วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

10 เรื่องที่คู่แต่งงานทะเลาะกันมากที่สุด


       เป็นเรื่องธรรมดาที่คู่แต่งงานหลายๆคู่มักมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง กันอยู่เสมอเพราะการที่คนสองคนที่มาจากต่างครอบครัวกัน ต่างการเลี้ยงดูกัน ต่างความคิดกัน แต่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ซึ่งเรื่องที่ทำให้คู่แต่งงานมักมีปัญหาต้องทะเลาะกันส่วนใหญ่คือ
      
       1.เรื่องของเวลา เป็นสาเหตุต้น ๆ ของการทะเลาะกันของคู่แต่งงานเลยทีเดียวโดยเฉพาะคู่แต่งงานใหม่ๆ ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องการให้ผู้ชายใช้เวลาอยู่ด้วยมาก ๆ ในขณะที่ผู้ชายมีโลกส่วนตัวสูงกว่าผู้หญิงและมักนึกถึงสิ่งแวดล้อมอื่น ดังนั้น ทั้งคู่ต้องปรับตัวเข้าหากัน พยายามแบ่งเวลาให้ลงตัวคือมีเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันสองคนและมีเวลาที่เป็น ส่วนตัวของแต่ละคน เช่นบางครั้งผู้หญิงควรจะปล่อยให้ผู้ชายออกไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ หรือผู้ชายอาจจะปล่อยให้ผู้หญิงออกไปชอปปิ้งบ้าง ก็จะทำให้เรารู้สึกสบายใจและมีความสุขในชีวิตแต่งงานมากขึ้น
      
       2.เรื่องเงิน คู่แต่งงานส่วนใหญ่ทะเลาะกันเรื่องการเงินว่าใครใช้เงินมากกว่ากัน หรือการจัดสรรการใช้จ่ายที่ไม่ลงตัว หรือการรู้สึกว่าอีกฝ่ายเอาเปรียบไม่ยอมหาเงินมีแต่คอยจ้องจะใช้เงิน รวมถึงปัญหาหนี้สิน น่าเสียดายที่มีคู่แต่งงานหลายคู่ทะเลาะและต้องเลิกกันเพราะเรื่องการเงิน นี้ ดังนั้น ทั้งคู่ต้องตกลงก่อนใช้ชีวิตร่วมกันว่าจะจัดการเกี่ยวกับการเงินอย่างไร เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันและไม่เป็นปัญหาต่อไปในอนาคต
      
       3.เรื่องเพศ เรื่องเพศเป็นเรื่องที่สวยงามระหว่างคนสองคน แต่เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องใหญ่ที่บางคู่ทะเลาะกันเรื่องความต้องการที่แตก ต่างกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการยอมรับความจริงของซึ่งกันและกัน ความชอบไม่ชอบ ความต้องการไม่ต้องการ และการแสดงความรู้สึกที่แสดงถึงความรักที่มีให้แก่กันผ่านทางคำพูด สายตา ความห่วงใย การดูแล จะช่วยทำให้ปัญหาเรื่องความต้องการทางเพศหมดไปได้
      
       4.ความหึงหวง คงเคยได้ยินคนพูดว่าฉันเห็นคุณชอบแอบมองหญิงอื่น ผมไม่ต้องการให้คุณไปทานข้าวกับเพื่อนร่วมงานคนนี้ ความสัมพันธ์แบบที่กล่าวมานี้ทำให้หลายคู่จบการแต่งงานลง ความหึงหวงเกิดจากความรู้สึกไม่มั่นคง เลยทำให้ต้องการควบคุมอีกฝ่ายหนึ่งไว้เพื่อให้รู้สึกอุ่นใจ ดังนั้น คู่สามีและภรรยาควรมีความไว้วางใจและให้เกียรติซึ่งกันและกันเพื่อให้ชีวิต คู่ดำเนินไปด้วยความสุขนั่นเอง
      
       5.เรื่องลูก คู่แต่งงานอาจมีความคิดเรื่องการเลี้ยงลูกที่แตกต่างกัน เพราะเรามาจากครอบครัวที่ได้รับการเลี้ยงดูที่ไม่เหมือนกัน การยอมรับและ ปรึกษาหารือกันจะช่วยได้ ไม่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน และนึกถึงความสุขของความเป็นพ่อ แม่ ลูกเข้าไว้ ครอบครัวก็จะอยู่อย่างราบรื่น
      
       6.ความเครียด คนเราทุกวันนี้ต้องต่อสู้ ดิ้นรนในเรื่องอาชีพการงาน ความรับผิดชอบต่างๆ ปัญหาการเงิน รถติดฯลฯ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความเครียดได้ทั้งสิ้น และคู่แต่งงานบางคู่มักเอาความเครียดเหล่านี้มาใส่ลงให้กันจนทะเลาะกันมาก ความเครียดเกิดขึ้นได้กับทุกคน ดังนั้น เราต้องรู้จักควบคุมและทำความรู้จักกับปัญหาที่ทำให้เกิดความเครียดก่อนแล้ว พยายามหาทางกำจัดปัญหานั้น โดยหากเราเริ่มเครียดก็ควรหาเวลาส่วนตัวสงบก่อน อย่าไปลงกับคนรอบข้างที่เรารักไม่ว่าจะเป็นลูก ภรรยาหรือสามี หากรู้สึกว่ารับคนเดียวไม่ไหว ลองพูดคุยกันดีๆกับคู่ของเรา อย่าใช้อารมณ์นำหน้าแล้วจะพบว่าปัญหาอาจแก้ได้หรือผ่อนเบาด้วยกำลังใจและ ความเข้าใจที่ได้จากคู่ของเรานั่นเอง
      
       7.งานบ้าน การทำงานบ้านมักเข้าใจกันว่าเป็นหน้าที่ของผู้หญิง แต่หากผู้ชายยกหน้าที่นี้ให้ผู้หญิงโดยไม่สนใจที่จะช่วยทำเลยก็อาจทำให้ ผู้หญิงรู้สึกเหนื่อยหน่ายและหงุดหงิดจนพาลมีปากเสียงกันได้ ดังนั้นเราต้องไม่ผลักภาระให้อีกฝ่ายแต่ต้องช่วยกันรับผิดชอบ เช่น งานทิ้งขยะอาจเป็นงานที่ผู้ชายรู้สึกว่าทำได้ก็เป็นคนทำเอง ส่วนผู้หญิงซักผ้าหรือผู้หญิงอาจชอบงานทิ้งขยะมากกว่าการซักผ้าก็อาจช่วยกัน ซักก็ได้ ดังนั้นก็ตกลงกันว่าใครจะรับผิดชอบอะไร และอะไรควรช่วยกันทำ ก็จะทำให้ปัญหานี้หมดไป
      
       8.เรื่องศาสนา ก่อนการตัดสินใจเป็นแฟนกันควรศึกษาเรื่องความเชื่อของกันและกันให้ดีก่อน ความแตกต่างเรื่องความเชื่อและการนับถือศาสนาของแต่ละคนอาจก่อให้เกิดชนวน การทะเลาะกันจนถึงการหย่าร้างได้
      
