วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ศึกสุดยอดแห่งวงการสามมิติ แว่น Active 3-D หรือ Passive 3-D อันไหนดีกว่ากัน?



ตอนที่ผมรีวิว LG Optimus 3D MAX ผมได้อุทิศ 1 ตอนเต็มๆ เพื่อเขียนถึงเทคโนโลยีการแสดงผลแบบสามมิติแบบต่างๆ ให้ได้อ่านกัน นอกเหนือจากแค่พูดถึงเทคโนโลยีที่ใช้กับตัว LG Optimus 3D MAX เอง … สำหรับการนำเสนอภาพสามมิติผ่าน Smartphone/Tablet มันมีข้อด้อยตรงที่การโฟกัสของสายตา ที่ทำให้กล้ามเนื้อตาล้าเอาได้ง่ายๆ แต่ถ้าเป็นการใช้แว่นตาเพื่อช่วยในการกรองภาพให้เหมาะสมกับดวงตาแต่ละข้าง มันจะลดทอนปัญหานี้ให้น้อยลงได้ แต่มันก็มีคำถามตามมาอีกว่า … แล้วแว่นตาแบบไหนล่ะ ระหว่าง Active 3-D หรือ Passive 3-D ถึงจะเจ๋งที่สุด

ทบทวนพื้นฐานเรื่องการนำเสนอภาพสามมิติก่อน

ก่อนที่เราจะไปเริ่มเนื้อหาหลัก ผมขอทบทวนพื้นฐานกันก่อนนะครับ เผื่อใครที่ยังไม่ได้ไปอ่านบล็อกตอนเก่าของผม ก็จะได้ทราบคร่าวๆ ก่อน …​ ความลับของการนำเสนอภาพเป็นสามมิติก็คือการเข้าใจถึงการทำงานของดวงตาของเรานั่นเอง …​ เรามองเห็นภาพเป็นสามมิติ เพราะดวงตาของเราเห็นภาพเดียวกันจากมุมมองที่ต่างกัน แล้วสมองของเราเป็นหน่วยประมวลผลภาพที่ยอดเยี่ยมมาก นำภาพทั้งสองมุมนั้นมารวมกัน กลายเป็นภาพเดียว ที่เห็นทั้งกว้าง ยาว และ ลึก

อธิบายการมองเห็นภาพเป็นสามมิติของคนเรา

การนำเสนอภาพให้ดวงตาของเรามองเห็นเป็นสามมิติ ก็คือการนำภาพเดียวกันที่ถ่ายจากมุมสองมุม เหมือนกับภาพที่ได้เห็นจากดวงตาแต่ละข้างไปนำเสนอให้ดวงตาแต่ละข้างได้เห็น ซึ่งทั้ง Active 3-D Glasses และ Passive 3-D Glasses ก็จะใช้วิธีการแตกต่างกันไปครับ

Active 3-D Glasses

คำว่า Active หมายถึง ตัวแว่นนี่มีการทำงานอะไรบางอย่าง ซึ่งนั่นก็คือตัวชัตเตอร์ที่ทำหน้าที่ปิดเลนส์แต่ละข้างสลับกันไปมา ซึ่งจะ Sync กับการนำเสนอภาพบนหน้าจอครับ … พูดง่ายๆ คือ หน้าจอแสดงผล จะทำการแสดงผลภาพแบบเต็มๆ สำหรับดวงตาแต่ละข้างสลับกันไปมาด้วยความเร็วสูง ส่วน Active 3-D Glasses นี่ก็จะทำงานแบบสอดประสานกับจังหวะการแสดงผล ปิดและเปิดชัตเตอร์ของเลนส์แต่ละข้าง เพื่อให้ดวงตาของเราได้เห็นภาพที่เหมาะสม แล้วดวงตาของเราก็จะเหมือนกับเห็นภาพจากสองมุมมอง และสมองของเราก็จะทำการประมวลผลให้กลายเป็นภาพสามมิติไป

Active Glasses จะมีชัตเตอร์คอยปิดเลนส์แต่ละข้างสลับไปมา

ดูการทำงานของ Active 3-D Glasses จากภาพข้างบนได้ (Credit: CNET.com)

