วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เจลาติน

 
เจลาติน (อังกฤษ: gelatin) มาจากภาษาฝรั่งเศสว่า gélatine เป็นของแข็งโปร่งแสง ไม่มีสี เปราะ และแทบไม่มีรสชาติ ได้มาจากการแปรรูปคอลลาเจน (collagen) ที่มีอยู่ในผิวหนัง กระดูก รวมทั้งเนื้อเยื่อเกี่ยวพันของสัตว์ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่นิยมนำมาทำการผลิต 

เจลาตินจัดอยู่ในกลุ่มอาหาร มี E number คือ E441 

มีการนำเจลาตินมาใช้ในการเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์หลายชนิด เช่น เครื่องสำอาง ยา อาหาร และฟิล์มถ่ายรูป[1] โดยเฉพาะทางด้านอุตสาหกรรมอาหารซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของเจลาตินโดยเจลา ตินส่วนนี้เรียกว่า edible gelatin ซึ่งใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารชนิดต่างๆ เช่น ขนมหวาน ไอศครีม โยเกิร์ต เป็นต้น ตลาดที่ใหญ่รองลงมาคืออุตสาหกรรมการผลิตยาโดยใช้เจลาตินในการเคลือบเม็ดยา และผลิตเป็นแคปซูล ทั้งชนิดแคปซูลแข็งและแคปซูลนิ่ม

เจลาตินเป็นโปรตีนที่ได้การไฮโดรไลซ์คอลลาเจนด้วยความร้อนหรือใช้สารอื่นช่วย เช่น กรดหรือด่าง[2] ทำให้โครงสร้างคอลลาเจนถูกทำลายและเปลี่ยนแปลงเป็นสารเจลาติน ในการสลายพันธะในคอลลาเจน ส่วนประกอบหลักที่พบในเจลาตินเป็นสายเกลียวของ α β และ γ วัตถุดิบในการสกัดเจลาตินคือกระดูก เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และลำไส้บางส่วนของสัตว์เช่น โคกระบือ สุกร และม้า เป็นต้น พันธะระหว่างโมเลกุลของคอลลาเจนถูกเปลี่ยนให้อยู่ในรูปที่จัดเรียงตัวได้ ง่ายขึ้น เจลาตินหลอมเหลวเมื่อได้รับความร้อนและแข็งตัวกลับเมื่อได้รับความเย็น เจลาตินสามารถก่อเจลแบบกึ่งของแข็งร่วมกับน้ำ เมื่อละลายเจลาตินในน้ำจะได้สารละลายที่มีความหนืดสูงและก่อเจลเมื่อทำให้ เย็น องค์ประกอบทางเคมีของเจลาตินแทบจะเหมือนคอลลาเจนเริ่มต้น

  เจลาตินใช้ทำอะไรได้บ้าง ?

มี การนำเจลาตินมาใช้ในการเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์หลายชนิด เช่น เครื่องสำอาง ยา อาหาร และฟิลม์ถ่ายรูป ทางเภสัชกรรมจะใช้เจลาตินในการเคลือบเม็ดยา, ผลิตเป็นแคปซูลทั้งชนิดแคปซูลแข็งและแคปซูลนิ่มเพื่อใช้บรรจุยา, ใช้เป็นสารเพิ่มความหนืดในตำรับยาต่าง ๆ ,ใช้เป็นส่วนผสมของยาชนิดครีม ทางเกษตรใช้เป็นตัวกลางสำหรับแร่ธาตุที่จำเป็นในการปลูกพืช เป็นต้น ส่วนในผลิตภัณฑ์อาหารนั้นนำไปใช้ได้มากมาย ได้แก่

ผลิตภัณฑ์นม - ใช้ในกระบวนการ HTST หรือ UHT นม, นมเปรี้ยว(ใช้ 0.2-0.8%), เนยนิ่ม (soft cheese) เช่น ซาวร์ครีม, ครีสชีส, คอตเตจชีส, ชีสสเปรด(เนยทาขนมปัง)), เค้กแช่แข็ง, พุดดิ้ง, เต้าหู้นมสด, คัสตาร์ด, มูส, ไอศครีม, เนยไขมันต่ำ, มาการีน (ใช้เจลาติน 0.5-3.5%)

ขนมหวาน - เยลลี่, เม็ดเยลลี่,มาชแมลโล, อาหารเคลือบน้ำตาล, เคลือบผิวขนม, เค้กแช่แข็ง, เคลือบทอฟฟี่(ช็อกโกแลตหรือหมากฝรั่ง), กัมมีแบร์, หมากฝรั่ง, นูกัต, ลิโคริส, ขนมเคี้ยวหนึบ,แยม , ชีสเค้ก, ซีเรียลบาร์(ธัญพืชที่ทำเป็นแท่งๆ ดูรูป)


ผลิตภัณฑ์เนื้อ - เนื้อบรรจุกระป๋อง, ไส้กรอก, เคลือบผิวแฮม, อาหารทะเลกระป๋อง

อาหารอื่นๆ - ซุป, ซอส, มายองเนสไขมันต่ำ, น้ำสลัด, น้ำผลไม้

ปริมาณ เจลาตินที่ใช้ในอาหารบางชนิดน้อยมาก ซึ่งนักวิชาการอิสลามก็มีความเห็นเป็น 2 ทัศนะ คือมีทั้งที่อนุญาตและไม่อนุญาตให้ใช้ ทัศนะใดที่มีน้ำหนัก คงต้องอาศัยผู้รู้ค้นคว้าและวิเคราะห์ แต่ยังไงถ้าเห็นว่าเป็นอาหารที่อาจมีส่วนผสมของเจลาตินก็ต้องตรวจดูตราหะล้า ลและอ่านส่วนผสมให้ละเอียดก่อนจะซื้อ เพื่อความมั่นใจในระดับหนึ่ง

เจ ลาตินใช้ในอาหารได้หลายอย่าง แต่ไม่ใช่ว่าอาหารเหล่านี้เราจะทานไม่ได้เลย เพราะยังมีสารตัวอื่นที่ทำจากพืชนำมาใช้แทนเจลาตินได้ เช่น คาราจีแนน(จากสาหร่าย), เพคติน(พืช), แป้งดัดแปร ฯลฯ



เท่าที่ค้นได้ก็มี halagel ของมาเลเซีย ซึ่งเป็นโรงงานมุุสลิม ผลิตเจลาตินจากกระดูกวัวและแพะที่เชือดถูกต้องตามหลักการอิสลาม (เค้าว่าอย่างงั้นนะ) เจลาตินของเขาได้รับรองหะล้าลจากมาเลเซีย อินโดนีเซียและไทยด้วย


ที่มา 
http://th.wikipedia.org
http://maansajjaja.blogspot.com/2007/03/blog-post_14.html 

หน่วยทำลายล้างวัตถุระเบิด (ทรล.) : EOD (Explosive Ordnance Disposal)