       9.เรื่องการเมือง คุณอาจจะชื่นชอบพรรคการเมืองใดการเมืองหนึ่งและคู่ของคุณชอบอีกพรรคการเมือง หนึ่งและความชอบต่างกันก็ทำให้ครอบครัวทะเลาะกัน ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงประเด็นสนทนาที่ทำให้ต่างฝ่ายไม่พอใจ และเปิดใจยอมรับความคิดเห็นของกันเคารพสิทธิของซึ่งกันและกัน ไม่บังคับหรือเข้าไปก้าวก่ายในสิทธิของคนอื่น การให้เกียรติคนอื่นถือเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูกๆด้วย
      
       10.ครอบครัวของอีกฝ่ายหนึ่ง หลายครอบครัวต้องแยกทางกันเพราะมีปัญหากับพ่อ แม่ ญาติพี่น้องของอีกฝ่ายหนึ่ง อาจเข้ากันไม่ได้หรือครอบครัวอีกฝ่ายหนึ่งมาก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของครอบ ครัวมากเกินไป อยากให้คิดว่าเมื่อคนสองคนตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกันแล้วนั่นคือเพราะ เกิดจากความรัก เมื่อเรารักเขา เราก็ควรรักครอบครัวของเขาด้วย แม้อาจจะไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้กับครอบครัวของอีกฝ่ายแต่ไม่ได้หมายความว่า จะต้องไม่ชอบหรือเกลียดครอบครัวของเขาหรือร้ายกับเขา แค่ทำหน้าที่ในส่วนของเราให้ดีที่สุดก็พอแล้ว
      
       เมื่อคนสองคนตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน เราต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้ต่อกัน ใช้ความเข้าใจ ความเสียสละ การให้เกียรติ การให้อภัย  การปรับตัวเข้าหากัน จะช่วยให้ครอบครัวมีความสุขได้โดยเฉพาะให้ความรักนำทางผูกพันทุกสิ่งเข้า ด้วยกัน ผู้เขียนขอให้ทุกครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป

ที่มา http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000105830

วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แนวทางเทคนิคการติดตั้ง พี่แอด พี่เหงี่ยน สำหรับมือใหม่ครับ

รายละเอียดการติดตั้ง พี่แอด สำหรับมือใหม่ครับ

ข้อมูลสำหรับการติดตั้ง (พื้นที่ กทม. และปริมณฑล)

ลิงค์หามุมก้ม เงย ครับ http://www.satlex.de/en/azel_calc.html

 ตำแหน่งพื้นที่ครับ http://www.dishpointer.com

มุมส่าย 213.71º
มุมก้มเงย 70.77º
ตำแหน่งหัว F-Type ประมาณ (17.00 น. มุมมองจากด้านหน้าจาน) หรือ (19.00 น. มุมมองจากด้านหลังจาน)
ความถี่จูนสัญญาณสำหรับเครื่องรับทั่วไป 11602 H   SR 30000


อุปกรณ์สำหรับการติดตั้ง

ชุดหน้าจาน KU ขนาด 75 Cm. จำนวน 1 ชุด
หัวรับสัญญาณ LNB Universal ย่านความถี่ 9750-10600 (1 หรือ 2 เขี้ยว) จำนวน 1 หัว
หัว F-Type แบบเกลียว หรือแบบใช้คีมย้ำ จำนวน 2 ตัวสำหรับการทดสอบ
สายสัญญาณ RG-6 ความยาวตามการใช้งาน
ขาตั้งจานภาคสนามสำหรับการทดสอบ หรือ ขางอติดตั้งถาวรในสถานที่


ขั้นตอนการติดตั้งและปรับตั้งจาน แอ๊ดโต สำหรับผู้ที่เคยติดตั้งจาน IPM แล้ว มีขั้นตอนดังนี้

1.ให้ปรับหน้าจานรับสัญญาณจากดาวเทียม NSS-6 หรือ IPM ให้ได้ระดับสัญญาณการใช้งานตามปกติก่อน
2.เมื่อปรับหน้าจานรับสัญญาณจากดาวเทียม NSS-6 แล้วให้ทำการมาร์คตำแหน่งมุมก้มเงยที่คอจานไว้ โดยใช้ปากกาเคมี หรือดินสอ
3.ให้ทำมาร์คมุมส่ายที่ตำแหน่งหัวเสาที่ใช้ยึดหน้าจาน โดยใช้ปากกาเคมี หรือดินสอ
4.ตำแหน่งหัว LNB ไม่ต้องทำการปรับแต่งให้คงไว้ที่เดิมจากการปรับตาม (ข้อ 1)
5.หนัง จากทำมาร์คตำแหน่งตาม (ข้อ 2 และ 3) แล้วให้ทำการปรับมุมก้มเงย ด้วยการกดหน้าจานลงให้ต่ำกว่าตำแหน่งที่ทำมาร์คไว้ประมาณ 1-2 มิลลิเมตร และปรับตำแหน่งมุมส่่ายจานไปตามเข็มนาฬิกาให้เคลื่อนไปจากตำแหน่งทำมาร์คไว้ ประมาณ 5-8 มิลลิเมตร
6.ให้ตั้งค่าเครื่องวัดสัญญาณดาวเทียม IDEA SAT SF B1 ไปตำแหน่ง ค้นหาแบบ PID แล้วป้อนค่า [ความถี่ช่อง 11602] [Symbol Rate 30000] [เลือกค่า แนวตั้ง] (เครื่องวัดสัญญาณ IDEA SAT SF B1 ไม่สามาราถหาสัญญาณ แนวนอน ได้)

**หมายเหตุ** สำหรับท่านใดที่เคยติดตั้ง ipm มาแล้ว และทำตามขั้นตอน ข้อ 1-6 รับรองสัญญาณมาแน่นอนครับ




 







 พี่แอดครับหาภาพมาให้ดูครับ








รายละเอียดการติดตั้ง พี่เหงียน สำหรับมือใหม่ครับ

132.0°E KU-BAND Universal

 ลิงค์หามุมก้ม เงย ครับ http://www.satlex.de/en/azel_calc.html

 ตำแหน่งพื้นที่ครับ http://www.dishpointer.com

กรุงเทพฯ  มุมก้มเงย 50.28  มุมส่าย 110.8  หัว F ของ LNB
หันไปที่ 8.00 น.  LNB เป็นแบบ Universal ความถี่ 11549 H 28500
ลองหาดูครับ ประมาณนี้

เอาคร่าวๆก่อนนะครับ
เนื่องจากสัญญาณของเวียดนามเค้าแรงมากการหาสัญญาณจีงไม่ยากง่ายพอๆกับตั้งจาน2ล่ะครับ
ให้เปิดไปที่ช่องของ พี่เหงียนก่อนแล้ว กดปุ่ม info ดูขีดระดับสัญญาณ
1 เปลี่ยน หัว lnb ให้เป็น universal ราคาประมาณไม่เกิน250บาท
2 หันก้าน f-type จากเดิมหันที่ 4โมง ให้หันไปที่ประมาณ 8-9โมง
3 ให้ก้มหน้าจานลงนิดหน่อย ประมาณ10-15องศา
4 จากเดิมหน้าจานเราจะหันไปที่ตะวันตกเฉียงใต้ ให้เราหันไปทิศตะวันออกประมาณพระอาทิตย์ขึ้นเลยครับ
   ค่อยๆปรับ ส่ายหน้าจานไปมาดูครับ อย่าใจร้อน พอมีสัญญาณแล้ว จึงปรับละเอียดอีกทีนึง


