวกาศ (NASA)

ลูกบอลไจโรสโคปที่กลมที่สุดในโลก (Stanford University/Gravity Probe B)

ลูกบอลไจโรสโคปถูกเก็บไว้ในอุปกรณ์ที่ป้องกันการปนเปื้อนก่อนส่งขึ้นไปวัดความโค้งงอของอวกาศ (Stanford University/Gravity Probe B)

ภาพจำลองการทำงานของยานกราวิตีโพรบบี (NASA/MSFC)

ภาพการส่งยานกราวิตีโพรบบีเมื่อปี 2004 (Stanford University)

ที่มา http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000062665

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

VDSL เทคโนโลยีใหม่ของโมเด็ม

VDSL vdsl เป็นเทคโนโลยีของโมเด็ม ที่ทำให้ผู้ให้บร่การโทรศัพท์สามารถให้บริการที่มีอัตราเร็วในการส่งข้อมูล VDSL ย่อมาจาก Very high bit rate Digital Subsscrider Line เป็นเทคโนโลยีของโมเด็ม ที่ทำให้ผู้ให้บร่การโทรศัพท์สามารถให้บริการที่มีอัตราเร็วในการส่งข้อมูล ได้ใหนระดับหลาย เมกกะบิดต่อวินาทีได้ โดยส่งไปยังผู้ให้บริการผ่านทาง
ข่ายสายทองแดง ไฟเบอร์ออฟติกที่มีอยู่แล้วได้ VDSL จะคล้ายเทคโนโลยี xDSL อื่นๆ ในลักษณะที่จะเพิ่มความสามารถของสายโทรศัพท์ที่เป็นสายทองแดงให้สามารถส่งข้อมูลบอรดแบนและเสียงได้ อย่างไรก็ตาม VDSL จะแตกต่างตรงที่สามารถส่งอัตราบิตข้อมูลสูงกว่ามากได้ โดยสูงกว่าแม้นแต่อัตราเร็วสูงสุดของASDL ที่ทำได้ในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น โมเด็มVDSLในปัจจุบันสามารถส่งอัตราข้อมูลในทิศ Downstream 52 Mb/s Upstream 13Mb/s

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะทางหรือความยาวสายทองแดงและการจัดการConfigulation ของโมเด็มด้วย VDSL ถูกออกแบบให้ใช้ในระยะทางของสายทองแดงสั้นๆ (ได้มากถึง 1.5km) แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นปัญหาอุปสรรคใดๆ VDSL ถูกออกแบบให้ใช้กับบางส่วนของข่ายสายไฮบริดซึ่งประกอบด้วยสายไฟเบอร์ที่เดน จากชุมสายมางตู้ OUN (Optical Network Unit )ที่อยู่รืมถนนหรืออยู่ด้านล่างของอาคาร ซึ่งจะต่อคู่สายทองแดงกระจายไปยังผู้ใช้ปลายทางต่อไง ข่ายสายไฮบริด ซึ่งประกอบด้วยสายไฟเบอร์และทองแดงนี้ ถูกเรียกว่า Fiber To The Curb (FTTC) หรือ Fiber To The Neighbourhood (FTTN) หรือ Fiber To The Besement (FTTB)

จากลักษณะของการนำไฟเบอร์เดินจากชุมสายไปยังจุดที่อยู่ไใกล้ผู้ใช้บริการ มากที่สุด อย่างข่ายสายไฮบริดดังกล่าวนี้ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะมีการนำ VDSL มาใช้กันเพิ่มขึ้น อาคารส่วนใหญ่ในศวรรษที่ 20 นี้ ส่วนใหญ่จะถูกเดินสายทองแดงเพื่อให้บริการโทรศัพท์แก่สำนักงานภายในที่อยู่ ในแต่ละชั้น แม้ทุกวันนี้เทคโนโลยีที่กำลังก้าวหน้าและจะมีการนำไฟเบอร์และสายโคแอกเชีย ลเข้ามาใช้งานกันมากขึ้นก็ตาม

ที่อยู่อาศัยและอาคารสำนักงานทั่วไปก็ยังคงเดินสายมองแดงเพื่อใช้งาน โทรศัพท์อย่างดาดดื่นอยู่เช่นเดิมทั้งนี้เนื่องจากราคาอุปกรณ์และสายเคเบิล ที่ใช้กันอยู่เดิมมีราคาถูกและใช้กันอย่าแพร่หลาย แต่หากเมื่อไรก็ตาม มีความต้องการที่จะใช้บริการอื่นๆ ซึ่งมีความเร็วในการส่งข้อมูลสูง สายทองแดงเดิมก็ะเป็นคอขวดสำหรับการส่ข้อมูลดังกล่าว

ดังนั้นเพื่อที่จะให้ผู้อยู่อาศัยที่อยู่ในอาคารสามารถติดต่อใช้ข้อมูล บอร์ดแบนด์หรือข้อมูลอัตราเร็วสูงได้ ผู้ให้บริการสามารถเลือกที่จะติดตั้งไฟเบอร์ไปยังผู้ใช้โดยตรง แต่จะต้องลงทุนแพงมาก ทางออกที่ดีที่สุดคือเดินไฟเบอร์ไปยังชั้นล่างสุดของอาคาร ซึ่งที่นี่จะติดตั้ง OUN และโมเด็ม VDSL เอาไวเด้สยกัน หากผู้ใช้ต้องการใช้บริการบรอดแบนด์ที่มีอัตราเร็วสูงก็มีเพียงแต่ต่อโมเด็ม VDSL เข้ากับคู่สายทองแดงที่เดินมาจากชั้นล่างของอาคารเท่านั้นเอง การใช้โมเด็ม VDSL สำหรับช้อมูลผ่านสายทองแดง จะช่วยให้สามารถส่งข้อมูลผ่านสายทองแดง จะช่วยให้สามารถให้บริการโทรศัพท์ที่มีความละเอียดสูงได้ บริการ VOD(Video On Demand) ได้หลายๆช่อง การประชุมผ่านจอภาพที่มีคุณภาพสูง การส่งภาพทางการแพทย์ การต่อใช้งานอินเตอร์เนตความเร็วสูงและการใช้งานโทรศัพท์ตามปกติจะส่งผ่าน คู่สายเพียงคู่เดียวเท่านั้น

หากผู้ใช้บริการต้องการใช้งานลักษณะที่อัตราบิตข้อมูลเท่ากัใน2ทิศทางVDSLก็สามารถทำได้ที่อัตราเร็ว13Mb/s เท่ากันใน2ทิศทาง นั้นคือVDSL สามารถถูกConfigulation ให้รับส่งข้อมูลเร็วเท่ากันใน 2ทิศทาง(สมมาตร)หรืออัตราเร็วต่างกัน(อสมมาตร)ก็ได้ การใช้ประโยชน์ VDSL ในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากมีตึกสูงระฟ้ามากมายตามเมืองหลวงต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ ฮ่องกง กรุงเทพ มีทั้งอาคารที่เป็นที่อยู่อาศัยและสำนักงาน ซึ่งดูแล้วเหมาะสมที่จะนำ เทคโนโลยี VDSL เข้ามาใช้งาน

มีผู้ให้บริการบางรายกำลังวางแผนและกำลังทดสอบการใช้งานVDSL ตัวอย่างเช่น ในการติดตั้งระบบ Dec Duck Informative System และปัจจุบันกำลังทดสอบ VDSL ของOrckit อยู่เครือข่ายของเกาหลีนี้จะให้บริการ VOD(Video On Demand) ดิจิตอล CATV และโทรศัพท์ โดยการใช้เครือข่าย ATM ผู้ให้บริการจะใช้ VDSL ที่มีอินเตอร์เฟส aTM เพื่อเชื่อมต่อระหว่าง CANS (Centralised Access Node System) กับผู้ใช้ผ่านสายทองแดงด้วยอัตราบิต 25 Mb/s

โครงการเครือข่ายสื่อสารข้อมูลหลายโครงการในภูมิภาคเอเชียมีแนวโนมที่จะนำเทคโนโลยี VDSL เข้ามาใช้Singapore one ได้ประกาศแล้ว่า จะใช้ ASDL ในการสร้าง Intelligent Island และ ASDL จะถุกนำมาใช้สำหรับการขยายเครือข่ายเมื่อไฟเบอร์ได้ถูกนำมาใช้เข้าไปใกล้ผู้ ใช้ปลายทางมากขึ้น โครงการ Opportunity/Teluk Naga ของอินโดนิเซีย และ Multimediea Super Corridor ของมาเลเซีย มีความคิดที่จะนำ VDSL เข้ามาใช้งานเช่นกัน นอกจากนี้บริการอินเทอเน็ตแอกทีฟมัลติมีเดียของฮ่องกง ซึ่งจะเปิดบริการในปีถัดไป จะเปิดบริการใช้อินเตอร์เนตให้บริการทางการเงิน อีเมล์ไดเร็กทอรี่ บริการชอปปิ้งและวารสารออนไลน์ บริการอบรมทางการศึกษาและบริการข้อมูลด้านอื่นๆ ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ ขณะนี้ยังี โมเด็ม VDSL อยู่น้องมาที่ขายอยู่ในท้องตลาด ซึ่งบอกความจริงที่ว่ายังมีการทดสอบใช้งานVDSL น้อยมากทั่วโลก โมเด็มส่วนใหญ่ในปัจจุบันใช่ชิปของLucent Technology ซึ่งไม่สนับสนุนมาตรฐาน ESTI VDSL performance ที่กำลังพัฒนาขึ้น โมเด็ม VDSL (ที่มอดูเลตแบบ QAM) ของทางOrckit ที่มีชื่อว่าORspreed จะใช้ชิปและชิ้นส่วนประกอบที่ทางOrckitry พัฒนาขึ้นเองง ด้านการตลาด ช่วงกว่า ๅ ปีที่ผ่านมาโมเด็ม OR speed ได้ถูกทดสอบแล้ให้ผลลัพท์เป็นอย่างดี โดยผู้ให้บริการโทรศัพท์หลายๆรายซึ่งประกอบด้วย Deutshe Telekom Tclia และ Bell Canada หลายปริษัทประกอบด้วยOrckit และ Harris Semiconductor กำลังพัฒนาชิป VDSL ซิ่งคาดว่าจะมีให้ใช้ในปี 1998 ประเด็นสำคัญต้องพิจารณา เนื่องจาก VDSL ถูกติดตั้งใช้งานภายในหรือ ชั้นล่างของอาคาร ซึ่งมีการระบายอากาศไทดี จึงสำคัญว่าโทเด็มจะต้องมีการกระจายถ่ายเทความร้อนที่ต่ำและใช้กำลังไฟน้อย ด้วยเหตุนี้โมเด็มแบบQAM (Quadrature Amplitude Modulation ) ย่อมดีกว่าโมเด็มที่ใช้ line-coding แบบ Discrete Multi-Tone (DMT) โมเด็มDTM เหมาะกับ ADSL มากกว่า โมเด็ม VDSL ทที่ใข้ DMT จะต้องการกำลังไฟที่สูงมาก โมเด็มซึ่งต้องการกำลังไฟที่สูงมาก