ในสถานการณ์ของโลกในปัจจุบัน? วัตถุระเบิดถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบ? อันก่อให้เกิด หรือเพิ่มระดับความขัดแย้งในทุกเหตุการณ์บนโลก? เมื่อถามถึงอันตรายที่เกิดจากวัตถุระเบิดนั้น? หลายคนคงตอบว่า? ก็คือ แรงระเบิด ไง? แต่เป็นคำตอบที่ถูกเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น? เพราะผลลัพธ์ที่แท้จริงที่เกิดจากวัตถุระเบิดนั้น คือ แรงดันหรือแรงระเบิด, สะเก็ดระเบิด ที่เกิดจากวัสดุที่ใช้ห่อหุ้มวัตถุระเบิดนั้นๆ และท้ายที่สุด คือ ความร้อน? สิ่งที่เป็นตัวอันตราย และเป็นตัวกำหนดระยะปลอดภัย คือ สะเก็ดระเบิด? เนื่องจากเป็นสิ่งที่สามารถเคลื่อนที่ไปได้ไกลที่สุด
วัตถุระเบิด ประกอบด้วยองค์ประกอบ คือ กลไกการจุดระเบิด, เชื้อปะทุ และดินระเบิด โดยเริ่มการทำงานจาก กลไกการจุดระเบิด ที่เราอาจจะไปสัมผัสถูก, กดถูก, สะดุดถูก, ยกของที่กดทับออก หรือ คนร้ายกดรีโมทสั่งการจากระยะที่ปลอดภัย? จึงเป็นที่มาของสิ่งแรกที่ผู้พบเห็นวัตถุระเบิดแสวงเครื่อง หรือ IED (Improvised Explosive Device) ที่จะต้องปฏิบัติ คือ การห้ามไปสัมผัสโดนอย่างเด็ดขาด และห้ามเคลื่อนย้าย? ลำดับต่อมา คือ การกั้นพื้นที่ และลำเลียงผู้คนออกจากพื้นที่ในรัศมี 100, 200 และ 400 เมตร? โดยขึ้นอยู่กับการคาดการณ์น้ำหนักของวัตถุระเบิดที่ 5, 5-10 และมากกว่า 10 กิโลกรัม ตามลำดับ? ในขั้นตอนที่ 3 คือ การติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ? ซึ่งเจ้าหน้าที่ EOD ของตำรวจที่มีประจำในทุกจังหวัดจะมีอำนาจเต็มทางกฎหมาย และความรับผิดชอบในยามปกติ? ในขณะที่ EOD ของหน่วยงานทหารจะมีอำนาจเต็มในพื้นที่ของหน่วยทหาร และในยามสงคราม หรือไปเป็นตามการร้องขอจาก EOD ตำรวจ? ที่จะต้องอาศัยความชำนาญในเฉพาะด้านของ EOD แต่ละเหล่าทัพ? นอกจากนั้นยังสามารถรับการสนับสนุนจากหน่วยงานทหารช่างในส่วนของผู้ที่จบ หลักสูตรสงครามทุ่นระเบิด ซึ่งบรรจุให้ปฏิบัติงานอยู่ในส่วนของกองพันทหารช่างของกองพลทหารราบ/ม้า? แต่ขีดความสามารถจะจำกัดในการค้นหา และความชำนาญเฉพาะด้านการปฏิบัติต่อกับระเบิด และทุ่นระเบิดเท่านั้น? เนื่องจากขอบเขตการศึกษาของหลักสูตรเพียง 4 อาทิตย์ และอุปกรณ์ที่เหมาะกับสงครามทุ่นระเบิด
ในส่วนของ EOD เหล่าทัพจะแยกความรับผิดชอบตามชนิดของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหล่าทัพนั้นๆ มีประจำการ หรือเกี่ยวข้องและมีความชำนาญอยู่? ในขั้นตอนที่ 4 คือ การติดต่อกับหน่วยงานประเภทให้การสนับสนุน หรือให้การช่วยเหลือ อาทิเช่น รถพยาบาล, รถดับเพลิง, รถให้แสงสว่าง, สุนัขตำรวจ หรือสุนัขทหาร (ดมวัตถุระเบิด) ฯลฯ และการกันผู้พบเห็นวัตถุต้องสงสัยเป็นคนแรก เป็นพยานไว้? เพื่อให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ในเรื่องลักษณะของวัตถุต้องสงสัย, เวลาที่พบเจอ ฯลฯ
eod
วิวัฒนาการของหน่วย EOD ในต่างประเทศนั้น? ริเริ่มโดยอังกฤษในยุคสมัยของสงครามโลกครั้งที่ 1 จากการที่ต้องเก็บกู้ลูกระเบิดอากาศที่ถูกทิ้งจากเครื่องบินโจมตีของฝ่าย เยอรมัน? แต่เนื่องจากชนวนของลูกระเบิดอากาศไม่มีความซับซ้อนเท่าไร? อุปกรณ์การเก็บกู้จึงใช้เพียงชุดตะขอและเงื่อนเชือก (Hook and Line) และไม่ค่อยเกิดความสูญเสียใด? แต่ในระยะต่อมามีการพัฒนาของชนวนที่สามารถถ่วงเวลา, ตั้งเวลา และความสูงได้? จึงก่อให้เกิดความสูญเสียเป็นจำนวนมาก? อุปกรณ์จึงมีการพัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ในส่วนของสหรัฐอเมริกา? การเรียนการสอนเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ EOD เริ่มในปี พ.ศ.2488 โดยกองทัพเรือสหรัฐฯ แล้วประเทศไทยได้ส่งนายทหาร และนายสิบไปเรียนตั้งแต่ปี พ.ศ.2491 เป็นต้นมา? ซึ่งเมื่อกลับมาได้จัดตั้งแผนกกระสุน และวัตถุระเบิด กองการศึกษา โรงเรียนทหารสรรพาวุธ กรมสรรพาวุธทหารบก ในปี พ.ศ.2509 เป็นหน่วยให้การศึกษาในวิชากระสุน และวัตถุระเบิด และรับผิดชอบการฝึกนักทำลายล้างวัตถุระเบิดให้กับกองทัพบก? ซึ่งในปัจจุบันได้ผลิตนักทำลายฯ ระดับนายทหารชั้นสัญญาบัตร 193 นาย และชั้นประทวน 342 นาย รวม 535 นาย? ไปปฏิบัติหน้าที่ในแผนกฯ, ชุด ทลร.ที่มีอยู่ 15 นายต่อชุดประจำใน กองพันกระสุน กองบัญชาการช่วยรบ ทั้ง 4 กองทัพภาค, แผนก 1-6 กองคลังแสง กรมสรรพาวุธทหารบก, ฉก.อโณทัย และหน่วยอื่นๆ? โดยตำแหน่งที่กล่าวมาจะได้รับเงินเพิ่มค่าฝ่าอันตรายสำหรับนายทหารสัญญาบัตร 10,000 บาท และ ประทวน 7,500 บาท? ซึ่งจะงดรับเมื่อไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยที่กล่าวมาข้างต้น ไม่เหมือนเงินเพิ่มของนักบิน ทบ. ที่จะมีติดตัวไปตลอด แต่ได้มีการริเริ่มศึกษาความเป็นไปได้ที่จะขอสิทธิดังกล่าว? ในกรณีที่ จนท.ได้ปฏิบัติหน้าที่มาแล้วเป็นอย่างน้อย 3 ปี? ซึ่งคงได้แต่รอคอยความกรุณาจากผู้บังคับบัญชาชั้นสูงต่อไป
สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ และการปฏิบัติงานของหน่วย ทรล.? สามารถติดตามชมได้จากหนัง DVD เรื่อง Hurt Locker ที่กล่าวถึงการปฏิบัติงานของหน่วย ทรล.ของกองทัพสหรัฐฯ ในประเทศอิรัก? ซึ่งมีบางสิ่งที่แตกต่างไปจากหลักการปฏิบัติงานของ ทบ.ไทย คือ จนท.ทรล.ในการปฏิบัติงานแต่ละครั้งมักจะใช้ชุดละ 6 นาย? แต่ในหนังใช้เพียง 3 นาย? โดยแต่ละนายจะต้องปฏิบัติหน้าที่เป็น หัวหน้าชุด, พลขับ, จนท.ทำลาย, ผช.จนท.ทำลาย, จนท.อิเลคทรอนิกส์ และ จนท.สื่อสาร/ซักถามพยาน
สิ่งที่เป็นปัญหาของ หน่วย ทรล. ในปัจจุบัน คือ ชุด ทรล.ถูกใช้งานเกินขีดจำกัด? เนื่องจากในหลักการแล้ว? หน่วย ทรล. มีหน้าที่ในการเข้าไปทำการนิรภัยกระสุน และวัตถุระเบิดให้ปลอดภัยเท่านั้น? ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ควรหมดไปกับการคิด และวางแผน? เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างลุล่วง? ปลอดภัยทั้งสถานที่เกิดเหตุ, ผู้ประสบเหตุทุกคน และ จนท.ในหน่วย? ในขณะที่การตรวจค้นวัตถุระเบิด, การเก็บพยานวัตถุ และกิจกรรมที่นอกเหนือจากนี้จะอยู่ในความรับผิดชอบของ เจ้าหน้าที่ตรวจค้นวัตถุระเบิด หรือ EORA : Explosive Ordnance Reconnaissance Agent? ซึ่งเป็น จนท.ทหาร, ตำรวจ, จนท.ดับเพลิง หรือ จนท.ในหน่วยบรรเทาสาธารณภัยทางพลเรือนอื่นๆ? ที่ผ่านการฝึกอบรมมาแล้ว และได้รับแต่งตั้งให้รับผิดชอบในการตรวจค้นสรรพาวุธระเบิด? ซึ่งการอบรมอาจจะใช้ห้วงเวลาไม่เกิน 2 อาทิตย์? ในขณะที่หลักสูตร ทลร.ใช้เวลา 16 อาทิตย์
จนท.ตรวจค้นวัตถุระเบิดจะช่วยบริหารการ ปฏิบัติงานของหน่วย ทรล.ได้เป็นอย่างดี? เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาในการไปหาที่ตั้งของวัตถุระเบิด, ไม่ต้องไปสอบถามพยาน เพราะคำตอบได้ถูกเตรียมไว้แล้ว, มีการแจ้งเตือนให้เตรียมอุปกรณ์ไปใช้งานที่ถูกชนิดถูกประเภท, มีการพิสูจน์ได้ว่าเป็นวัตถุระเบิดปลอมหรือไม่ในระดับหนึ่ง, ลดงานในเรื่องของการเก็บวัตถุพยาน และที่สำคัญที่สุด คือ ชุด ทรล. จะมีเวลาในการฝึกมากขึ้น? เพราะหน่วย ทรล. จำเป็นต้องมีการฝึกด้วยโจทย์ใหม่ๆ โดยตลอด
โจทย์เหล่านี้ได้มาจาก ข้อมูลที่หน่วย ทรล.ของทุกเหล่าทัพ และหน่วย ทรล.มิตรประเทศ ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันโดยตลอด? ในปัจจุบันรับผิดชอบโดย EOD Data Center ของ สพ.ทบ.? เพื่อให้มีการวางรูปแบบกับเหตุการณ์ที่อาจจะต้องเผชิญ และเพิ่มข้อมูลทางเทคนิคความคุ้นเคยกับอุปกรณ์ที่ค่อนข้างจะทันสมัย ซึ่งงานประเภทนี้มีการท้าทายจากผู้ก่อความไม่สงบตลอดเวลา
บทความนี้แสดง ให้ท่านผู้อ่านได้ทราบถึงกระบวนการปฏิบัติงานของหน่วย ทรล. ของ สพ.ทบ., วิวัฒนาการของหน่วย, อันตรายจากวัตถุระเบิด ตลอดจนแนวทางที่สามารถอำนวยการให้หน่วย ทรล.สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด? ซึ่งความสำเร็จ หรือ ความดีความชอบมิได้ปรากฏ หรือแสดงได้ด้วยเงินทอง และชื่อเสียง? แต่สิ่งที่ต้องการที่สุด คือ ความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน? เพื่อลดโอกาสการนำมาซึ่งการต่อรอง และเจรจา? ในสิ่งที่ทำให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีได้ประโยชน์ และลดปัญหาการนำวัตถุระเบิดมาเป็นสิ่งต่อรอง
ที่มา  
http://cgsc.rta.mi.th/cgsc/index.php?option=com_content&view=article&id=295:87004—-eod-explosive-ordnance-disposal&catid=7:88&Itemid=25
http://movie.mthai.com/movie-news/54884.html

ชีวิตบนเส้นด้าย ของ EOD ชุดกู้ระเบิดแดนใต้ .....

.... หากวัดระดับ " ความเสี่ยง " ของเจ้าหน้าที่ ทหาร ตำรวจ ที่ลงมาปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คิดว่าน่าจะมีเปอร์เซ็นต์ ใกล้เคียงกัน ขึ้นอยู่กับว่า คนร้าย จะมีจังหวะ โอกาส  และสถานที่ เอื้ออำนวยมากน้อยแค่ไหน .....
.... เพราะความสูญเสียแต่ละครั้งของเจ้าหน้าที่ มักจะเกิดซ้ำซาก ในลักษณะเดียวกัน คือ วางระเบิด ซุ่มยิง ขณะปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวน บนเส้นทางสายเดิมๆ เนื่องจากภาระกิจที่ต้องกระทำเป็นกิจวัตรประจำวัน อย่างเช่น คุ้มครองครู โรงเรียน หรือ ดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนตามที่สาธารณะต่างๆ เป็นต้น .....
.... และเมื่อมีเหตุความสูญเสียเกิดขึ้นในแต่ละครั้ง จะต้องมีเจ้าหน้าที่หน่วยหนึ่งซึ่ง มี ทั้งทหาร ตำรวจ ที่ผ่านการฝึกอบรม การเก็บกู้ระเบิด เข้าเคลียร์ในที่เกิดเหตุ ซึ่งถือเป็น " แนวหน้า " เสี่ยงตาย ลำดับต้นๆ เนื่องจากปัจจุบัน คนร้าย ใช้ยุทธวิธี พลิกแพลง ในการก่อเหตุซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ...
.... เมื่อวานนี้(14 กพ.) ได้ตามไปดู ตำรวจชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ภ.จว.ปัตตานี ซึ่ง เราเรียกกันติดปากว่า ชุด EOD ( Explosive Ordnance Disposal ) เก็บกู้ระเบิดชนิดแสวงเครื่อง ที่ บ้านดอยทราย อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี ซึ่งคนร้ายได้นำมาซุกไว้ ในซุ้มประตู สองข้างทางจำนวน 2 ลูก และ คนร้ายได้กดระเบิดใส่ทหารนาวิกฯ ฉก.ปัตตานี 26ไปเสีย 1 ลูก ทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บ 1 นาย และเหลืออีก 1 ลูก คนร้ายได้นำมาซุกไว้ที่ซุ้มประตูอีกด้าน และ คาดว่างานนี้คนร้ายหมายกะเล่นงาน นายอำเภอไม้แก่น นานสุรพร พร้อมมูล ที่ เดินทางมาทำกิจกรรมร่วมกันประชาชนในโครงการ  " อำเภอเคลื่อนที่ " ซึ่งห่างจากที่เกิดเหตุแค่ 500 เมตร ..แต่ทหารต้องมารับเคราะห์แทนเสียก่อน ...
..... ไปดู ชุด EOD กู้ระเบิดลูกที่ 2 กันครับ ...................


..... ตำรวจชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ภ.จว.ปัตตานี ซึ่ง เราเรียกกันติดปากว่า ชุด EOD ( Explosive Ordnance Disposal )

.... สุนัขดมกลิ่น ค้นหาวัตถุระเบิด ...

.... ใช้รถดับเพลิงฉีดน้ำ ทำลายวงจรระเบิดระเบิด ที่คนร้ายนำมาซุกไว้ในซุ้มทางเข้าหมู่บ้าน ..

.... นักข่าวช่าวภาพ ลุ้นระทึก...

... เตรียมระเบิดน้ำ ( water bomb) ที่มีแค่น้ำและเชื้อปะทุ ...

.... นำไปทำลายแผงวงจรระเบิดอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ...

..... นักข่าวหามุมกำบัง ...

..... บึ้ม .. เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ..

.... ไปเก็บมันออกมา เป็นชนิดแสวงเครื่อง น้ำหนักประมาณ 5 กก. คนร้ายดัดแปลงกล่องเหล็กโค้ง คล้ายระเบิดเคโม
แรงทำลายมหาศาล เนื่อจากสะเก็ดระเบิด จะสาดกระจายไปในทิศทางเดียวกัน ตามแต่จะบังคับให้ไปทางไหน ...

.... ดูกันชัดๆ...
.... เสร็จสิ้นไปอีกหนึ่งภาระกิจ " เสี่ยงตาย "  ของชีวิตนักกู้ ( ระเบิด ) ชายแดนใต้ ..
....  เพราะที่นี้ ระเบิดลูกมันดก ออกได้ตลอดฤดูกาล ...
.... ไม่เหมือนลองกอง เงาะ ทุเรียน ..
..... โชคดี ปลอดภัย แคล้วคลาด ครับ พี่ๆ นักกู้ทุกคน ....