ข้อมูลทางเทคนิค 132.0°E 132.0ºE
ต่ำแหน่งมุมกวาดที่   100º-118º มุมก้มเงย 59º-69º
มุม Offset 23º LNB Universel ตำแหน่ง 08.00-08.30 นาฬิกา

สองความถี่นี้เครื่องรับทั่วไปหาสัญญาณไม่เจอ

10968    H     SR    28800      ระบบ   HD    9    ช่อง
11008    H     SR    28800      ระบบธรรมดา     32  ช่อง


สองความถี่นี้ใช้เครื่องรับทั่วไปหาสัญญาณได้

11549    H     SR    28490      ความถี่ช่อง VTV  เวียดนาม
11088    H     SR    28125      ความถี่ช่องปล่อยฟรี

ปรับหน้าจานรับสัญญาณดาวเทียม 132.0°E KU  เขต กทม. ปริมณฑล




 ดาวเทียม 132.0°E
 AZ (มุมส่าย) ดูข้อมูลด้านล่าง EL (มุมเงย) ดูข้อมูลด้านล่าง ความถี่ที่ใช้หา 11549  H  28500
 หัวรับสัญญาณต้องเป็นแบบ KU ยูนิเวอร์แซล ขั่ว f-type ประมาณ 8-9 นาฬิกา




หน้าจานขนาด 75 Cm. LNB ตำแหน่ง 8 นาฬิกา




ประกอบหน้าจานและยึด lnb โดย ให้ ขั้ว F หรือ ขั้วที่เราจะต่อสายสัญญาณ หมุนไปทาง 7-8 โมงครับ







 ปรับมุมไว้ที่ 55 ก่อน ใช้เข็มทิศหามุมไปที่ประมาณ 103 องศา ทิศตะวันออก ก่อน







จานสีเหลืองอพี่เหงียน ครับ จานแดงพี่ 2 ครับ



จานสีเหลืองอพี่เหงียน ครับ จานแดงพี่ 2 ครับ





ด้วยความเคารพ ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ  e/e/e

เครดิต ภาพ คุณ Pick เวปเพื่อนบ้านครับ

วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ย้อนรอย 16 ปี แห่งความสุข ไทยไม่ขาดเหรียญทองโอลิมปิค!!!!

ผมเชื่อว่าในชั่วโมงนี้คนไทยหลายๆคงจะหายใจเข้า หายใจออก เป็นโอลิมปิคกันหมดแล้วรวมถึงตัวพี่แฮนด์ก็เหมือนกันซึ่งแทบไม่หลับไม่นอน ส่งใจไปเชียร์นักกีฬาเลือดสยามอยู่ค่ำทุกคืน  ซึ่งจากการที่ดูกีฬาแล้ว ทำให้ผมนึกถึงคำว่า กีฬากีฬาเป็นยาวิเศษนั้น    เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงเลย กีฬาเป็นยารักษาได้ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ สังเกตได้ว่า คนไทยหลายๆคนในช่วงนี้ต่างลืมความทุกข์ไปชั่วขณะ ด้วยความสุขที่ได้รับจากนักกีฬาไทย ที่ไปชิงชัยในเวทีโอลิมปิค ที่แม้จะยั่งไม่มีเหรียญทองมาให้ชื่นชมกันก็ตาม แต่ในอดีต โอลิมปิค 4 ครั้งติดๆกันเข้าไปแล้วนับตั้งแต่ปี 1996 หรือ 16 ปี เต็มที่คนไทยไม่เคยขาดเหรียญทองในโอลิมปิค ซึ่งใคนคือฮีโร่ของคนไทยในรอบ 16 ปีที่ผ่าน ไปดูย้ำความสุขกันเลยครับ
โอลิมปิก 1996 : แอตแลนตา สหรัฐอเมริกา
(เรือเอก) สมรักษ์ คำสิงห์ คือนักกีฬาทีมชาติไทยคนแรก ที่ได้รับรางวัลเหรียญทอง จากการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่น รุ่นเฟเธอร์เวท (57 กก.) แน่นอนเขาคือนักกีฬาประวัติศาสตร์ ฮีโร่ของคนทั้งชาติ

"เจ้า บาส" ชกมวยครั้งแรกขณะอายุได้ 7 ปี และได้ตระเวนชกตามเวทีงานวัด ในเส้นทางมวยไทย สมรักษ์ตระเวนชกตามเวทีต่างทั้ง ชลบุรี สำโรง อ้อมน้อย จนกระดูกแข็ง เจนสังเวียนมากขึ้นจึงขึ้นชกมวยที่เวทีมาตรฐานทั้งเวทีราชดำเนินและเวที ลุมพินี ค่าตัวสูงสุดที่ได้รับจากการชกมวยไทยอยู่ที่ราว 180,000 บาท

ส่วน เส้นทางมวยสากลสมัครเล่นนั้น เขาคว้าเหรียญทองกีฬาซีเกมส์ที่เชียงใหม่ และผ่านการคัดเลือกไปแข่งกีฬาโอลิมปิกรอบสุดท้ายได้สมรักษ์โด่งดังถึงที่สุด ในปี พ.ศ. 2539 เมื่อสมรักษ์สามารถคว้าเหรียญทองจากโอลิมปิกมาได้ โดยชนะ เซราฟิม โทโดรอฟ จากบัลแกเรีย ด้วยคะแนน 8-5

ภายหลังจากได้เหรียญ ทองแล้ว สมรักษ์กลายเป็นบุคคลชื่อดังไปในทันที กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในเวลาไม่นาน ด้วยความเป็นคนมีบุคคลิกเฮฮา มีสีสัน น่าสนใจ ภายหลังจากกลับมาจากโอลิมปิกที่แอตแลนต้าแล้ว สมรักษ์ก็มีงานในวงการบันเทิงเข้ามา เริ่มจาก ละครเรื่อง "นายขนมต้ม" ทางช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ รับบทเป็นนายขนมต้มพระเอกของเรื่อง ประกบคู่กับ "น้ำฝน" กุลณัฐ ปรียะวัฒน์ นางเอก และเพื่อนๆ นักมวยรุ่นพี่อีกหลายคน

นอก จากนี้ สมรักษ์ยังเคยร่วมแสดงภาพยนตร์ระดับโลกเรื่อง Fearless ในปี 2006 โดยบทบาทในเรื่องต้องปะทะกับ หลี่เหลียนเจี๋ย (เจ็ท ลี) พระเอกของเรื่องด้วย

สมรักษ์ เป็นนักมวยที่มั่นใจในฝีมือตัวเอง จนได้รับฉายา "โม้อมตะ" แต่น่าเสียดายที่หลังจากคว้าเหรียญทองอลป. เขากลับหย่อนยานเรื่องวินัย ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จอีกเลย
โอลิมปิก 2000 : ซิดนีย์ ออสเตรเลีย
(พ.ต.ท.) วิจารณ์ พลฤทธิ์ หรือ ศรีสัชนาลัย แท็กซี่มิเตอร์ (มวยไทย) นักมวยเหรียญทองโอลิมปิกชาวไทยคนที่ 2 ต่อจาก สมรักษ์ คำสิงห์ โดยชนะการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่น รุ่นฟลายเวท (50 กก.)