โมเด็มซึ่งต้องต้องการกำลังไฟสูงหรือมีการกระจายความร้อนที่มากจะต้องใช้ วิธีการที่ยุ่งยากซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายมากเพื่อให้สามารถใช้งาได้ในสภาพ แวดล้อมที่ปิดมิดชิดถ่ายเทไม่สะดวกได้ ด้วยเหตุนี้การมอดูเลตแบบ QAM จึงถูกมองว่าเป็ทางออกที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับVDSL ประเด็นสำคัญอีกอย่าที่ต้องพิจาราณาจากการใช้ VDSL คือ การส่งกระจายคลื่นความถี่วิทยุไปรบกวนระบบอื่น

เนื่องจากข้อมูลมีการส่งข้อมูลที่มีอัตราการส่งด้วยอัตราเร็วสูงสายทอง แดงโทรศัพท์เปรียบได้กับสายอากาศที่แพร่กระจายคลื่นความถีวิทยุไปรบกวนระบบ อื่นที่ใช้คลื่นความถี่เดียวกัน วิธีที่จะแก้ปัญหาก็คือการสร้าง notch ให้เกิดขึ้นในแถบความถี่การส่งของ VDSL ซึ่งจะช่วยป้องกันความถี่เฉพาะนั้นไปแทรกแซงรบกวนคลื่นความถี่เดียวกันที่ อื่น การสร้าง notch นี้จะทำที่ระดับ Hardware ของโมเด็มนอกจากนี้ยังมีการป้องกันคลื่นความถี่อื่นเข้ามาแทรกอีกด้วย ด้วยการใช้ RFI (Radio Frequency Ingress)cancellerเข้ามาช่วย ปัญหาการแทรกแซงนี้จะน้อยลงไปปเมื่อใช่ โทโปโลยีของ FTTB เพราะว่าในส่วนของอาคารส่วนใหญ่

สายทองแดงจะเดินอยู่ในโตรงสร้างของอาคารที่จะช่วยป้องกันการรบกวนจากภาย นอกอยู่แล้ว การกำหนดมาตรฐาน คณะกรรมการมาตรฐานของยุโรป (ETSI) แลของอเมริกา (ANSI T1.413)กำลังดำเนินการพัฒนามาตรฐานของ VDSL อยู่ ปัจจุบันอยู่ในขั้นดำเนินการกำหนดความต้องการสำหรับโมเด็ม VDSL เช่น ระยะทางไกลที่สามารถส่งไก้ อัตราเร็วข้อมูล และสภาพแวดล้อมที่ใช้งาน ขั้นตอนถัดไปก็จะหาข้อกำหนดของ line coding และรายละเอียดทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อให้โมเด็ม VDSL ลามารถบรรจุความต้องการต่างๆ ตามที่กำหนดข้างต้นได้ ผู้ขายโมเด็มส่วนใหญ่จะไม่ค่อยให้มาตรฐานถูกกำหนดเสียก่อน แต่กลับพัฒนาชิปVDSL ขนานไปกับการพัฒนามาตรฐานที่กำลังดำเนินการอยู่เมื่อมาตรฐานเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ขายก็จะปรับโมเด็มให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่ตามมาภายหลัง

ที่มา http://www.thaiinternetwork.com


Ethernet over VDSL เทคโนโลยีล่าสุดสำหรับ การใช้งาน Network ผ่านสายโทรศัพท์




เทคโนโลยีที่จะนำมาแนะ นำในวันนี้ เป็นเทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับการนำไปใช้งานสำหรับอาคารประเภท MxU แต่สำหรับ 'อาคาร MxU' นี้มันคืออะไร ก็ต้องตามอ่านต่อไปเรื่อยๆ นะครับ แล้วเดี๋ยวผมจะบอกให้ฟัง (อ่าน) นะครับ เทคโนโลยีที่จะกล่าวถึงในวันนี้ มีชื่อว่า... เทคโนโลยี Ethernet over VDSL ครับ

MxU Building (MTU & MDU)

ก่อนที่เราจะไปกล่าวถึงเทคโนโลยี Ethernet over VDSL ผมขอกล่าวถึง MxU Building ซึ่งเป็นอาคารที่เหมาะแก่การนำเจ้าเทคโนโลยีนี้ไปใช้กันก่อนนะครับ

MxU Building นั้นเป็นคำย่อ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้...

  1. MTU (Multi-Tenant Units): คืออาคารที่ประกอบไปด้วยสำนักงานหรือองค์กรต่างๆ รวมกันอยู่อย่างหลากหลาย หรือจะเรียกง่ายๆ ก็คืออาคารที่เปิดให้องค์กรต่างๆ เช่าพื้นที่ในการใช้เป็นสำนักงาน อย่างตามอาคารที่เราเห็นขึ้นป้ายว่า “Office for Rent”
    นั่นแหละครับ
  2. MDU (Multi-Dwelling Units): สำหรับอาคารประเภทนี้จะเป็นประเภทอาคารบ้านพักที่ไม่ใช่สำนักงาน ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น... พวกหอพัก, คอนโดมิเนียม, โรงแรม หรือแม้กระทั่งรีสอร์ทและบ้านพักตากอากาศต่างๆ ก็จัดอยู่ในประเภท MDU เหมือนกัน

จะเห็นได้ว่าอาคารประเภท MxU นั้นเป็นอาคารประเภทที่มีอยู่แพร่หลายมากมาย ฉะนั้นการแข่งขันในตลาดนี้จึงมีอยู่อย่างสูง สิ่งที่จะนำมาเป็นข้อได้เปรียบและทำให้ MxU Building ใดๆ เหนือกว่าอาคารของคู่แข่ง และดึงดูดลูกค้าหรือองค์กรให้เข้ามาใช้บริการ นอกจากจะเป็นเรื่องของสถานที่ตั้ง, ราคา, สิ่งแวดล้อม, สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งถือว่าแต่ละที่ค่อนข้างมีใกล้เคียงกันอยู่แล้ว การมีบริการเสริม หรือ Value Added Service ที่อาคาร MxU อื่นๆ ไม่มี ก็ถือว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ช่วยให้การตัดสินใจของลูกค้าง่ายขึ้นได้อีกด้วย โดยเฉพาะในปัจจุบันที่การใช้งานระบบเครือข่าย Internet ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงมีการนำเอาระบบ Internet เข้ามาประยุกต์เป็นบริการเสริมในการใช้งานสำหรับอาคาร MxU โดยเฉพาะอาคารประเภท MDU ซึ่งยังเป็นการยกระดับอาคารของเราให้เหนือกว่าของคนอื่น

จากการสำรวจของสำนักงาน Asia Industry Market Labs. เกี่ยวกับเรื่องการนำระบบ Internet มาประยุกต์ใช้งานสำหรับอาคารประเภท MxU ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม, คอนโดมิเนียม, อพาร์ทเมนท์ รวมถึงรีสอร์ทต่างๆ มากกว่า 5,000 แห่งในภูมิภาคเอเชีย พบว่าเกือบครึ่งได้มีการนำระบบ Internet มาประยุกต์ใช้เพื่อเป็นบริการเสริม ให้กับลูกค้าเรียบร้อยแล้ว และที่น่าสนใจก็คือ ไม่มีอาคารแห่งใดเลยในการสำรวจ ที่ไม่สนใจจะนำระบบ Internet มาประยุกต์เพื่อบริการลูกค้าของตน

ทำไมต้องเป็นเทคโนโลยี VDSL ?

จากที่ได้กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าการนำระบบ Internet เข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อเป็นบริการเสริม ให้กับลูกค้าสำหรับอาคารประเภท MxU นั้นจะเริ่มมีการแพร่หลายกันมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มีเทคโนโลยีต่างๆ มากมายที่เข้ามารองรับกับการใช้งานตรงนี้ แต่สำหรับผมนั้น จะขอกล่าวถึงการนำเทคโนโลยี VDSL (Very high bit rate Digital Subscriber Line) เข้ามาใช้งานเพื่อรองรับการเพิ่มระบบ Internet สำหรับอาคาร MxU

สาเหตุที่ผมเลือกนำเทคโนโลยี VDSL มาแนะนำก็เพราะว่า VDSL เป็นเทคโนโลยีที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถรองรับการใช้งานระบบ Internet ได้ในความเร็วสูง ได้ระยะทางที่ไกล และที่สำคัญ เทคโนโลยี VDSL นั้นสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานกับสายโทรศัพท์ธรรมดา ซึ่งจุดนี้ถือเป็นจุดเด่นของเทคโนโลยี VDSL เลยก็ว่าได้ เนื่องจากจะเห็นได้ว่าอาคารประเภท MxU ทุกแห่งนั้นจะต้องมีการเดินสายโทรศัพท์ภายในอาคารไปตามห้องพักต่างๆ อยู่แล้ว ฉะนั้นเมื่อเราต้องการเพิ่มเติมระบบ Internet ให้กับห้องพักต่างๆ ในอาคารแล้ว ด้วยเทคโนโลยี VDSL เราไม่จำเป็นต้องทำการเดินสายเคเบิล UTP หรือสาย Fiber เพิ่มเติมเลย เพราะว่าเราสามารถนำเทคโนโลยี VDSL เข้ามาใช้งานร่วมกับระบบสายโทรศัพท์เดิมได้เลย ซึ่งจะทำให้เราสามารถให้บริการระบบ Internet ไปยังห้องต่างๆ ภายในอาคารโดยอาศัยสายโทรศัพท์เป็นตัวรับ-ส่งข้อมูล พร้อมกันนั้นเรายังสามารถใช้งานระบบโทรศัพท์ได้เหมือนเดิมอีกด้วย