Passive 3-D Glasses

ตรงกันข้ามกับคำว่า Active … คำว่า Passive คือ ตัวแว่นจะไม่ได้มีการทำงานอะไรเลย … แต่เทคนิคที่ใช้กับ Passive 3-D Glasses มีหลายแบบครับ แต่ในที่นี้ผมจะพูดถึงที่ใช้กับโทรทัศน์แบบ 3D ซึ่งใช้เทคนิคที่เรียกว่า Polarization Glassed หรือที่บางคนเรียกว่าแว่นตัดแสงครับ …  ดูรูปด้านล่างนี่ครับ (Credit: Howstuffworks.com) จะเห็นว่าภาพถูกแสดงออกมาสองภาพพร้อมๆ กัน โดยภาพหนึ่งจะถูกนำเสนอโดยใช้แสงที่เดินทางไปในทิศทางหนึ่ง (ลูกศรสีน้ำเงิน) ส่วนอีกภาพก็จะถูกนำเสนอโดยใช้แสงที่เดินทางไปในอีกทิศทาง (ลูกศรสีเขียว) ส่วนแว่นก็จะทำหน้าที่กรองแสงเพื่อให้ตาแต่ละข้างของเราได้เห็นเฉพาะภาพที่เหมาะสมเท่านั้น

การทำงานของแว่น Polarized

ถ้าเราเอาภาพบนจอแบบ Passive มาดูใกล้ๆ จะเห็นว่าหากไม่มองผ่านแว่น เราจะเห็นภาพแบบ 2 เส้นตัดกันไปมา นั่นคือภาพสองภาพสำหรับดวงตาแต่ละข้างถูกแสดงให้เห็นพร้อมๆ กัน … แต่เมื่อมองผ่านแว่น Polarized แล้ว จะเห็นว่าเส้นหายไปเส้นหนึ่งครับ นั่นคือ เราได้เห็นเฉพาะภาพสำหรับดวงตาข้างหนึ่งนั่นเอง (Credit: CNET.com)

(ซ้าย) ภาพบนจอ Passive 3-D แบบมองไม่ผ่านแว่น (ขวา) ภาพบนจอ Passive 3-D แบบมองผ่านแว่นข้างนึง

คำถามคือ Active 3-D หรือ Passive 3-D อันไหนดีกว่ากัน?

สองค่ายใหญ่ที่ปะทะกันเรื่อง Active 3-D กับ Passive 3-D ก็คือ Samsung กับ LG ครับ โดย Samsung จะใช้ Active 3-D ในขณะที่ LG นั้นถือหาง Passive 3-D อยู่ … แต่ดูท่า LG จะพยายามชี้ให้เห็นถึงจุดเด่นของ Passive 3-D มากกว่า โดยทำเป็นวิดีโอคลิปออกมาเยอะแยะเลยครับ แต่ผมว่าที่สรุปจุดเด่นของ Passive 3-D ได้ดีที่สุดก็น่าจะเป็นคลิปข้างล่างนี่


อ๊ะๆ แต่อย่าเพิ่งคิดว่า Passive 3-D นี่ดีสุดยอดที่สุดแล้วนะครับ … ผมเสียดายที่ทาง Samsung เขาไม่ได้ทำคลิปวิดีโอมาโพสต์บน YouTube เพื่อตอบโต้คลิปของ LG (หรือผมหาไม่เจอก็ไม่รู้) เลยไม่สามารถเอาคลิปของอีกฝ่ายมาแย้งได้ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรามาคุยกันเองก็ได้นะ
จุดเด่นของจอที่ใช้เทคนิค Active 3-D นั้นภาพที่ได้มีความคมชัดเต็มรูปแบบ เพราะไม่ต้องนำเสนอภาพสองภาพขึ้นบนจอพร้อมๆ กัน ดังนั้น ภาพที่เป็น 1080p นั้นก็จะคมชัดระดับ 1080p จริงๆ แต่ข้อเสียของจอ Active 3-D นี้ก็คือการที่มันใช้เทคนิคชัตเตอร์เพื่อปิดภาพสลับเป็นระยะๆ ก็เลยทำให้ภาพนั้นดูมืดลง (ผลจากช่วงที่ปิดเปิดชัตเตอร์) ซึ่งผลที่ตามมาคือ หาก Refresh Rate ไม่สูงมากพอ ก็จะรู้สึกกระพริบด้วย ซึ่งเจอแบบนี้นานๆ ดวงตาก็เกิดอาการล้าได้ … วิธีคำนวณ Refresh Rate ของจอแบบ Active 3-D นี่ต้องเอาค่าที่ได้มาหารสองครับ … และที่สำคัญที่สุดคือ แว่นแบบ Active 3-D นั้นต้องใช้แบตเตอรี่ครับ ซึ่งหากหมด ก็จะใช้งานไม่ได้ ต้องเสียเวลาชาร์จเพิ่ม และตัวแว่นก็มีราคาแพงด้วย

