วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การเลือกถังเก็บน้ำดี

  สวัสดีครับ วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องถังเก็บน้ำดี บ้านเล็ก ๆ หลายหลังอาจจะๆไม่มีถังเก็บน้ำดี (เช่นบ้านที่ผมเช่าอยู่ในปัจจุบัน) ซึ่งใช้น้ำที่ต่อตรงจากท่อประปาเข้าบ้านเลย หรืออาคารที่ต้องใช้ปริมาณน้ำพร้อมกันคราวละมาก ๆ เช่น หอพัก ก็ควรมีถังเก็บน้ำไว้เช่นกัน 
          สำหรับหน้าที่ของถังเก็บน้ำดีนั้น เพื่อสำรองน้ำไว้ใช้ในกรณีที่น้ำประปามีเหตุจำเป็นต้องหยุดส่งน้ำ
          (ระวัง!! การต่อปั้มน้ำต้องต่อหลังจากถังเก็บน้ำนะครับ ห้ามต่อตรงจากท่อประปาโดยเด็ดขาดนะครับ อ้างอิงจากเว็บไซต์ การประปาส่วนภูมิภาคหน้าข้อควรระวังการใช้น้ำข้อ 4)
โดยทั่วไปสำหรับบ้านพักอาศัยเราจะทำการสำรองน้ำไว้ประมาณ 3 วัน เฉลี่ยคนหนึ่งคนใช้น้ำ 200 ลิตรต่อวันฟ
          เพราะฉะนั้นหากเราจะคำนวนปริมาตรของถังเก็บน้ำดีที่เราจะนำมาติดตั้งในบ้านก็ควรจะใช้ขนาดโดยวิธีคำนวนดังต่อไปนี้ จำนวนคน x 200 ลิตร x 3 วัน
          เช่น บ้านเรามีคนอยู่ 4 คน ก็ควรใช้ถังเก็บน้ำขนาด 4x200x3 = 2400 ลิตร เป็นต้น
          แต่ส่วนใหญ่ใน Catalog หรือ โบชัวร์ ของถังน้ำดียี่ห้อต่างๆ ก็จะบอกปริมาตรต่อคนต่อชนิดอาคารมาอยู่แล้ว
รูปตัวอย่างโบชัวร์ของถังน้ำยี่ห้อ DOS ซึ่งในตารางคุณลักษณะจะมีจำนวนผู้ใช้เทียบกับขนาดของถังน้ำโดยแบ่งเป็นชนิดอาคาร (ในโบชัวร์นี้แบ่ง 2 ชนิดคือ บ้านพักอาศัยและสำนักงาน)
ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับถังน้ำชนิดต่าง ๆ กันก่อนดีกว่า
    1.  ถังเก็บน้ำ ค.ส.ล. (ค.ส.ล. = คอนกรีตเสริมเหล็ก) เป็นถังที่มีความแข็งแรงทนทานสามารถสร้างได้ทั้งแบบอยู่บนดิน และใต้ดิน เป็นถังที่มีน้ำหนักมาก  การก่อสร้างต้องระวังเรื่องการรั่วซึมเป็นพิเศษ ดังนั้นต้อง ทำระบบกันซึมและต้องเลือกชนิดที่ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย สามารถสร้างได้ทั้งแบบสี่เหลี่ยมและวงกลม การออกแบบและติดตั้งควรปรึกษาวิศวกรด้วยนะครับ


ถังเก็บน้ำ ค.ส.ล.


ถังเก็บน้ำ ค.ส.ล.

    2. ถังเก็บน้ำสแตนเลส เป็นถังน้ำสำเร็จรูปโดยใช้โลหะสแตนเลสที่ไม่เป็นสนิม โดยใช้สแตนเลสเกรด 304 (เกรดที่สูงที่สุด เกรดเดียวกับราวระเบียง ซึ่งสำหรับใช้ภายนอก ไม่มีการเกิดสนิม) มีความทนทานต่อการใช้งาน นิยมติดตั้ง เป็นถังน้ำบนดิน

ถังเก็บน้ำแสตนเลส



    3.  ถังเก็บน้ำไฟเบอร์กลาส เป็นถังเก็บน้ำสำเร็จรูป ใช้วัสดุไฟเบอร์กลาสที่มีความยืดหยุ่นสูง ไม่แตกหักง่าย มีน้ำหนักเบา รับแรงดันได้ดีและไม่เป็นพิษกับน้ำ  สามารถติดตั้งได้ทั้งบนดินและใต้ดิน (แต่รูปที่แนบมาเป็นรูปของถังบนดินนะครับ)


ถังเก็บน้ำไฟเบอร์กลาส

    4.  ถังเก็บน้ำพลาสติก , ถังเก็บน้ำ  Polymer Elixir เกรดพิเศษ , Poly Composite, Polyethylene  ถังน้ำชนิดนี้ไม่มีสารพิษอันก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ตั้งกลางแดดได้ น้ำไม่ร้อน ไม่เป็นสนิม ไม่เป็นตะใคร่ ไม่กรอบแตก  ใส่น้ำได้ทั้งน้ำปะปา น้ำฝน น้ำคลอง น้ำบาดาล โดยไม่มีผลต่อคุณภาพสินค้า หากแต่ถ้าเป็นน้ำคลอง หรือน้ำบาดาล อาจจะต้องล้างถังบ่อยกว่าน้ำปะปา เนื่องจากมีตะกอนดินไหลปะปนมากับน้ำ และเพื่อสุขอนามัยของน้ำดื่ม สามารถติดตั้งได้ทั้งบนดินและใต้ดิน (รูปที่แนบมาเป็นถังบนดิน)
โดยที่ ถังเก็บน้ำพลาสติก เป็นถังที่ทำจากโพลีแอททิลีน ราคาไม่แพง อายุการใช้งานสั้นกรอบแตกง่ายและมีปัญหาเรื่องสนิม ส่วนถังเก็บน้ำจากวัสดุเอลิเซอร์หรือถังโพลิเมอร์พลาสติกคุณภาพสูง เป็นนวัฒกรรมใหม่สำหรับถังเก็บน้ำบนดิน Elixir เป็น PE Compound ( Poly ethylene Compound) มีคุณสมบัติ ทนแดด ไม่เป็นสนิม ไม่เป็นตะไคร่

ถังเก็บน้ำประเภทนี้มีแตกสาขาออกไปยิบย่อยมาก เช่นของ DOS จะมีแบ่งย่อยไปอีกเป็น กลุ่ม Silver nano titanium , กลุ่ม Elixir เป็นต้น เพราะฉะนั้นตอนที่เลือกซื้อใช้ควรศึกษาคุณสมบัติของถังเก็บน้ำแต่ละรุ่นของแต่ละยี่ห้อให้ดี ๆ นะครับ จะได้รู้จุดเด่นจุดด้อย ว่ารุ่นไหนที่เหมาะกับบ้านเรา
และถังเก็บน้ำชนิดนี้มีการพัฒนาอยู่ทุกวัน เพราะฉะนั้นมันจำเป็นมากที่เราจะศึกษาก่อนซื้อในแต่ละครั้ง ข้อมูลที่เขียนมานี้เป็นข้อมูลกว้าง ๆ ให้พอที่จะเห็นในภาพรวมเท่านั้นครับ

หมายเหตุ!! เรื่องถังเก็บน้ำพลาสติกเป็นชนิดที่ความรู้ของผมยังไม่ตกผลึกดี เนื่องจากมีสื่อและข้อมูลมากมายเหลือเกินทั้งไม่ครอบคลุมและขัดแย้งกันเองก็มาก ดังนั้นหากผมผิดพลาดประการใด รบกวนแจ้งที่คอมเม้นต์ด้วยนะครับ ผมจะได้ดำเนินการแก้ไขและเป็นความรู้สำหรับผมด้วย

ถังเก็บน้ำ Polymer Elixir

ถังเก็บน้ำ Polymer Elixir
ถังเก็บน้ำ Polyethylene 

          นอกจากนี้อาจจะมีถังชนิดอื่น ๆ อีก แต่ผมยกตัวอย่าง 4 ชนิดนี้ เนื่องจากเป็นวัสดุถังที่ใช้งานบ่อย และที่สำคัญคือผมเคยสัมผัส ติดตั้ง ใช้งานกับถังทั้งสี่ชนิดนี้เท่านั้น ชนิดอื่น ๆ ถ้าผมได้ใช้และศึกษาเกี่ยวกับมัน ผมจะมาบรรยายต่อคราวหลังครับ
          อ้อ! ผมเกือบลืม จะมีถังอีกชนิดหนึ่งคือถังชุบสังกะสี ถังชนิดนี้หากใช้แล้วปัญหาจะตามมาเยอะ ขอแนะนำไม่ควรใช้และผมขอไม่เขียนถึงก็แล้วกันนะครับ
(เนื้อหาหลายส่วมผมก็เกิดจากการค้นหา อ่านในเว็บไซต์ หรือตำราต่าง ๆ แล้วเซฟเก็บมาในคอมพ์ ทำให้บางประโยคอาจมีซ้ำกับที่คนอื่นเคยเขียนในเว็บอื่น ๆ บ้าง แต่ผมหาอ้างอิงไม่ค่อยเจอแล้ว เราพผม Copy ลง Notepad ผมต้องขออภัยเจ้าขอความรู้ในบางหัวข้อที่ไม่ได้ลง Credit ไว้ครับ)

          สำหรับความแตกต่างระหว่างระหว่างถังทั้ง 4 ชนิดนี้เป็นอย่างไรนั้น สำหรับถัง ค.ส.ล. เราตัดออกไปเป็นอีกจำพวกหนึ่งเลย เพราะเราจะใช้ในงานเก็บน้ำขนาดใหญ่มีน้ำหนักมาก ไม่เหมาะกับถังเก็บน้ำสำหรับบ้านพักอาศัยอย่างเรา ๆ แน่นอน หากจะใช้ถังชนิดนี้ควรปรึกษาวิศวกรจะดีที่สุด
         ถังเก็บน้ำแสตนเลสเปรียบเทียบกับพลาสติกหรือไฟเบอร์กลาส จะขอเทียบเป็นข้อ ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจนะครับ

ถังเก็บน้ำแสตนเลส
1.ใช้กับน้ำสะอาดเท่านั้น ไม่ทนทานต่อน้ำกร่อย หรือน้ำบาดาน (กรด-ด่าง)
2.มีขาตั้ง และรูถ่ายน้ำที่ก้นถัง ซึ่งสะดวกในการล้างถัง
3.ผิวมันวาว หรูหรา สวยงาม
4.ระยะการประกันสินค้าสั้นกว่า (ประมาณ 5 ปี)
5.ราคาสูงกว่า