ซึ่งสำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ VDSL นั้น จะเป็นการติดตั้งในลักษณะ จุด-ต่อ-จุด หรือ Point-to-Point โดยที่อุปกรณ์ฝั่งหนึ่งจะเป็นอุปกรณ์ด้าน Provider สำหรับต่อเข้ากับแผง MDF เดิมของระบบโทรศัพท์ ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเป็นอุปกรณ์ด้าน Subscriber ซึ่งจะติดตั้งอยู่ตามห้องพักต่างๆ ของอาคารตามรูปการเชื่อมต่อ ซึ่งหลังจากติดตั้งอุปกรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะทำให้ตามห้องพักต่างๆ สามารถใช้งานระบบ Internet ความเร็วสูงได้ และยังสามารถใช้ระบบโทรศัพท์ภายในตามห้องพัก หรือตามเบอร์ Extension ต่างๆ ได้ตามปกติอีกด้วย

ข้อดีของระบบ Ethernet over VDSL

  • รองรับการใช้งานระบบ Internet ความเร็วสูง โดยสามารถรองรับความเร็วได้สูงสุดถึง 10 Mbps Full-Duplex Ethernet
  • รองรับระยะทางในการใช้งานได้สูงสุดถึง 1.2 กิโลเมตร
  • สามารถใช้งานได้กับสายโทรศัพท์ตั้งแต่ Category 1, 2, 3 หรือ 5 ทำให้ไม่จำเป็นต้องเดินสายเคเบิล UTP หรือ Fiber ใหม่เลย
  • สัญญาณรบกวนต่างๆ (Noise) มีผลกับการใช้งานน้อยมาก
  • มีความสามารถในการทำ Traffic Shaping ทั้งการรับ-ส่งข้อมูลแบบ Upstream และ Downstream
  • ติดตั้งและใช้งานได้โดยง่าย
  • สามารถใช้ระบบ Internet ความเร็วสูงได้โดยไม่มีผลกระทบกับระบบโทรศัพท์เดิม

เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับเทคโนโลยี Ethernet over VDSL มีประโยชน์อย่างมากมายเลยใช่ไหมครับ ทั้งความยืดหยุ่นในการใช้งาน, ความสะดวกสบายในการติดตั้งอุปกรลิงก์ณ์ รวมถึงเรื่องของคุณภาพของการทำงาน และราคาก็สมเหตุสมผล สำหรับท่านใดที่เป็นเจ้าของอาคารประเภท MxU และกำลังมองหาบริการเสริมเพื่อยกระดับอาคาร ของท่านให้เหนือกว่าอาคารอื่นๆ แล้วล่ะก็ ผมขอแนะนำเทคโนโลยี Ethernet over VDSL นี้เลยนะครับ รับรองว่าคุ้มค่าครับ


ที่มา http://www.pcw-s.com/show_column.php?id=8

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เตือน 10 เมนูเด็ด เสี่ยงโรค เบอร์เกอร์-พิซซ่า…อันตราย!!!


” อาหาร “!!! ถือเป็นหนึ่งใน ” ปัจจัย 4 ” ที่มีความสำคัญต่อมนุษย์ ซึ่งตามหลักทั่วไปอาหารที่รับประทานเข้าสู่ร่างกายต้องคุณภาพดี มีสารอาหารครบถ้วนและเพียงพอตามที่ร่างกายต้องการ…..ที่สำคัญคือต้องสะอาด และปราศจาก ” สารพิษ ” เจือปน อันจะก่อให้เกิดภัยอันตรายแก่สุขภาพ

อย่างไรก็ดีดูเหมือนว่าการเลือกรับประทานอาหารในแต่ละ ” เมนู ” ของมนุษย์ จำเป็นต้องคัดสรรมากขึ้น เพราะปัจจุบันมี ” อาหารอันตราย ” ไม่ปลอดภัยต่อร่างกายอยู่เป็นจำนวนมาก โดยจากข้อ มูลของ ” Team Content ” สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) พบว่า มี ” เมนูโปรด ” ของใครหลายคน ถูกจัดเป็น ” อาหารอันตราย ” อย่างน้อยๆ 10 ชนิด ได้แก่…..
1. แฮมเบอร์เกอร์
จัดเป็นอาหารประเภทที่ “มีความเสี่ยงสูง” เพราะเวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำ “เนื้อ” มาใช้ปรุงทำให้มี ” แบคทีเรีย ” เกิดขึ้นได้สูง ทำให้จำเป็นต้องมีการใช้ ” สารเคมีสีแดง ” มาช่วยกำจัดเนื้อที่กำลังจะเน่าเสีย ทำให้เนื้อแดงเปลี่ยนเป็นเขียว นอกจากนี้ แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่ ” สารปรุงรส “( MSG = Monosodium Glutamate ) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ โดย ” MSG ” เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ผู้บริโภคอ้วนขึ้นด้วย
2. ฮอทด็อก
เป็นอีก ” เมนูอันตราย ” เพราะมีกระบวนการผลิตคล้าย แฮมเบอร์เกอร์ และ ” ฮอทด็อก ” ทั้ง หมดยังใส่ ” สารไนไตรท์ ” เพื่อช่วยทำให้เนื้อยึดตัวและช่วยเติมไส้กรอกให้เต็ม โดย ” สารไนไตรท์ ” เป็นสารที่ทำให้เกิด ” โรคมะเร็ง ” ในกระเพาะอาหาร มะเร็งในเม็ดเลือด เนื้องอกในสมองและ มะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ ” ถุงหลอด ” ที่ใช้บรรจุ ฮอทด็อก ก็ทำจาก ” คอลลาเจนสังเคราะห์ ” ที่เป็นสารก่อให้เกิด ” โรคมะเร็ง ” ได้สูง มีไขมันที่เป็นสารประกอบไม่เปิดเผยอยู่ประมาณ 40% เมื่อนำ ไปปิ้งย่าง มันจะทำให้มี ” สารพิษร้ายแรง ” ที่เรียกว่า ” อะคริลิไมด์ “(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่าเป็น สารก่อมะเร็งและ ” ทำลายประสาท ”
3. เฟร้นช์ฟราย- มันฝรั่งทอด
เป็นอาหารที่มี ” ความเป็นพิษสูง ” โดยการทอด ” เฟร้นช์ฟราย ” ใช้อุณหภูมิสูงทำให้มี ” สารอะคริลิไมด์ ” ออกมา นอกจากนี้ ” น้ำมัน ” ที่ใช้ในการทอดมันฝรั่งแต่ละครั้งจะเกิดการ ” ออกซิไดซ์ ” ในมันฝรั่งยังมี ” ดรรชนีกลีซิมิค “(Glycemic) อยู่สูงมาก…..นั่นหมายถึงมันเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกายได้เร็ว มาก
4. คุกกี้
ที่เด่นชัดมาก คือ สัดส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว ซึ่งอาหารในประเภทที่มีน้ำ ตาลปริมาณสูงเช่นนี้ จะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น
5. พิซซ่า
” พิซซ่า ” ประกอบด้วยอาหารที่มาจากการ “ตัดแต่งพันธุกรรม” 5 ชนิด คือ…..1.” เนยแท้ “( cheese ) เพียง 10% เท่านั้น ซึ่งไม่ควรเรียกว่าเนยแท้ได้เลย…..2.”แป้ง” ที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโม เลกุลที่เคยมีอยู่เข้าไปใหม่…..3.”ซอสมะเขือเทศ” ทำด้วยสารคล้ายมะเขือเทศที่สร้าง “ยาฆ่าแมลง” ของมันขึ้นมาได้เองในร่างกายของท่าน…..4.”แป้งสาลี” ชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุกรรม
5.มี ” น้ำมันฝ้าย ” ประกอบอยู่ โดย ฝ้าย ไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้ในฝ้ายเมล็ดจะเป็นตัวดูดเอาสาร พิษต่างๆเอาไว้ได้มากที่สุด ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงสาธารณะสุข ต่างไม่ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกันที่จะรับรองว่ามันปลอดภัยต่อการบริโภค ได้หรือไม่ มันไม่ได้ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น แต่มันเป็น ” น้ำมันไฮโดรจีเนต ” และมีอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ “ผิวหน้าแป้ง พิซซ่า” ที่อบปิ้งในอุณหภูมิสูง อาจมี ” สารอะคริลิไมด์ ” เกิดขึ้นด้วย ขณะที่การเพิ่มหน้าพิซซ่า ” เพ็พเปอโรนิ ” หรือเพิ่มหน้าไส้กรอกทำให้มีความเสี่ยงสูงจาก ” ไนไตรท์ ” สารกันบูด และสารเคมีอื่นๆ รวมทั้ง ไขมันอิ่มตัว ที่มีการเติมเข้าไปจากโรงงาน
6. น้ำอัดลม
สารตัวสำคัญที่มีอยู่ใน ” น้ำอัดลม ” คือ ” กรดกำมะถัน “( Phosphoric acid ) ซึ่งมีความเป็นกรดสูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน กรดที่สะสมอยู่ในร่างกายทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ และ ” น้ำโซดา ” ที่เป็นส่วนประกอบอีกตัวของน้ำอัดลมจะเป็นตัวชะล้างแคลเซียม ออกจาก กระดูก จนทำให้เกิด ” โรคกระดูกพรุน ”
นอกจากนี้ใน น้ำอัดลม 1 กระป๋อง จะมี “น้ำตาลที่ไม่ให้พลังงาน” อยู่ 12 ช้อนชา ใน น้ำอัดลม ที่ช่วยลดน้ำหนักตัว หรือ Diet soda ที่ใช้ ” น้ำตาลเทียมสังเคราะห์ “( Artificial sweetener ) เพิ่มความหวาน จะทำให้ร่างกายกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เพราะน้ำตาลสังเคราะห์เหล่านี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาลธรรมดามาก ขณะที่ “สี” ที่ใช้เติมในน้ำอัดลม ยังเป็น ” สารก่อมะเร็ง ” ด้วย
7. ชิ้นไก่ทอด-เนื้อนุ่มไร้กระดูก
เป็นเมนูที่ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว การรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไปจะให้พลัง งาน 340 แคลอรี่ 50% เป็นไขมัน มีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง มีการเติมสารปรุงรส “MSG” ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ นอกจากนี้ ” นัคเก็ตชิคเก้น ” บางอันจะมี ” สารอะลูมิเนียม ” ซึ่งเป็นอันตรายต่อสมองและเป็นอันตรายต่อการเมตะโบลิสซึมของร่างกายด้วย
8. ไอศกรีม
มีไขมันอยู่สูงมากเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีคาร์โบไฮเดรตอยู่มากเกือบ 40% ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีน้ำตาลอยู่มากทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น เต็มไปด้วยไขมันไฮโดรจีเน็ตและไขมันที่แปรเปลี่ยน(Transfat) ไปจากธรรมชาติและยังช่วยเพิ่มพูน โคเลสเตอรอล ทำให้เส้นเลือดแดงใหญ่อุดตัน ทำให้มี สารอนุมูลอิสระ ในร่างกายเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็ง
9. โดนัท
โดยเฉลี่ยแล้วจะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่ ใน โดนัท 1 ชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ นอกจากนี้โดนัทยังทอดในน้ำมันที่มีอุณหภูมิสูง ซึ่งน้ำมันประเภทนี้จะทำให้มีกลิ่นหืนและมี สารอนุมูลอิสระ เกิดขึ้น ทำให้เกิดสารพิษและทำให้ร่างกาย เมตะโบลิสซึม ช้าลง เป็นการคุกคามต่อสุขภาพที่ดี และยังเป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น