ที่มา http://www.oknation.net/blog/print.php?id=215299

วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

รู้จักกับ Gorilla Glass


 
ภาพ: Corning
เรา อาจเคยผ่านตาเกี่ยวกับชื่อ Gorilla Glass เป็นผิวของจอ Smartphone และ Tablet บางรุ่น ซึ่งกระจกชนิดนี้ว่ากันว่ามีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษกว่าแผ่นกระจกทั่วไป แต่จะแข็งขนาดไหน
ชื่อ Gorilla Glass เป็นเครื่องหมายการค้าของ Corning ผู้ผลิตแผ่นกระจก รวมทั้งเครื่องแก้วรายใหญ่ ได้พัฒนาการผลิตแผ่นกระจกที่แข็งและเหนียวกว่ากระจกทั่วไป
กระจกหรือแก้ว เป็นสารที่เกิดขึ้นได้ในธรรมชาติ เมื่อสารบางชนิดเช่นทราย ถูกความร้อนสูงเช่นฟ้าผ่า อุกกาบาต
มนุษย์ ผลิตแก้วมาใช้งานมาแล้วนับพันปี โดยใช้ซิลิกาจากทรายเป็นวัตถุดิบสำคัญ ผ่านความร้อนสูงเป็นพิเศษให้หลอมเป็นแก้ว เป่าให้เป็นรูปทรงต่างๆ
Gorilla Glass ของ Corning ก็เริ่มด้วยการหลอมแก้วเช่นกัน แต่ Corning จะเทแก้วหลอมเหลวที่มีส่วนผสมของสารประกอบอลูมิเนียมให้ได้แก้วที่ใสมากลงมา เป็นแผ่นบางเหมือนม่านน้ำ เพื่อให้ได้แผ่นกระจก Aluminosilicate ที่บางประมาณครึ่งมิลลิเมตร บางพอที่จะไม่ขัดขวางการทำงานของ Capacitive Touch screen และไม่หนักจนเกินไป โดยกระจกในกรรมวิธีนี้ ได้ผสมสารประกอบโซเดียมปนลงไปด้วย ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการผลิตขั้นต่อไป

กระจก ที่ได้ในขั้นนี้จะเป็นแผ่นบางใสเหมือนกระจกสไลด์ที่ใช้กับกล้องจุลทัศน์ แต่ก็เปราะแตกง่ายเช่นเดียวกัน จากนั้นจะไปผ่านกระบวนการสำคัญที่เรียกว่า Ion Exchange โดยการแช่แผ่นกระจกนี้ลงในสารประกอบของโปแตสเซียมที่ความร้อนสูงราว 400 องศาเซลเซียส อะตอมของโปแตสเซียมซึ่งเป็นธาตุกลุ่มเดียวกับโซเดียมในตารางธาตุ จะเข้าไปแทนที่อะตอมของโซเดียมในแผ่นกระจก
แต่อะตอมของโปแตสเซียมมี ขนาดใหญ่กว่าอะตอมของโซเดียม ผลที่ได้จะเหมือนกับฟูกที่มีลูกกอล์ฟแทรกอยู่ในเนื้อฟูก ถูกดึงเอาลูกกอล์ฟออกแล้วเอาลูกเทนนิสใส่ลงไปแทน เนื้อฟูกจะถูกอัดแน่นขึ้นกว่าเดิม

กระจกที่ผ่านกระบวนการ Ion Exchange จากโซเดียมเป็นโปแตสเซียมนี้จะมีเนื้อที่แน่นกว่าเดิมและแข็งแรงกว่าเดิมหลายเท่า


ภาพ: Stanley Glass
กระบวน การนี้ไม่ได้มีแต่ Corning เท่านั้นที่ผลิต ชื่อสามัญของกระบวนการนี้คือ Chemical Tempering โดยผู้ผลิตรายอื่นๆอาจผลิตกระจก Chemical Temper Glass สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ หรืออุตสาหกรรมก่อสร้าง แต่ Corning เป็นผู้ผลิตสำคัญในอุตสาหกรรมอิเลคโทรนิคส์ และเป็นผู้ผลิตกระจกชนิดนี้ให้กับผู้ผลิตอุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์เช่นจอทีวี เราจะไม่มีโอกาสเดินเข้าไปตามร้านกระจกแล้วหาซื้อกระจก Gorilla เป็นแผ่นๆไปใช้เอง
Corning ไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยว่าใครใช้กระจก Gorilla บ้าง แล้วแต่ว่าเจ้าของสินค้าจะเปิดเผยเป็นจุดขายของตนเอง


Samsung Galaxy Tab รุ่น 7 นิ้วตัวแรก ก็ใช้กระจก Gorilla ของ Corning
Smartphone หรือ Tablet ที่ใช้กระจก Gorilla จะมีกระจกจอภาพที่แข็งแกร่งทนต่อรอยขีดข่วนมากพอที่จะเชื่อมั่นว่า หากอุปกรณ์ชิ้นนี้ตกกระแทก ชิ้นส่วนสุดท้ายที่จะเสียหายคือ จอภาพ
ลอกแผ่นปิดจอออกไปได้เลยครับ หาก Tablet ของเราใช้กระจก Gorilla
ถอดความจาก How Stuff Works

ที่มา http://www.pocketpcthai.com

กฎหมายการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา(Escrow)


ปัจจุบัน  การ ทำสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์หรือการทำสัญญาต่างตอบแทนอื่นใดนั้น เรามักอาศัยความน่าเชื่อถือระหว่างคู่สัญญาเป็นหลักในการชำระหนี้ตามที่ตกลง กันไว้ในสัญญา แต่การที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ตามที่กำหนดไว้ในสัญญานั้น  หรือมีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของคู่สัญญา ซึ่งจะทำให้สัญญาระบบการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือการทำสัญญาต่างตอบแทน เกิดความเสี่ยงหรืออาจหยุดชะงักลง   ส่งผลกระทบต่อคู่สัญญาและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ   ดังนั้น เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่คู่สัญญาและสร้างความมั่นคงต่อระบบ เศรษฐกิจของประเทศ จึงมีคนกลางที่มีความมั่นคงและน่าเชื่อถือ เพื่อทำหน้าที่ดูแลการชำระหนี้ของคู่สสัญญาให้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ จึงได้มีกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมา
อนึ่ง ถึงแม้มีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคในด้านสัญญา และกำหนดให้คู่สัญญาสามารถเรียกเงินคืนได้ในกรณีที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติ ตามสัญญาก็ตาม แต่ทางปฏิบัติแล้วก็ยังไม่สามารถป้องกันความเสียหายหรือประกันว่าผู้เสียหาย ได้รับเงินคืนครบถ้วนได้   
ส่วนระบบเอสโครว์ (Escrow) เป็น ระบบการค้ำประกันการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน  ของสัญญาต่างตอบแทนต่างๆ โดยการกำหนดให้มีคนกลางหรือ Escrow Agent ซึ่งมีความมั่นคงและน่าเชื่อถือ ทำหน้าที่ดูแลการชำระหนี้ตามสัญญาให้ถูกต้องและสมบูรณ์ตามเจตนาของคู่สัญญา โดยคนกลางจะเป็นผู้ดำเนินการตามข้อตกลงของคู่สัญญา และถือเงินของคู่สัญญาฝ่ายที่จะต้องชำระเงินให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งในเวลาที่ได้ รับการปฏิบัติจากคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งตามที่ตกลงกัน   ซึ่งระบบดังกล่าวได้ถูกนำมาใช้ในพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ.2551 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2551 เป็นต้นไป
เหตุผล การมีกฎหมายฉบับนี้คือเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือระหว่างคู่สัญญาในการชำระ หนี้ต่อกันตามสัญญา สัญญาต่างตอบแทนต่างๆ อาทิเช่นการทำสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์ในโครงการบ้านจัดสรร ซึ่งเจ้าของโครงการมีหน้าที่ต้องก่อสร้างบ้านให้ถูกต้องเรียบร้อยตรงตาม กำหนดเวลาในสัญญาจะซื้อจะขาย ส่วนผู้ซื้อก็ต้องมีหน้าที่ชำระเงินตามงวดที่กำหนดไว้ให้แก่ผู้ขาย ปัญหาเกิดขึ้นกรณีผู้ซื้อวางเงินจองและชำระเงินดาวน์แล้วผู้ขายไม่ปฏิบัติ ตามสัญญาหรือก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนดหรือไม่ได้มาตรฐาน หรือปัญหาจากการที่ผู้ประกอบการนำเงินมัดจำจองและเงินดาวน์ของลูกค้าไปใช้ หมุนเวียนของธุรกิจแล้วเกิดปัญหาสภาพคล่อง ทำให้ผู้ซื้อต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพื่อฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ขายและ บางรายไม่อาจบังคับเรียกร้องเงินที่ชำระไปแล้ว 
หลักการของกฎหมายฉบับนี้คือกำหนดให้มีคนกลาง (Escrow Agent) เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ให้คู่สัญญาปฏิบัติ การชำระหนี้ตามระยะเวลาและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ตลอดจนรักษาเงิน ทรัพย์สินหรือเอกสารแห่งหนี้ และจัดให้มีการชำระหนี้และโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในทรัพย์สินให้แก่คู่สัญญา ทั้งสองฝ่าย ซึ่งคู่สัญญาที่ประสงค์จะให้มีคนกลางทำหน้าที่เช่นนี้ต้องทำสัญญาดูแลผล ประโยชน์ กับผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา และระบุกำหนดระยะเวลา และเงื่อนไขในการส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารแห่งหนี้ไว้ด้วย ซึ่งผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาจะทำหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาแต่ ละฝ่ายตามที่ระบุในสัญญาดูแลผลประโยชน์นั้น อย่างไรก็ตามกฎหมายห้ามไม่ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญามีส่วนได้เสียกับ คู่สัญญาทั้งทางตรงหรือโดยอ้อมด้วย 
สาระสำคัญของพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. 2551
1. สัญญาที่สามารถตกลงให้ผู้ดูแลผลประโยชน์
ได้แก่ สัญญาต่างตอบแทนทุกชนิด ซึ่งคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีหนี้และหน้าที่ต้องโอนหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือ เอกสารให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง และคู่สัญญาอีกฝ่ายนั้นก็ต้องชำระเงินตอบแทนให้ด้วย เช่น สัญญาให้บริการ สัญญาซื้อขายทรัพย์สินทั่วไป และสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

2. การทำสัญญาดูแลผลประโยชน์
เป็นสัญญาที่ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของคู่สัญญาและลงลายมือชื่อของผู้ ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา เป็น สัญญาทั้งสามฝ่ายและต้องมีรายการที่กฎหมายกำหนดด้วย เช่น ชื่อและที่อยู่ของคู่สัญญา และชื่อที่อยู่ของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา, ระยะเวลาหรือเงื่อนไขในการส่งมอบทรัพย์สินหรือเอกสารแห่งหนี้ และการส่งมอบเงินของคู่สัญญา, ค่าตอบแทนของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเป็นต้น และกฎหมายยังห้ามไม่ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญารับดูแลผลประโยชน์ของ คู่สัญญา หากมีส่วนได้เสียกับคู่สัญญานั้น

3. ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
เป็นนิติบุคคลหรือสถาบันการเงินทำหน้าที่เป็นคนกลางหรือ Escrow Agent เพื่อดูแลการชำระหนี้ของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย โดยจะได้รับค่าตอบแทนจากคู่สัญญา ทั้งนี้ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาจะต้องเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบ กิจการดูแลผลประโยชน์ตามกฎหมายฉบับนี้ด้วย

4. หน้าที่ของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
4.1 จัดทำสัญญาดูแลผลประโยชน์ 
4.2 ทำการเปิดบัญชีเงินฝากเพื่อประโยชน์ของคู่สัญญา (หรือเรียกว่าบัญชีดูแลผลประโยชน์) ไว้กับสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทเงินทุน กับทั้งต้องทำบัญชีทรัพย์สินแยกเก็บทรัพย์สินของคู่สัญญาแต่ละราย ออกจากของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา 
4.3 ออกหลักฐานรับรองการฝากเงินของคู่สัญญาฝ่ายที่ต้องชำระเงินให้แก่ฝ่ายที่มอบ เงินนั้น (ถือว่าเป็นหลักฐานในการปฏิบัติการชำระหนี้เงินด้วย) และแจ้งเป็นหนังสือให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งทราบทันที 
หากเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาจะต้องแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าพนักงานที่ดิน ทราบและบันทึกเป็นหลักฐาน ว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นอยู่ภายใต้สัญญาดูแลผลประโยชน์ และห้ามจดทะเบียนโอนจนกว่าจะได้รับแจ้งจากผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา 
4.4 ทำหนังสือแจ้งให้คู่สัญญาทราบถึงรายการฝากเงินหรือการโอนเงิน ตลอดจนจำนวนเงินที่คงเหลือในบัญชีดูแลผลประโยชน์ 
4.5 เมื่อคู่สัญญาได้ปฏิบัติตามข้อตกลงที่กำหนดในสัญญาดูแลผลประโยชน์ครบถ้วน เรียบร้อยแล้ว ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาจะโอนเงินและดอกผลในบัญชีดูแลผลประโยชน์ให้แก่ ฝ่ายที่ต้องโอนหรือมอบทรัพย์สิน และจัดให้มีการโอนหรือส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ฝ่ายที่ชำระเงินนั้น 
ในกรณีที่คู่สัญญามีข้อโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ของตนตามสัญญาดูแลผล ประโยชน์ ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาจะต้องไม่ส่งมอบเงินหรือโอนทรัพย์สินให้แก่คู่ สัญญาฝ่ายใด จนกว่าจะมีการตกลงกันเรียบร้อยแล้ว หรือศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด

5. ค่าบริการของผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาจะได้รับค่าบริการตามอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยคู่สัญญาเป็นผู้ออกฝ่ายละครึ่งเท่ากัน เว้นแต่คู่สัญญาจะตกลงกันเป็นอย่างอื่น และห้ามผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาเรียกเก็บจากเงินในบัญชีที่ตนดูแลผล ประโยชน์