วิจารณ์ เริ่มชกมวยตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จนกระทั่งปี พ.ศ.1992 จึงขึ้นชกที่เวทีราชดำเนินครั้งแรกได้ค่าตัว 2,000 บาท หลังจากนั้น พ.ต.อ.เสวก ปิ่นสินชัย โปรโมเตอร์ของเวทีราชดำเนินใช้ชื่อ "ศึกอัศวินดำ" สนับสนุนให้ ศรีสัชนาลัย รับราชการตำรวจ จนปัจจุบันได้รับยศเป็น สิบตำรวจตรี (ส.ต.ต.) ซึ่งในช่วงเวลานี้เอง พ.ต.อ. เสวก ได้นำศรีสัชนาลัยมาชกมวยสากลสมัครเล่นให้กับทีมสโมสรตำรวจโดยสลับกับการชก มวยไทย

วิจารณ์ ติดทีมชาติ หลังจาก ประมวนศักดิ์ โพธิ์สุวรรณ นักชกทีมชาติคนก่อนประกาศแขวนนวม ซึ่ง วิจารณ์ ถือเป็นมวยนอกสายตา หรือมวยในระดับเกรดบีเท่านั้น เพราะเพิ่งชกมวยสากลได้ราว 2 ปี เท่านั้น คือ ครั้งแรกชิงแชมป์ประเทศไทยปี พ.ศ. 2542 ตกรอบแรก ก่อนที่จะได้แชมป์กีฬากองทัพไทย และเป็นแชมป์ซีเกมส์ปีเดียวกัน

ใน ศึกโอลิมปิก 2000 วิจารณ์ มิได้ถูกยกเป็นนักมวยตัวเก็งเหรียญทองหรือเหรียญรางวัลใดเลย เหตุเพราะมีประสบการณ์ในการชกมวยสากลสมัครเล่นน้อยมาก แต่หลังจากนักมวยเพื่อนร่วมชาติไทยทยอยกันตกรอบ

ทว่าการชกของ วิจารณ์กลับทำได้ดีและดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งทะลุขึ้นชิงรอบชิงชนะเลิศและสามารถคว้าเหรียญทองมาได้ในที่สุด โดยรอบชิงชนะเลิศ ชนะคะแนน บูรัต ยูมาดิลอฟ (คาซัคสถาน) 19/12 เจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิก 1996


หลังจากคว้าเหรียญทองแล้ว เขาตัดสินใจแขวนนวมทันที และนำเงินรางวัลที่ได้เปิดร้านขายผ้าไหมร่วมกับภรรยาคือ จุฬาพร พลฤทธิ์ (เก๋)
โอลิมปิก 2004 : เอเธนส์ กรีซ
"เจ้าเติ้ล" สุดยอดนักมวยอัจฉริยะ แชมป์โอลิมปิก รุ่นซูเปอร์ไลท์เวท (63 กก.) มนัสได้เหรียญทองจากกีฬาโอลิมปิก 1 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน เอเชี่ยนเกมส์ 1 เหรียญทอง และซีเกมส์ 2 เหรียญทอง และหนึ่งเหรียญทองแดงจากการแข่งขัน มวยสากลสมัครเล่นชิงแชมป์โลกที่จัดขึ้นที่กรุงเทพในปี 2546

มนัส จัดเป็นนักมวยที่เปี่ยมสีสัน ทั้งในและนอกสังเวียนคนหนึ่ง จึงทำให้สื่อมวลชนให้ฉายามนัสว่า "เพลย์บอยกลับใจ" เขาเริ่มชกมวยตั้งแต่เด็กๆ ร่วมกันพี่น้องท้องเดียวกัน

ในโอลิมปิก 2004 มนัส เจอกับคู่แข่งหินๆ ตลอดเส้นทาง แต่ก็สามารถผ่านไปได้หมด ไม่ว่าจะเป็น ชนะ โรมิโอ บริน ( ฟิลิปปินส์) 29-15 หมัด รอบ 8 คนสุดท้าย ชนะ วิลลี เบรน ( ฝรั่งเศส) 20-8 หมัด รอบรองชนะเลิศ ชนะ ไอโอนัท จอร์จี ( โรมาเนีย) และรอบชิงชนะเลิศ ชนะยูได เซเดอโน่ จอห์นสัน ( คิวบา) 17-11

มนัส เป็นนักกีฬาไทยคนแรก ที่สามารถคว้าเหรียญจากการแข่งขันโอลิมปิกสองสมัยติดต่อกัน โดยในปี 2008 เขาผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่น่าเสียดายที่พลาดท่าพ่ายคู่ชกจาก โดมินิกัน แบบขาดลอย
อุดมพร พลศักดิ์
นักกีฬายกน้ำหนักทีมชาติไทย เป็นนักกีฬาหญิงคนแรกของประเทศไทย ที่ได้เหรียญทองโอลิมปิก โดยได้จากการแข่งขันโอลิมปิก ปี 2004 ที่กรุงเอเธนส์ รุ่นไม่เกิน 53 กก.

"น้อง อร" ยกในท่าสแนชได้ 97.5 กก. ท่าคลีนแอนด์เจิร์กได้ 125 กก. รวม 222.5 กก. โดยเป็นการทำลายสถิติโอลิมปิก ในท่าคลีนแอนด์เจิร์กของประเภทนี้ด้วย

ด้าน ชีวิตส่วนตัว อุดมพร รับราชการทหาร ยศร้อยโท และเพิ่งจัดฉลองสมรสพระราชทานชื่นมื่น ที่โรงแรมสีมาธานี กับแฟนหนุ่มนักยกน้ำหนัก นายชัยรัตน์ ล้อประกานต์สิทธิ์

ก่อนขึ้นยก น้ำหนักและคว้าเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิก เธอจะตะโกนคำว่า "สู้โว้ย" ออกมาดังๆ เพื่อปลุกขวัญกำลังใจ เป็นที่ถูกอกถูกใจแฟนกีฬาชาวไทย คำว่าสู้โว้ยจึงเป็นวลีฮิตติดปากของคนไทยในขณะนั้น
ปวีณา ทองสุก
ปวีณา หรือ "น้องไก่" ได้รับการชักชวนให้มาเล่นกีฬายกน้ำหนัก ขณะยังเรียนอยู่ชั้น ม.2 โรงเรียนวัดเทพลีลา โดยมี อาจารย์วินัย คำจีนศรี เป็นผู้ฝึกสอน เข้าแข่งขันระดับนานาชาติครั้งแรก ในเอเชียนเกมส์ 1998 ที่กรุงเทพมหานคร แต่ไม่ได้รับเหรียญรางวัล