10. อาหารขบเคี้ยวยามว่าง
ในปัจจุบันมีการบริโภค ” โปเตโต้ชิพ ” กันมาก โดยน้ำมันที่ใช้ในการทอด โปเตโต้ชิพ ในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดซ์ และทอดกันที่อุณหภูมิสูงทำให้มี สารอะคริลิไมด์ ( Acrylimides ) ซึ่งเป็น สารก่อโรคมะเร็ง และ ทำลายประสาท ออกมา นอกจากนี้การรับประทาน โปเตโต้ชิพ 1 ถุงอาจได้รับ สารอะคริลิไมด์สูง มากกว่า 500 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราสูงสุดที่อนุญาตให้มีในน้ำดื่มทั่วไปได้การรับ ประทาน โปเตโต้ชิพ 1 ชิ้น อาจได้รับ สารอะคริลิไมด์ เท่ากับอัตราที่มีอยู่ในน้ำดื่ม 1 แก้ว

นอกจากนี้ใน ” โปเตโต้ชิพ ” ยังมี ไขมันอิ่มตัว แอบแฝงอยู่มาก มี เกลือโซเดียม อยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดแคลนน้ำได้ และยังไปปิดกั้นการดูดซึมของไขมัน ทำให้การดูดซึมแร่ธาตุจากสารอาหาร ที่รับประทานเข้าไปได้น้อยลง ทำให้ปิดกั้นการดูดซึม ” สารคาโรทินอยด์ ” และสารเคมีอื่นๆที่ได้มาจากพืชที่ช่วยในการป้องกันการเกิด โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคจุดด่างของผิวหนังทำงานได้ด้อยลง
รู้โทษของอาหารเหล่านี้แล้ว ควรจะหลีกเลี่ยงแล้วหันไปรับทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อสุขภาพดีกว่า!!!

หนังสือ พิมพ์แนวหน้า

ที่มา http://health.deedeejang.com/news/317.html

บิททอร์เรนต์’ กระแสโหลดฟรี






ใครๆ ก็อยากเห็นโลกใบนี้ สงบสุขและเต็มไปด้วยความเอื้ออารีระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่เมื่อมีคนนำเอาความเอื้ออารีมาใช้ในทางที่ผิด จนโปรแกรมแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กันเองในโลกออนไลน์หรือ ที่เรียกกันว่า 'บิททอร์เรนต์' (BitTorrent เป็นโพรโทคอลรูปแบบ peer-to-peer ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยกันโดยตรง ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยมีต้นกำเนิดมาจากความคิดของ แบรม โคเฮน ที่ต้องการให้การส่งผ่านข้อมูลสามารถอำนวยประโยชน์ได้ทั้งขาเข้าและขาออก ซึ่งเขาเริ่มพัฒนามันขึ้นมาตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2544)

บิททอร์เรนต์ ถูกนำมาใช้ในทางที่ไม่ค่อยสร้างสรรค์เท่าไหร่นัก ด้วยการจับไฟล์หนัง ไฟล์เพลง ไฟล์เกม และไฟล์ลิขสิทธิ์ทุกสิ่งทุกอย่างอันพึงหาได้ไปไว้ในบิททอร์เรนต์ ให้โหลดกันอย่างสนุกมือ อาการปวดเศียรเวียนเกล้าจึงเกิดขึ้นกับบรรดาค่ายหนัง ค่ายเพลงน้อยใหญ่ ที่ใจหนึ่งอาจจะยินดีเมื่อได้รับความนิยม แต่อีกใจหนึ่งคงคิดว่าแย่แล้วเรา จนปรับกระบวนทัพตามแทบไม่ทัน

มาถึงตอนนี้แล้ว คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธความแรง ชนิดที่ไม่มีใครหน้าไหนเอาอยู่ทั้งนั้นของ บิททอร์เรนต์

จนปีนี้ยอดการดาวน์โหลดที่ได้รับการรวบรวมมาจากเว็บไซต์ทอร์เรนท์ฟรีค เขาบอกว่าแค่หนังเรื่องอวตาร (Avatar) เพียงเรื่องเดียวก็พุ่งทะลุ 16.6 ล้านครั้งไปอย่างสวยงามแล้ว ตามมาติดๆ ด้วยเรื่อง ‘คิก แอส’ (Kick Ass) คิกแอส หนังที่ยอดเข้าชมในโรงหนังดูจะน้อยเมื่อเทียบกับการครองแชมป์อันดับสองที่ 11.4 ล้านครั้ง ส่วนอันดับ 3 คือหนังความฝันซ้อนความฝันหลายชั้นอย่าง ‘อินเซปชัน’ (Inception) ที่คนโหลดกันกระหน่ำ 9.7 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 6 ล้านกว่าครั้ง เมื่อเทียบกับอันดับหนึ่งคือเรื่อง ‘สตาร์ เทรค’ (Star Trek) 10.9 ล้านครั้ง

หรือความแรงนี้จะไม่มีใครหยุดยั้งได้ หรือกระแสของบิททอร์เรนต์จะซัดวงการหนัง เพลง เกมส์ จนล่มจมกันไปข้างหนึ่ง

แหกทุกกฎที่เคยมีมา

ความนิยมดาวน์โหลดแบบบิททอร์เรนต์ หรือถ้าภาษาฮาร์ดคอร์หน่อยเรียกว่า 'สูบ' เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อ แบรม โคเอน หนุ่มอเมริกันเสรีชน เป็นผู้คิดค้นเทคนิคขั้นเทพนี้ขึ้นมาได้ในปี 2544 แล้วก็แพร่กระจายออกไปยิ่งกว่าโรคระบาด เนื่องจากความง่ายดาย กดเพียงแค่คลิกเดียว ไฟล์อะไรก็ตามที่ต้องประสงค์ก็ตกอยู่ในอุ้งมือของคนคลิก

ที่น่าสนใจของการดาวน์โหลดประเภทนี้คือ คนที่โหลดจะต้องมีใจเมตตากรุณากันอยู่สักหน่อย เพราะไม่ใช่แค่ว่าโหลดเสร็จแล้วจะปล่อยให้คนอื่นต้องรอเหงือกแห้งเฉาตาย งานนี้ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจกันพอสมควร เพื่อที่จะปล่อยต่อๆ กันไป เกิดเป็นสังคมคนปล่อยและคนรับ โดยสามารถดึงไฟล์ที่ต้องการออกจากเครื่องของคนปล่อย บางทีก็มีคอมเมนต์ขอบอกขอบใจ ไปถึงขั้นว่ากล่าวหาว่าไฟล์ไร้คุณภาพก็มี (ทั้งๆ ที่โหลดฟรีก็ยังขอวิจารณ์)

แล้วบรรดาไฟล์ทั้งหลายที่ใคร่กระหายอยากจะโหลดกันจนตัวสั่นนั้น ไม่ได้มีแค่เพียงไฟล์หนัง ไฟล์เพลง ไฟล์เกมเท่านั้น แต่ยังมีไฟล์หนังเรต 20+++ รวมอยู่ด้วย เมื่อสุดทางขนาดนี้แล้ว ก็ต้องมีไฟล์ธรรมะกับเขาอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน เรียกว่ารองรับคนทุกกลุ่ม ทุกรูปแบบอย่างแท้จริง

โหลดฟรีย่อมดีกว่าซื้อแผ่นผี

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนทุกเพศทุกวัยที่บ้านมีอินเทอร์เน็ตเลือกใช้บริการบิททอร์เรนต์คงจะหนีไม่พ้นเรื่อง 'ของฟรี' อย่างแน่นอน

อลงกรณ์ คล้ายสีแก้ว บรรณาธิการนิตยสาร Filmax นิตยสารหนังรายเดือน บอกว่า กลุ่มหลักๆ ที่โหลดหนังมักจะเป็นพวกเวลาว่างเยอะมาก นั่งหน้าคอมพ์ ไม่รู้จะทำอะไร เลยโหลดหนังมาดูแก้เบื่อ

“เราสามารถแบ่งคนชอบดูหนังออกได้เป็น 2 กลุ่มง่ายๆ คือ กลุ่มที่อยากดูก่อนไม่ว่าหนังจะมีภาพไม่สมบูรณ์ เสียงจะหาย แย่ขนาดไหนก็จะขอให้ได้ดูก่อน กับอีกกลุ่มคือ ขอภาพคมๆ เสียงเนี้ยบๆ เพื่ออรรถรสในการชมอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งกลุ่มแรกก็จะเป็นคนที่โหลดนี่แหละ