ถังเก็บน้ำพลาสติกหรือไฟเบอร์กลาส
1.ใช้ได้ทั้งน้ำสะอาด และน้ำกร่อย (กรด - ด่าง)
2.ไม่มีขาตั้ง(แทบทุกรุ่นที่จำหน่ายในท้องตลาด)
3.มีสีสรรมากมาย หลากหลายรูปทรง และพื้นผิว ลวดลายที่แตกต่าง
4.ระยะการประกันสินค้ายาวกว่า (ประมาณ 20 ปี)
5.ราคาถูกกว่าประมาณ 30%

สรุปถังชนิดไหนดีกว่ากัน??
จะเลือกใช้อันไหนนั้น ก็คงขึ้นอยู่กับความชอบและกระเป๋าตังค์ของแต่ละคนครับ เพราะเดี๋ยวนี้ปัญหาเรื่องสนิมหรือตระใคร่น้ำก็แทบจะไม่มีแล้วเนื่องจากทางผู้ผลิตก็ได้ปรับปรุงคุณภาพถังเก็บน้ำอยู่ทุกวันครับ
          ถ้างั้นแล้วเจ้า PE และ Fiber Grass ต่างกันอย่างไร จากที่ผมเคยจากทางบริษัทผู้จำหน่าย เขาตอบว่า Fiber Grass จะแข็งแรงกว่า แต่ก็เปราะกว่า (คือแข็งกว่าแตกหักง่ายกว่า) เพราะทาง PE จะยืดหยุ่นสูงกว่านั่นเอง และก็บอกด้วยว่าวัสดุ PE เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่าไฟเบอร์กลาสเหมาะกับการใช้งานมากกว่าและยังถูกกว่าอีกด้วย
(สำหรับความแข็งแรงของถังน้ำนั้นมีผลอะไรกับการเก็บน้ำ จริง ๆ จะมีผลในการทำถังน้ำใต้ดิน ซึ่งจะมีถังน้ำชนิดฝังใต้ดินโดยเฉพาะอยู่แล้ว เนื่องจากถังเก็บน้ำใต้ดินต้องทนแรงดันดินจากด้านข้าง แรงกดจากด้านบนและแรงลอยตัวจากน้ำใต้ดิน ไว้ผมจะอธิบายให้ระเอียดตอนเขียนเรื่องการติดตั้งถังน้ำใต้ดิน)

 ข้อแนะนำการเลือกใช้ถังเก็บน้ำ ผมนำข้อมูลมาจากเว็บไซต์ของ DOS ครับ 

เนื้อหาเรื่องถังเก็บน้ำ ยิ่งค้นยิ่งเจอมาก ยิ่งค้นยิ่งซับซ้อน เรื่องวัสดุของถังเก็บน้ำดียังมีรายละเอียดอีกมาก แต่ที่ผมยกมาเขียนนี้เป็นเพียงสิ่งที่ผมจำเป็นต้องค้น จำเป็นต้องรู้ตอนทำการก่อสร้างครับ เจ้าของบ้านมักจะถามเสมอ ๆ เรื่องถังชนิดไหนดีกว่ากัน
หากข้อมูลใดผิดพลาด หรือจะเพิ่มเติมอะไร รบกวนแจ้งด้วยนะครับ จะเป็นพระคุณอย่างสูงและผมจะรีบทำการแก้ไขทันที



การเลือกใช้ปั๊มน้ำที่เหมาะสม


การเลือกใช้ปั๊มน้ำที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ


  ในปัจจุบันปั๊มน้ำเป็นอุปกรณ์สำคัญในการจ่ายน้ำภายในบ้าน เนื่องจากแรงดันน้ำประปาไม่เพียงพอ  ดังนั้นจึงมีการใช้ถังเก็บน้ำประปาไว้ แล้วใช้ปั๊มน้ำดูดน้ำจากถังเก็บน้ำจ่ายเข้าระบบท่อภายในบ้านอีกทอดหนึ่ง
        การเลือกใช้ปั๊มน้ำที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้ปริมาณาน้ำใช้ตามต้องการในจุดต่างๆของบ้าน

การเลือกใช้ปั๊มน้ำ

           การเลือกปั๊มน้ำก็ง่ายๆ เพียงแต่ต้องรู้เขารู้เราหน่อย  เริ่มจากรู้เราก่อนคือรู้ความต้องการของเรา ว่าจะใช้น้ำมากน้อย อย่างไร  และรู้เขาคือรู้ว่าปั๊มรุ่นไหนมีความสามารถตรงกับความต้องการของเรา
          1. ต้องมีข้อมูลปริมาณการใช้น้ำภายในบ้าน บ้านมีกี่ชั้น ห้องน้ำชั้นสูงสุดอยู่ชั้นไหน มีคนอยู่กี่คน ห้องน้ำกี่ห้อง โอกาสที่จะใช้ก็อกน้ำ, ห้องน้ำพร้อมกัน
              โดยทั่วไปก็อกน้ำควรจะจ่ายน้ำที่อัตรา 12  ลิตร / นาที
                             อ่างล้างมือควรจ่ายน้ำที่อัตรา  6  ลิตร / นาที
                             ฝักบัวควรจ่ายน้ำที่อัตรา  12  ลิตร / นาที
                             อ่างอาบน้ำ ควรจ่ายน้ำที่อัตรา  18  ลิตร / นาที
                             เครื่องซักผ้า ควรจ่ายน้ำที่อัตรา  12  ลิตร / นาที
                             ส้วมชักโครก ควรจ่ายน้ำที่อัตรา  6  ลิตร / นาที
               แรงดันทั่วไปที่อุปกรณ์ประปาต้องการจะอยู่ประมาณ 10 - 20 เมตรเพื่อให้น้ำไหลได้ในอัตราที่ต้องการ
           2. เลือกปั๊มน้ำที่สามารถจ่ายน้ำได้ในปริมาณที่ต้องการ ในระดับแรงดันที่ต้องการ  โดยคำนึงถึงช่วงเวลาที่ใช้น้ำพร้อมกันสูงสุด เช่นช่วงเช้าที่ห้องน้ำเต็มทุกห้อง ต้องเปิดน้ำจุดไหนบ้าง  ใช้น้ำทั้งหมดกี่ลิตร/นาทีในช่วงนั้น( ดูรายละเอียดปั๊มใน รู้จักปั๊มน้ำ)
               แรงดันที่ต้องการหาจากแรงดันที่อุปกรณ์ต้องการ + ความสูงของอุปกรณ์วัดจากปั๊มน้ำ + แรงเสียดทานในท่อ(ยิ่งท่อเล็กแรงเสียดทานมาก ท่อใหญ่แรงเสียดทานน้อย)
        
รู้จักปั๊มน้ำ

        ปั๊มน้ำเป็นอุปกรณ์เพิ่มแรงดันน้ำ ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ทำหน้าที่เป็นต้นกำลังหมุนส่งกำลังให้ปั๊มน้ำทำงาน เพิ่มแรงดันให้น้ำและส่งน้ำไปตามท่อ
         ปั๊มน้ำในบ้านโดยทั่วไปแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ
         1. ปั๊มน้ำแบบลูกสูบ  ทำงานด้วยการชักลูกสูบเลื่อนไป-มา และมีวาล์วเปิด-ปิดน้ำเข้า-ออก จากลูกสูบ เป็นการเพิ่มแรงดันให้น้ำโดยตรง เป็นที่นิยมใช้เมื่อหลายปีที่แล้ว ปัจจุบันมีใช้น้อยมาก  มีข้อดีคือได้แรงดันน้ำสูง  แต่มีข้อเสียที่ปริมาณน้ำน้อย และมีการสึกหรอมากเพราะมีชิ้นส่วนเคลื่อนที่มาก
          2. ปั๊มน้ำแบบใบพัด  ทำงานด้วยการหมุนของใบพัดในเสื้อปั๊มที่ได้รับการออกแบบมาเฉพาะ ทำให้เกิดแรงดันในเสื้อปั๊ม จ่ายน้ำไปตามท่อได้ ส่วนใหญ่มีท่อดูดทางด้านหน้าตรงกลางของปั๊ม และมีท่อออกด้านข้างในแนวเส้นสัมผัสกับตัวปั๊ม มีข้อดีคือขนาดเล็ก หลักการทำงานง่าย ชิ้นส่วนไม่มาก  จ่ายน้ำได้ปริมาณมาก  สร้างแรงดันน้ำได้มากพอควร  ถ้าต้องการแรงดันสูงสามารถนำปั๊มมาต่อกันเป็นแบบมัลติสเตทได้  ปัจจุบันนิยมใช้ปั๊มน้ำแบบใบพัดเป็นปั๊มน้ำภายในบ้านมาก   ปั๊มแบบใบพัดมีชื่อเรียกต่างๆกันตามลักษณะรูปร่างกละการใช้งาน เช่น ปั๊มบ้าน, ปั๊มหอยโข่ง , ปั๊มไดโว่

ขนาดของปั๊มน้ำ

           โดยทั่วไปจะระบุขนาดของปั๊มน้ำด้วยกำลังหรือขนาดของมอเตอร์ที่ใช้หมุนปั๊ม เช่น ปั๊มน้ำขนาด 200 วัตต์ , ปั๊มน้ำขนาด 400 วัตต์  ซึ่งใช้เลือกปั๊มได้เพียงคร่าวๆเท่านั้น  เพราะการเลือกใช้ปั๊มต้องดูว่าปั๊มสามารถจ่ายปริมาณน้ำได้มากแค่ไหนเพียงพอกับการใช้งานหรือไม่ และที่แรงดันน้ำที่ต้องการหรือไม่
             ปริมาณการจ่ายน้ำ แสดงเป็นปริมาณในหน่วยปริมาตรน้ำต่อเวลา  หมายถึงปั๊มสามารถจ่ายน้ำได้มากเท่าไหร่ในช่วงเวลาหนึ่ง  เช่น 150 ลิตร/นาที (l/min) หมายถึง ปั๊มน้ำสามารถจ่ายน้ำได้ปริมาณ 150 ลิตรในเวลา 1 นาที
             แรงดันน้ำ แสดงเป็นความสูงของน้ำ (เมตร) (ที่จริงหน่วยของแรงดันน้ำเป็น ขนาดของแรงต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ ซึ่งปรับเทียบให้เป็นความสูงของน้ำเพื่อให้ง่ายในการใช้งาน  ความสูงน้ำ 10 เมตร ประมาณแรงดัน = 1 bar หรือ ประมาณ 1 kg/cm2)  ปั๊มทำงานจ่ายน้ำได้ที่ความสูงปลายท่อสูงเท่าไหร่  เช่น 10 เมตร (m) หมายถึง ปั๊มจ่ายน้ำได้เมื่อความสูงปลายท่อสูง 10 เมตร