6 ปี ต่อมา ในโอลิมปิก 2004 ปวีณา ลงแข่งขันในรุ่นน้ำหนัก 75 กิโลกรัม ท่าแรก คือท่าสแนทช์ ยกได้ 122.5 ก.ก. เป็นอันดับสองรองจาก วาเลติน่า เลโปว่า จากประเทศรัสเซีย ซึ่งยกได้ 125 ก.ก. ท่าที่สอง คือคลีนแอนด์เจิร์ก ปวีณายกได้ 150 ก.ก. ซึ่งเป็นสถิติโอลิมปิก ในขณะที่วาเลติน่ายกได้เพียง 147.5 ก.ก. จึงมีน้ำหนักรวมเท่ากัน แต่นางสาวปวีณา มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า จึงได้เหรียญทองไปครอง

นอกจากนี้ เธอยังได้รับเลือกจากสหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติให้เป็นนักกีฬายกน้ำหนักหญิง ยอดเยี่ยม ของการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ครั้งดังกล่าวอีกด้วย

ปัจจุบัน ปวีณา รับราชการทหารยศร้อยโท และได้เข้าพิธีมงคลสมรสกับ สาเรศ ลิ่มกังวานมงคล อดีตนักกีฬาฟันดาบทีมชาติไทย และผู้ประกาศข่าวกีฬาโมเดิร์นไนน์ทีวี เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2553 ณ สโมสรทหารบก กรุงเทพฯ
โอลิมปิก 2008 : ปักกิ่ง จีน
ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล
ประภาวดี หรือที่รู้จักและนิยมเรียกกันในชื่อ "น้องเก๋" เป็นชาวจังหวัดนครสวรรค์ เป็นลูกคนโตในจำนวนพี่น้อง 4 คน ครอบครัวมีฐานะยากจน บิดาประกอบอาชีพกรรมกรก่อสร้าง

ประภาวดี เริ่มเข้าสู่การแข่งขันยกน้ำหนักตั้งแต่อายุ 11 ปี ติดทีมชาติครั้งแรกเมื่อปี 2001 ในการแข่งขันโอลิมปิก 2008 ที่ปักกิ่ง เธอเข้าแข่งขันใน รุ่น 53 กิโลกรัม เมื่อทำสถิติท่าสแนตช์ 95 กิโลกรัม ท่าคลีนแอนด์เจิร์ก 126 กิโลกรัม รวมน้ำหนักทำได้ 221 กิโลกรัม ทำลายสถิติโอลิมปิกสำหรับท่าคลีนแอนด์เจิร์ก

"น้องเก๋" คือตัวเต็งลำดับที่ 1 ในรุ่น 53 กก. ขนาดที่คู่แข่งจากจีน ซึ่งเป็มหาอำนาจในกีฬายกน้ำหนักไม่ขอส่งในรุ่นนี้

นอกจากนี้ ประภาวดี ยังได้รับพระราชธานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นจตุตถดิเรกคุณาภรณ์ (จ.ภ.)
สมจิตร จงจอหอ
ร้อยเอก ดร.สมจิตร จงจอหอ เคยได้รับเกียรติสูงสุดให้เป็นผู้เชิญธงชาติไทย นำคณะนักกีฬาทีมชาติไทย ในพิธีปิดโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 ซึ่งภายหลังเขาคว้าเหรียญทองมาครองได้
 
สม จิตร ได้รับเหรียญทองจากการแข่งขันมวยรายการต่างๆ มากมาย อาทิ เวิลด์แชมเปี้ยนชิพ, มวยทหารโลก, เอเชียนเกมส์ โดยก่อนชกมวยสากลสมัครเล่น สมจิตรเคยเป็นนักมวยไทยมาก่อน ใช้ชื่อว่า "ศิลาชัย ว.ปรีชา"
 
ทว่า สมจิตร ไม่เคยประสบความสำเร็จในเส้นทางโอลิมปิกเลย แม้ได้รับการคาดหมายให้เป็นตัวเต็งในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2004 และเอเชี่ยนเกมส์ 2006 แต่ไม่สามารถคว้าเหรียญรางวัลได้ตามคาด
 
สม จิตร เคยให้สัมภาษณ์ว่ารู้ท้อแท้ใจมากกับความล้มเหลวจนเกิดความคิดจะแขวนนวมถึง 2 ครั้ง แต่ท้ายที่สุดก็กลับมาตั้งต้นพยายามใหม่ และคว้าเหรียญทองมาฝากแฟนๆชาวไทยได้เสำเร็จ โดยชนะอันดริส ลาฟฟิตา นักมวยชาวคิวบา ที่สมจิตรเคยแพ้ เมื่อครั้งแข่งขันเวิลด์แชมเปี้ยนชิพ 2005
 
ด้านชีวิตหลังแขวนนวมนั้น เขาร่วมแสดงงานบันเทิงมากมาย โดยเฉพาะละครฟอร์มยักษ์เรื่อง นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว และตะวันเดือด

ส่วนในปีนี้แน่นอนว่าคนไทยทั้งประเทศอยากจะได้สัมผัสความสุขอย่างวันวานอีก ก็ต้องส่งแรงใจไปเชียร์ให้ถึงลอนดอนกันเลยครับ ส่วนตัวพี่แฮนด์เองรับรองจะ เฝ้าเชียร์ไม่ให้พลาดจนถึงวันสุดท้ายแน่นอนครับ

 ขอขอบคุณข้อมูลประกอบจาก sanook.com

วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เลือก LTF กับ RMF อะไรดีกว่ากัน ?

○ RMF (Retirement Mutual Fund)

สินทรัพย์ที่ RMF จะไปลงทุน เป็นได้ทั้งตราสารหนี้ (พันธบัตรภาครัฐ และหุ้นกู้ภาคเอกชน) สินค้าโภคภัณฑ์ และ หุ้นสามัญ

เงื่อนไขการลงทุน
  • เริ่มลงทุนแล้วต้องลงต่อเนื่องทุกปี
  • ลงทุนขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 3% ของเงินได้แต่ละปี หรือ 5,000 บาท แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า
  • ลงทุนขั้นสูงไม่เกิน 15% ของเงินได้แต่ละปี โดยเมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (Government Pension Fund) แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
  • ต้องถือหน่วยลงทุนจนครบอายุ 55 ปี และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี (อายุเกิน 55 แต่ยังลงทุนไม่ถึง 5 ปี ก็ยังขายไม่ได้)

○ LTF (Long Term Equity Mutual Fund: )

สินทรัพย์ที่ LTF จะไปลงลงทุน จะเป็นตราสารทุน และ อนุพันธ์ของตราสารทุน (เพื่อลดความเสี่ยง) เท่านั้น ไม่มีตราสารหนี้
เงื่อนไขการลงทุน
  • ไม่ต้องลงทุนทุกปี
  • ลงทุนขั้นสูงไม่เกิน 15% ของเงินได้แต่ละปี และไม่เกิน 500,000 บาท
  • ต้องถือหน่วยลงทุนไว้ต่อเนื่อง 5 ปีปฏิทินจึงจะขายหน่วยลงทุนได้ (ในทางปฏิบัติ 3 ปีกว่าก็ขายไ้ด้แล้ว เช่น เริ่มลงทุนวันที่ 30 ธันวาคม 2554 สามารถขายได้ในวันที่ 2 มกราคม 2558 รวมเวลาจริง 3 ปี 4 วัน)