“แล้วคนกลุ่มนี้ก็จะเป็นกลุ่มเดียวกับคนที่ซื้อแผ่นผีมาดู อยากดูหนังชนโรงฯ มันจะไปแชร์ตลาดกับพวกหนังแผ่นผีมากกว่า ยังไงก็ไม่ดูโรงฯ หรือซื้อแผ่นหนังลิขสิทธิ์อยู่แล้ว”

นั่นทำให้เรื่องของบิททอร์เรนต์ในบ้านเราไม่ค่อยจะตื่นตัวกันมากเท่าไหร่ มีก็มีไป เพราะแผ่นผีก็วางขายท้าทายสายตาประชาชีอยู่ในตลาดนัดทุกแห่ง แต่ในฝั่งของเมืองนอกที่มีการกวาดล้างแผ่นผีอย่างจริงจังเต็มรูปแบบ การเข้ามาของบิททอร์เรนต์จึงเป็นอะไรที่ยิ่งกว่าฝันร้ายตอนกลางวันแสกๆ

บรรณาธิการนิตยสารหนังอธิบายเรื่องนี้ว่า

“ตอนที่ค่ายหนังเขากังวลกันสุดๆ คือตอนที่หนังเรื่อง ‘วูฟเวอรีน’ (Wolverine) ถูกปล่อยออกมาทั้งๆ ที่ยังทำเอฟเฟกต์ไม่เสร็จ นั่นทำให้เขาวิตกกันมาก เพราะถ้ามันปล่อยออกมาหลังจากหนังฉายแล้วก็ว่าไปอย่าง แต่นี่หนังยังไม่ทันได้เข้าโรงฯ ฉายเลย แต่ในอินเทอร์เน็ตกลับมาปล่อยแล้ว เขาเลยจัดการแบนเว็บไซต์ปล่อยบิทฯ เท่าที่จะทำได้ แต่ก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทันหรอก”

โหลดควบดูโรงฯ

ในฟากของขาโหลดบิททอร์เรนต์อย่าง ชีวรัตน์ (ขอสงวนนามสกุล) พนักงานบริษัทวัย 28 ปี กล่าวว่า สาเหตุหลักๆ เลยที่ตนรู้คือ เรื่องของฟรีมีอยู่จริง แต่เธอก็ยังชอบดูหนังในโรงหนังมากกว่าอยู่ดี

“ใครก็ชอบของฟรีทั้งนั้นแหละค่ะ อย่างเราเองก็เลือกโหลดเฉพาะเรื่องที่ไม่ได้อยากดูมาก สามารถรอได้ หรือบางทีก็มีบ้างที่พลาดไม่ได้ไปดูในโรงหนัง เพราะจัดเวลากับเพื่อนไม่ลงตัว แล้วก็พวกหนังนอกสายตาที่เราดูหน้าหนังแล้วไม่รู้ว่าสนุก แต่พอโหลดมาแล้วก็สนุกดี แต่ถ้าหนังที่อยากดูจริงๆ ต้องไปดูในโรงหนังเท่านั้น ดูในโรงฯ มันได้บรรยากาศคนละแบบกับดูที่บ้านนะ อย่างดูหนังตลกในโรงฯ มันก็ขำกว่าดูคนเดียวที่บ้าน

“เราไม่ถึงขั้นไปขอให้คนอื่นมาอัปให้หน่อย อยากดูเรื่องนี้มากใจจะขาด อย่างนี้ไม่ทำนะ แต่มันก็มีคนแบบนั้นอยู่ อย่างคนรู้จักที่บริษัทโหลดบิทฯ ก็เพราะไม่อยากเสียเงินไปดูในโรงฯ ซึ่งเราก็คิดว่าคนแบบหลังน่าจะเยอะกว่าแบบเรานะ (หัวเราะ) เพราะหลายๆ เรื่องเข้าไปดูพวกคอมเมนต์ ก็มีมาบอกว่า รอมานานแล้ว ขอบคุณที่ปล่อยนะ อยากดูมากๆ เลย ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ไปดูในโรงฯ ล่ะ”

นอกจากนี้ยังมีกรณีอีกแบบ คือ บิททอร์เรนต์กลายเป็น 'ห้องทดลอง' สำหรับคนชอบดูหนัง ที่ไม่รู้จะไปซื้อแผ่นจากไหน เพราะดันไม่ได้เข้าฉายในบ้านเรา หรือไม่หนังก็เก่าจนไม่มีใครยอมเอามาวางขาย

รัชฏ์ภูมิ (ขอสงวนนามสกุล) เป็นคนหนึ่งที่ถ้าไม่โหลดหนังแล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับอาชีพการงานของตัว เองได้ แต่เขายังกล่าวเพิ่มว่ายังไงมันก็ไม่สามารถเอามาอ้างว่า สิ่งที่ตัวเองทำเป็นเรื่องที่ถูกต้องได้อยู่ดี

“ผมทำงานอยู่ในวงการหนัง แล้วต้องทำรีเสิร์ช หนังที่เลือกโหลดก็เป็นหนังที่หาซื้อไม่ได้ เพราะบางทีมันก็เก่าไป หรือไม่มีขายในไทย แล้วเราต้องหาหนังมาดูให้เยอะๆ จะให้ซื้อเองก็คงไม่ไหว รายได้ไม่สมดุลกับรายจ่ายเลย (หัวเราะ)”

แต่ถ้าหนังที่เข้าโรงฯ ในไทย เขาก็เลือกที่จะอุดหนุนอยู่แล้ว ยกเว้นแต่ว่าหนังจะโดนตัดหรือเซ็นเซอร์ อย่างหลังก็ต้องไปหาดูในอินเทอร์เน็ตอยู่ดี

ความพยายามเฮือกล่าสุด

หากจะต้องต่อสู้กับบิททอร์เรนต์ที่มีดีเพราะฟรีแล้ว ค่ายหนังทั้งหลายจึงต้องพยายามสร้างความแตกต่างระหว่างดูอยู่ที่บ้านกับดูใน โรงหนังให้ได้มากที่สุด เช่น การเข้ามาของ '3 มิติ' และ 'แผ่นบลูเรย์'

อลงกรณ์ ออกความเห็นเรื่องนี้ว่า

“ทำยังไงให้คนกลับมาดูอีก ก็ต้องชวนมาดูในโรงฯ เท่านั้น แม้ ‘อวตาร’ จะถูกโหลดมากที่สุด แต่ในทางกลับกันมันก็เป็นหนังที่ทำรายได้มากที่สุดในตอนนี้ ดีวีดีก็ยังขายดีมาก ทั้งๆ ที่คนก็ไปดูในโรงฯ กันมากมายแล้ว ส่วนโฮม เอนเตอร์เทนเมนต์ ก็ใช้วิธีออกแผ่นบลูเรย์ มันก็ไรต์ยากหน่อย แต่ว่าเดี๋ยวเทคโนโลยีมันก็ตามทันในที่สุด ซึ่งคนในวงการเขาก็ต้องพยายามดิ้นหนีกันให้ทัน”

ปิดท้ายด้วยความเห็นของคนที่ยังนิยมซื้อแผ่นแท้อยู่อย่าง ภัทรพงศ์ ศรศรี พนักงานบริษัทวัย 24 ปี เขาบอกว่า ถึงยังไงแผ่นแท้มันก็มีคุณค่าทางจิตใจมากกว่าโหลดจากบิททอร์เรนต์อยู่แล้ว

“เขาก็อุตส่าห์พยายามผลิตออกมาให้เราใช้ กว่ามันจะคิดออกมาได้แต่ละอย่าง ผมอยากเป็นกำลังใจให้เขาผลิตงานดีๆ ออกมาให้เราดู ให้เราใช้กัน แต่บางคนโหลดแบบจัดยาวสิบเรื่องรวด โหลดมาทิ้งๆ ไว้ในเครื่อง เสร็จแล้วก็ไม่ได้ดู ของที่มันได้มาฟรีๆ คุณค่ามันก็ลดลงไป เขาไม่ได้มีแรงจูงใจในการดูเท่ากับเราที่ไปซื้อมานะครับ”

ที่มา
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK ผู้จัดการรายวัน
ภาพ : ทีมภาพ CLICK ผู้จัดการรายวัน

http://www.artgazine.com/shoutouts/viewtopic.php?t=10911&sid=a385f56101370f18cbd23384a56837fa

กรณีศึกษา TMB-KTC : Brand Action




ถ้ากำลังอยากได้แรงกระตุ้นต่อสู้อุปสรรคในชีวิตหลายคนคงชอบโฆษณาของ ”ทีเอ็มบี” ในชุด Make THE Difference ไม่ยั้ง ส่วนบางคนที่กำลังอยากได้เพื่อนก็คงถูกใจ ”เคทีซี” ไม่น้อย ที่การรีเฟรชแบรนด์มีคำชักชวนจากเคทีซีว่า ”ไม่รู้จักกันแต่สามารถสิ่งดี ๆ ร่วมกัน” ทีเอ็มบีและเคทีซีเป็น 2 แคมเปญที่ยืนยันให้เห็นว่าสถาบันการเงินจะคุยแค่เรื่องดอกเบี้ย สินเชื่ออย่างเดียวท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดนั้นไม่พอ แต่ต้องสร้างให้แบรนด์มีชีวิตชีวา ด้วยการสื่อสารให้เข้าถึงตัวตน และความรู้สึกของกลุ่มเป้าหมาย เมื่อโดนใจแบรนด์ก็ถูกพูดถึง จากนั้นจึงมีแรงพอที่จะไปให้ถึงเป้าหมายธุรกิจที่วางไว้

กรณีศึกษาสำหรับทีเอ็มบี ธนาคารอันดับ 6 ที่เป็น Underdog นอกจากหวังพลังของแบรนด์ในการรักษาฐานลูกค้าเก่า และดึงลูกค้าใหม่แล้ว ยังหวังว่าความเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการได้ใจพนักงานหลังผ่านความเปลี่ยนแปลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ทีเอ็มบีปัดกวาดภายในองค์กรแบงก์ใหญ่ต่างทำตลาดกวาดลูกค้าไปเกือบ ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะแบงก์สีเขียวอย่างกสิกรไทยที่สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ได้แรงด้วยแคมเปญ ”ฝากให้เราช่วยดูแล” และแบงก์สีม่วง ไทยพาณิชย์กระหน่ำขายของจนได้ยอดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และยังมีแบงก์เล็กในระดับเดียวกันสร้างแบรนด์ไม่ยั้ง ไม่ว่าจะเป็นธนชาต ที่กำลังรวมกับธนาคารนครหลวงไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีที่แข็งแรงด้วยทุนจากมาเลเซีย