6. การคุ้มครองเงินของคู่สัญญา
กรณีที่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาถูกคำพิพากษาศาลให้ต้องชำระหนี้ในคดี ใดๆ หรือถูกพิทักษ์ทรัพย์หรือถูกสั่งให้ระงับกิจการบางส่วนหรือทั้งหมดก็ตาม เงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์จะได้รับความคุ้มครองโดยจะไม่ถูกยึดหรืออายัด และไม่ต้องห้ามการจำหน่ายจ่ายโอน นอกจากนั้นคู่สัญญายังมีสิทธิขอเลิกสัญญาดูแลผลประโยชน์และรับเงินคืน หรือโอนให้แก่บุคคลอื่นที่จะเข้ามาเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาแทน

กฎหมาย ลักษณะเช่นนี้ย่อมเกิดผลดีโดยตรงต่อคู่สัญญา เพราะจะได้รับการปฏิบัติจากอีกฝ่ายหนึ่งตามที่ตกลงกันไว้ ช่วยลดความเสี่ยงหรือลดจำนวนความเสียหายให้น้อยลง ในส่วนของสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อเงินกู้แก่คู่สัญญาก็มีความมั่นใจ เพิ่มขึ้น และยังเกิดมีบริการประเภทใหม่ของสถาบันการเงินโดยได้รับค่าธรรมเนียมในการ เปิดบัญชี ค่าบริการ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามสัญญาการให้บริการ
ใน ส่วนของ ผู้ประกอบการ การนำระบบนี้มาใช้ย่อมเรียกความเชื่อมั่นของผู้ซื้อ และส่งเสริมภาพลักษณ์ของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่แต่เดิมมีปัญหาเป็นจำนวนมาก แต่อาจจะมีภาระเรื่องเงินทุนสำรองเพื่อสภาพคล่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการรายใหม่หรือที่ไม่มีความพร้อมของเงินทุนจำ เป็นต้องปรับตัวมากขึ้น และยังต้องระมัดระวังการลงทุนให้รัดกุมมากขึ้นไม่ให้ระยะเวลาการส่งมอบล่า ช้าหรือสินค้าไม่ได้คุณภาพ มิฉะนั้นผู้ซื้อก็สามารถที่จะทำเรียกร้องสิทธิของตนตามที่ระบุไว้ในสัญญา
อย่าง ไรก็ตามเชื่อว่าโดยภาครวมแล้วย่อมจะทำให้มีความมั่นใจและส่งผลให้มีการทำ ธุรกรรมมากขึ้น นอกจากนั้นยังเป็นการเพิ่มมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคและลดความเสี่ยงของผู้ บริโภคได้อีกทางหนึ่ง ตลอดจนจะช่วยลดข้อพิพาทและคดีความของคู่สัญญาได้ด้วย
อ้างอิงมาจาก
พระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ.2551


ที่มา http://www.softbizplus.com/laws/637-escrow-law-2551

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กรด!! ในเครื่องดื่ม


    กรดเป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของเครื่องดื่ม มีหน้าที่สำคัญ ได้แก่
        1. ให้รสขื่นและเปรี้ยว
        2. กระตุ้นให้เกิดความพอใจในการรับรส
        3. ช่วยระงับความกระหายโดยจะไปกระตุ้นต่อมน้ำลายในปากให้ทำงาน
        4. ช่วยเพิ่มความหวานของน้ำตาล
        5. เป็นตัวช่วยเสริมการถนอมรักษาเครื่องดื่ม
    การใช้กรดในเครื่องดื่มค่อนข้างสะดวก ปริมาณที่ใช้ไม่มากนัก อาจจะต้องมีการคำนวณ
เพื่อความเหมาะสมและความคงตัวของคุณภาพของเครื่องดื่ม ปริมาณกรดในเครื่องดื่มขึ้นอยู่กับระดับความชอบของรสชาติ ซึ่งจะต้องใช้ผู้ชิมที่มีประสบการณ์ การตรวจสอบปริมาณอาจจะใช้ผู้ชิมหรือการตรวจสอบทางเคมีก็ได้ เนื่องจากระดับความเปรี้ยวของกรดจะแตกต่างไปตามความเข้มข้นและชนิดของกรดที่ใช้ ฉะนั้นจากการทดลองโดยการชิมปรากฏว่ารสเปรี้ยวของกรดต่างๆ มีดังนี้  กรดซิตริก  0.12%  กรดอะดิฟิค  0.12%  กรดฟูมาริค  0.08%  กรดแลคติค  0.11%  และกรดมาลิค 0.105% ส่วนการตรวจสอบกรดในเครื่องดื่มที่มีสีมักจะใช้การวัดพีเอชมากกว่าการไตเตรท  เครื่องดื่มบางชนิดอาจจะใช้กรดมากกว่าหนึ่งชนิด และความเข้มข้นของกรดแต่ละชนิดก็จะแตกต่างกันไปตามความต้องการของเครื่องดื่ม การใช้กรดในอุตสาหกรรมมักจะเตรียมเป็นสารละลายกรด ประมาณ 50% เพื่อสะดวกในการใช้ผสม  กรดที่นิยมผสมในเครื่องดื่ม เช่น

1.    กรดแอสคอร์บิค (ascorbic acid)
กรดชนิดนี้ทำหน้าที่ป้องกันและระงับการเกิดออกซิเดชัน ดังนั้นจะช่วยทำให้กลิ่นรส
ของเครื่องดื่มคงตัวอยู่ได้นาน ปกติสารที่ให้กลิ่นรสในเครื่องดื่มจะเป็นพวกอัลดีไฮด์ (aldehyde)    คีโตน (ketone) และเอสเทอร์ (ester) สารเหล่านี้จะถูกออกซิไดส์ได้ง่าย หากไม่มีกรดแอสคอร์บิคและจะสูญหายไปในระหว่างการเก็บรักษา เมื่อเติมกรดแอสคอร์บิคลงไป กรดนี้จะถูกออกซิไดส์สูญไป แต่รสและกลิ่นของเครื่องดื่มยังคงอยู่  การเติมกรดนี้จะเติมก่อนพาสเจอไรส์ หรือก่อนการบรรจุร้อน แล้วทำให้เย็นโดยเร็ว  แม้ว่ากรดแอสคอร์บิค จะช่วยรักษาในด้านคุณค่าของเครื่องดื่ม 
แต่จะไม่ช่วยเสริมสี กลิ่น และรสของเครื่องดื่ม

2.    กรดซิตริก (citric acid)
กรดนี้นิยมใช้กันมาก เนื่องจากสามารถรวมตัวได้ดีกับกลิ่นรสของผลไม้ได้แทบทุก
ชนิด กรดซิตริกนี้มีอยู่ในผลไม้ทั่วไป ในทางการค้าจะผลิตกรดซิตริกจากมะนาว สับปะรด และการหมักของเชื้อรา ในท้องตลาดที่มีการจำหน่ายจะอยู่ในรูปของผลึก หรือผง ซึ่งละลายน้ำได้ดี นอกจากนี้แล้วกรดซิตริกยังช่วยทำให้เกิดรส tang ในเครื่องดื่มประเภทอัดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์

3.    กรดฟอสฟอริก (phosphoric acid)

เป็นกรดที่นิยมมากในเครื่องดื่มประเภทโคล่า  root beer และ sarsaparilla เพราะเป็น
กรดที่ช่วยเพิ่มกลิ่นรสของผลิตภัณฑ์และในสูตรเครื่องดื่มผง ยังมีการใช้โมโนโซเดียมฟอสเฟต (monosodium phosphate) และโมโนแคลเซียมฟอสเฟต (monocalcium phophate) อยู่บ้างเล็กน้อย ในสภาพที่เป็นกรดมักจะอยู่ในรูปของแข็งละลายน้ำได้ทุกอัตราส่วน กัดกร่อนภาชนะที่ทำด้วยโลหะ ถ้าถูกผิวหนังจะทำให้ไหม้ กรดนี้จะไม่มีการระเหย ดังนั้นจึงไม่เป็นอันตรายแก่ดวงตา ยกเว้น
การสัมผัสเข้าไปโดยตรง

4.    กรดทาร์ทาริก (tartaric acid)

กรดนี้นิยมใช้กันมากกว่ากรดซิตริก มักใช้กับผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากองุ่น และเครื่องดื่ม
ที่มีกลิ่นรสมะขาม

5.    กรดฟูมาริก (fumaric acid)

เป็นกรดที่มีราคาถูกที่สุดในบรรดากรดทั้งหลาย ซึ่งใช้ในปริมาณเล็กน้อยก็ให้รส
เปรี้ยวจัดกว่ากรดชนิดอื่นๆ กรดนี้จะละลายน้ำได้น้อยมาก เหมาะสมที่จะใช้กับผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นผง เพราะตัวมันเองดูดความชื้นได้น้อยมาก และยังใช้ผสมกับกรดตัวอื่นๆ ได้อีก โดยไม่มีผลเสียแต่อย่างใด กรดฟูมาริกมีความบริสุทธิ์สูง มีสีขาว ไม่เป็นก้อน ใช้เป็นตัวเพิ่มรสชาติใน
ผลิตภัณฑ์ไวน์ เป็นต้น

6.    กรดอดิปิค (adipic acid)
กรดนี้มีลักษณะเป็นผง สีขาว ไม่ดูดความชื้น สามารถใช้แทนกรดซิตริกได้ เมื่อเติมลง
ในเครื่องดื่มจะเป็นตัวช่วยเพิ่มกรดและกลิ่นรสของเครื่องดื่มให้เข้มข้น

7.    กรดมาลิค (malic acid)
โดยปกติใช้กันน้อยในเครื่องดื่ม ถ้าใช้จะใช้ในรูปของสารสังเคราะห์ หรือสารที่ได้จาก
ธรรมชาติ ซึ่งพบมากใน apple, apricot, canberries, peach มะม่วง และผลไม้หลายชนิดที่ไม่ใช่
ตระกูลส้ม 

    ความเป็นกรดกับความคงตัวของเครื่องดื่ม  พบว่า ค่าพีเอชจะมีผลต่ออายุการใช้ประโยชน์ของเครื่องดื่ม กล่าวคือ ถ้าค่าพีเอชของเครื่องดื่มนั้นๆ ต่ำ จะช่วยรักษาสภาพของเครื่องดื่มได้นาน  เพราะสภาวะไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์  ยิ่งถ้าความแตกต่างของพีเอชที่จุลินทรีย์เจริญเติบโต และช่วงพีเอชของสภาพในเครื่องดื่มมีมากขึ้นก็ยิ่งทำให้จุลินทรีย์นี้ตายได้ง่ายขึ้น           จุลินทรีย์ส่วนมากจะเจริญเติบโตได้ดีในช่วงพีเอช 6.5-7.5 และจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคนั้นส่วนมากจะเจริญเติบโตที่พีเอช 4.5-5.0 ดังนั้นเครื่องดื่มทั่วๆ ไป ที่มีค่าพีเอชต่ำกว่า 4.0 จึงปลอดภัย แต่อย่างไรก็ตาม มีจุลินทรีย์บางประเภทที่ชอบสภาพเป็นกรด ได้แก่ ยีสต์ รา แลกติก และอะซิติกแบคทีเรีย ซึ่งเชื้อเหล่านี้จะสามารถก่อให้เกิดปัญหาแก่การเก็บรักษาเครื่องดื่มได้เช่นกัน  แต่ถ้าเครื่องดื่มที่ลดพีเอชลงได้ถึง 3.0 จะป้องกันการเสื่อมเสียเนื่องจากแลคติกแบคทีเรียได้ และพีเอชที่จุดนี้ยีสต์ส่วนใหญ่จะไม่เจริญ นอกจากการลดพีเอชลงแล้ว ยังได้มีการใส่สารกันบูดพวกเกลือเบนโซเอทร่วมด้วย ซึ่งจะช่วยในการป้องกันการเน่าเสียเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า สารกันบูดทั้งเกลือเบนโซเอทและซัลเฟอร์ไดออกไซด์ จะใช้ได้ดีในช่วงพีเอชตั้งแต่ 2.5-4.0 แต่อย่างไรก็ดี ในเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมและเครื่องดื่มอื่นๆ  ที่บรรจุในภาชนะที่ถูกต้องตามกรรมวิธี จะไม่ค่อยมีปัญหาที่ เกิดขึ้นเนื่องจากจุลินทรีย์ต่างๆ

ที่มา computer.pcru.ac.th/emoodledata/50/BT/lesson2-3.doc

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Kuru Toga Engine

 


"Kuru Toga Engine" ดินสอเหลาตัวเอง เทคโนโลยีสำหรับคนชอบเขียน drawing ด้วยดินสอ

คุณสมบัติของดินสอที่มีเทคโนโลยี Kuru Toga คือมันสามารถที่จะเหลาตัวเองได้ ทำให้ไส้ดินสอแหลมคมตลอดเวลา โดยจะมีฟันเฟืองอยู่ภายใน ทุกครั้งที่เราเขียน แล้วยกขึ้น เฟืองเล็กๆ ภายในดินสอจะหมุนไส้ไปเรื่อยๆ ผลที่ได้คือเส้นจะคม บาง ไส้ไม่หักง่าย และเราไม่ต้องคอยจับดินสอหมุนไปมาให้เสียเวลา เหมาะกับงานเขียนที่ต้องการความคมชัดของลายเส้น
ลายเส้นที่ได้จากดินสอ Kuru Toga