ป้ายรายละเอียดข้างปั๊ม(Name Plate)

              ที่ด้านข้างของปั๊มส่วนใหญ่จะแสดงรายละเอียดต่างๆของปั๊มไว้คร่าวๆ
              - ขนาดมอเตอร์  เช่น 220 V. (Volt แรงดันไฟฟ้าที่จ่ายเข้ามอเตอร์)
                          50 Hz. (Hertz ความถี่ไฟฟ้าที่มอเตอร์ใช้ 50 เฮิร์ท)
                          200 W. (Watt กำลังไฟฟ้าที่มอเตอร์ใช้ 200 วัตต์)
                          1.2 A. ( Amp กระแสไฟฟ้า ที่มอเตอร์ใช้ 1.2 แอมป์)
                รายละเอียดของมอเตอร์นี้ ไม่ได้ให้ข้อมูลโดยตรงเกี่ยวกับความสามารถในการจ่ายน้ำของปั๊มน้ำ แต่ก็ประมาณคร่าวๆได้ ซึ่งอาจไม่เหมาะสมกับการใช้งาน
              - ความสามารถของปั๊ม เช่น
                Q     0.6 - 2.4 m3 / h  หมายถึงอัตราการจ่ายน้ำของปั๊ม  ซึ่งสามารถจ่ายน้ำได้ปริมาณ 0.6 ถึง 2.4 ลูกบาศก์เมตร (m3) ในเวลา 1 ชั่วโมง (h) ซึ่งอัตราการจ่ายน้ำนี้จะสัมพันธ์กับความสูงของปลายท่อหรือก๊อกที่ปล่อยน้ำออก
                H      1 - 8 m  หมายถึงปั๊มสามารถสร้างแรงดันน้ำ เทียบเป็นความสูงของน้ำที่ปั๊มสามารถจ่ายน้ำได้  ซึ่งสามารถจ่ายน้ำได้ที่ความสูงของปลายท่อสูง 1 ถึง 8 เมตร (m)
               อัตราการไหลของน้ำและแรงดันน้ำ มีความสัมพันธ์กันโดยที่แรงดันสูงจะจ่ายน้ำได้ปริมาณน้อย  ที่แรงดันต่ำจะจ่ายน้ำได้ปริมาณมาก ดังตัวอย่างปั๊มข้างบน
                 ถ้าเปิดก๊อกจ่ายน้ำออกที่ความสูง 1 เมตร จะจ่ายน้ำได้ในอัตรา 24 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง  และถ้าเปิดก๊อกจ่ายน้ำที่ความสูง 8 เมตร จะจ่ายน้ำได้ในอัตรา 0.6 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง  ดังนั้นที่ก๊อกน้ำชั้นบนน้ำจะไหลเบากว่าชั้นล่าง
                 ปั๊มราคาถูก บางยี่ห้อบอกรายละเอียดความสามารถของปั๊มไม่ครบถ้วน ทำให้เกิดความเข้าใจผิด คือบอกเฉพาะค่าสูงสุดที่ปั๊มทำงานได้ เช่น
                 Q  MAX   3 m3 / h
                  h  MAX   12 m
                  แหมเห็นรายละเอียดแบบนี้พาให้เข้าใจว่าปั๊มนี้สามารถจ่ายน้ำได้ในอัตราการไหล 3 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ที่ความสูง(แรงดัน) 12 เมตร อย่างนี้บ้านสี่ชั้นสูง 10 เมตร ก็ใช้ได้สบายสิ...   เข้าใจผิดนะ (ไม่รู้ว่าคนทำปั๊มตั้งใจให้เข้าใจผิดหรือเปล่า)  
                   ที่จริงเป็นว่าปั๊มนี้สามารถจ่ายน้ำได้อัตราการไหลสูงสุด 3 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ซึ่งโดยทั่วไปจะเกิดที่ความสูงปลายท่อต่ำมากหรือที่หน้าปั๊มแค่นั้นเอง    และสามารถส่งน้ำได้สูงสุด 12 เมตร โดยทั่วไปที่แรงดันสูงสุดอัตราการไหลต่ำมากแทบจะไม่ไหล  พอเราเอาปั๊มนี้ไปติดตั้ง พอเปิดก๊อกที่ชั้นสี่ สูง 10 เมตร น้ำก็ไหลจิ๊ดนึงพอให้รู้ว่ามีน้ำไหลแต่ไม่พอใช้งาน....
              - กราฟของปั๊ม
                ปั๊มยี่ห้อดีๆ ส่วนใหญ่แสดงความสามารถในการทำงานของปั๊มด้วยกราฟ  โดยแกนตั้งเป็นแรงดันน้ำ  แกนนอนเป็นอัตราการจ่ายน้ำ หรือกลับกันก็ได้  และมีเส้นโค้งบนกราฟ แสดงว่าที่ตำแหน่งความสูงต่างๆนั้น ปั๊มจะสามารถจ่ายน้ำได้ในอัตราการไหลเท่าไหร่  ซึ่งจะเลือกได้ละเอียด เหมาะสมมากขึ้น  ถ้าเป็นปั๊มน้ำสำหรับอุตสาหกรรมจะมีเส้นประสิทธิภาพอยู่ในกราฟด้วย เพี่อจะเลือกใช้งานปั๊มในช่วงที่ประสิทธิภาพสูงสุด
                การเลือกใช้ปั๊มนั้นควรเลือกใช้ในช่วงกลางๆของความสามารถของปั๊ม ไม่ควรเลือกใช้ที่ความสามารถสูงสุดที่ปั๊มทำได้  ซึ่งจะให้ประสิทธิภาพดีกว่าช่วงปลาย  และถ้าคนทำปั๊มให้ข้อมูลเกินจริง ปั๊มก็ยังรองรับความต้องการของเราได้อยู่
              - หน่วยของค่าตัวเลขต่างๆ ที่ใช้ในปั๊มน้ำ
                  -- แรงดัน   โดยปกติหน่วยของแรงดันจะบอกเป็นขนาดของแรงที่กระทำต่อหนึ่งหน่วยของพื้นที่ เช่น
             แรงดันลมที่เราเติมยางรถยนต์ แรงดัน 30 ปอนด์/ตารางนิ้ว (lbs/in2) หมายถึง แรงดันที่มีขนาดแรงกด 30 ปอนด์บนพื้นที่ขนาด 1 ตารางนิ้ว  (หน่วยวัดแบบอังกฤษ)
             แรงดัน 2 กิโลกรัม/ตารางเซ็นติเมตร (kgs/cm2) หมายถึง แรงดันที่มีขนาดแรงกด 2 กิโลกรัมบนพื้นที่ 1 ตารางเซนติเมตร  (หน่วยวัดแบบเมตริก)
             ที่หน่วยมีหลายแบบเนื่องจากในโลกมีมาตราของหน่วยต่างๆหลายมาตรฐาน อย่างของไทยก็มีหน่วยวัดความยาว และน้ำหนักของไทย แต่ไม่นิยมใช้
              ในการบอกขนาดแรงดันของปั๊ม นิยมบอกขนาดแรงดันเป็นความสูงของน้ำ โดยสามารถประมาณค่าได้ดังตารางข้างล่าง
ความสูงน้ำ
แรงดันประมาณ
10 เมตร
1 kgs/cm2

14.7 lbs/in2

1 bar
                 -- อัตราการไหล หรือปริมาณการจ่ายน้ำ โดยปกติจะบอกเป็นหน่วยของปริมาตรต่อหนึ่งหน่วยเวลา เช่น
                 อัตราการไหล 1 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง (m3/h) หมายถึงน้ำไหลได้ปริมาตร 1 ลูกบาศก์เมตรในเวลา 1 ชั่วโมง
                 อัตราการไหล 50 ลิตรต่อนาที (l/min) หมายถึงน้ำไหลได้ปริมาตร 50 ลิตรในเวลา 1 นาที