ส่วนเคทีซี บริษัทผู้ให้บริการบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล หลังจากแบรนด์นิ่งมานาน ก็ถึงเวลาต้องเติมชีวิตชีวาให้แบรนด์ เพื่อขยายไปสู่ตลาดบน ที่เป็นครีมของตลาดบัตรเครดิต หลังจากเล่นในตลาดล่างมานาน จนเกือบตามคู่แข่งไม่ทัน

ทั้งสองแบรนด์กำลังเริ่มแอคชั่นเพื่อไปสู่การแข่งขันที่แข็งแรงขึ้น ในสนามที่ใหญ่ขึ้น ด้วยปฏิบัติการที่เริ่มต้นด้วย Brand Action

เรื่องที่ 1
“Make THE Difference” สร้างแบรนด์ให้ต่างต้องเริ่มที่คน


”Make THE Difference” “พลังในตัวคุณ เปลี่ยนโลกได้” หนังทีวีซีสวย คอนเซ็ปต์ดี และการทุ่มงบซื้อสื่อไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทใน 6 สัปดาห์ ทำให้แบรนด์ธนาคารทหารไทย หรือทีเอ็มบีถูกจดจำ แม้จะยังไม่มีพลังพอที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจเดินเข้าแบงก์ทีเอ็มบีได้มาก นัก แต่สิ่งที่ยังเหลืออยู่หลังเลิกออนแอร์แล้ว คือเบื้องหลังของการสื่อพลังของทีมฟุตบอลปันหยีเอฟซี ซึ่งเป็นความพยายามของทีเอ็มบี ที่หวังให้แคมเปญนี้บรรลุความท้าทายที่ว่า ถ้าลูกค้ารู้สึกดีกับแบรนด์ก็บรรลุเป้าหมายในการได้ใจพนักงานทั้งหมด จากนั้นการขายของก็จะตามมาได้เอง

โจทย์ของทีเอ็มบี หรือธนาคารทหารไทย ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ สำหรับองค์กรที่มีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง เคยผ่านจุดที่ใกล้เจ๊งเกือบฟื้นตัวไม่ขึ้น เป็นธนาคารเก่าแก่อายุเกือบ 50 ปี มีการรวมกิจการ มีผู้ถือหุ้นใหม่ จนกลายเป็นธนาคารที่มีคนเก่าแก่จำนวนมาก มีคนหลากหลายจากต่างองค์กรที่มีวัฒนธรรมหลากหลาย “คน” จึงเป็นโจทย์แรกที่ทีเอ็มบีต้องสร้างเพื่อเป็นองค์กรที่มีพลังขับเคลื่อน และพนักงานภาคภูมิใจที่ได้ทำงานด้วย และ ”แบรนด์” คืออีกโจทย์ที่ทีเอ็มบีต้องเปลี่ยนภาพลักษณ์ให้ได้จากแบรนด์ที่ลูกค้ารู้สึก ว่าเป็นธนาคารทหาร เป็นราชการที่มีขั้นตอนบริการที่ล่าช้า ให้เป็นแบรนด์ที่ทันสมัยน่าใช้บริการ

เดิมระบบการทำงานของทีเอ็มบี พนักงานจะรอการตัดสินใจจากผู้บริหารเป็นหลัก ไม่เชื่อมั่นตัวเอง ไม่ต่างจากการทำงานในระบบราชการที่มีผู้บังคับบัญชาเป็นลำดับขั้น ซึ่งที่ปรับมาตลอด 2 ปีคือการลดขั้นตอนการเสนออนุมัติเพื่อใช้เวลาสั้นที่สุด มีการลดส่วนงานที่มีอยู่กว่า 1,400 ส่วนเหลือเพียง 300-400 ส่วน ทำให้ลดเวลา และมีเวลาให้บริการลูกค้าได้มากขึ้น

ทีเอ็มบีใช้เวลาแก้โจทย์แรกคือเรื่อง ”คน” นานกว่า 2 ปีหลังจากมีต่างชาติจากเนเธอร์แลนด์กลุ่ม ”ไอเอ็นจี” เข้าถือหุ้น โดยในช่วง 6 เดือนสุดท้ายกับ 46 ครั้ง ครั้งละ 200 คน ในการโรดโชว์พบพนักงานทั่วประเทศของ ”บุญทักษ์ หวังเจริญ” ซีอีโอของ หรือทีเอ็มบี เป็นปฏิบัติการสำคัญก่อนที่แคมเปญ Make THE Difference จะถูกโปรโมตผ่านทีวีซี

การพบพนักงานให้ทั่วถึง เป็นขั้นแรกของการสร้างแบรนด์ที่ทีมผู้บริหารทีเอ็มบีตระหนักดีว่าพนักงาน ทุกคนต้องมีหน้าที่ส่งต่อแบรนด์ถึงลูกค้า แนวคิดนี้ตอกย้ำคอนเซ็ปต์ที่ว่าหากโฆษณาดี แบรนด์ได้ภาพลักษณ์ดี เป็นที่จดจำ แต่ถ้าพนักงานไม่รักแบรนด์ ไม่ส่งเสริมแบรนด์ บริการลูกค้าไม่ดี แบรนด์ก็จบลงพร้อมเงินที่หมดไปกับการออนแอร์

“พนักงาน” จึงเป็น ”พลัง” แรกสำหรับผู้บริหารทีเอ็มบี ที่หวังว่าจะเป็นคนเปลี่ยนธนาคารเก่าแก่แห่งนี้ ให้หนุ่มกว่าเดิม หากเปรียบเทียบกับคนแล้ว ก็ขอเปลี่ยนจากพระเอกรุ่นเก่าอย่าง ”สมบัติ เมทะนี” เป็นคนรุ่นใหม่อย่าง ”ดู๋ สัญญา คุณากร” อย่างที่ทีเอ็มบีเคยสำรวจความรู้สึกของลูกค้าที่มีแต่ทีเอ็มบี

“ภารไดย ธีระธาดา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร ทีเอ็มบี บอกว่าทีเอ็มบีปรับองค์กร และสร้างความเป็นทีมให้พนักงานมาตลอดกว่า 2 ปี มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในตลาด จนลูกค้าเริ่มพูดถึงและแบงก์อื่นเดินตาม พนักงานส่วนใหญ่หรือเฉลี่ยราว 80% เกิดความภาคภูมิใจในองค์กร เมื่อ Make THE Difference ผ่านทีวีซีหวังว่าจะทำให้ผู้ชมชอบแบรนด์ทีเอ็มบี และดึงความรู้สึกของพนักงานที่เหลืออีก 20% ให้ชื่นชมมากขึ้นด้วย

“พนักงานต้องเข้าใจว่าหน้าที่การสร้างแบรนด์ ไม่ใช่การเปิดตัวโฆษณา ซึ่งโฆษณามีส่วนแค่ 20% แต่ 80% เป็นหน้าที่ของพนักงานทุกคนที่ต้องบริการลูกค้า” นี่คือเหตุผลที่ทีเอ็มบีต้องได้ใจพนักงานให้ได้ก่อน

ความพยายามในการสื่อสารที่ว่า “พลังในตัวคุณ เปลี่ยนโลกได้” ยังสะท้อนถึงสถานะของทีเอ็มบี ที่เป็นแบงก์ในอันดับ 6 ของวงการ ที่ ”ภารไดย” บอกว่าหากไม่ขยับขึ้นในท็อป 3 โอกาสแพ้ในธุรกิจนี้ก็มีสูง ซึ่งการเป็น Underdog ต้องมีทัศนคติที่ไม่เพียงแต่ Can do attitude เท่านั้น แต่ต้องพร้อมในการรับกับความท้าทายเสมอ

การส่งต่อทัศนคตินี้ผ่านเรื่องราวของทีมฟุตบอลบนเกาะปันหยี ทีเอ็มบีเชื่อว่าจะโดนใจผู้บริโภคหลายๆ คนที่ต้องการพลังเพื่อต่อสู่อุปสรรคต่างๆ ที่เลือกนำเสนอโดยไม่ Very Emotional ที่ดูแล้วร้องไห้ แต่ต้องการคุยกับผู้บริโภค ให้คิดและเกิดพลัง นี่คือตัวอย่างที่ ”ภารไดย” บอกว่าเป็นความพยายามนำเสนอเน้นความต่างที่เฉพาะเจาะจงและมีความหมายต่อ ลูกค้า ไม่ใช่เพียงแค่ทำไม่เหมือนเท่านั้น แล้วเรียกว่า ”ต่าง” เท่านั้น ซึ่งจากการออกแรงครั้งนี้ทีเอ็มบีหวังว่าการรับรู้ จดจำแบรนด์จะเพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญการปฏิเสธไม่ใช้บริการจะเหลือ 0% จากปี 2010 อยู่ที่ 2%

แต่เรื่องราวของความต่างนั้นไม่ใช่เริ่มต้นแล้วจบลงพร้อมกับการหายไปจาก สื่อเท่านั้น เพราะเมื่อมีคนเดินตามความต่างนั้นก็หมดความหมายในทันที เพราะฉะนั้นการสร้างพลัง เพื่อส่งความต่างให้ได้นั้นถือเป็นสิ่งที่ ”ภราไดย” บอกว่าเป็น Continuous Journey ซึ่งดูเหมือนว่าระหว่างทางนี้คือการแข่งขันที่เข้มข้น ที่หวังให้พลังที่มีนี้พร้อมเปลี่ยนทีเอ็มบีให้มีที่ยืนที่แข็งแรงในธุรกิจ นี้