Kuru Toga รุ่น High Grade ของ Uni-ball 
มีช่องที่ตัวดินสอให้เราเห็นว่าแกนดินสอหมุนทุกครั้งที่เราเขียน

ที่มา http://th.misumi-ec.com

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจ ประจำปี 2555

10-watch-technology-2012
ในงานสัมมนา NSTDA Investors' Day 2012  ดร. ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  ได้นำเสนอ 10 เทคโนโลยีที่ภาคธุรกิจควรต้องให้ความสนใจ ติดตาม รับรู้ และจับตามอง เนื่องจากเทคโนโลยีเหล่านี้อาจมีผลต่อธุรกิจ และการดำเนินชีวิตประจำวันของคนในอนาคต โดยสามารถจัดกลุ่มเทคโนโลยีดังกล่าวอยู่ใน  4 สาขาหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีด้านสุขภาพ, เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม,  เทคโนโลยีวัสดุ, และเทคโนโลยีสารสนเทศ

โดย 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองในปีนี้ มีดังนี้

ด้านสุขภาพ (ด้าน Health)
1. Nanopore Sequencing
เป็นการวิเคราะห์ลำดับเบสของสาย DNA ซึ่งใช้หลักการเหนี่ยวนำทางกระแสไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อมีเบสผ่านเข้าในรูที่มีขนาดระดับนาโนเมตร โดย nanopore sequencer ในปัจจุบันมีโพรงนาโนจำนวนมาก จึงสามารถวิเคราะห์ลำดับเบสทั้งจีโนมได้อย่างรวดเร็วขึ้นกว่าวิธีการ วิเคราะห์แบบเดิม เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านการแพทย์เฉพาะบุคคล การตรวจหาเชื้อก่อโรคในอาหาร รวมถึงการพัฒนาพันธุ์พืชและสัตว์ด้วย

 
ด้านเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม (ด้าน Green)
2. SMART GRID
เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการระบบส่งและ จำหน่ายไฟฟ้า ที่นับวันจะมีความซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากความหลากหลายและจำนวนของแหล่งกำเนิดพลังงาน โดยเฉพาะ พลังงานทดแทนที่มีความผันผวนในการผลิตไฟฟ้าสูง อีกทั้งลูกค้าในปัจจุบันอาจเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟฟ้าในเวลาเดียวกัน ทำให้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการไฟฟ้าเป็นสิ่งที่สำคัญ

3. Energy Storage (เทคโนโลยีหน่วยเก็บพลังงาน) เป็น เทคโนโลยีที่สำคัญซึ่งสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ปัจจุบันมีการพัฒนาให้แหล่งกักเก็บพลังงานขนาดใหญ่กินพื้นที่น้อย ปลอดภัยและใช้งานสะดวก มีอายุการใช้งานได้นานและราคาถูก ซึ่งการพัฒนาแบตเตอรี่แบบ Flow (Flow Battery) จะให้อิสระในด้านการเลือกขนาดของปริมาณไฟที่จุในแบตเตอรี่แยกจากความต้องการ ด้านกระแสหรือกำลังไฟฟ้า (แบตเตอรี่นี้จะมีถังเก็บเชื้อเพลิงที่แยกกับหน่วย ผลิตไฟฟ้าโดยสามารถออกแบบให้จ่ายกระแสไฟได้ตามต้องการ) ส่งผลให้ในอนาคตรถไฟฟ้าจะสามารถชาร์จไฟได้อย่างรวดเร็ว โดยจะสามารถเติมได้เหมือนระบบการเติมน้ำมัน
4. Biorefinery คือ อุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบธรรมชาติ เช่น เศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ไม้โตเร็ว หรือของเสียจากอุตสาหกรรม มาเป็นวัตถุดิบตั้งต้น ผ่านกระบวนการที่มีเอนไซม์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทางชีวภาพเพื่อเปลี่ยนวัตถุ ดิบเหล่านี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย โดยมีการเปลี่ยนของเสียจากกระบวนการหนึ่งเป็นสารตั้งต้นของอีกกระบวนการ หนึ่งจนสุดท้ายไม่มีของเหลือทิ้งเลย (zero waste)
เทคโนโลยีวัสดุ (ด้าน Material)
5. Printed Paper Battery
เทคโนโลยีการพิมพ์แบตเตอรี่ลงบนกระดาษ โดยมีวิธีการทำให้เกิดเป็นเซลไฟฟ้าเคมีที่สมบูรณ์ซึ่งก็คือ แบตเตอรี่ โดยแบตเตอรี่กระดาษนี้บางเบา สามารถโค้งงอ ม้วนพับได้ มีราคาถูก นอกจากนี้สามารถเลือกใช้วัสดุเก็บพลังงานที่ใช้แล้วทิ้งโดยไม่มีสารพิษที่ ทำลายสิ่งแวดล้อม

6. 3D Printing เป็น เทคโนโลยีการขึ้นรูปชิ้นงานโดยอาศัยการก่อหรือสร้างเนื้อวัสดุขึ้นมาทีละ ชั้น โดยไม่ต้องสร้างแม่พิมพ์ก่อน เป็นการลดต้นทุนในการผลิตชิ้นงานจำนวนน้อย อีกทั้งการผลิตชิ้นงานสามารถใช้วัสดุได้หลาย ประเภท โดยอัจจุบันราคาเรื่องพิมพ์ 3 มิติมีราคาถูกลงมาก จึงเป็นไปได้ที่ในอนาคตอันใกล้จะมีการใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติอย่างแพร่หลายรวมถึงในระดับครัวเรือนด้วย
7. Graphene Composite คือ วัสดุมหัศจรรย์ที่มีความแข็งแรงกว่าเหล็กถึง 200 เท่า มีความแข็งมากกว่าเพ็ชร และสามารถนำไฟฟ้าได้ดีกว่าทองแดง อีกทั้งยังโปร่งแสงอีกด้วย จากคุณสมบัติดังกล่าว เมื่อนำกราฟีนมาผสมกับวัสดุอื่นๆ เพื่อเป็นวัสดุผสมที่เรียกว่าการ Composite จะได้วัสดุที่มีความแข็งแรงมากที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยมีมา อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ อย่างมากมาย เช่น การนำมาผลิตเป็นวัสดุกระจายความร้อนในอุปกรณ์ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
เทคโนโลยีสารสนเทศ (ด้าน IT)
8. M2M
การสื่อสารระหว่างเครื่องจักร (Machine to Machine communication) คือ เทคโนโลยีการสื่อสาร ทั้งแบบสายและไร้สายระหว่างอุปกรณ์ โดยระบบจะทำงานอัตโนมัติ มีโครงข่ายเชื่อมโยงกว้างไกลทั่วโลก ทำงานพร้อมกันและขนานกัน ส่งผลให้ในอนาคตการทำงานของมนุษย์จะลดลงและสะดวกมากขึ้น

9. Haptic technology เทคโนโลยี การป้อนกลับเพื่อให้รู้สึกถึงการสัมผัส โดยใช้หลักการของแรง การสั่นและการเคลื่อนไหว ของพื้นผิวสัมผัส เพื่อตอบสนองความต้องการในด้านการใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมเกมส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และในด้านการแพทย์ เช่น ระบบฟื้นฟูสมรรถภาพ การผ่าตัดทางไกล เป็นต้น
10. Virtual Engineering เป็น เทคโนโลยีจำลองงานวิศวกรรมได้เสมือนจริงโดยใช้คอมพิวเตอร์ โดยสามารถจำลองกระบวนการ ผลิตทั้งหมด รวมไปถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงการขนส่ง ซึ่งสามารถวัดผล การทำงานและผลผลิตได้จากการจำลองนี้ ดังนั้น การทำงานของวิศวกรยุคดิจิตอลจึงมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และตอบสนองความต้องการได้ทันต่อธุรกิจ

ที่มา http://www.nstda.or.th/nstda-knowledge/8998-10-watch-technology-2012

เทคนิคใหม่โนเบลแพทย์อุดปัญหาจริยธรรมสเต็มเซลล์ แต่ทำไมยังไม่ใช่ทางเลือก?


2 นักชีวะต่างรุ่นคว้าโนเบลแพทย์ 2012 ด้วยผลงานการสร้างเซลล์ต้นกำเนิด แบบไม่ใช้ตัวอ่อน คลี่คลายปัญหาจริยธรรมที่ถกเถียงมานับทศวรรษ แต่ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นทางออกที่สวยงามให้วงการวิจัยเสต็มเซลล์ ทว่ากลับยังไม่ใช่ทางเลือกใหม่เหตุเพราะเซลล์ใหม่เสี่ยงมะเร็งสูง และปัญหาที่ซ่อนอยู่ ทำให้ยังไม่ได้รับความไว้วางใจ
      
       งานวิจัยเพื่อการเปลี่ยนหน้าที่ของเซลล์โดย “เซอร์ จอห์น กัวร์ดอน” (Sir John Gurdon) นักวิจัยชาวอังกฤษแห่ง สถาบันกัวร์ดอน (Gurdon Institute) มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ อังกฤษ และนำมาต่อยอดโดย “ศ.ชินยะ ยามานากะ” (Shinya Yamanaka) มหาวิทยาลัยเกียวโต ญี่ปุ่น ทำให้ทั้ง 2 ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรศาสตร์หรือการแพทย์ที่เพิ่งประกาศไปเมื่อวันที่ 8 ต.ค.2012
      
       ผลงานของนักวิจัยทั้ง 2 นับเป็นการบุกเบิกวงการ “เวชศาสตร์ฟื้นฟูภาวะเสื่อมโทรม” (regenerative medicine) ที่จะให้เราสามารถสร้างเซลล์ เนื้อเยื่อ หรืออวัยวะทดแทนที่เสียหายไปได้ หรือแม้กระทั่งการทำสำเนา (โคลนนิง) สิ่งมีชีวิต อีกทั้งยังจะนำไปสู่การวิจัยรักษาอาการเจ็บป่วยอื่นๆ ด้วย เช่นพวกกลุ่มอาการทางจิตเภท และการรักษาโรคภัยไข้เจ็บแนวใหม่
      
       ทางเลือกใหม่ ไม่ต้องใช้้ “ตัวอ่อน” สร้างสเต็มเซลล์
      
       กัวร์ดอนวัย 79 ปี และยามานากะวัย 50 ปี ได้แสดงให้เห็นถึงวิธีการสร้างเซลล์ต้นกำเนิดตามธรรมชาติ ที่เทียบเท่ากับเซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อนมนุษย์ โดยไม่ต้องมีข้อโต้แย้งทางจริยธรรม เพราะเป็นกรรมวิธีที่ทำให้เซลล์เกิดประโยชน์ได้หลายอย่าง ซึ่งพวกเขาสามารถพัฒนาเซลล์ให้ปรับเปลี่ยนหน้าที่ของตัวเองได้ โดยสามารถเหนี่ยวนำเซลล์ที่ทำงานอยู่ ให้กลายเป็นเซลล์ต้นกำเนิดโดยธรรมชาติ หรือ “เซลล์ไอพีเอส” (iPS : induced pluripotent stem cells)
      
       ในปี 1962 กัวร์ดอนแสดงให้เห็นว่า ดีเอ็นเอจากเซลล์เฉพาะของลูกอ๊อด อย่างเซลล์ผิวหนังหรือเซลล์ลำไส้ สามารถนำมาโคลนลูกอ๊อดให้ได้จำนวนมากขึ้น และเทคนิคคล้ายๆ กันนี้นำไปสู่การโคลนนิง “แกะดอลลี” สิ่งมีชีวิตชนิดแรกของโลกในปี 1997 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เป็นวิธีการที่ประสบผลสำเร็จกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
      
       กัวร์ดอนให้สัมภาษณ์ว่า การค้นพบของเขาในช่วงแรกเริ่ม ยังไม่มีผลต่อการรักษาทั้งทางการแพทย์และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์อย่างชัดเจน เพราะเทคโนโลยีอื่นๆ ยังตามมาไม่ถึง ทว่า 40 ปีหลังจากนั้น ยามานากะและทีมวิจัยได้สร้่างความก้าวหน้าขึ้น จากลูกอ๊อดของกัวร์ดอน เป็นการทดลองในหนู
      