การติดตั้งปั๊มน้ำ

              เมื่อเลือกขนาดปั๊มน้ำที่ต้องการได้แล้ว  ก็ต้องพิจารณาที่จะติดตั้งให้เหมาะสม   เพื่อความสะดวก ปลอดภัย และทนทาน
              -  ควรติดตั้งปั๊มในที่ร่ม กันแดด กันฝน อาจทำหลังคา หรือกล่องใหญ่ๆคลุม แบบบ้านหมาก็ได้ ต้องให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และยกออกได้ ตรวจซ่อมปั๊มได้ง่าย แม้ว่าปั๊มส่วนใหญ่จะออกแบบมาให้ติดตั้งภายนอกได้  แต่ปั๊มที่อยู่ในที่ร่มจะทนกว่ามาก และปลอดภัยกว่ามากด้วย โดยเฉพาะปั๊มที่มีกล่องควบคุมแบบอิเลคทรอนิคติดที่ตัวปั๊ม
              -  ควรติดตั้งปั๊มบนฐานรอง ให้ปั๊มสูงจากพื้นเล็กน้อย น้ำไม่ท่วมขัง ปั๊มจะทนมากขึ้น ไม่เป็นสนิม และปลอดภัย ลดโอกาสไฟฟ้ารั่ว
              -  ติดตั้งปั๊มห่างจากผนังอย่างน้อย 10 เซนติเมตร ประมาณ 1 ฝ่ามือ เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก  ปั๊มจะได้ไม่ร้อนมากขณะทำงาน  ช่วยให้ปั๊มทนขึ้นอีกแล้ว
              -  ทั่วไปปั๊มจะมีใบพัดระบายความร้อนอยู่ด้านท้ายของปั๊ม ทำหน้าที่หมุนดูดอากาศผ่านด้านข้างตัวปั๊มเพื่อระบายความร้อน ควรติดตั้งในที่ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก  ควรคอยตรวจดูอย่าให้มีใบไม้ เศษกระดาษ ถุงพลาสติก ติด ขวางทางระบายความร้อนของปั๊ม
              -  การติดตั้งท่อน้ำกับตัวปั๊ม ควรติดตั้งให้ได้ระดับ และได้แนวพอดีกับแนวเกลียวหรือข้อต่อของปั๊ม อย่าให้งัด งอ หรือไม่ได้แนว ซึ่งอาจทำให้ ท่อแตกร้าว หรือตัวปั๊มแตกร้าว หรือเกิดรอยรั่วได้ง่าย เนื่องจากขณะที่ปั๊มน้ำทำงานจะมีการสั่นเล็กน้อย ถ้าติดตั้งท่อไม่ดี  อาจทำให้ส่วนที่งัดเสียหายได้ง่าย
              - การติดตั้งท่อควรระวังอย่าให้มีสิ่งสกปรก เศษวัสดุ เศษท่อพี.วี.ซี.(ท่อพี.วี.ซี.ควรตัดด้วยกรรไกรตัดท่อพี.วี.ซี. ซึ่งให้รอยตัดที่เรียบ ไม่มีเศษพลาสติก)  เศษเกลียวท่อ เทปพันเกลียว เข้าไปในท่อ  ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดขัดใบพัดปั๊ม ติดขัดที่ลูกลอยหรือวาวล์ว ต่างๆในระบบน้ำ
              - ท่อดูดและท่อจ่ายน้ำของปั๊ม ไม่ควรเล็กกว่าขนาดของจุดต่อท่อของปั๊ม  การใช้ท่อเล็กจะทำให้ประสิทธิภาพของปั๊มไม่ดี ไม่สามารถทำงานได้ดีเท่าที่ระบุในสเปค
              - ไม่ควรต่อปั๊มดุดน้ำโดยตรงจากท่อประปา เนื่องจากจะทำให้ดูดสิ่งสกปรกในท่อประปาเข้ามาโดยตรว ถ้าท่อประปารั่วก็จะดูดน้ำสกปรกหรืออากาศเข้ามา และผิดระเบียบการใช้น้ำของการประปา  ควรต่อท่อประปาเข้าถังเก็บน้ำแล้วใช้ปั๊มดูดน้ำจากถังเก็บจ่ายเข้าบ้าน
              - การต่อสายไฟฟ้าเข้ากับปั๊ม
               -- ควรเลือกขนาดสายที่สามารถรับกระแสไฟฟ้าที่ปั๊มใช้ได้เพียงพอ ถ้าใช้สายเล็กจะทำให้สายร้อนและละลายได้  
               -- ควรติดตั้งสายไฟที่จุดต่อสายไฟในตัวปั๊ม ไม่ควรใช้การเสียบปลั๊ก หรือตัดปลายปลั๊กแล้วต่อสาย สายไฟไม่ควรมีจุดตัดต่อที่กลางสาย
               -- ควรมีชุดเบรกเกอร์ควบคุมปั๊มต่างหาก 1 ชุด เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกในการซ่อม
               -- ถ้าต้องเดินสายไฟฟ้านอกอาคารไปยังปั๊ม ควรเดินสายไฟโดยการร้อยในท่อพี.วี.ซี. สีเหลือง ซึ่งใช้สำหรับเดินสายไฟนอกอาคาร
              - ควรทำงานติดตั้งด้วยความละเอียด เรียบร้อย โดยใช้ช่างที่มีความรู้โดยตรง หรือศึกษาข้อมูลก่อนทำงานติดตั้ง การติดตั้งต่อท่อน้ำ ต่อไฟให้ปั๊มน้ำทำงานนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่การติดตั้งให้ดี ปลอดภัย เรียบร้อย ต้องใช้ความรู้และความชำนาญพอสมควร
              - การติดตั้ง - ซ่อม ในส่วนที่เกี่ยวกับระบบไฟฟฟ้า ควรทำโดยช่างที่มีความรู้  ความชำนาญโดยตรง และตัดไฟฟ้าก่อนทำการซ่อม-ติดตั้ง


ที่มา http://www.konbaan.com/TipsTricks/TipsTricks49.php

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Carl Zeiss




หลายท่านที่ได้เห็นผลิตภัณฑ์และตราสินค้า Zeiss มักจะเกิดคำถามว่า “ใช่บริษัทเดียวกับ Carl Zeiss หรือไม่” หรือ “เคยเห็นแต่ตราสินค้า Carl Zeiss Jena” หรือ “บริษัทเดียวกับกล้อง Zeiss Ikon หรือเปล่า” หรือ “Carl Zeiss Jena เป็นของเยอรมันตะวันออก และ Zeiss เป็นเยอรมันตะวันตก” ฯลฯ
ยอดบริษัทด้านนวตกรรมในเรื่อง Optics และ Fine Mechanic เยอรมันบริษัทนี้มีอายุนานถึง 160 กว่าปีแล้ว และผ่านยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงและความวุ่นวายของประเทศมาอย่างมั่นคง และยังคงความเป็นยอดนวตกรรมมาจนถึงทุกวันนี้ครับ

Carl Zeiss Jena
บริษัท Carl Zeiss ก่อตั้งโดย นาย Carl Zeiss ในปี ค.ศ. 1846 โดยผลิตกล้องจุลรรศน์จำหน่าย (และนับเป็นบริษัทแรกของโลกที่ผลิตกล้องจุลทรรศน์ในเชิงอุตสาหกรรม) ณ.เมือง Jena โดยเครื่องหมายการค้า Carl Zeiss Jena นี้ปรากฎบนผลิตภัณฑ์ของ Zeiss ในช่วงปี ค.ศ.190x และใช้เรื่อยมาจนถึงปี ค.ศ.1945





Schott & Genossen(Schott and Associates)
ถ้าจะกล่าวถึงตราสินค้า Schott แล้วนักเคมีหรือผู้ที่ใช้แก้วทนไฟ จะรู้จักเป็นอย่างดี ถึงผลิตภัณฑ์แก้วทนไฟคุณภาพ แม้ในปัจจุบันบริษัทผลิตตะเกียงเจ้าพายุทั่วโลกยังใช้กระจกของ Schott 
Otto Schott ผู้ชำนาญด้านการผลิตแก้วได้ร่วมหุ้นกับ Carl Zeiss และ Ernst Abbe (ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท Zeiss และเป็นผู้บริหารสูงสุดในยุคถัดมา) เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์เลนส์แก้วสำหรับกล้องจุลทรรศน์และผลิตภัณฑ์ด้าน Optic ประเภทต่างๆ และได้กลายเป็นบริษัทผลิตแก้วและผลิตภัณฑ์ Optical Products ชั้นนำของโลก





Zeiss Ikon
คงไม่มีนักสะสมกล้องเก่าท่านใดไม่รู้จักบริษัทนี้ Zeiss Ikon ได้นำวัฒนธรรมด้านผู้นำนวตกรรมมาสู่อุตสาหกรรมกล้องถ่ายรูปเช่นกล้องพับขนาดพกพา และอื่นๆ  
ในปีค.ศ. 1826 ในยุคที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอุปกรณ์ถ่ายภาพในประเทศเยอรมันนีได้ตกอยู่ในวิกฤตการณ์ทางการเงิน บริษัท Carl Zeiss Jena ได้เข้าไปร่วมทุนกับบริษัทกล้อง Ica, Contessa Nettel และอีกหลายบริษัทเพื่อจัดตั้งบริษัท Zeiss Ikon  ขึ้น และได้กลายเป็นบริษัทลูกของ Zeiss ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบริษัทหนึ่ง
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 บริษัท Zeiss Ikon ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 บริษัทได้แก่ Zeiss Ikon West และ East โดยบริษัท Zeiss Ikon West ได้ปิดตัวลงในปี 1970 เพราะปัญหาต้นทุนที่สูงในประเทศเยอรมันตะวันตก และ Zeiss Ikon East ได้ถูกซื้อไปรวมกับบริษัทผลิตกล้องอื่นจนตราสินค้าหายไป

ตราสินค้า Carl Zeiss  เยอรมันตะวันตก (ค.ศ. 1946-1971)
ตราสินค้า Carl Zeiss  Jena  เยอรมันตะวันออก (ค.ศ.1948-1971)

Carl Zeiss and Carl Zeiss Jena
หลังการพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ.1945 กองทัพสหรัฐฯได้ขนนักวิทยาศาสตร์และผู้บริหารของบริษัท Carl Zeiss จากเมือง Jena ซึ่งอยู่ในเขตเยอรมันตะวันออก ไปยังเมือง Heidenheim ในเขตเยอรมันตะวันตก และได้นำความรู้ที่สะสมมา 100 ปีเปิดสายการผลิตผลิตภัณฑ์กล้องจุลทรรศน์ กล้องส่องทางไกล และหอดูดาว เลนส์ และอุปกรณ์การแพทย์


ตราสินค้า Zeiss ระหว่างปี  ค.ศ. 1971-91



ในส่วนของเครื่องจักร, โรงงาน Carl Zeiss และคนงานในเมือง Jena นั้น กองทัพรัสเซียได้ทำการย้ายเครื่องจักรเดิมทั้งหมดไปยังรัสเซีย และได้จัดสร้างสายการผลิตใหม่ขึ้นในปี ค.ศ. 1947/8 เพื่อผลิตสินค้ากล้องจุลทรรศน์ อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ เลนส์ให้แก่กลุ่มประเทศสังคมนิยม
การแข่งขันระหว่างบริษัท Carl Zeiss และ Carl Zeiss Jena ได้รุนแรงยิ่งขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ​ 1970 ตามกระแสความรุนแรงของสมครามเย็นระหว่างโลกตะวันออกและโลกตะวันตก โดยบริษัททั้ง 2 ได้อ้างสิทธิ์ต่อลิขสิทธิ์ผลิตภัณฑ์ เครื่องหมายการค้า และสิทธิ์ในการใช้ “Carl Zeiss” และศาลสูงสหรัฐได้ตัดสินให้บริษัท Carl Zeiss เยอรมันตะวันตกได้สิทธิ์ในการใช้เครื่องหมายการค้า Carl Zeiss หรือ Zeiss เพียงผู้เดียว และทำให้ผลิตภัณฑ์จากโรงงานในเมือง Jena ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น  “asu JENA” หรือ “JENOPTIK” หรือ “JENOPIK JENA” ไป




ตราสินค้า Zeiss ในปัจจุบัน (ค.ศ. 1991-ปัจจุบัน)

ภายหลังอาณาจักรสังคมนิยมสหภาพโซเวียตล่มสลายลง อันเป็นการสิ้นสุดยุคสมครามเย็น และกำแพงกรุงเบอร์ลินได้ถูกทุบทิ้งไปใน ปี ค.ศ.1991 บริษัท Carl Zeiss ตะวันตกและตะวันออกได้กลับมารวมกันกลายเป็นบริษัท Carl Zeiss อีกครั้ง และได้เปลี่ยนตราสินค้าเป็น “Zeiss” ดังที่ปรากฎในสินค้าคุณภาพด้านต่างๆในปัจจุบัน