○ ผลจากการผิดเงื่อนไขภาษี

  • ต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับการยกเว้นทั้งหมด
  • ต้องนำกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุนไปรวมคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีด้วย

○ การสับเปลี่ยนกองทุน

  • สามารถทำได้ในกองทุนลักษณะเดียวกัน โดยไม่จำกัดว่าต้องอยู่ในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเดียวกัน เช่น มี LTF ที่ บลจ.ABC สามารถย้ายไปถือ LTF ที่ บลจ.XYZ ได้ แต่จะย้ายไปถือ RMF ไม่ได้ ซึ่งในกรณี RMF ก็เช่นเดียวกัน
  • ผู้ถือ RMF ประเภทตราสารทุน สามารถขายและไปซื้อ RMF ประเภทตราสารหนี้ได้ โดยไม่ผิดเงื่อนไขภาษี

○ กลเม็ดในการลงทุนใน RMF & LTF

  • คนส่วนใหญ่มักซื้อกองทุน RMF & LTF ในช่วงเดือนธันวาคม (อยากรอดูให้แน่ใจ) ทำให้หุ้นมักขึ้นในช่วงนั้นเ้ช่นกัน (ตั้งแต่ปี 2543  SET เฉพาะในเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.99%  และจำนวนปีที่ SET ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนนี้มีถึง 7  ใน 10 ปี ) ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน จึงเป็นนาทีทองในการซื้อ RMF & LTF (ซื้อก่อนหุ้นจะขึ้น) และเมื่อพอใจในมูลค่าที่เพิ่มขึ้นแล้ว หากเดิมถือกอง RMF อยู่ ก็สามารถก็สลับกองหุ้นไปเป็นกองตราสารหนี้ที่ความผันผวนต่ำกว่าและมีผลตอบ แทนแน่นอนกว่าได้
  • ทางด้าน LTF เอง สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการลงทุนยาวจนอายุ 55 และไม่ชอบความเสี่ยงในกองทุนหุ้นล้วน ๆ ปัจจุับันมี LTF ที่ประกอบด้วยทั้งหุ้นและอนุพันธ์ผสมกัน (ซึ่งปกติมีแต่หุ้นล้วน) เพื่อขจัดความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคา (อนุพันธ์จะวิ่งสวนทางกับราคาหุ้น) เช่น 1-SMART LTF ของ บลจ.วรรณ (http://www.one-asset.com/ThailandMutualFund/Prospectus/FF010069.pdf)  หรือ SCBLTS ของบลจ.ไทยพาณิชย์ (http://www.scbam.com/v1/pdf/old_download/summary_pro/lts_imp.pdf) หรือ KSDLTF ของบลจ.กสิกรไทย (http://www.kasikornasset.com/th/pages/KSDLTF.aspx) สามารถใช้เป็นที่เก็บรักษามูลค่าของ LTF เมื่อเรากลัวหุ้นตกได้
อ้างอิง:
  • ช้อมูล SET Index ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2543 จากโปรแกรม eFin Smart Portal ของ eFinanceThai.com
  • หลักเกณฑ์การหักลดหย่อนภาษีจากกรมสรรพากร  http://www.rd.go.th/publish/557.0.html
ที่มา http://fundmanagertalk.com/fundtalk-rmf-ltf-summary/


เลือกซื้อ LTF อย่างไรให้ตรงกับความต้องการ

ช่วงนี้เห็นมีคนถามกันมามากเกี่ยวกับการเลือกซื้อ LTF ว่าจะซื้อกองใหนดี ผมจะสรุปย่อๆให้นะครับ
ก่อนอื่นคงต้องแยกจุดประสงค์ของการซื้อก่อนนะครับ ว่าต้องการซื้อเพื่ออะไร ผมจะแยกหลักๆเป็นสองอย่างนะครับ คือ

1. เพื่อต้องการลดหย่อนภาษีอย่างเดียว โดยไม่ต้องการมีความเสี่ยงด้านลงทุน และไม่ได้หวังในผลตอบแทน
กลุ่มนี้จะเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงน้อย หรือแทบไม่มีเลย เนื่องจากมีป้องกันความเสี่ยงเกี่ยวกับความผันผวนของตลาดหุ้นใว้ (ปรกติ LTF จะบังคับให้กองทุนลงทุนในหุ้นอย่างน้อย 70%) ทำให้ราคากองทุนไม่ได้ปรับตัวไปตามตลาดซะทีเดียว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุนด้วย ว่าให้น้ำหนักการลงทุนและป้องกันความเสี่ยงแค่ใหน

TIPS: กองทุนประเภทนี้นอกจากจะใช้เพื่อหวังผลทางภาษีอย่างเดียวแล้ว ยังสามารถใช้สลับเข้าไปพักในตลาดขาลงได้อีกด้วย เมื่อมองว่าตลาดจะฟื้นตัว จึงค่อยสลับไปยังกองทุนที่มีความเสี่ยงมากขึ้นก็ได้


ผมทำกราฟเปรียบเทียบตัวอย่างกองทุนประเภทนี้กับ SET Index ใว้ ลองกดดูในแต่ละช่วงเวลาดูนะครับ

http://siamchart.com/fund-chart/SCBL...LTF,KSDLTF,SET

จะเห็นว่าแรกๆ KSDLTF ก็แกว่งตาม SET เหมือนกัน ขณะที่ 1SMART-LTF คงเส้นคงวามาตลอด ไม่รู้ว่า KSDLTF เปลี่ยนรูปแบบการลงทุนไปตอนใหนบ้าง ส่วน SCBLTS ค่อนข้างปรับตัวตาม SET
ถ้าไม่ต้องการความเสี่ยงเลย และหวังผลทางภาษีอย่างเดียว 1SMART-LTF น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดนะครับ
2. เพื่อลดหย่อนภาษี และ การลงทุน
กลุ่มนี้ราคากองทุนจะค่อนข้างแปรผันไปตามสภาพตลาด โดยจะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ เสี่ยงปานกลาง และเสี่ยงสูง

- ความเสี่ยงปานกลาง
(กองทุนประเภทนี้จะพยายามลงทุนในหุ้นในสัดส่วนน้อยที่สุดคือ 70%)
http://siamchart.com/fund-compare/LTF_7030

เนื่องจากลงทุนในหุ้นเพียง 70% ทำให้ผันผวนน้อยลง แต่ก็ยังตามตลาดพอสมควร

- ความเสี่ยงสูง
(กองทุนประเภทนี้จะลงทุนในหุ้นเกือบทั้งหมด)
http://siamchart.com/fund-compare/LTF_EQ

เนื่องจากลงทุนในหุ้นเกือบทั้งหมด ทำให้ราคาเคลื่อนใหวแกว่งตัวมากตามตลาด
จะเห็นว่าช่วงที่ตลาดปรับตัวสูงขึ้น กองทุนของ AYF ทำผลงานได้ค่อนข้างโดดเด่นมาก แต่ในเวลาที่ตลาดปรับตัวลงก็ลงแรงเช่นกัน