Samsung ก็ชูจุดเด่นของแว่น Active 3-D ที่เหนือ Passive 3-D

จุดเด่นของจอที่ใช้เทคนิค Passive 3-D ก็คือ ภาพที่ได้จะสว่างกว่าแบบ Active 3-D แล้วก็ไม่เกิดปัญหาจอกระพริบ ดวงตาไม่เกิดอาการล้าเมื่อจองมองหน้าจอไปนานๆ เมื่อก่อนเทคนิค Polarization นี่เป็นแบบ Linear Polarization ซึ่งจะมีปัญหาเวลาที่ไม่ได้มองภาพในแนวตรง แต่หลังจากที่มีการปรับเทคนิค Polarization ให้เป็นแบบ Spiral แล้ว ก็ทำให้ปัญหานี้หมดไปครับ จอมองหน้าจอในมุมไหนก็สามารถดูภาพสามมิติได้สบายๆ ข้อดีอีกอย่างคือแว่นมีน้ำหนักเบามาก และราคาถูกด้วย และไม่ต้องกลัวแบตเตอรี่หมด เพราะไม่มีแบตเตอรี่ แต่จุดด้อยของจอที่ใช้เทคนิค Passive 3-D ก็คือ ภาพที่เห็นจะมีความคมชัดแค่ครึ่งเดียว เพราะว่ามันต้องแสดงผล 2 ภาพพร้อมๆ กันนั่นแหละครับ
ส่วนเรื่องของน้ำหนักแว่นนั้น เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยจะเป็นประเด็นเท่าไหร่แล้ว เพราะแว่น Active 3-D รุ่นใหม่ที่
ผมเจอคลิปวิดีโอหนึ่งที่รีวิวจอ 3-D ของ Samsung และ LG ได้น่าสนใจมาก และเห็นภาพชัดทีเดียวถึงข้อดีข้อเสีย อยากให้ดูกันครับ


จากในคลิปข้างบน ผมก็ยังแปลกใจอยู่นิดๆ ว่าทำไมแว่นแบบ Active 3-D มันถึงมีปัญหาเวลาตะแคงดูหน้าจอ ซึ่งทำให้มองภาพไม่เห็นเลย …​ แต่เดาว่าคงเป็นเพราะการที่แว่นแบบ Active 3-D ใช้แว่นที่เป็นจอผลึกเหลวในการเป็นชัตเตอร์เพื่อเปิดปิดเลนส์ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาแบบเดียวกับแว่นที่เป็น Linear Polarization ครับ

โดยสรุปแล้วในภาพรวม Active 3-D หรือ Passive 3-D อันไหนดีกว่ากัน?

ณ ตอนนี้ ถ้าไม่ติดใจเรื่องคุณภาพความคมชัดว่าจะต้องเต็มๆ 1080p ละก็ ผมว่าในภาพรวมแล้วจอภาพแบบที่เป็น Passive 3-D นั้นคุ้มค่ากว่าครับ ทั้งในแง่ของการใช้งาน และราคาของแว่น แต่ในระยะยาวนั้น เมื่อเทคโนโลยีมีการพัฒนามากขึ้น หลายๆ อย่างที่เป็นจุดด้อยของเทคนิค Active 3-D  ก็อาจจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เช่น Refresh Rate ที่ด้อย ซึ่งแม้ว่ายังไงเสียก็ยังด้อยกว่า Passive 3-D แต่ว่ามันจะไปถึงจุดที่ดวงตาของเราจะไม่ทันรับรู้ถึงการกระพริบครับ เรื่องแบตเตอรี่ก็อาจจะได้ชนิดที่สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น …​ ในขณะที่ความละเอียดของจอที่อาจจะเพิ่มเป็น 4K (2160p) หรือ 8K ในอนาคต ก็จะทำให้ภาพคมชัดขึ้นอย่างมาก จนแม้ว่าความละเอียดจดหดหายไปครึ่งหนึ่งก็คงไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรอีกเช่นกัน