ที่มา http://www.outdoorvision.net/Zeiss/file_6.html


วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

พลูโตเนียม กับ อาวุธนิวเคลียร์


พลูโตเนียมเป็นธาตุโลหะที่มีกัมมันตภาพรังสี มีสัญลักษณ์ Pu มีเลขอะตอม 94 พลูโตเนียมเป็นวัสดุฟิชไซล์ที่ผลิตขึ้นจากยูเรเนียมธรรมชาติ เป็นธาตุที่ใช้ในการทำอาวุธนิวเคลียร์ ไอโซโทปที่สำคัญที่สุดคือ 239Pu ซึ่งมีครึ่งชีวิต 24,110 ปี ส่วนไอโซโทปที่เสถียรที่สุด คือ 244Pu ซึ่งมีครึ่งชีวิต 80 ล้านปี ยาวนานพอที่จะพบได้ปริมาณเล็กน้อยในธรรมชาติ บางครั้งผู้ที่ทำงานทางด้านวัสดุนิวเคลียร์จะเรียกพลูโตเนียมว่า plute


โลหะพลูโตเนียม
สารละลายพลูโตเนียมมีสีต่างกัน เมื่อมีออกซิเดชันสเตทต่างกัน

คุณสมบัติ Notable characteristics
พลูโตเนียมเคยถูกเรียกว่า โลหะที่ซับซ้อนที่สุด (the most complex metal) และ สิ่งที่นักฟิสิกส์ฝันถึงแต่เป็นฝันร้ายของวิศวกร (a physicist's dream but an engineer's nightmare) เนื่องจากมีคุณสมบัติพิเศษทางฟิสิกส์และทางเคมี โดยปกติจะมีรูปแบบที่แตกต่างกัน (allotropes) 6 ชนิดและอีก 7 ชนิดเมื่ออยู่ภายใต้ความดัน แต่ละชนิดมีระดับพลังงานที่ใกล้เคียงกันแต่มีความหนาแน่นต่างกัน ทำให้มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ความดัน หรือสภาวะทางเคมี และมีการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรสูงเมื่อเปลี่ยนสถานะ การนำมาใช้ทางนิวเคลียร์จึงทำให้อยู่ในรูปอัลลอยด์โดยผสมกับแกลเลียม (gallium) เล็กน้อยเพื่อเพิ่มความเสถียร พลูโตเนียมบริสุทธิ์เป็นโลหะสีขาวเงิน เมื่อถูกออกซิไดซ์จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองคล้ำ พลูโตเนียมมีโครงสร้างที่ไม่สมมาตร เมื่อเวลาผ่านไปจึงเปราะ แตกหักง่าย

พลูโตเนียมมีกัมมันตภาพรังสี จึงมีความร้อนจากการปลดปล่อยรังสีอัลฟา เมื่อสัมผัสก้อนพลูโตเนียมจึงรู้สึกอุ่น ถ้าเป้นก้อนขนาดใหญ่อาจให้ความร้อนออกมาจนต้มน้ำให้เดือดได้

ไอออนของสารละลายพลูโตเนียมมี 5 oxidation states ได้แก่
PuIII, as Pu3+ (สีม่วงน้ำเงิน)
PuIV, as Pu4+ (สีน้ำตาลเหลือง)
PuVI, as PuO22+ (สีชมพูส้ม)
PuV, as PuO2+ (สีชมพู) ไอออนนี้ไม่เสถียรจะเปลี่ยนไปเป็น Pu4+ และ PuO22+; และ Pu4+ จะออกซิไดซ์ PuO2+ ไปเป็น PuO22+, ซึ่งจะถูกรีดิวซ์ไปเป็น to Pu3+ ดังนั้นสารละลายพลูโตเนียมที่เก็บไว้ระยะหนึ่งจึงมีส่วนผสมของ Pu3+ กับ PuO22+
PuVII, as PuO52- (สีแดงเข้ม) ไอออนนี้พบได้น้อยจะเตรียมขึ้นได้ภายใต้สภาวะที่มีoxidizing สูงมากเท่านั้น
หมายเหตุ: สีของสารละลายพลูโตเนียม ขึ้นกับทั้ง oxidation state และความเป็นกรดของ anion

การนำไปใช้ประโยชน์
239Pu เป็นไอโซโทปที่สำคัญในการทำอาวุธนิวเคลียร์ เนื่องจากเกิดปฏิกิริยาฟิชชันได้ง่าย ถ้าไม่ใช้วัสดุสะท้อนนิวตรอน พลูโตเนียมทรงกลมมีมวลวิกฤต (critical mass) 16 กิโลกรัม แต่ถ้ามีวัสดุสะท้อนนิวตรอน (neutron-reflecting) ลูกระเบิดแบบฟิชชันจะใช้พลูโตเนียมลดลงเหลือ 10 กิโลกรัม ซึ่งจะเท่ากับลูกทรงกลมส้นผ่าศูนย์กลาง 10 เซนติเมตร โครงการแมนฮัตตัน ทำระเบิดพลูโตเนียมชื่อ Fat Man ใช้การอัดพลูโตเนียมให้มีความหนาแน่นสูงกว่าปกติ ทำให้ใช้พลูโตเนียมเพียง 6.2 กิโลกรัม ถ้าสามารถทำให้พลูโตเนียมระเบิดได้หมดทั้งก้อน จะทำให้มีแรงระเบิดเท่ากับ TNT (trinitrotoluene) 20 กิโลตันต่อกิโลกรัม

พลูโตเนียมสามารถใช้ทำอาวุธกัมมันตรังสี (radiological weapons) โดยทำให้กระจายออกปกคลุมพื้นที่ชุมชนแบบเดียวกับ dirty bomb ซึ่งไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่จะทำให้ต้องทำความสะอาด (cleanup) สารรังสีประชาชนจึงจะกลับมาอยู่อาศัยได้

พลูโตเนียม-238 (238Pu) เป็นไอโซโทปที่ให้รังสีอัลฟาโดยมีครึ่งชีวิต 87 ปี จึงเหมาะสำหรับใช้ในการผลิตพลังงานไฟฟ้า ให้กับอุปกรณ์ที่ไม่ต้องมีการบำรุงรักษาในช่วงเวลานาน ประมาณช่วงชีวิตของคน มีการนำไปใช้เป็น radioisotope thermoelectric generators เพื่อผลิตไฟฟ้าให้กับยานอวกาศ Galileo และ Cassini และก่อนหน้านั้นก็มีการใช้ในอุปกรณ์ตรวจแผ่นดินให้กับยานอพอลโลที่ส่งไปดวงจันทร์
238Pu สามารถใช้งานได้ดีในการผลิตไฟฟ้าให้กับเครื่องกระตุ้นหัวใจ (pacemakers) ทำให้ลดความเสี่ยงที่จะต้องผ่าตัดซ้ำ ปัจจุบันได้หันมาใช้แบตเตอรีแบบลิเทียม (lithium-based batteries) ที่สามารถประจุไฟใหม่ได้โดยการเหนี่ยวนำ แต่ในปี 2003 ก็ยังมีผู้ที่ฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจที่ใช้ไฟฟ้าจากพลูโตเนียม 50-100 ราย













เจ้าหน้าที่ Los Alamos กำลังหยิบก้อนพลูโตเนียม













ผงพลูโตเนียมออกไซด์



ความเป็นมา
การผลิตพลูโตเนียม (plutonium) และเนปจูเนียม (neptunium) โดยการยิงยูเรเนียม-238 (238U) ด้วยนิวตรอน เริ่มขึ้นในปี 1940 โดยทีมงาน 2 กลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ได้แก่ Edwin M. McMillan และ Philip Abelson จากห้องปฏิบัติการรังสีของเบอร์กเลย์ (Berkeley Radiation Laboratory) แห่งมหาวิทยาลัยเบอร์กเลย์แคลิฟอร์เนีย (University of California, Berkeley) กับ Norman Feather และ Egon Bretscher จากห้องปฏิบัติการคาร์เวนดิช (Cavendish Laboratory) แห่ง มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University of Cambridge) ด้วยความบังเอิญที่ทั้งสองทีมได้เสนอชื่อธาตุที่เกิดขึ้นใหม่จากยูเรเนียมด้วยชื่อเดียวกัน โดยใช้ชื่อของดาวเคราะห์วงนอกที่ต่อจากยูเรนัส

การผลิตและสกัดแยกพลูโตเนียม มีการทำครั้งแรก เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 1941 โดย Dr. Glenn T. Seaborg, Edwin M. McMillan, J. W. Kennedy, และ A. C. Wahl ด้วยการยิง (bombardment) ยูเรเนียม ด้วยดิวทีรอน (deuteron) โดยใช้เครื่องเร่งอนุภาค cyclotron ขนาด 60 นิ้วของ Berkeley การค้นพบนี้ถูกเก็บไว้เป็นความลับ เนื่องจากอยู่ในภาวะสงคราม ธาตุที่เกิดขึ้นใหม่ ให้ชื่อตามดาวเคราะห์พลูโต (Pluto) ซึ่งอยู่ถัดจาก neptunium และมีเลขอะตอมมากกว่ายูเรเนียม แต่ถ้าตั้งชื่อตามดาวพลูโต ควรจะเรียกว่า plutium ซึ่ง Seaborg เห็นว่า plutonium น่าจะฟังดูดีกว่า

นอกจากนั้น Seaborg ได้เลือกใช้สัญลักษณ์เป็น Pu ในระหว่างที่มีโครงการแมนฮัตตัน ได้มีการสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เครื่องแรกที่ Oak Ridge ซึ่งต่อมาได้มีการสร้างเครื่องใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นที่ Hanford รัฐ Washington เพื่อใช้ในการผลิตพลูโตเนียม สำหรับสร้างระเบิดปรมาณูลูกแรกที่นำไปใช้ในการทดลอง "Trinity" test ที่ White Sands รัฐ New Mexico เมื่อเดือนกรกฎาคม 1945 พลูโตเนียมถูกนำไปใช้ทำระเบิดนิวเคลียร์ชื่อ Fat Man ซึ่งถูกนำไปทิ้งที่นางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนสิงหาคม 1945 ส่วนระเบิดที่ชื่อ Little Boy ที่ถูกนำไปทิ้งที่ฮิโรชิมานั้นทำด้วย ยูเรเนียม-235 ไม่ใช่พลูโตเนียม

พลูโตเนียมเกรดสำหรับทำอาวุธ (weapons-grade) รูปวงแหวน มีความบริสุทธิ์ 99.96% มีน้ำหนัก 5.3 กิโลกรัม มีปริมาณพลูโตเนียมมากพอที่จะใช้ทำอาวุธนิวเคลียร์สมัยใหม่ได้