โจทย์ ทีเอ็มบี : Make THE Difference
เป้าหมายที่ท้าทาย
  • ทีเอ็มบีเป็นแบงก์ขนาดอันดับ 6 ของธุรกิจ เสี่ยงต่อการถูกเมินของลูกค้า และแพ้ในสนามที่แบงก์ใหญ่แข็งแรง ถ้าอยากรอดต้องขึ้นมาอยู่ Top 3 ให้ได้
ตัวตนลูกค้าแบงก์
  • ลูกค้าทั่วไปไม่ชอบไปแบงก์ เพราะต้องรอคิว เหมือนไปหาหมอฟัน ไม่สนุกที่จะไปแต่ต้องไป หน้าที่ของแบงก์คือต้องนำเสนอบริการทางการเงินที่ตรงกับความต้องการของ ลูกค้ามากที่สุด
  • ลูกค้าอาจรู้สึกสะดวกสบายที่พนักงานบริการกรอกเอกสารให้เหมือนอย่างบาง ธนาคารดำเนินการให้แต่จริงๆ แล้วลูกค้ารู้สึกปลอดภัยมากกว่าถ้าได้กรอกเอกสารเอง
วิธีการ
  • ซีอีโอ เปิดรับฟังความเห็นจากพนักงานโดยตรง ผ่านการเขียนจดหมายโปสต์การ์ดถึงซีอีโอ ที่ให้ความรู้สึกสัมผัสได้มากกว่าอีเมล และตอบกลับภายใน 72 ชั่วโมง
  • สร้างทัศนคติให้พนักงาน “ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” ไม่ใช่แค่ Can do Attitude แต่สร้างความท้าทายในทุกอย่างที่จะทำ
  • สร้างระบบทำงานให้กระชับ ลดขั้นตอน
  • ออกโปรดักต์ที่ต่างจากที่มีอยู่แล้วในตลาด
  • สร้างแบรนด์ เริ่มจากทำความใจในองค์กรใช้งบประมาณ 15-20 ล้านบาทต่อปี และสื่อสารสู่ลูกค้าเฉพาะแคมเปญ Make The Difference ทีวีซีออนแอร์ 6 สัปดาห์ใช้งบซื้อสื่อประมาณ 100 ล้านบาท งบผลิตทีวีซี 15 ล้านบาท แบ่งเป็น 4 ตอน และสรุปสุดท้ายตอนที่ 5
ผลที่คาดหวัง
  • เมื่อลูกค้าชอบแบรนด์แล้ว พนักงานก็จะภาคภูมิที่ได้ร่วมงานกับองค์กรนี้ สามารถส่งต่อแบรนด์และบริการที่ดีถึงลูกค้า
  • Brand Rejection เหลือ 0% จากปี 2010 มี 2%
ผลการสำรวจแบรนด์ทีเอ็มบี
ปี 2009ปี 2010*
Brand Awareness31%79%
Brand Rejection29%2%
*ทีเอ็มบีปรับสี ตกแต่งสาขาใหม่ และบริการใหม่ๆ เพิ่มขึ้น


เรื่องที่ 2
ลูกค้า “ไฮเอนด์” เรื่องที่เคทีซีเริ่มเขียน


“เคทีซี” เป็นอีกหนึ่งสถาบันการเงินที่กำลังเร่งสร้าง Brand Power ด้วยการรีเฟรชแบรนด์ ที่ยืนยันให้เห็นว่าสถาบันการเงินจะคุยแค่เรื่องดอกเบี้ย สินเชื่ออย่างเดียวนั้นไม่พอ แต่ต้องสร้างให้มีชีวิตชีวา ด้วยการสื่อสารให้เข้าถึงตัวตน และความรู้สึกของกลุ่มเป้าหมาย เคทีซีเลือกใช้ทีวีซีที่สะท้อนความทันสมัย และเครื่องมือโซเชี่ยลมีเดียที่เป็นมากกว่าช่องทางสื่อสาร ด้วยเป้าหมายว่าเมื่อแบรนด์โดนใจ จากนั้นจึงมีแรงพอที่ไปให้ถึงเป้าหมายธุรกิจที่วางไว้คือได้ตลาดไฮเอนด์

โจทย์ของเคทีซี หรือบริษัทบัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) คือถ้าถามว่าลูกค้าระดับบีขึ้นไป รู้จักบัครเครดิต ”เคทีซี” ไหม คำตอบคือ ”รู้จัก” ถามว่ามีบัตรนี้ในกระเป๋าหรือเปล่า คำตอบคือ ”ไม่มี” เป้าหมายหลังจากรีเฟรชแบรนด์แล้ว เคทีซีจึงหวังว่าจะได้ Share of Wallet ของลูกค้าบ้าง

ไม่รู้ว่าหวังสูงเกินไปหรือเปล่า เพราะเคทีซีเป็นแบรนด์ที่ถูกจดจำว่าอยู่ในตลาดกลุ่มเริ่มทำงาน เงินเดือน 15,000 บาท ส่วนกลุ่มเงินเดือนมากกว่า 40,000 บาท เป็นของซิตี้แบงก์ และไทยพาณิชย์ส่วนใหญ่ แต่งานนี้ต้องสู้โดย “นิวัตต์ จิตตาลาน” ซีอีโอของเคทีซีประกาศว่าปี 2554 ไม่ใช่แค่ลุยตลาดล่าง แต่จะเร่งขยายไปกลุ่มบนด้วย

เคทีซีเน้นจับกลุ่มเริ่มทำงานและตลาดล่างมาตลอด ซึ่งสิทธิประโยชน์ไม่จูงใจกลุ่มบี จนเกือบไม่มีส่วนแบ่งในตลาดบน แต่เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาแบงก์แข่งกันทำตลาดบนอย่างหนัก เคทีซีจึงต้องโดดเข้ามาก่อนที่จะสายเกินไป เพราะลูกค้ากลุ่มนี้ซื้อหนัก รูดกระหน่ำ

“กาญจน์ ขจรบุญ” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Corporate Marketing ขยายความว่ากลุ่มบน ”ซื้อ” ด้วยอารมณ์และความพอใจ เป็นกลุ่มที่มีเงินเหลือและรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร นอกจากสิทธิประโยชน์ที่ต้องมีแล้ว ต้องสร้างความรู้สึกพิเศษและตรงกับความต้องการของลูกค้าจริงๆ

เคทีซีพยายามเข้าถึงความต้องการลูกค้า ตั้งแต่กระบวนการสื่อสารไปจนถึงการทำตลาด ซึ่งเมื่อถอดรหัสโลโก้ Tagline ใหม่ และหนังโฆษณาของเคทีซีแล้ว ชัดเจนว่าเคทีซีพยายามโยงเทรนด์ใหม่ๆ ให้มากที่สุด ทั้งโลโก้ 3มิติ หนังโฆษณาที่เล่นกับตึกสวยๆ และก๊อบปี้ไรท์ที่เสมือนนั่งอยู่ในใจกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ อย่างประโยคที่ว่า ”เราไม่ต้องรู้จักกัน แต่เราทำสิ่งต่างๆ ร่วมกันได้” นอกเหนือจากใช้อาวุธโซเชี่ยลมีเดียเพื่อเป็นทั้งเครื่องมือสื่อสารและซีอา ร์เอ็ม

โลโก้ใหม่เป็น 3 มิติซึ่ง ”กาญจน์” บอกว่านอกจากแสดงให้เห็นความสวยงามแล้ว ยังเหมาะกับสื่อออนไลน์ที่เคทีซีจะใช้มากขึ้นเพื่อสื่อสารกับกลุ่มบน ส่วน Tagline We write the stories “We” สื่อถึงเคทีซี ลูกค้า และพันธมิตรธุรกิจ ที่จะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ด้วยกัน เน้นย้ำความเป็น Open Brand โดยมี “พลภัทร เวโรจนวัฒน์” และ ”จิรายุส โชควิทยา” ผู้จัดการอาวุโส Marketing Communication และทีมงานคนรุ่นใหม่ร่วมขับเคลื่อน

“พลภัทร” เล่าว่าออนไลน์คือสื่อที่เคทีซีใช้มากขึ้นในการรีเฟรชแบรนด์ครั้งนี้ เพราะเข้าถึงกลุ่มบีที่มีไลฟ์สไตล์รับและส่งข้อมูลความข่าวสาร พร้อมบอกว่าต้องการอะไร จึงสามารถ Tailor made แคมเปญตรงความต้องการลูกค้าได้มากที่สุด

เมื่อรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายต้องการอะไรแล้ว ก็สามารถดีลกับพาร์ตเนอร์ได้ตรงใจมากที่สุด เช่น การซื้อสินค้าในราคาพิเศษ อย่างโมเดลของ Group Buying ก็สามารถนำมาใช้ได้ เมื่อรวมกับระบบฐานข้อมูลลูกค้าที่สามารถดูได้ลึกขึ้นว่าลูกค้าชอบอะไร เช่นการท่องเที่ยว ไม่เพียงแค่รู้ว่าชอบเที่ยวแต่รู้ว่าชอบไปที่ไหน ช่วงไหน จึงทำให้เสนอสิทธิประโยชน์ได้ตรงมากที่สุด หากถูกใจกลุ่มนี้คือ Story teller อย่างดีสำหรับเคทีซี และพันธมิตรก็จะเห็นผลตอบรับเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

การใช้สื่อออนไลน์มากยิ่งขึ้น ยังทำให้ชาวเคทีซีโดยเฉพาะแผนกการตลาดต้องเข้าสู่โซเชี่ยลมีเดียมากกว่าเดิม จากเดิมถูกปิดกั้นด้วยข้อจำกัดความปลอดภัยข้อมูล เพราะเป็นบริษัททางการเงิน จากนี้ที่ออฟฟิศเคทีซี จึงมีสายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเฉพาะสำหรับแผนมาร์เก็ตติ้ง มีแม็คบุ๊กของแอปเปิลต้นแบบของ Open Brand ใช้งาน เพื่อเข้าสู่โลกออนไลน์ได้สะดวกยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่ว่าจะได้คุยกับลูกค้ากลุ่มใหม่ได้รู้เรื่อง

นี่คือเรื่องราวที่เคทีซีเริ่มเขียน ส่วนลูกค้าและพันธมิตรจะเริ่มเขียนเรื่องให้ยาวขึ้นด้วยหรือไม่นั้น คงต้องรอนับยอดลูกค้ากันอีกครั้ง