ที่มา http://www.kafaak.com/2012/06/14/active-or-passive-glasses-which-one-is-the-best/

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สีของปัสสาวะ



       เราอาจเคยทราบมาบ้างว่าสีของปัสสาวะนั้นบ่งชี้ถึงสุขภาพ แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่าสีจากของเหลวที่เราขับถ่ายออกจากร่างกายนั้น ยังมีหลากเฉดราวกับสีรุ้งด้วย ซึ่งบ่งชี้ถึงปัญหาและวิกฤตที่เกิดขึ้นภายในร่างกายเราได้เป็นอย่างดี 
       
       ฮีเธอร์ เวสต์ (Heather West) นักวิทยาศาสตร์ประจำห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลทาโคมา (Tacoma General Hospital) ในวอชิงตัน สหรัฐฯ เป็นผู้หนึ่งที่ได้พบเห็นสีสันของปัสสาวะจากผู้ป่วยในโรงพยาบาลอยู่เสมอ และเธอได้บันทึกภาพตัวอย่างปัสสาวะเหล่านั้นเผยแพร่ผ่านโลกออนไลน์ ซึ่งเธอบอกไลฟ์ไซน์ว่า ผู้ที่ได้เห็นไม่เชื่อว่านั่นคือปัสสาวะจริงๆ และเข้าใจว่าเธอกับเพื่อนร่วมงานคงเติมอะไรลงไปแน่ๆ
       
       หน้าที่ในฐานะเจ้าหน้าที่ประจำห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลที่ไม่ได้เห็นแค่สีสันอันน่าอัศจรรย์ของปัสสาวะ แต่ภารกิจภายในห้องปฏิบัติการปิดทึบในใต้ถุนอาคารโรงพยาบาลของเวสต์วัย 26 ปี มีบทบาทสำคัญต่อผู้ป่วยทุกคน เพราะสีสันของปัสสาวะเหล่านั้นบ่งบอกถึงวิกฤตในสุขภาพผู้ป่วย
       
       คริสเตน กรีน (Kirsten Greene) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการศึกษาเกี่ยวกับระบบปัสสาวะ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก สหรัฐฯ อธิบายไลฟ์ไซน์ถึงความสำคัญของสีปัสสาวะว่า หน้าที่ของเธอไม่เพียงแค่ดูสีสันของปัสสาวะ แต่หากปัสสาวะเหล่านั้นเป็นสีแดงหรือสีเลือดมากๆ เป็นสัญญาณชัดเจนว่ามีการติดเชื้อหรือเป็นมะเร็ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอจะวิตกเป็นอย่างมาก
       
       สำหรับสีสันของปัสสาวะหลักๆ บ่งชี้ถึงสุขภาพได้ ดังนี้
       
       สีแดง 
       เลือดเป็นปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้ปัสสาวะเป็นสีแดง และเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพ ซึ่งกรีนบอกว่าในฐานะผู้เชี่ยวชาญโรคทางเดินปัสสาวะเธอจะเป็นกังวลต่อผู้ป่วยที่มีปัสสาวะเป็นสีนี้ โดยมะเร็งกระเพาะปสสาวะ การติดเชื้อ รวมทั้งนิ่วในไต ล้วนเป็นสาเหตุให้เลือดออกและแสดงผ่านปัสสาวะ ซึ่งทั้งหมดควรจะรีบไปพบแพทย์ นอกจากนี้การกินหัวบีทมากๆ ก็ทำให้ปัสสาวะกลายเป็นสีชมพูได้เช่นกัน
       