พลูโตเนียมถูกผลิตขึ้นและสะสมไว้จำนวนมากโดยสหรัฐและสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็น โดยคาดว่าในปี 1982 มีพลูโตเนียมรวม ประมาณ 300,000 กิโลกรัม เมื่อสิ้นสุดสงครามเย็นพลูโตเนียมเหล่านี้จึงถูกเพ่งเล็งด้วยสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายาอาวุธนิวเคลียร์ ในปี 2002 กระทรวงพลังงานของสหรัฐ (United States Department of Energy) ได้นำพลูโตเนียมชนิด weapons-grade มาจากกระทรวงกลาโหม (United States Department of Defense) จำนวน 34 เมตริกตัน และตอนต้นปี 2003 ได้พิจารณาที่จะปรับเปลี่ยนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลายแห่งในสหรัฐจากการใช้ยูเรเนียมเสริมสมรรถนะ (enriched uranium) มาใช้เชื้อเพลิงในรูป MOX fuel (mixed oxide UO2+PuO2) เพื่อลดปริมาณพ,โตเนียมที่สะสมไว้

ในปีแรกๆ ที่ค้นพบพลูโตเนียมนั้น ยังไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับคุณสมบัติและผลกระทบทางด้านชีววิทยา รัฐบาลสหรัฐจึงได้ให้หน่วยงานเอกชนทำการทดลองถึงผลของรังสีต่อร่างกายคน ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และในเวลาต่อมา นักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานอยู่ในโครงการแมนฮัตตันและโครงการวิจัยอาวุธนิวเคลียร์กลุ่มอื่น ได้ศึกษาผลของพลูโตเนียมต่อสัตว์ทดลองและต่อมนุษย์ ในกรณีที่ศึกษาในมนุษย์นั้น ได้มีการฉีดสารละลายพลูโตเนียม 5 ไมโครกรัมเข้าไปในร่างกายผู้ป่วยในโรงพยาบาล ที่เจ็บป่วยในระยะสุดท้ายจากสาเหตุอื่น หรือผู้ที่เจ็บป่วยเรื้อรังและคาดว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 10 ปี ในการทดลองกับผู้ป่วย 18 ราย ที่ไม่ได้แจ้งให้เจ้าตัวทราบ เพื่อใช้ในการพัฒนาเครื่องมือในการวินิจฉัย สำหรับหาปริมาณพลูโตเนียมที่เข้าสู่ร่างกาย และใช้ในการพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยสำหรับคนที่ทำงานกับพลูโตเนียมในช่วงที่ทำการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

การกระทำครั้งนั้น ในปัจจุบัน ถือว่าเป็นทำลายจริยธรรมทางการแพทย์อย่างร้ายแรง และถูกตำหนิในอย่างรุนแรงถึงความตกต่ำทั้งคุณค่าของประเทศและความเป็นมนุษย์ แต่ก็มีผู้ที่ให้ข้อคิดเห็นบางส่วนว่า แม้การกระทำนั้นจะถือว่าเป็นการทำลายต่อความเชื่อถือและจริยธรรม แต่ผลของพลูโตเนียมที่ฉีดเข้าไปในร่างกายผู้ป่วย ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายหรือเจ็บป่วยอย่างที่ถูกเสริมแต่งกันในข่าวตอนแรก จึงไม่มีนักวิทยาศาสตร์เชื่อเรื่องนี้มากนัก


พลูโตเนียมเกรดสำหรับทำอาวุธ (weapons-grade) รูปวงแหวน มีความบริสุทธิ์ 99.96% มีน้ำหนัก 5.3 กิโลกรัม มีปริมาณพลูโตเนียมมากพอ ที่จะใช้ทำอาวุธนิวเคลียร์สมัยใหม่ได้การเรืองแสงด้วยตัวเองเม็ดพลูโตเนียม-238 (plutonium-238) ซึ่งใช้ในเครื่องผลิตไฟฟ้าด้วยความร้อนจากไอโซโทปรังสี (radioisotope thermoelectric generators)


การเกิดของพลูโตเนียม
ขณะที่พลูโตเนียมเกือบทั้งหมดถูกสังเคราะห์ขึ้นมา ก็มีพลูโตเนียมบางส่วนที่มีอยู่ในธรรมชาติในปริมาณที่น้อยมาก โดยมีอยู่ในแร่ยูเรเนียม พลูโตเนียมเหล่านี้เกิดขึ้นจากนิวเคลียสยูเรเนียม (238U) จับนิวตรอนทำให้กลายเป็น 239U ซึ่งจะกลายเป็น 239Np เมื่อให้รังสีบีตาและกลายเป็น 239Pu เมื่อให้รังสีบีตาอีกครั้ง โดยมีครึ่งชีวิต 24,110 ปี กระบวนการใช้ในการผลิต 239Pu ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เช่นกัน 244Pu บางส่วนยังคงมีเหลืออยู่หลังจากการเกิดของระบบสุริยะและจาก supernovae เนื่องจากมีครึ่งชีวิตที่ค่อนข้างยาว (80 ปี)

พลูโตเนียมที่มีความเข้มข้นสูงกว่าปกติ พบได้ที่เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิชชันธรรมชาติ (Natural nuclear fission reactor) ที่ Oklo ประเทศกาบอง (Gabon) ซึ่งค้นพบในปี 1972 นับตั้งแต่ปี 1945 มีพลูโตเนียมประมาณ 10 ตัน (เท่ากับโลหะพลูโตเนียมลูกบาศก์ที่มีความยาวด้านละ 0.77 เมตร) ถูกปล่อยออกสู่พื้นโลกจากระเบิดนิวเคลียร์

การผลิต Manufacture
พลูโตเนียม-239 เป็นวัสดุฟิชไซล์หนึ่งในสองชนิดที่ใช้ทำอาวุธนิวเคลียร์ และใช้เป็นต้นกำเนิดพลังงานในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์บางประเภท ซึ่งวัสดุฟิชไซล์อีกชนิดหนึ่ง ได้แก่ ยูเรเนียม-235 ความจริงแล้วพลูโตเนียม-239 ไม่มีในธรรมชาติ แต่ผลิตขึ้นจากการยิงยูเรเนียม-238 ด้วยนิวตรอนในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เนื่องจากยูเรเนียม-238 เป็นไอโซโทปที่มีมากที่สุดในเชื้อเพลิงของเครื่องปฏิกรณ์ฯ เมื่อเดินเครื่องด้วยเวลามากขึ้น พลูโตเนียม-239 ก็จะมีปริมาณมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง พลูโตเนียม-239 เมื่อได้รับนิวตรอนจะเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน จึงเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องปฏิกรณ์ฯ ที่ให้พลังงานออกมา
พลูโตเนียมที่เกิดขึ้นในเครื่องปฏิกรณ์ มีบางส่วนที่เป็น พลูโตเนียม-238 แต่การแยกไอโซโทปนี้ออกมามีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก เมื่อยูเรเนียม-235 จับนิวตรอนกลายเป็นยูเรเนียม-236 ที่อยู่ในสถานะ excited state และจะเกิดปฏิกิริยาฟิชชัน ทำให้แตกออกเป็น 2 นิวเคลียส แต่มีบางส่วนที่สลายตัวไปที่ ground state ของยูเรเนียม-236 โดย ให้รังสีแกมมาออกมา และมีอีกบางส่วนที่จับนิวตรอนเพิ่มและกลายเป็นยูเรเนียม-237 ซึ่งสลายตัวเป็นเนปจูเนียม-237 (Np-237) โดยมีครึ่งชีวิต 7 วัน เนปจูเนียมส่วนใหญ่ผลิตขึ้นด้วยวิธีนี้ ซึ่ง Np-237 สามารถสกัดออกมาให้บริสุทธิ์ด้วยวิธีการทางเคมี และเมื่อนำไปอาบรังสีนิวตรอนจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์อีก Np-237 จะกลายเป็น Np-238 ซึ่งไม่เสถียรและจะสลายตัวไปเป็น Pu-238 ที่มีครึ่งชีวิต 2 วัน

สารประกอบพลูโตเนียม
พลูโตเนียมทำปฏิกิริยากับออกซิเจนกลายเป็นสารประกอบ PuO และ PuO2 และเกิดปฏิกิริยากับแฮไลด์ ทำให้ได้สารประกอบในรูป PuX3 เมื่อ X เป็นธาตุในกลุ่มแฮไลด์ เช่น F, Cl, Br หรือ I และอาจพบในรูป PuF4 and PuF6 ได้เช่นกัน สารประกอบพลูโตเนียมในรูป oxyhalides ที่พบได้แก่ PuOCl, PuOBr และ PuOI และเกิดปฏิกิริยากับคาร์บอนทำให้ได้สารประกอบ PuC ทำปฏิกิริยากับไนโตรเจนได้ PuN และทำปฏิกิริยากับซิลิกอนได้ PuSi2

พลูโตเนียมมีคุณสมบัติคล้ายกับธาตุอื่นในกลุ่ม actinides โดยทำให้อยู่ในรูป dioxide plutonyl core (PuO2) ซึ่ง plutonyl core ในสิ่งแวดล้อมจะอยู่ในรูป carbonate ที่มีประจุซับซ้อน ซึ่งสามารถเคลื่อนที่ไปในดินได้
PuO2(CO3)1-2
PuO2(CO3)2-4
PuO2(CO3)3-6
PuO2 เกิดจากสารละลายในกรดไนตริก และสามารถเปลี่ยนประจุเป็น +3, +4, +5 และ +6 ซึ่งพบได้ในสารละลายพลูโตเนียมที่อยู่ในสถานะ equilibrium

Allotropes
ที่ความดันบรรยากาศ พลูโตเนียมมีรูปแบบที่แตกต่างกันได้หลายชนิด (allotropes) ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งโครงสร้างผลึกและความหนาแน่น เช่น allotrope แบบ ? และ ? ที่มีปริมาตรเท่ากัน มีความหนาแน่นต่างกันมากกว่า 25%

การที่พลูโตเนียมมีหลาย allotropes ทำให้เปลี่ยนสถานะได้ง่ายจึงทำให้ขึ้นรูปได้ยาก ซึ่งความซับซ้อนในการเปลี่ยนแปลงสถานะตาม phase diagram ของพลูโตเนียม มีงานวิจัยบางชิ้นที่ศึกษาโครงสร้างขณะที่มีการเปลี่ยนสถานะโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ชัดเจนนัก