       เมื่อปี 2006 ทีมของยามานากะได้เปลี่ยนเซลล์ผิวหนังเป็นเซลล์ที่ยังไม่เจริญเต็มที่ และจากนั้นก็สามารถกระตุ้นให้เป็นเซลล์ผู้ใหญ่ชนิดต่างๆ ได้ ซึ่งงานวิจัยหลังจากนั้น ก็เริ่มมีรายงานว่า ได้ทดลองกับเซลล์มนุษย์แล้ว และทำให้เทคนิคเซลล์ iPS ได้รับการกล่าวถึงอย่างแพร่หลาย พร้อมๆ กับเป็นที่จับตามองว่า น่าจะมาแทนการใช้ตัวอ่อนเพื่อสร้างเซลล์ต้นกำเนิดได้
      
       ปัญหาศีลธรรม ขวางงานวิจัยสเต็มเซลล์
      
       ตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เซลล์ต้นกำเนิดเป็นหนทางสว่างในการรักษาโรคร้าย เพราะสามารถเป็นอะไหล่เปลี่ยนเนื้อเยื่อ ซ่อมแซมส่วนต่างๆ ตั้งแต่การทำงานผิดปกติของบางอวัยวะ เช่นหัวใจและปอด หรือแทนที่กระดูกสันหลังที่เสียหาย แม้แต่การรักษาโรพากินสันส์ และกระทั่งเชื่อว่าจะนำไปสู่การแก้ปัญหาศีรษะล้านให้แก่มนุษย์
      
       แสงสว่างดังกล่าวก็ริบหรี่ลง เมื่อสหรัฐอเมริกาประเทศยักษ์ใหญ่ของวงการเทคโนโลยีชีวภาพ ขยับตัวลำบากต่องานวิจัยประเภทนี้ เพราะจอร์จ ดับเบิลยู บุช สมัยที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้มีนโยบายต่อต้าน โดยได้งดให้ทุนรัฐบาลสนับสนุนงานวิจัยสเต็มเซลล์ตัวอ่อนมนุษย์ แต่เมื่อบารัก โอบามา ได้เป็นประธานาธิบดี ก็ได้ผ่อนปรนให้สร้างสเต็มเซลล์ไลน์จากตัวอ่อนได้บางส่วน เมื่อปี 2009 เป็นต้นมา
      
       นอกจากนี้ ในยุโรปเอง ศาลสูงก็มีคำสั่งห้ามออกสิทธิบัตรให้แก่งานวิจัยสเต็มเซลล์ หากมีการทำลายตัวอ่อนมนุษย์ โดยเป็นคำร้องจากคณะบาทหลวงในนิกายคาทอลิก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ก็วิพากษ์วิจารณ์และเสียใจต่อคำสั่งของศาลครั้งนี้
      
       ทว่า เมื่อในสหรัฐฯ เริ่มมีการผ่อนผัน ในปี 2010 องค์กรทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐฯ ก็ได้ทดลองใช้สเต็มเซลล์ตัวอ่อนรักษามนุษย์เป็นครั้งแรกของโลก โดยแก้ไขโรคที่เกิดกับเรตินา อันเป็นเหตุให้มีอาการตาบอด
      
       อีกทั้ง เมื่อปี 2011 ที่ผ่านมา ทีมแพทย์ในสหรัฐฯ ได้ใส่สเต็มเซลล์ที่เกี่ยวกับหัวใจ เข้าไปในผู้ป่วยที่เกิดอาการหัวใจวายจำนวน 16 ราย เพื่อฟื้นสภาพให้แก่กล้ามเนื้อหัวใจ และสร้างความสามารถในการปั้มเลือด
      
       ส่วนในสวีเดนชายวัย 36 ปีได้รับการปลูกถ่ายหลอดลมเทียม ที่สร้างขึ้นมาจากห้องแล็บ และฉาบด้วยสเต็มเซลล์ของตัวเอง
      
       สเต็มเซลล์กำลังเฟื่องฟู แต่ทำไม iPS ยังไม่ใช่ทางเลือก
      
       ดูเหมือนว่าการใช้สเต็มเซลล์เพื่อการรักษาและปลูกถ่ายอวัยวะในมนุษย์ จะมีความก้าวหน้าขึ้น แต่ยังไม่มีรายงานว่า แพทย์หรือเหล่านักเทคโนโลยีชีวภาพจะนำเทคนิคเซลล์ iPS ที่กัวร์ดอนและยามานากะพัฒนาขึ้น ไปใช้ในการรักษามนุษย์
      
       ศ.จูเลียน ซาวูเลสกู (Julian Savulescu) ผู้เชี่ยวชาญด้านจริยธรรม มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (University of Oxford) เปิดเผยว่า เซลล์ผิวหนังธรรมดาก็สามารถใช้เป็นวัตถุต้นตอ ทว่านักวิจัยอีกหลายคน ก็ยังมีความตั้งใจที่จะสร้างงานวิจัยที่มาจากตัวอ่อนมนุษย์ ซึ่งมันก็เหมือนขบวนการกินมนุษย์ด้วยกันเอง
      
       แม้ว่าการใช้เซลล์ iPS ของ ดร.ยามานากะเมื่อปี 2006 นั้น ช่วยให้วงการสเต็มเซลล์ผ่อนคลายเรื่องประเด็นจริยธรรม เพราะไม่จำเป็นต้องใช้ตัวอ่อนในการสร้างเซลล์ต้นกำเนิดอีกต่อไป แต่นักวิจัยส่วนใหญ่ยังกังวลว่า เทคโนโลยีเซลล์ iPS ยังมีอีกหลายประเด็น ที่ต้องการพิสูจน์ และแก้ไข ก่อนที่จะสามารถนำไปทดสอบจริงกับอาสาสมัครมนุษย์ได้
      
       ตัวอย่างหนึ่งในข้อกังขาก็คือ ระหว่างการทดลองกับหนูในห้องปฏิบัติการ เมื่อเซลล์ iPS ระหว่างพัฒนาตัวเอง กลับมีแนวโน้มจะกลายเป็นสารส่อมะเร็ง ปัญหาดังกล่าวเกิดจากการเปลี่ยนหน้าที่ยีน และการใช้รีโทรไวรัสมาใช้สร้างเซลล์อ่อน
      
       พอล แฟร์ชายด์ (Paul Fairchild) ผู้อำนวยการสถาบันสเต็มเซลล์ของออกซ์ฟอร์ด อธิบายว่า ในการสร้างเซลล์ iPS นั้น เราต้องตัดต่อพันธุกรรมของเซลล์ผู้ใหญ่ โดยใส่ยีนที่ต่างกันลงไปอย่างน้อย 3 ยีน โดยระหว่างกระบวนการตัดต่อพันธุกรรมนี้ จะเกิดความเสี่ยงในการเปลี่ยนหน้าที่ของเซลล์ และการสร้างสารส่อมะเร็ง นับเป็นประเด็นความปลอดภัยที่น่าเป็นห่วง
      
       อย่างไรก็ดี กลุ่มที่สนับสนุนการใช้ เซลล์ iPS ก็ชี้ว่า เทคนิคนี้ ทำให้สามารถใช้สารดีเอ็นเอจากเจ้าของร่างกายโดยตรง ซึ่งจะไม่มีการต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกันหลังการปลูกถ่าย ทว่าผลงานวิจัยปี 2011 ก็พบว่า อาจจะมีการปลูกถ่ายเซลล์ iPS บางชนิดที่ถูกระบบภูมิคุ้มกันปฏิเสธได้
      
       "ข้อสันนิษฐานก็คือ เซลล์ iPS นั้นจะมีความต้านทานต่อภูมิคุ้มกัน ดังนั้นจึงต้องประเมินใหม่ ก่อนที่จะลงไปทดลองใช้กับมนุษย์" คำเตือนของ ศ.หยาง ซู (Yang Xu) นักชีววิทยา มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในซานดิเอโก (University of California at San Diego)
      
       นอกจากนี้ เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา คณะวิจัยนำโดยโจเซฟ เอคเคอร์ (Joseph Ecker) แห่งสถาบันซัลค์เพื่อการศึกษาชีววิทยา (Salk Institute for Biological Studies) ในแคลิฟอร์เนีย พบความไม่สมบูรณ์ของการเปลี่ยนจากเซลล์ผู้ใหญ่สู่เซลล์ต้นกำเนิด โดยเกิดข้อผิดพลาดของดีเอ็นเอปรากฎขึ้นที่บริเวณ "อิพิจีโนม"(epigenome) ซึ่งเป็นส่วนคำสั่ง ที่ควบคุมการทำงานของดีเอ็นเอ ให้ยีนเปิดหรือปิดการทำงาน ส่งผลต่อการแสดงออกทางพันธุกรรม
      
       เร็วไปที่จะฉลองชัยให้เซลล์ iPS
      
       ยามานากะนับเป็นชาวญี่ปุ่นคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาการแพทย์ นับตั้งแต่มีการมอบรางวัล ปัจจุบันเขาทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกียวโต โดยเขาได้รับรางวัลโนเบลหลังจากค้นพบเซลล์ iPSC ได้เพียง 6 ปี นับว่าเร็วมาก เพราะส่วนใหญ่รางวัลนี้กว่าจะมอบให้นักวิทยาศาสตร์ก็จะต้องมีผลงานผ่านไป แล้วนับทศวรรษ เพราะต้องอาศัยเวลาในการทดสอบให้มั่นใจต่อสิ่งที่เขาค้นพบ
      
       ยามานากะบอกว่า รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้รับรางวัลนี้ร่วมกับกัวร์ดอน เพราะหากขาดงานวิจัยของกัวร์ดอนที่ตีพิมพ์ไว้เมื่อ 50 ปีก่อน ซึ่งเป็นปีที่เขาเกิดพอดี ตัวเขาก็อาจจะไม่ได้ศึกษาแนวทางนี้ หรืออาจทำไม่สำเร็จด้วยซ้ำ
      
       อย่างไรก็ดี เมื่อปีี 2010 รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ก็มอบให้ 2 นักวิจัยที่เพิ่งตีพิมพ์ผลงานวิจัยข้อค้นพบได้เพียง 6 ปีเช่นกัน ขณะที่ในปี 2006 นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน 2 คน ก็ได้รับโนเบลแพทย์หลังตีพิมพ์งานวิจัยฉบับนั้นไป 8 ปี
      
       ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างยินดีเป็นอย่างยิ่งที่งานของกัวร์ดอนและยา มานากะได้รับรางวัลโนเบล เพราะเป็นการค้นพบสิ่งใหม่และมีอิทธิพลต่อประเด็นจริยธรรมที่กำลังติดขัด ซึ่งแนวคิดในการปรับเปลี่ยนหน้าที่การทำงานของเซลล์นั้น กำลังถูกนำไปเป็นงานวิจัยพื้นฐานในการศึกษาโรค โดยเพาะโรคลงในจานทดลอง แล้วนำเซลล์ดังกล่าวมาสร้างเป็นเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ เช่น เนื้อเยื่อปอด เนื้อเยื่อสมอง จากนั้นก็จะเห็นปัญหาที่เกิดขึ้น
      
       ท้ายที่สุดแล้ว ผู้อำนวยสถาบันสเต็มเซลล์แห่งออกซ์ฟอร์ดก็ได้ให้กำลังใจ ต่อการศึกษาเทคนิคการใช้เซลล์ iPS ว่า หลายคนก็พยายามทำงานหนักเพื่อก้าวข้ามสิ่งกีดขวาง ซึ่งทั้งหมดนั้นต้องอาศัยระยะเวลาในการพิสูจน์


ภาพจากคณะกรรมการโนเบลอธิบายพัฒนการงานวิจัย ภาพส่วนบนสุดเป็นการของเซอร์กัวร์ดอน ซึ่งนำนิวเคลียส์ออกจากเซลล์ไข่กบ (1) แล้วนำนิวเคลียสเซลล์จากลูกอ๊อดที่ถูกกำหนดหน้าที่แล้ว ใส่ลงในไข่กบที่ไร้นิวเคลียส (2) ไข่ที่ได้รับการดัดแปลงก็เจริญเติบโตเป็นลูกอ๊อดปกติ (3) ซึ่งการทดลองย้ายนิวเคลียสนี้ได้นำไปสู่การโคลนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ภาพกลางเป็นการทดลองของยามานากะ ซึ่งได้ถ่ายฝากยีน 4 ตัว (1) ลงในเซลล์ที่ได้จากผิวหนังของหนูทดลอง (2) แล้วเปลี่ยนชุดคำสั่งใหม่ให้เซลล์กลายเป็นเซลล์ต้นกำเนิดพลูริโพเทนท์ (iPS) ส่วนภาพสุดท้ายอธิบายว่า เราสามารถสร้าง iPS จากมนุษย์ได้ โดยจะนำไปสู่การรักษาโรคแบบใหม่

ที่มา http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000126578

เรื่องประหลาดของอับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln)