และหากต้องการผลตอบแทนในรูปปันผลด้วย ก็มีกองทุนในกลุ่มที่มีการจ่ายปันผลให้เลือกเช่นกัน

http://siamchart.com/fund-compare/LTF_DIV


TIPS: กองทุนที่ไม่มีการจ่ายปันผล ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้เลือกหุ้นที่มีปันผลใว้ในพอทการลงทุน การจ่ายปันผลเป็นเพียงนโยบายการจ่ายปันผลเท่านั้นไม่ได้หมายถึงนโยบายการ เลือกหุ้นในการลงทุน ดังนั้นขอให้อย่าไปสับสนกับหุ้นปันผล เพราะคนละความหมายกัน
ผมมีทำตารางเปรียบเทียบผลตอบแทนย้อนหลังของทุกกองทุน LTF ในไทยใว้ ลองพิจารณาดูนะครับ
http://siamchart.com/fund-compare/LTF


ทั้งนี้อยากให้เช็กดูเงื่อนใขในการสลับ และย้ายกองทุนของแต่ละ บลจ.ด้วย ว่ามีเงื่อนใขอะไรบ้างหรือเปล่า

เพราะการจะย้าย LTF ข้ามบลจ. เป็นเรื่องค่อนข้างยุ่งยากนะครับ ดังนั้นการตัดสินใจเลือกซื้อก็ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน จะได้ไม่ต้องมาย้ายทีหลัง

ส่วนเรื่องโปรโมชั่นต่างๆหรือการซื้อด้วยบัตรเครดิต คงต้องสอบถามไปยังแต่ละธนาคาร หรือ บลจ. นะครับ ซึ่งก็คงมีออกมาแข่งกันบ้างอยู่แล้ว

แต่อยากให้สนใจ ในประเด็นเรื่องจุดประสงค์ในการลงทุน มากกว่าที่จะสนใจโปรโมชั่นนะครับ ไม่งั้นอาจจะมาเสียใจในภายหลังได้


UPDATE: ผลสรุปคือแต่ละบลจ. เลือกที่จะคงกองทุนใว้โดยงดการสลับเข้ากองทุน แต่สามารถสลับออกหรือสั่งขายได้ตามปรกตินะครับ

เร็วๆนี้มีประกาศมาจาก บลจ. วรรณ เรื่องกองที่มีการป้องกันความเสี่ยงโดยใช้ future เช่น 1SMART-LTF เนื้อความตามนี้ครับ

เรียน ท่านผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)

ตามที่ คณะกรรมการกำกับตลาดทุน ได้มีมติเห็นชอบการแก้ไขประกาศเกี่ยวกับการลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)


เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.54 โดยกำหนดให้การลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ต้องมีสัดส่วนการลงทุนสุทธิในหุ้นไม่น้อยกว่า 65 %


ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนสุทธิ คำนวณจากผลรวมของมูลค่าการลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียน


หักด้วยผลรวมของการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (“derivatives”) เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นดังกล่าว


เช่น กองทุน LTF ที่มีการลงทุนในหุ้นร้อยละ 80 ของ NAV และทำ derivatives


เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นร้อยละ 20 ของ NAV จะมีฐานะการลงทุนสุทธิในหุ้นเท่ากับร้อยละ 60 ของ NAV


(คำนวณโดยนำการลงทุนในหุ้นร้อยละ 80 ของ NAV หักด้วยการทำ derivatives ร้อยละ 20 ของ NAV)


บลจ. วรรณ ได้รับแจ้งจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.ว่าการแก้ไขประกาศในเรื่องดังกล่าว จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป

สำหรับกองทุนที่ได้รับอนุมัติให้จัดตั้งก่อน วันที่ประกาศมีผลบังคับใช้ ยังคงสามารถลงทุนตามนโยบายเดิมได้ แต่ห้ามขายหน่วยลงทุนเพิ่มหรือรับสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนเข้า

การแก้ไข ประกาศข้างต้น ส่งผลกระทบต่อกองทุนเปิดวรรณเอเอ็มสมาร์ทหุ้นระยะยาว (1SMART-LTF)ซึ่งเป็นกองทุน LTF ที่มีนโยบายลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อลดความผันผวนจากการลงทุนในหุ้น และมีสัดส่วนการลงทุนสุทธิในหุ้นต่ำกว่า 65%

ดังนั้น หลังจากที่ประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 มกราคม 2555 แล้ว
กองทุน 1SMART-LTF จะไม่สามารถรับคำสั้งซื้อเพิ่ม หรือสับเปลี่ยนเข้าได้อีก

ดังนั้น ผู้ลงทุนจะสามารถลงทุนในกองทุน 1SMART-LTF ได้จนถึงวันที่ 13 มกราคม 55 เท่านั้น


สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งเมื่อสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.ได้ออกประกาศฉบับดังกล่าวอย่างเป็นทางการ


จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ

ขอแสดงความนับถือ
บลจ. วรรณ จำกัด
ไม่แน่ใจว่าจะมีผลยังไงบ้างในอนาคตกับกองทุน ลองสอบถามไปยัง บลจ.ดูนะครับ
กองทุนที่มีผลกระทบก็พวก SMART ของแต่ละบลจ. เช่น 1SMART-LTF / KSDLTF / SCBLTS 