ในการนำมาใช้ทำอาวุธนั้นมักจะทำให้พลูโตเนียมอยู่ในรูปอัลลอยด์โดยผสมกับโลหะอื่น เช่น ใช้พลูโตเนียมที่อยู่ใน delta phase ผสมกับแกลเลียม (gallium) เล็กน้อย เพื่อเพิ่มความเสถียรของสถานะและนำมาใช้งานได้สะดวกมากขึ้น ในการทำอาวุธนิวเคลียร์แบบฟิชชันนั้น จะใช้ระเบิดเพื่อทำให้เกิดคลื่นกระแทก (shock waves) อัดแกนพลูโตเนียมเพื่อให้เปลี่ยนสถานะจาก delta phase ไปเป็น alpha phase ซึ่งมีความหนาแน่นสูงขึ้น และช่วยให้เกิดสภาวะเหนือวิกฤต (supercriticality) ในการเกิดปฏิกิริยาฟิชันต่อเนื่อง

ไอโซโทป (isotopes)
ไฮโซโทปรังสีของพลูโตเนียมจำแนกได้ 21 ไอโซโทป โดย Pu-244 มีความเสถียรที่สุด โดยมีครึ่งชีวิต 80.8 ล้านปี Pu-242 มีครึ่งชีวิต 373,300 ปี Pu-239 มีครึ่งชีวิต 24,110 ปี ส่วนไอโซโทปที่เหลือมีครึ่งชีวิตสั้นกว่า 7,000 ปี พลูโตเนียมมี 8 meta states ที่ไม่เสถียรโดยมีครึ่งชีวิตน้อยกว่า 1 วินาที

ไอโซโทปของพลูโตเนียมมีน้ำหนักอะตอมตั้งแต่ 228.0387 u (Pu-228) ถึง 247.074 u (Pu-247) ไอโซโทปที่เสถียรที่สุด คือ Pu-244 มีการสลายตัวโดยเกิดฟิชชันขึ้นเอง (spontaneous fission) และให้รังสีบีตากับรังสีอัลฟา ทำให้กลายเป็นยูเรเนียม เนปจูเนียม (neptunium) หรืออเมริเซียม (americium) รวมทั้งผลิตผลฟิชชันที่เกิดจากปฏิกิริยาฟิชชัน

ไอโซโทปหลักของพลูโตเนียมที่นำมาใช้คือ Pu-239 ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้ทำอาวุธนิวเคลียร์และใช้เป็นเชื้อเพลิงในเครืองปฏิกรณ์นิวเคลียร์ และ Pu-238 ซึ่งเหมาะสำหรับการนำมาใช้ในเครื่องผลิตไฟฟ้าด้วยความร้อนจากไอโซโทปรังสี (radioisotope thermoelectric generators) ส่วน Pu-240 ซึ่งผลิตจาก Pu-239 ที่ได้รับนิวตรอนนั้น เกิดปฏิกิริยาฟิชชันได้เอง (spontaneous fission) การที่มี Pu-240 ปะปนอยู่ในเชื้อเพลิงของระเบิดด้วยนั้น จะทำให้ออกแบบเพื่อควบคุมการเกิดปฏิกิริยาต่อเนื่องทำได้ยาก เนื่องจาก Pu-240 ที่เกิดฟิชชันจะให้นิวตรอนออกมาแบบสุ่ม พลูโตเนียมที่มี Pu-239 ประมาณ 90% เรียกว่า พลูโตเนียมชั้นอาวุธ (weapon-grade plutonium) ส่วนพลูโตเนียมที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์จะมี Pu-239 อย่างน้อย 20% ซึ่งเรียกว่า พลูโตเนียมชั้นเครื่องปฏิกรณ์ (reactor-grade plutonium)

ไอโซโทป Pu-240 มีความสำคัญน้อยมาก โดยมีบทบาทเมื่อปนเปื้อนอยู่ในพลูโตเนียมที่ใช้ทำอาวุธนิวเคลียร์ การที่ Pu-240 เกิดปฏิกิริยาฟิชชันได้เอง จึงไม่สามารถทำให้ปะปนอยู่ใน Pu-239 ได้ ถ้ามี Pu-240 เพียง 1% อาจจะทำให้เกิดฟิชชันต่อเนื่องในอาวุธนิวเคลียร์แบบจุดระเบิด (gun-type atomic weapons) ซึ่งต้องวางก้อนเชื้อเพลิงแยกจากกันก่อนที่จะทำให้เกิดฟิชชัน การปนเปื้อนของ Pu-240 จึเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้อาวุธนิวเคลียร์ที่ใช้พลูโตเนียม ต้องออกแบบด้วยระเบิดจากภายใน (implosion)
โดยทางทฤษฎีแล้ว Pu-239 บริสุทธิ์ 100% สามารถทำอาวุธนิวเคลียร์แบบจุดระเบิด (gun type) ได้ แต่การทำให้ความบริสุทธิ์สูงระดับนี้ทำได้ยาก การปนเปื้อนของ Pu-240 จึงเป็นสิ่งที่ใช้ในการพิสูจน์ฝีมือของผู้ออกแบบอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งทำให้เกิดความล่าช้าและสร้างความปวดหัวมาแล้วในระหว่างที่มีโครงการแมนฮัตตัน เนื่องจากต้องทำการพัฒนาเทคโนโลยีการจุดระเบิดแบบภายใน(implosion) ขึ้นมา อาวุธนิวเคลียร์ชนิดระเบิดภายในนี้ให้ประสิทธิภาพสูงกว่าแต่ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดการระเบิดด้วยอุบัติเหตุมากกว่าอาวุธแบบ gun-type weapons


แผนภาพแสดงให้เห็นว่าพลูโตเนียมมีหลายรูปแบบ (allotropes) ที่ความดันบรรยากาศแตกต่างกัน 


ข้อควรระวัง
สารประกอบพลูโตเนียมทุกไอโซโทปนั้นเป็นสารพิษและมีกัมมันตภาพรังสี โดยในรายงานของสื่อบางครั้งบรรยายว่าพลูโตเนียมเป็นสารที่มีพิษสูงที่สุดที่เรารู้จัก (the most toxic substance known to man) ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ได้มีความเห็นร่วมกันแล้วเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เพราะจนถึงปี 2006 ยังไม่มีใครเสียชีวิตจากการได้รับพลูโตเนียมโดยตรง ยกเว้นอุบัติเหตุที่เกิดจากการใช้พลูโตเนียม เรเดียมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติมีอันตรายจากรังสีสูงเป็น 200 เท่าของพลูโตเนียม สารอินทรีย์ที่เป็นพิษ เช่น Botulin toxin ก็มีความเป็นพิษมากกว่า การได้รับ Botulin toxin ปริมาณ300pg/kg ก็ทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยกว่าพลูโตเนียมที่จะทำให้เกิดความเสียงต่อการเป็นมะเร็งมาก นอกจากนั้น ต้นกำเนิดที่ให้รังสีบีตาและรังสีแกมมา เช่น C-14 กับ K-40 ที่มีอยู่ในอาหารทุกชนิด ก็สามารถทำให้เกิดมะเร็งได้โดยการสัมผัสเท่านั้น ขณะที่รังสีอัลฟาจากพลูโตเนียมจะไม่เป็นอันตรายถ้าอยู่ภายนอกร่างกาย

เมื่อรับประทานเข้าไปในร่างกาย นอกจากความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดมะเร็งแล้ว พลูโตเนียมจะมีความเป็นพิษน้อยกว่าสารปกติที่เรารู้จักกันดี เช่น คาเฟอีน acetaminophen วิตามินบางชนิด pseudoephedrine รวมทั้งพืชหรือเห็ดบางชนิด พลูโตเนียมอาจมีความเป็นพิษมากกว่าสุรา (ethanol ) แต่มีความพิษน้อยกว่าบุหรี่ และยาหลายชนิด ถ้าอยู่ในรูปโลหะบริสุทธิ์พลูโตเนียมจะมีความพิษใกล้เคียงกับตะกั่วและโลหะหนักชนิดอื่นๆ จึงไม่น่าแปลกที่พลูโตเนียมจะมีรสชาติแบบเดียวกับโลหะ

บางคนกล่าวว่า ถ้าไม่ดูแลอย่างดีพลูโตเนียมอาจเป็นอันตรายได้ รังสีอัลฟาที่ให้ออกมาไม่สามารถผ่านผิวหนังของคนเราได้ แต่อาจส่งผลต่ออวัยวะภายในของเราได้ ถ้าหายใจหรือรับประมานเข้าไป อวัยวะที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตราย คือ กระดูก ซึ่งสามารถดูดซึมพลูโตเนียม และตับที่สามารถสะสมพลูโตเนียมจนอาจมีความเข้มข้นสูง ปริมาณรังสีสูงสุดที่ไขกระดูกจะรับได้ ประมาณ 0.008 ไมโครคูรี (microcurie) ถ้าสูงกว่านี้ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่จะก่ออันตรายได้ พลูโตเนียมที่เป็นผงละเอียดอาจจะทำให้เกิดมะเร็งปอดได้ถ้าสูดหายใจเข้าไป

การได้รับสารพิษบางชนิด เช่น ricin, tetrodotoxin, botulinum toxin และ tetanus toxin ต่ำกว่า 1 มิลลิกรัมก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ ส่วนสารพิษต่อระบบประสาท เช่น amanita toxin อจทำให้เสียชีวิตถ้าได้รับไม่กี่มิลลิกรัม พลูโตเนียมไม่ได้อยู่ในรูปสารพิษ ถ้าไม่ได้สูดหายใจเข้าไป สารพิษโดยทั่วไปจะทำให้เสียชีวิตในเวลาเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน ส่วนพลูโตเนียมและสารกัมมันตรังสีชนิดอื่น จะทำให้ความเสี่ยงในการเจ็บป่วยในเวลาเป็นสิบปีข้างหน้า

พลูโตเนียมแตกต่างจากไอโซโทปรังสีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น เรเดียมหรือคาร์บอน-14 เนื่องจากพลูโตเนียมถูกผลิตขึ้นมา ทำให้เข้มข้นแล้วจึงสกัดออกมา โดยมีการสะสมไว้หลายร้อยเมตริกตันสำหรับผลิตอาวุธในช่วงสงครามเย็น พลูโตเนียมที่สะสมไว้นี้แตกต่างสารทางเคมีหรือทางชีววิทยา และทำให้เกิดปัญหาขึ้น เนื่องจากไม่สามารถทำลายด้วยกระบวนการทางเคมี มีผู้เสนอให้กำจัดพลูโตเนียมชั้นอาวุธ (weapons-grade plutonium) ที่เกินมานี้ โดยผสมกับไอโซโทปกัมมันตรังสี เช่นเชื้อเพลิงใช้แล้วจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกขโมยไปโดยผู้ก่อการร้าย บางคนเสนอให้ผสมกับยูเรเนียมและใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยทำให้อยู่ในรูปออกไซด์ผสม (mixed oxide) หรือ MOX ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดปฏิกิริยาฟิชชันแล้ว การที่มี Pu-239 ปริมาณมากจะทำให้กลายเป็น Pu-240 หรือไอโซโทปอื่นที่หนักมากขึ้นและจะส่งผลให้ส่วนผสมนี้นำไปใช้ทำอาวุธนิวเคลียร์ไม่ได้