 
              อับราฮัม ลินคอล์น เกิดในกระท่อมเล็กๆ ที่รัฐเคนตักกี เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1809 ชีวิตวัยเด็กลำบากมาก เพราะพ่อแม่ยากจน สิ่งที่ผลักดันนิสัยติดตัวคือรักการอ่าน อ่านหนังสือได้ทุกที่และยอมเดินเป็นระยะทางไกลๆ เพื่อไปขอยืมหนังสืออ่านเพียงแค่เล่มเดียว พออายุ 9 ขวบ แม่เขาก็เสียชีวิต พ่อแต่งงานใหม่โชคดีที่ลินคอล์นเข้ากับแม่ใหม่ได้ดี

               อายุ 19 ลินคอล์นล่องเรือแจวจากแม่น้ำโอไฮโอไปที่รัฐนิวออร์ลีน ที่นั่นเขาได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของพวกทาสที่ถูกขายทอดตลาดเป็นครั้งแรก ทำให้เขาเกิดความคิดที่จะปลดปล่อยทาส เขาจึงเริ่มเบนเข็มมาเป็นทนายความ โดยเริ่มงานที่สปริงฟิลด์ รัฐอิลลินอยส์ ว่ากันว่าเขามีบุคลิกเฉพาะตัวที่มักจะพกเอกสารติดตัวมากมายด้วยการซุกไว้ใน หมวกทรงสูงสีดำ

               ลินคอล์นชอบพบปะช่วยเหลือผู้คน เริ่มมีชื่อเสียงจากความขยันขันแข็งและความซื่อสัตย์ ปี 1846 ได้รับการคัดเลือกให้เข้าไปในสภาคองเกรสหนึ่งสมัย ต่อมาปี 1858 เขาลงสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา แต่ไม่ได้รับเลือก ตอนนั้นพยายามชูนโยบายเรื่องการปลดปล่อยทาส และแม้ว่าไม่ได้รับเลือก ลินคอล์นก็ยังพยายามไปกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับเรื่องทาสตามมลรัฐต่างๆ จนเป็นที่รู้จักทั่วอเมริกา

               ปี 1860 ลินคอล์นตัดสินใจลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และได้รับเลือกในวันที่ 4 มีนาคม 1861 เส้นทางสายผู้นำไม่แจ่มใสนักเนื่องจากนโยบายปลดปล่อยทาสของลินคอล์นไม่ได้ รับการสนับสนุนจากบรรดารัฐต่างๆ ทางตอนใต้ของอเมริกา ซึ่งภายหลังระอุกลายเป็นสงครามกลางเมือง ในเดือนเมษายน ปี 1861 มีการสู้รบกันอย่างดุเดือดระหว่างทหารจากสังกัดส่วนกลางและทหารในรัฐทางใต้ แต่ถึงที่สุดฝ่ายของลินคอล์นก็ได้รับชัยชนะและมีประกาศปลดปล่อยทาสในปี1863

               14 เมษายน 1865 ลินคอล์นถูกลอบสังหารขณะชมละครที่โรงละครฟอร์ด และเสียชีวิตในเช้าวันถัดมา ศพของลินคอล์นฝังอยู่ที่สปริงฟิลด์ รัฐอิลลินอยส์ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐ เป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคนหนึ่งของโลก จนชื่อว่าเป็นบิดาแห่งระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ เพราะมีบทบาทในการรักษาไว้ซึ่งสหภาพของอเมริกา และเป็นผู้ประกาศในสุนทรพจน์ที่ว่า "รัฐบาลประชาธิปไตย คือรัฐบาลของประชาชน เพื่อประชาชน และโดยประชาชน"

ผู้แพ้ที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล
เชื่อหรือไม่ว่าอับราฮัม ลินคอล์น เป็นผู้แพ้มาทั้งชีวิต 40 กว่าปี แพ้ตลอด แต่มาชนะเอาเมื่อ 7 ปีสุดท้ายของชีวิตนี้เอง

               ลินคอล์น เกิดมาก็แพ้แล้ว ด้วยชีวิตที่ยากจนค้นแค้นสุดๆ เรียกว่าอยู่บ้านนอก พื้นบ้านเป็นดินชื้น บ้านไม่มีหน้าต่างหรือช่องลม แม่ตายตั้งแต่ยังเด็ก พ่อก็เหมือนคนสำมะเหร่เทเมา โชคดีหน่อยที่ได้แม่เลี้ยงที่ดี ลินคอล์น ถูกเพื่อนบ้านด่าว่าเป็นคนไม่เอาถ่าน เพราะพี่แกไปทำไร่ ก็ไม่กระจิตกระใจที่จะทำ นั่งฝันกลางวันอยู่ตลอดเวลา

               เรื่องการเรียน ก็ไม่ได้เข้าโรงเรียนแบบคนปกติหรอก ทั้งชีวิตก็เรียนด้วยตนเองเสียมากกว่า

               ยังไม่พอ พระเจ้ายังมอบความพ่ายแพ้ในความรักให้แก่ลินคอล์นด้วย รักแรกของลินคอล์น กับสาวน้อยที่น่ารัก จบลงด้วยการจากลาอย่างไม่วันกลับ เธอตายไปในอ้อมกอดของลินคอล์น

               ตายของเธอ ถึงกับทำให้ลินคอล์นอยากฆ่าตัวตายตาม จนเพื่อนๆต้องคอยเป็นห่วง ดูแลไม่ให้เขาคิดสั้น

               ลินคอล์น เห็นว่า ไอ้การเป็นชาวไร่นี้ถ้าจะไม่มีอนาคต พร้อมกับได้แรงดลใจจากการอ่านหนังสือคำบรรยายกฎหมาย เขาจึงจะตัดสินใจเรียนกฎหมาย แต่ไม่ใช่ว่าจะไปเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ แบบนี้ลินคอล์นไม่มีปัญญา ก็อาศัยหยิบยืมหนังสือมาอ่านแล้วไปสอบเป็นทนายความ

               จะเรียกว่า ลินคอล์น เป็นลูกอีช่างยืมก็ไม่ผิด...

               ยังไม่พอ ลินคอล์น นอกจากเป็นทนายความ เงินทองไม่ค่อยจะพอ ก็ร่วมทุนกับเพื่อนทำร้านโชวห่วย ขอโทษ เปิดได้ไม่นาน เจ๊งไปตามระเบียบ

               ชีวิตอะไรมันจะรันทดขนาดนี้

               ก็ยังดีที่ ลินคอล์นเป็นคนที่มีคารมคมคาย แต่ไม่ใช่เรื่องพรสรรค์ แต่เป็นการทำงานหนักของเขาที่จะต้องศึกษาหาความรู้เพื่อจะนำมาร่างเป็น สุนทรพจน์ และด้วยแรงยุของเมียที่มีความทะเยอทะยานสุดๆ ผลัดดันให้คนเฉื่อยแฉะอย่างลินคอล์น ก้าวสู่วงการการเมือง

               ยังครับ ลินคอล์นยังแพ้ไม่พอ ลงสมัครเป็น ส.ส. ของรัฐก็แพ้ แพ้หลายครั้ง จนไม่อยากจะจำ แต่ด้วยความที่เป็นนักต่อสู้ แพ้มาหลายครั้งในชีวิต จะแพ้อีกสักหน่อยจะเป็นไร ก็สู้สมัครเป็น ส.ส. รัฐ มาเรื่อย จนได้เป็นสมความหวัง

               จาก ส.ส. ลินคอล์น ก็นึกสนุกอยากจะเป็น ส.ว. บ้าง ลินคอล์น นี้ สังกัด รีพับลิกัน ต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่อดีตเคยเป็นคู่แข่งในชีวิตรัก แย่งแมรี่ ทอดด์ ซึ่ง คนโชคร้ายคือ ลินคอล์นที่ได้ น้องแมรี่เป็นเมีย เอ้อ ชื่อของคู่แข่งคือ  สตีเฟน ดักลัส

               ดักลัสนี้เรียนสูง ร่ำรวย เรียกว่าเทียบลินคอล์นนี้คนละเรื่องเลย ปรากฏว่า ลินคอล์นพยายามต่อสู้อย่างดุเดือด สุดท้าย พี่ลินคอล์น แพ้อีกแล้วครับท่าน

               แพ้ซ้ำซาก อย่างนี้ เป็นคนอื่น กระโดดน้ำตายไปแล้ว    

                แต่คนมันจะรุ่ง ช่วยไม่ได้ มาตอนที่พรรครีพับริกันจะเลือกผู้สมัครท้าชิงประธานาธิบดี ที่จริง พรรคเขาจะเลือก วุฒสมาชิก ชิวเวิร์ด อยู่แล้ว แต่มีปัญหาทางเทคนิคนิดหน่อย เลยเลื่อนเวลาอีก 12 ชั่วโมง เพื่อลงคะแนนเสียง

               ตอนนั้น  กรีลีย์ มีแค้นเก่ากับชิวเวิร์ด ก็ออกล็อบบี้ สร้างภาพน่ากลัวว่าเลือกชิวเวิร์ดละก็แย่แน่ๆ สู้หันมาเทคะแนนเลือก ลินคอล์น ซึ่งเคยเป็นคู่แข่งของ ดักลัส ซึ่งจะเป็นตัวแทนของเดโมแครตดีกว่า

               แล้วที่สุด ลินคอล์นก็ได้รับเลือก แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

               คนมันจะดวงดี เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ ตอนนั้น เดโมแครต ทะเลาะกัน แทนที่จะส่งแต่ดักลัสคนเดียว ก็มีพวกที่แยกออกมาลงอีก 2 คน เรียกว่าคะแนนเสียงแตก ฟ้าบันดาลให้ ลินคอล์น เป็น ประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา

               ยังครับยังไม่หมดเพราะความซวยกำลังมาเยือนอีกครั้ง

               ตอนนั้น เป็นช่วงกลียุคของ สหรัฐอเมริกา เกิดสงครามกลางเมือง ฝ่ายเหนือให้เลิกทาส ฝ่ายใต้ไม่ยอม

               ตอนแรกๆ ฝ่ายใต้นี้ก็ชนะมาเรื่อย ด้วยฝีมือของ นายพลดังอย่าง นายพลลี

               ไม่วาย เป็นประธานาธิบดี ก็ยังต้องแพ้สงครามมาเรื่อยๆ จนเกือบประกาศยอมแพ้อยู่แล้ว

               แต่ สุดท้าย ไปได้ นายพลฝีมือดี อย่างนายพล แกรนต์ มาเป็นนายทัพ คราวนี้ก็เริ่มดีขึ้นรุกไล่ฝ่ายใต้ จนชนะสงคราม

               และแล้วผู้แพ้อย่าง ลินคอล์น ก็ถูกจารึกชื่อ เป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลก่อนที่จบชีวิตลงในเวลาต่อมา

อัมบราฮัม ลินคอล์น ชีวิตรักขมและเป็นโรคกลัวเมีย            
               อันนี้เรื่องจริงครับว่ากันว่าอัมบราฮัม ลินคอล์นเป็นโรคกลัวภรรยาแมรี่มากครับ ถึงขนาดว่ากันว่า อัมบราฮัม ลินคอล์น และแมรี่ ทอดด์ ตอนสมรสกันใหม่ๆ ที่เมืองสปริงฟีลด์ รัฐอินลินอยส์ พยานหลายคนประจักษ์ว่าเป็นคู่สมรสที่ดูโชคร้ายที่สุด และไร้ ความสุขที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา

               เฮอร์นดัน เพื่อนรักของลินคอล์นกล่าวว่า " ถ้าลินคอล์นมีความสุขสักครั้ง ใน 20 ปีที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่นอกเหนือความรู้ของข้าพเจ้า"

               หลังจากการแต่งงานกับแมรี่ ทอดด์ไม่นาน ลินคอล์นเริ่มสำนึกว่า เขากับหล่อนอยู่ในฐานะที่ตรงข้ามกันทุกๆด้าน และต่างจะไม่ได้รับความสุข เป็นอันขาด คนทั้งสองอยู่ในลักษณะขัดแย้งในด้านนิสัยใจคอ รสนิยม การอบรม และความปราถนา

               แมรี่ ทอดด์ สำเร็จการศึกษามาจากโรงเรียนผู้ดีในรัฐเคนตักกี้ หล่อนสามารถพูดฝรั่งเศสสำเนียงคนปารีส และเป็นหญิงที่ได้รับการศึกษา มากที่สุดของรัฐอินลินอยส์ ส่วนลินคอล์นเคยเข้าเรียนโรงเรียนทั้งชีวิต ไม่ถึง 12 เดือน

               ในเรื่องวงศาคณาญาติของแมรี่ ทอดด์ก็มาจากตระกูลของนายพลและ ข้าหลวง แต่ลินคอล์นมีญาติเพียงคนเดียว และถูกหาว่าเป็นขโมย

               แมรี่ ทอดด์ สนใจในเรื่องเครื่องแต่งกาย การอวดรูปโฉม และการทำโก้ แต่ลินคอล์นไม่เอาใจใส่ค่อสารรูปของเขาในประการทั้งปวง ใช่แต่เท่านั้น บางครั้งเขาเดินไปตามถนนทั้งๆที่ขากางเกงข้างหนึ่งอยู่นอกเกือกบูต และขาอีกข้างหนึ่งอยู่ข้างเกือกบูต