เคทีซี : We write the stories
เป้าหมาย
  • รีเฟรชแบรนด์ เพื่อทำตลาดในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ถือบัตรระดับบนมากขึ้น (บี+) เพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรสูงกว่ากลุ่มล่าง เฉลี่ย 30-50% ต่อเดือน ทำให้สถาบันการเงินมีรายได้ค่าธรรมเนียมมากขึ้น และกลุ่มนี้ยังจ่ายเต็ม ทำให้เสี่ยงต่อการเพิ่มหนี้เสียน้อยกว่ากลุ่มล่าง
ตัวตนลูกค้า
  • คนรุ่นใหม่ระดับบนตัดสินใจซื้อสินค้าด้วยอามรณ์ ใช้สื่อออนไลน์ ตามติดเทรนด์ สนุกกับการทำงาน มองโลกในแง่บวก เท่ ชอบความสะดวกสบาย และชอบการเข้าสังคม
วิธีการสื่อสาร
  • ทีวีซี ที่เน้นสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ ด้วยการเน้นย้ำให้ความสำคัญกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการ
  • โซเชี่ยลมีเดีย เน้นการได้ผลตอบรับจากกลุ่มเป้าหมาย เพื่อนำมาสู่แคมเปญเรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ


Timeline
เค ทีซีก่อตั้งปี 2539 และจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ปี 2545 ปัจจุบันมีลูกค้าบัตรเครดิต 1.7 ล้านราย ปี 2554 คาดลูกค้าใหม่อีก 1.5 แสนราย
ปี 2545ใช้ Tagline “KTC Make Sense” ท่ามกลางธุรกิจบัตรแข่งรุนแรง เคทีซีสร้างความต่างด้วยการออกบัตรตามไลฟ์สไตล์ และเซ็กเมนต์ และบัตรมินิที่สร้างความจดจำ Make Sense สื่อสารถึงความเป็นไปได้ให้ความรู้สึกดี
ปี 2551It’s Real เน้นย้ำเรื่องสิทธิประโยชน์ที่ให้ลูกค้า เช่น คะแนนสะสมเป็นส่วนลดทันที ขณะที่คู่แข่งมีเงื่อนไขในการให้สิทธิประโยชน์
ปี 2554We write the stories ยุคไฮสปีดอินเทอร์เน็ต ไลฟ์สไตล์คนออนไลน์ เป็นทั้งผู้รับและส่งข้อมูลข่าวสาร จึงเป็นช่องทางที่เข้ามา Engage กับแบรนด์ได้มีประสิทธิภาพที่สุด


ที่มา http://www.positioningmag.com/magazine/details.aspx?id=91719

โรคร้ายจากภัยโลกร้อน


alien-sick.jpg

องค์การ อนามัยโลกระบุว่า ปัญหาโลกร้อนใช่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังนำโรคร้ายสารพัดสารพันชนิดมาสู่เราโดยไม่รู้ตัว และนี่เป็นตัวอย่างโรคร้ายใกล้ตัวที่มากับโลกร้อนที่พึงรู้และตระหนักในพิษ ภัยเอาไว้ จะได้รับมือกับเจ้าตัวร้ายอย่างรู้เท่าทัน

1. ภาวะเป็นลมจากความร้อนสูงหรือโรคลมเหตุร้อน (Heat Stroke) อย่าเพิ่งชะล่าใจว่าเราเกิดและโตท่ามกลางสภาพอากาศร้อนอบอ้าว เพราะถ้าอุณหภูมิพุ่งขึ้นกว่านี้อีก 7 - 10 องศาเซลเซียส รวมถึงหากออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาในภาวะอากาศร้อนจัดนานๆ จนอุณหภูมิในร่างกายสูงเกินขีดจะทนทานไหว (พุ่งถึง 40 องศาเซลเซียส) ก็จะทำให้เกิด “ภาวะเป็นลมจากความร้อนสูง” ซึ่งน่าสะพรึงกลัวอยู่ไม่น้อย

คนที่มีอาการสังเกตได้จากตัวจะร้อนจัดขึ้นเรื่อยๆ แม้ในตัวจะร้อน แต่กลับไม่มีเหงื่อออก นอกจากนี้ยังปวดศีรษะ วิงเวียน คลื่นไส้ หายใจเร็ว อาเจียน และอาจถึงขั้นเกิดอาการช็อกอย่างเฉียบพลันถึงขั้นเสียชีวิตได้หากร่างกายสูญ เสียน้ำและเกลือแร่จนปรับตัวไม่ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าอยู่ในบริเวณนั้นคนเดียว

วิธีรับมือ :
รีบนำผู้ป่วยเข้าที่ร่ม นอนราบ ยกเท้าสูงทั้งสองข้าง
คลายเสื้อผ้าเพื่อระบายความร้อน
ประคบผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งที่ศีรษะ ซอกตัว คอ รักแร้ เชิงกราน พร้อมใช้พัดลมเป่าระบายความร้อน
อย่านิ่งนอนใจ รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

2. โรคหัวใจ บางคนอาจสงสัยว่าโรคหัวใจเกี่ยวข้องอย่างไรกับโลกร้อน ทั้งนี้แพทย์แห่งสถาบันคาโรลินสกา สวีเดน ชี้ว่า เพียงโลกร้อนขึ้นอีกไม่กี่องศา อาจทำให้มีผู้ป่วยด้วยโรคหัวใจมากขึ้น เพราะเมื่ออุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นก็จะขับเหงื่อออกมาเพื่อบรรเทาความร้อน ส่งผลให้เลือดไหลเวียนมากขึ้น หัวใจของเราจึงต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดให้ไหลเวียนทั่วร่างกาย ยิ่งถ้าคนที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว รวมถึงคนสูงวัยที่ระบบการเต้นของหัวใจมีปัญหา อากาศร้อนจะเป็นเพชฌฆาตที่คร่าชีวิตได้เลยทีเดียว

ผู้เชี่ยวชาญยังระบุอีกว่า มลพิษทางอากาศจากปัญหาโลกร้อนก็เป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้ประชากรโลกป่วยเป็น โรคหัวใจมากขึ้นเนื่องจากการสูดดมอากาศพิษเข้าไปมากๆ ปอดจะปนเปื้อนด้วยสารพิษ ส่งผลต่อการทำงานของระบบหัวใจโดยตรง

วิธีรับมือ :
หลีกเลี่ยงการทำให้หัวใจทำงานเร็วผิดปกติจากปัจจัยข้างต้น
งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าวมากๆ เพราะแอลกอฮอล์จะซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น ร่างกายปรับสภาพไม่ทันถึงขั้นเกิดภาวะช็อกได้

3. ไข้สมองอักเสบ โรคไข้สมองอักเสบมีหลายชนิด แต่ที่พบในไทยส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส JapaneseEncephalitis (JE) ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต โดยอัตราการป่วยตายอยู่ในช่วงร้อยละ 20 - 30 พาหะนำโรคร้ายนี้คือยุงรำคาญ (ที่เติบโตและขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วเมื่ออุณหภูมิโลกร้อนขึ้น) ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการในเบื้องต้น ต่อมาจะมีไข้ ปวดเมื่อย ปวดศีรษะ ง่วงซึม เกร็ง ชักกระตุก หายใจไม่สม่ำเสมอ และในรายที่รุนแรงมากอาจเสียชีวิตในวันที่ 7 - 9 หลังการได้รับเชื้อ แม้ผ่านพ้นระยะนี้ไปได้จะเข้าสู่ระยะฟื้นตัวในช่วง 4 - 7 สัปดาห์ แต่เมื่อหายแล้วผู้ป่วยราวร้อยละ 60 จะมีความพิการเหลืออยู่ เช่น เป็นอัมพาตแบบแข็งเกร็งสมองเสื่อม

วิธีรับมือ :
ยังไม่มียารักษาเป็นการเฉพาะ มีเพียงการรักษาแบบประคับประคองตามอาการเท่านั้น บางรายต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกยุงกัดในช่วงพลบค่ำเป็นดีที่สุด

4. อาหารเป็นพิษ ดูจะเป็นโรคที่แสนธรรมดาและเชื่อว่าหลายคนคุ้นเคย แต่โรคนี้ก็ติดโผด้วย เพราะในสภาพที่อากาศร้อนขึ้น แบคทีเรียจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อมีปริมาณมากพอก็จะทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีเชื้อแบคทีเรียปน เปื้อนอยู่เกิดอาการป่วย เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน มีไข้ ถ่ายเหลว บางรายมีอาการลำไส้อักเสบและปวดเมื่อยตามเนื้อตัว

วิธีรับมือ :
ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนปรุงและกินอาหาร
ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุกทุกครั้ง
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือขนมค้างคืนที่ผสมกะทิ
ล้างผักผลไม้ด้วยน้ำไหล หรือแช่ด่างทับทิมทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง
เลี่ยงอาหารทะเลสุกๆ ดิบๆ หรืออาหารทะเลที่กินโดยไม่ผ่านการปรุงสุก (เมนูที่บีบมะนาวใส่โดยเข้าใจว่าอาหารสุกเพราะสีของเนื้อ)

5. ภูมิแพ้จากไรฝุ่น ผศ.นพ. เฉลิมชัย บุญะลีพรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ระบุว่า คนจะเป็นโรคภูมิแพ้จากไรฝุ่นมากขึ้น เพราะยุงและแมลงเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคมากขึ้น ทั้งนี้ไรฝุ่นชอบอยู่ในที่ร้อนและชื้น เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ไรฝุ่นจะยิ่งเพิ่มปริมาณ จึงไม่น่าแปลกใจที่ในปัจจุบันคนไทยวัยผู้ใหญ่เป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูก (โรคหวัดเรื้อรังจากภูมิแพ้) เพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัวเมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อน

วิธีรับมือ :
ในเบื้องต้นให้เลี่ยงสิ่งที่แพ้ อาทิ ควันบุหรี่ หรือแพ้ฝุ่น
หลีกเลี่ยงการนอนน้อยเกินไป (น้อยกว่า 6 ชั่วโมง)
หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ในกรณีที่เป็นบ่อยๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาด้วยยารับประทานหรือยาพ่นจมูก

ที่มา

www.vcharkarn.com

http://green.in.th/blog/lifestyle/2393


ภาพ

www.easyvectors.com