สิ่งที่ต้องะวังอีกอย่างหนึ่งคือ การมีพลูโตเนียมปริมาณมากอาจจะทำให้สะสมไปจนถึงค่าของมวลวิกฤต (critical mass) เนื่องจากมวลวิกฤตของพลูโตเนียมมีค่า 1/3 ของยูเนียม-235 เท่านั้น แม้ว่าจะไม่มีแรงกดดันจากภายนอกดังเช่นที่เกิดขึ้นในอาวุธนิวเคลียร์ แต่พลูโตเนียมมีความร้อนเกิดขึ้นภายในและจะทำให้สิ่งห่อหุ้มอยู่แตกออก นอกจากนั้นรูปร่างของก้อนพลูโตเนียมก็มีส่วนสำคัญ ควรระมัดระวังการทำให้เป็นก้อนเดียวขนาดเล็ก พลูโตเนียมในสารละลายสามารถมีมวลถึงระดับของมวลวิกฤตได้ง่ายกว่าของแข็ง ระเบิดนิวเคลียร์ในแบบที่เป็นอาวุธนั้น ไม่สามารถระบิดได้โดยอุบัติเหตุ เนื่องจากต้องทำให้มวลมีค่าถึงระดับ supercritical mass เพื่อให้ระเบิดก่อนที่จะละลายหรือแตกออก แต่ก้อนพลูโตเนียมที่ยังไม่ถึงมวลวิกฤตนี้ ก็มีปริมาณรังสีสูงจนถึงระดับที่ทำให้เสียชีวิตได้

ในอดีตพลูโตเนียมเคยมีมวลถึงระดับวิกฤตโดยอุบัติเหตุมาแล้ว โดยบางครั้งทำให้เกิดอันตรายจนถึงแก่ชีวิต อย่างเช่นเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 1945 Harry K. Daghlian, Jr. นักวิทยาศาสตร์ที่ Los Alamos ซึ่งไม่ระมัดระวังกับก้อนทังสเตนคาร์ไบด์ที่ติดตั้งไว้รอบก้อนพลูโตเนียมทรงกลมน้ำหนัก 6.2 kg ทำให้ได้รับรังสีสูงจนถึงระดับอันตราย (lethal dose) โดยได้รับรังสีประมาณ510 rems (5.1 Sv) และเสียชีวิตใน 4 สัปดาห์ต่อมา 9 เดือนถัดมา Louis Slotin นักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งของ Los Alamos ก็เสียชีวิตในลักษณะเดียวกัน โดยเกิดอุบัติเหตุกับ beryllium reflector ที่อยู่รอบแกนพลูโตเนียมชุดกับที่ทำให้ Daghlian เสียชีวิต ในปี 1958 ที่ Los Alamos ระหว่างที่พลูโตเนียมอยู่กระบวนการทำให้บริสุทธิ์นั้นมวลในถังผสมได้เพิ่มขึ้นจนถึงระดับวิกฤต ทำให้ผู้ควบคุมเครนเสียชีวิต อุบัติเหตุในลักษณะเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นอีกในสหภาพโซเวียตญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศ รวมทั้งการเกิดอุบัติเหตุที่เชอร์โนบิลเมื่อปี 1986 ทำให้พลูโตเนียมปริมาณมากรั่วไหลออกมา

พลูโตเนียมที่เปลี่ยนเป็นออกไซด์จะขยายตัวและอาจจะทำให้ภาชนะบรรจุแตกออกได้ ส่วนโลหะพลูโตเนียมนั้นติดไฟได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าอยู่ในรูปของชิ้นเล็กๆ พลูโตเนียมจะเกิดปฏิกิริยาเคมีกับออกซิเจนและน้ำทำให้กลายเป็น plutonium hydride ซึ่งเป็นสาร pyrophoric สามารถติดไฟได้ในอากาศที่อุณหภูมิห้อง กัมมันตภาพรังสีของวัสดุที่ติดไฟแล้วจะทำให้มีอันตรายมากขึ้น ในปี 1962 ได้เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่จากการติดไฟของพลูโตเนียม ที่โรงงงาน Rocky Flats Plant ใกล้กับ Boulder รัฐ Colorado ทรายของแมกนีเซียมออกไซด์เป็นวัสดุที่ใช้ดับไฟชองพลูโตเนียมได้ดีที่สุด โดยจะทำหน้าที่กันความร้อนและออกซิเจน น้ำก็สามารถใช้ได้เช่นกัน การป้องกันปัญหาเหล่านี้ทำได้โดยการใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการเก็บรักษาและการดูแลพลูโตเนียม โดยทั่วไปจะเก็บไว้ในที่แห้งและมีแก๊สเฉื่อย
ถอดความจาก Plutonium
เวบไซต์ www.wikipedia.com


ที่มา
http://www.nst.or.th/article/article494/article49408.htm
http://en.wikipedia.org/wiki/Trinity_(nuclear_test)

วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เซ็นเซอร์กล้อง Sony Exmor RS

, , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , ,


Structural diagram of conventional back-illuminated CMOS image sensor
Structural diagram of the "Exmor RS" stacked CMOS image sensor



, , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , ,
และเพื่อการโปรโมทให้เป็นที่รู้จัก และจดจำได้ง่ายขึ้น ทาง โซนี่ ได้ตั้งชื่อตัว BSI CMOS (Back-illuminated CMOS Sensor) ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการรับแสงโดยเฉพาะที่สภาวะแสงน้อยขึ้นมาเสียใหม่โดยใช้ชื่อว่า Exmor R CMOS เชื่อว่าผู้ที่เล่นกล้องหรือชื่นชอบกล้องมือถือเป็นต้องเคยได้ยินอย่างแน่นอน และ ณ ชั่วโมงนี้ Exmor R CMOSก็เป็นที่รู้จักทั่วไป และถูกเรียกจนติดปากผู้ใช้ไปแล้ว
 , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , ,
กระทั่งล่าสุด โซนี่ ได้ศึกษา และวิจัยให้ CMOS มีความก้าวหน้ามากขึ้น ซึ่งก็คือตัวที่เราต้องการจะกล่าวถึงอีกตัวนั่นก็คือExmor RS CMOS ตัวนี้ก็คือตัวที่ตอนแรกกล่าวถึงว่ารุ่นเรือธงจะหันมาใช้เทคโนโลยีนี้นั่นเอง ถ้าเปรียบกับเทคโนโลยีแรกที่กล่าวถึงไปนั้น แม้ว่าจะแค่เติม เข้ามาตัวเดียว แต่ความแตกต่างก็ใช่ว่าจะน้อยนิดซะที่ไหนกัน เพราะตัว นี้มันย่อมาจาก Stack หรือที่เรียกว่า Stacked CMOS
, , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , ,
(ด้านซ้าย ไม่มี 
Stacked CMOS) (ด้านขวา มี Stacked CMOS)
สรุปแล้ว Stacked CMOS มันคืออะไรกันแน่พูดกันง่ายๆ ก็คือ เป็นเซ็นเซอร์ Exmor RS Stacked CMOS โดยเซ็นเซอร์ตัวนี้ก็คือ BSI CMOS (Back-illuminated CMOS Sensor) ที่พัฒนามาแล้วนั่นเอง ซึ่งเซ็นเซอร์ตัวนี้จะใช้กันใน สมาร์ทโฟน และ แท็บเล็ต ที่ทำให้รูปภาพมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นและทำให้การทำงานของเซ็นเซอร์ก็กระชับมากขึ้นด้วย ทำให้ภาพที่ถ่ายออกมามีจุดรบกวน (Noise) น้อยลง และมีสีสันที่สดใสมากยิ่งขึ้น

, , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , ,


มาดูราคากันครับ

ModelShipment date
(planned)
Sample price
(incl. tax)
Type 1/3.06
13.13 effective megapixels(*3)
Stacked CMOS image sensor
'IMX135'
January, 20131,500 JPY
Imaging module
'IU135F3-Z'
March, 20138,000 JPY
Type 1/4
8.08 effective megapixels(*3)
Stacked CMOS image sensor
'IMX134'
March, 20131,000 JPY
Imaging module
'IU134F9-Z'
May, 20135,000 JPY
Type 1/4
8.08 effective megapixels(*3)
Stacked CMOS image sensor
'ISX014'
October, 20121,200 JPY
Imaging module
'IUS014F-Z'
November, 20126,000 JPY
*3: Based on the method for specifying effective pixels in image sensors


Key specifications
Stacked CMOS image sensors

Model nameIMX135IMX134ISX014
Number of effective pixels4208(H) x 3120(V)
13.13M pixels
3280(H) x 2464(V)
8.08M pixels
3280 (H) x 2464 (V)
8.08M pixels
Image sizeDiagonal 5.867 mm
(Type 1/3.06)
Diagonal 4.595 mm
(Type 1/4)
Diagonal 4.6 mm
(Type 1/4)
Unit cell size1.12 μm (H) x 1.12 μm (V)1.12 μm (H) x 1.12 μm (V)1.12 μm (H) x 1.12 μm (V)
Frame rateFull24 fps30 fps15 fps
1/2 sub sampling48 fps60 fps30 fps
1/8 sub samplingNot supportedNot supported120 fps
HD mode1080p 30fps (HDR mode)
1080p 60fps
720p 60fps
1080p 30fps
720p 30fps (HDR mode)
720p 60fps
1080p 30fps
720p 60fps
Sensitivity
(typical value F5.6)
92mV (Green pixel)
127mV (White pixel)
92mV (Green pixel)
127mV (White pixel)
84mV
Sensor saturation signal
(minimum value)
260mV260mV260mV
Power
supply
Analog2.7V2.7V2.7V
Digital1.05V1.05V1.05V
Interface1.8V1.8V1.8V, 2.7V
Key featuresRGBW coding function
HDR movie function
Auto-control function
Picture quality adjustment function
OutputMIPI (4lane, 2lane)MIPI (4lane, 2lane)MIPI (4lane, 2lane, 1lane)
Image output formatBayer RAWBayer RAWYUV,RGB,RAW, Y/Cb/Cr,
JPEG + YUV (thumbnail), JPEG (4:2:2)


ที่มา
http://www.thaimobilecenter.com
http://www.imaging-resource.com
http://www.sony.net/SonyInfo/News/Press/201208/12-107E/index.html