               หล่อนหยิ่งและถือตัว และขี้หึงอย่างร้ายกาจ และจะต้องเกิดเรื่องเป็นเป้า สายตาขึ้น ถ้าเขาเพียงแต่มองหญิงอื่น ความหึงของหล่อนเป็นไปอย่าง รุนแรง ปราศจากเหตุผล และน่าขนลุกขนพอง

               ความเศร้าเสียใจในเรื่องของการสมรสของลินคอล์นสามารถอ่านจาก จดหมายฉบับนี้

               "ในเวลานี้ฉันเป็นคนที่มีความทุกข์ยิ่งกว่ามนุษย์คนใดในภิภพ ถ้าหากว่า ความรู้สึกของฉันถูกมอบแก่มนุษย์ทุกๆคน ในโลกนี้จะไม่มีมนุษย์ที่มี หน้าตายิ้มแย้มเลยแม้แต่คนเดียว อาการของฉันมีหวังดีขึ้นบ้างหรือไม่ เป็นสิ่งซึ่งฉันไม่สามารถบอกได้ ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะไม่มีวันดีขึ้นเป็น อันขาด ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ฉันรู้สึกเหมือนกับว่า ถ้าอาการของฉันไม่ไดีขึ้นฉันคงจะต้องตาย"

               มีอยู่คราวหนึ่งที่ นางลินคอล์นไม่พอใจลินคอล์นมากๆ ถึงกับเอากาแฟใน ถ้วย สาดหน้าลินคอล์นขณะที่อยู่ต่อหน้าแขกและธารกำนัล และไม่ใช่เพียง ครั้ง หรือสองครั้ง แต่เกิดขึ้นบ่อยๆทีเดียว

               แต่สิ่งที่น่ายกย่องลินคอล์นคือ เขาสามารถอดทนต่อชีวิตที่ไร้ความสุขภาย ในบ้านเป็นเวลาถึงยี่สิบสามปีโดยไม่ได้แสดงออกถึงอาการขมขื่นปวดร้าว มิได้แสดงความขุ่นเคืองและมิได้ปริปากพูดเรื่องนี้แก่ใครเลยแม้แต่คำเดียว จนเกือบไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแล้ว

ความเหมือนในความต่าง             
               เกือบ 100 ปี หลังประธานาธิบดีลินคอล์นถูกลอบสังหาร ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ก็ถูกลอบสังหารเช่นกัน มีหลายคนสังเกตเห็นความความอันน่าทึ่งระหว่างสองเหตุการณ์ณ์ลอบสังหารใน ครั้งนี้

                - เกี่ยวกับนโยบายของบุคคลทั้งสอง ย้อนไปในปี ค.ศ. 1847 อับราฮัม ลินคอล์น ได้รับเลือกจากประชาชนรัฐอิลลินอยส์ เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ( สภาครองเกรส ) เป็นครั้งแรก….. ถัดมาอีก 100 ปี ในปี ค.ศ. 1947 จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ก็ได้รับเลือกจากรัฐแมสซาชูเตส์เข้าสู่สภาครองเกสเช่นกัน

                - ปี ค.ศ. 1856 ลินคอล์นถูกเสนอชื่อจากพรรคริพับลิกันเข้าชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีอย่าง ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน แต่เขาล้มเหลวไม่ได้รับเลือกตั้ง 4 ปีต่อมา ลินคอล์นถูกเสนอชื่ออีกครั้งให้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในฐานะเต็งหนึ่ง ปีค.ศ. 1956 หรือ อีก 100 ปีต่อมา……เคนเนดี้ได้รับการคัดเลือกจากพรรคเดโมแครตให้เข้าชิงตำแหน่งรอง ประธานาธิบดีแต่ไม่ประสบความสำเร็จ 4 ปีต่อมา เขากลับมาอีกครั้งในฐานะเต็งหนึ่งในการลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐ อเมริกา

                - ปี ค.ศ. 1860 ลินคอล์นเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา จากผล Electoral College ……100 ปีต่อมา เคนเนดี้ก็เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง จากผล Electoral College เช่นกัน

                - เป็นเรื่องน่าพิศวงอีกว่าลินคอล์นใช้เวลา 13 ปีนับจากวันที่เดินเข้าสู่สภาครองเกส ในปี ค.ศ. 1847 แล้วก้าวขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1860ส่วนทางด้านเคนเนดี้เองนั้นได้รับเลือกเข้าสภาครองเกสในปี ค.ศ. 1947 หรือและดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1960 หรืออีก 13 ปีต่อมานั่นเองแถมยังมีระยะเวลาห่างจากลินคอล์น 100 ปีพอดีเสียอีก

               - คำว่า Lincoln และ Kennedy ต่างมีตัวอักษรทั้งหมด 7 ตัวเท่ากัน และทั้งคู่เป็นประธานาธิบดีที่ให้ความสนใจกับสิทธิของประชาชนเป็นหลัก

             
               - ลินคอล์น มีลูก 2 คน ชื่อ Edward(คนบน)  และ Robert  ส่วนเคนนาดี้ มีน้อง 2 คน ชื่อ Edward และ Robert ………….ต่อมาลินคอล์นต้องพบกับความสูญเสียเมื่อ ลูกชื่อ Edward ป่วยและเสียชีวิตและเคนนาดี้ ต้องพบกับความสูญเสียเมื่อ น้องชื่อ Robert ถูกยิงเสียชีวิต

                - ทั้งลินคอล์นและเคนเนดี้ในขณะลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีนั้นก็ต่างส่งผู้ ร่วมทีมลงสมัครตำแหน่งประธานาธิบดีนั้นต่างก็ส่งผู้ร่วมทีมลงสมัครตำแหน่ง รองประธานาธิบดีที่มีนามสกุลเหมือนกัน คือ จอห์นสัน

               - ฝ่ายลินคอล์น นั้นมีชื่อว่า แอนดรู จอห์นสัน เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1808  ส่วนเคนเนดี้นั้น มีชื่อว่า ลินดอน จอห์นสัน เกิดปี ค.ศ. 1908 โดยที่ชื่อของรองประธานาธิบดีทั้งสองมีความยาว 13 ตัวอักษรเท่ากันละอายุต่างกัน 100 ปีพอดีเหมือนกัน

               
                 - ในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1865ประธานาธิบดีลินคอล์นเดินทางไปชมละครกับภรรยาแล้วถูกลอบสังหารจากชาวใต้ หัวรุนแรง นามว่า จอห์น บูธ ผู้ซึ่งโกรธแค้นประธานาธิบดีลินคอล์นตั้งแต่สมัยสงครามการเมืองสหรัฐอเมริกา จอห์น บูธ ถูกตำรวจไล่ล่าและถูกสังหารในโรงเก็บของโดยมีเงื่อนปมว่าการสังหารบูธใน ครั้งนี้อาจเป็นการฆ่าตัดตอน เพื่อไม่ให้สืบสาวถึงผู้บงการตัวจริง.......ปี ค.ศ. 1963 เคนเนดี้เดินทางไปปราศรัยหาเสียงที่เมืองตัลลัส รัฐเท็กซัส ด้วยการนั่งรถเปิดประทุนไปกับภรรยา และถูกลอบสังหารจากลี ฮาร์วีย์ ออสวัลด์ ผู้ซุ่มอยู่ที่โรงเก็บของบนหลังคาตึกการตายของมหาบุรุษทั้งสองเป็นปริศนาดำ มืดที่ยังไม่คลายปมมาจนถึงทุกวันนี้  
            
                - John Wilkes Booth และ Lee Harvey Oswaldมือสังหารที่สังหารประธานาธิบดีทั้งสองเป็นชาวใต้เหมือนกันJohn Wilkes Booth ซึ่งเป็นมือปืนที่สังหาร Lincoln เกิดในปี 1839 ส่วน Lee Harvey Oswald ซึ่งเป็นมือปืนที่สังหาร Kennedy เกิดในปี 1939ทั้งสองเกิดห่างกัน 100 ปี และชื่อมือปืนทั้งคู่มีความยาว 15 ตัวอักษรเท่ากัน

               - ขณะที่ลินคอล์นจะออกไปดูละครนั้น เลขานุการส่วนตัวได้ทักท้วงมิให้เขาออกไปโดยเลขานุการคนนี้ชื่อ เคนเนดี้ ส่วนเคนเนดี้นั้น เลขานุการเขาก็ได้เอ่ยเตือนล่วงหน้าไว้เช่นกัน และเลขานุการคนนี้มีชื่อว่า ลินคอล์น

               - มหาบุรุษทั้งสองถูกยิงฟุบจบชีวิตลงในอ้อมอกของภรรยาเหมือนกัน

ลางสังหรณ์ ฝันมรณะ

               ก่อนหน้าที่ท่านอับบราฮัม ลินคอร์นจะถูกลอบสังหาร ได้ฝันว่า ท่านเดินเข้าไปในงานพิธียิ่งใหญ่งานหนึ่ง มีผู้คนมากมายมาร่วมงาน พอเดินเข้าไปใกล้อีกนิด ถึงได้สังเกตว่าเป็นงานศพ ในฝันแจ่มชัดจนท่านได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของผู้คนดังระงมทั่วบริเวณงาน ท่านรู้สึกแปลกใจจึงถามผู้ที่มาร่วมงานว่า เป็นงานศพของใคร ใครเสียชีวิตหรือ หนึ่งในผู้มาร่วมงานตอบว่า... ท่านประธานาธิบดีลินคอร์นถูกลอบสังหารเสียชีวิต ปรากฏว่า ฝันเป็นจริงในเวลาไม่ถึงเดือน ท่านประธานาธิบดีก็ถูกลอบสังหาร

ผีอับราฮัม ลินคอล์น
              
               ว่ากันว่า ลินคอล์นเคยเป็นคนทรงซึ่งติดต่อกับวิญญาณคนตายได้ วิญญาณนั้นเองที่บอกให้เขาให้ปลดปล่อยทาสในภาคใต้ เขาปฏิบัติตามคำแนะนำนั้นจนเป็นจุดเริ่มต้นสงครามกลางเมือง และเมื่อเขาตายลงวิญญาณเขายังไม่ไปสู่สุขคติเพราะใจเขายังยึดติดอยู่ วิญญาณเลยวนเวียนอยู่บนโลกนี้

               แมรี่ ลินคอล์นเคยไปพบช่างถ่ายภาพรูปวิญญาณชื่อมัมเลอร์ เธอขอให้เขาถ่ายรูปเธอกลับรูปวิญญาณของสามีที่ตายไปแล้ว เมื่อถ่ายภาพของเธอปรากฏว่ามีภาพผีอับราฮัมยืนอยู่ข้างหลังของเธอ แต่ทว่าภายหลังมัมเลอร์ถูกกล่าวหาว่าเป็นหลวกหลวงต้มตุ๋น และภาพบางภาพปรากฏว่าเป็นของปลอม และภายหลังต่อมา นางลินคอล์นกลับเป็นคนวิกลจริตอย่างรุนแรง เพราะความสูญเสียสามี(พึ่งรู้สำนึกเรอะ)

               นอกจากนี้ยังมีการรายงานการปรากฏตัวของวิญญาณลินคอล์นในทำเนียบขาวเป็นระยะ เช่น

               - สมเด็จพระราชินีเฮล์มมิน่าแห่งเนเธอร์แลนด์เคยประทับทำเนียบขาว เคยได้ยินเสียเคาะประตูห้องบรรทม เมื่อเปิดดูเธอถึงกลับล้มทั้งยืนเมื่อทอดพระเนตรเห็นร่างประธานาธิบดี ลินคอล์นยืนอยู่ที่นั้น

               - ประธานาธิบดีรูลเวลท์แม้ไม่เคยพบวิญญาณของประธานธิบดี แต่ท่านเล่าว่าในขณะที่เขาอยู่ลำพังเพียงคนเดียวในห้องสีฟ้า ท่านมักรู้สึกว่ามีวิญญาณของลินคอล์นวนเวียนอยู่ที่นั้น

               - สาวใช้เคยเล่าให้ภรรยาประธานาธิบดีรูสเวลท์ฟังว่าเคยเห็นวิญญาณลินคอล์นให้ ห้องของเขาโดยเห็นท่านนั่งขอบเตียงกำลังถอดรองเท้าบูธออก

               - ประธานาธิบดีแฮรี่ เอช ทรูแมนเล่าหลายครั้งว่าท่านมักตกใจตื่นเพราะเสียงเคาะประตูห้องนอนในทำเนียบ ขาว แต่ทรูแมนไม่เคยเห็นกับตาเหมือนสมเด็จพระราชินีเฮล์มมิน่าเท่านั้นเอง