Long term Equity Fund (LTF) - Performance Table (+ dividend) [เปรียบเทียบข้อมูลวันที่ 2012-08-01]
{TIPS: คุณสามารถเรียงข้อมูลในตารางตามระยะเวลาที่ต้องการใด้ โดยกดที่หัวตาราง
NoName1 Week
(Chg%)
2 Weeks
(Chg%)
1 Month
(Chg%)
3 Months
(Chg%)
6 Months
(Chg%)
1 Year
(Chg%)
3 Years
(Chg%)
5 Years
(Chg%)
1B-LTF (BBLAM) +1.8020-0.1116+2.8061+1.1049+19.5708+23.7805+123.5812+86.3150
2BLTF75 (BBLAM) +1.6533+0.0326+2.5674+1.5069+15.3689+17.7841+94.3487+78.3598
31SG-LTF (1 A.M.FUND) +0.6645-1.8471+1.9205-1.4554+16.2143+17.5340+105.0146+65.7048
4ABLTF (Aberdeen) +0.8011-2.3088+1.0747-1.1738+20.3367+15.9293+123.8212+83.0918
5MIF-LTF (MFCAM) +0.0469-1.3026+1.6074-1.8727+8.7047+14.7916+146.6105N/A
6P-LTF (PAMC) +0.5328-2.6436+0.7832-2.5227+13.5418+12.9376+93.8779+57.6859
7KK LTFD (KK) +0.6291-1.6909+4.1822+0.2033+14.6466+12.8613N/AN/A
8UOBLTF (UOBAM) +1.4348-1.1352+2.8879-0.8337+14.6576+12.2828+106.5144+76.6694
9VALUE-D LTF (ING Funds) -0.0854-1.7519+3.0624-1.1847+15.5334+11.9194+100.6977+89.1739
10CIMB-PRINCIPAL LTF +1.2236+0.3459+4.5333+0.9827+17.9502+11.6421+66.5799+15.6302
11TISCOLTF (TISCOAM) +1.1315-0.9671+2.3483-1.6182+14.4979+11.4901+93.1642+70.2109
12TDLTF (TISCOAM) +1.1117-0.9867+2.3814-1.5943+14.5895+11.4814+93.2530+62.8268
131S-LTF (1 A.M.FUND) +0.8257-1.4118+1.7431-3.0675+11.1396+9.9028+74.0323+38.6290
14MS-CORE LTF (MAMT) +1.3253-1.5519+1.7818-1.9441+11.8596+8.9542+105.1886N/A
15ING CG-LTF (ING Funds) +0.4300-1.1483+3.1502-3.1075+12.7723+8.7989+103.1090+98.3150
16KFLTFDIV (AYF) +1.2060-1.3075+0.3584-4.7566+13.8864+8.7970+133.9787+88.4987
17BIG CAP-D LTF (ING Funds) +0.4947-2.6548+1.0629-4.6607+15.2182+8.4537+88.6911+62.1925
18MG-LTF (MFCAM) +1.1332-1.2800+2.2304-2.4186+8.9145+8.1888+75.4304N/A
19MA-LTF (MFCAM) +1.0979-1.2854+2.5514-2.0575+13.7767+7.9254+95.8028+76.5149
20BigCapLTF (Thanachart) +0.9824-1.3923+3.2300-0.9367+13.5320+7.4604+93.4424+80.1276
21JB25 LTF (TMBAM) +1.1686-2.4564+0.9731-4.6204+9.5056+7.2304+92.2717+60.7235
22KFLTFD70 (AYF) +0.8323-0.8765+0.3330-2.8906+10.3123+6.7616+89.1566+70.5601
23KFLTF50 (AYF) +1.2480-1.9359+1.8763-3.8348+10.6353+6.7499+101.2522+62.9180
24KSET50LTF (KTAM) +1.2698-1.9006+1.8414-3.7081+10.8788+6.4082+96.5000+54.5220
25JBP LTF (TMBAM) +0.8333-1.7312+0.7123-3.0925+7.2009+6.0273+62.0804+48.5601
26SCBLTT (SCBAM) +1.1009-1.4438+2.3150-1.7125+13.7124+5.7172+66.6626+33.0998
27SCBLT3 (SCBAM) +1.1347-1.3870+2.4365-1.4662+14.1225+5.6827+70.6266+29.7448
28K20SLTF (K-ASSET) +1.1314-1.7717+1.7038-4.6934+9.1418+5.3685+91.3846+50.6088
29KEQLTF (K-ASSET) +1.1713-1.7096+2.2034-3.7112+10.6717+5.0962+100.4222+62.0667
30MV-LTF (MFCAM) +1.1598-0.9909+2.9358-0.7220+13.9524+4.7508+89.2266+65.3409
31KDLTF (K-ASSET) +1.1516-1.6985+2.1984-3.6737+10.3199+4.2708+91.5239+54.4518
32KTLF70/30 (KTAM) +1.2300-1.1015+1.9261-1.2315+8.2929+4.1526+75.3662+92.7625
33LTFD (Thanachart) +1.3130-1.2087+2.7144-2.3366+12.9702+4.0667+79.8544+56.4091
34KGLTF (K-ASSET) +0.9347-1.8517+2.3065-3.8659+9.8765+4.0490+95.4328+64.3867
35FAM LTF (FAM) +1.2392-1.2646+2.3555-4.1269+8.1575+3.9759+78.1463+46.3812
36KSLTF (KTAM) +0.5094-1.8428+1.7988-1.4377+9.3024+3.7956+51.1253+52.1500
37SCBLT2 (SCBAM) +1.1555-1.9762+1.8073-3.6136+10.4287+3.4584+64.1900+39.4734
38ASP-GLTF (ASP) +1.1267-1.4897+2.0407-1.6164+11.5708+3.4520+79.7547+51.5462
39EP-LTF (SOLARIS) +1.4592-1.8336+1.4832-4.7146+6.6799+3.2878+57.8474+28.9704
40KTLF (KTAM) +1.4912-1.4862+2.4305-2.6381+8.0027+2.8769+83.4813+71.1166
41K70LTF (K-ASSET) +0.9257-1.1130+1.9058-2.0099+8.3938+2.8759+57.6221+40.2006
42SCBLT1 (SCBAM) +0.8504-1.3401+1.3462-2.4159+7.2570+2.7613+44.5842+33.4972
4370/30-D LTF (ING Funds) +0.2743-0.8113+2.1535-2.5061+8.3306+2.2349+61.0335+55.3231
44SCBLTS (SCBAM) +0.5269-0.5891+0.9305-1.2103+3.9465+2.2258+22.7631+9.8780
451SMART-LTF (1 A.M.FUND) +0.2304+0.0891+0.5218-0.6283+0.0816+1.5495+4.6915+8.3913
46KSDLTF (K-ASSET) +0.2400+0.0534+0.3621+0.0418+0.9827+0.0297+11.6291-11.8221
47CIMB-PRINCIPAL 70LTFD +0.8767+0.2905+3.2848-4.5697+7.0208-1.2231+40.4013-0.8546
48SCBLT4 (SCBAM) +1.7701-1.1685+1.7110-4.4139+5.2333-1.8091+37.5277+11.5187
49KFLTFEQ70D (AYF) +0.8375-1.2102-0.4401-5.1200+2.7819-1.9045N/AN/A
50KFLTFEQ (AYF) +1.1923-1.7686-0.6785-7.4548+4.1323-2.3022+64.6580+48.7932
51KFLTFA50-D (AYF) +1.5422-1.4610-0.2679-7.6253+4.4955-2.7650N/AN/A
52ASP-LTF (ASP) +1.1241-1.4771+2.0546-1.5775+2.5502-4.9512+68.7096+44.7222



ที่มา http://siamchart.com

Reuse แบตเตอรี่เก่าๆ


เทคนิคง่าย ๆ ในการ ทำสาวแบตเตอรี่เก่า ด้วยการปรับความเข้มข้นของกรดในข่องเซลล์ ให้ได้ความพอดี 1250 โดยการใช้กรดซัลฟุริกเข้มข้น 98 % มาหยดปรับในแต่ละช่อง ความน้อนจากการรวมตัวกันของกรดเข้มข้น กับกรดจืดในช่องเซลล์ และความเข้มข้นที่พอดี จะทำให้ซัลเฟตละลายออกมาจากพื้นผิวแผ่นธาตุ ทำให้สามารถชาร์จได้ตามปรกติ อนึ่ง ผงซัลเฟตดำ ไม่ต้องเทออกทิ้ง ให้นอนรอที่ก้นเซลล์ เพื่อเป็นตัวยับยั้งไม่ให้โลหะตะกั่วในแผ่นธาตุละลายออกมาเพิ่มเติม เทคนิคนี้ ออกแนวโดย ดาลิน อาสาสมัครโซลาร์เซลล์ ด้านเคมีและถ่ายทำรายการ