       สีส้ม 
       ปัสสาวะสีเข้มบ่งบอกถึงสุขภาพที่มีปัญหา โดยโรคมะเร็งตับทำให้ปัสสาวะมีสีน้ำตาลเข้ม เพราะมีสาร “บิลิรูบิน” (bilirubin) มากเกินไป ซึ่งสารดังกล่าวคือเม็ดสีสีน้ำตาลที่ตับผลิตออกมา การใช้ยาแก้ปวดชื่อ “ฟีนาโซไพริดีน” (phenazopyridine) หรือไพริเดียม (Pyridium) ก็ทำให้ปัสสาวะมีสีส้มสว่าง ยาดังกล่าวจะให้แก่ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ นอกจากนี้ยาปฏิชีวนะก็เปลี่ยนสีปัสสาวะให้เป็นสีส้มได้ หรือใครที่กินแครรอทมากๆ จนผิวเปลี่ยนสีส้มก็จะมีปัสสาวะสีส้มด้วยเช่นกัน
       
       สีเหลือง 
       หลายคนแสดงอาการขาดน้ำให้เห็นในปัสสาวะ โดยให้ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม หากไม่ได้รับน้ำอบ่างเพียงพอ เม็ดสีที่เรีกยว่า “ยูโรโครม” (urochrome) จะมีความเข้มข้นมากในปัสสาวะ หรืออีกด้านหนึ่งผู้ป่วยที่ที่ได้รับสารเหลวผ่านทางหลอดเลือดดำจะมีน้ำในร่างกายมาก จึงสร้างปัสสาวะที่ใสเกือบจะไม่มีสี ส่วนปัสสาวะสีเหลืองขุ่นๆ นั้นมีสาเหตุจากการติดเชื้อ
       
       สีน้ำเงิน 
       สำน้ำเงิน เป็นสีปัสสาวะที่พบได้ค่อนข้างน้อย มักเกิดจาการใช้ยาหรือให้สารเคมีแก่ผู้ป่วย โดยยาที่ชื่อ “เมทิลีนบลู” (methylene blue) ที่เคยถูกใช้เป็นยาบำบัดรักษามาลาเรียระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 คือตัวการอันดับหนึ่งที่ทำให้ปัสสาวะมีสีนี้ ซึ่งยาดังกล่าวใช้เพื่อบำบัดอาการเป็นพิษเนื่องจากคาร์บอนมอนอไซด์ และใช้เป็นสีย้อมระหว่างผ่าตัด โดยให้ปัสสาะเป็นได้ทั้งสีเขียวและน้ำเงิน
       
       ยังมีตัวยาอื่นๆ ที่ใช้ในทางการแพทย์แล้วให้ปัสสาวะเป็นสีน้ำเงิน เช่น ไวอากรา อินโดเมทาซิน และโพรโพฟอล ยาระงับความรู้สึกที่มีความเชื่อมโยงต่อการเสียชีวิตของ ไมเคิล แจ็คสัน (Michael Jackson) ราชาแพลงป๊อป นอกจากนี้ลักษณะทางพันธุกรรมยังส่งผลต่อการแตกสลายของสารอาหารซึ่งเป็นสาเหตุให้ปัสสาวะกลายเป็นสีน้ำเงินได้ แม้กระทั่งสีผสมอาหารสีน้ำเงินก็ส่งผ่านไปยังปัสสาวะได้ในบางครั้ง
       
       สีเขียว 
       ปัสสาวะสีเขียวเป็นกรณีของปัสสาวะสีน้ำเงินที่เจือจาง และในบางครั้งการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะก็ทำให้ปัสสาวะกลายเป็นสีเขียวด้วย
       
       สีครามและสีม่วง 
       ปัสสาวะสีม่วงเข้มนั้นมาจากผู้ป่วยที่การทำงานของไตล้มเหลว ดดยเวสต์อธิบายว่าปกติไตควรจะทำหน้าที่ในการกรองเลือดและกำจัดของเสียในร่างกายของเราออกไป แต่เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นกับไตก็จะมีเลือดจำนวนมากหลุดออกไปพร้อมปัสสาวะ และยังมีกรณีที่ผู้ป่วยสวนสายปัสสาวะก็อาจเกิดอาการแทรกซ้อนที่พบไม่บ่อยที่เรียกว่า “เพอร์เพิลยูรีนแบ็กซินโดรม” (purple urine bag syndrome) ที่ให้ปัสสาวะสีม่วง ซึ่งสัมพันธ์กับการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะและภาวะที่ปัสสาวะมีความเป็นด่างสูง และอาการทางพันธุกรรมที่เรียกว่า “พอร์ฟีเรีย” (porphyria) ก็กระตุ้นให้ปัสสาวะเป็นสีม่วงเช่นกัน 


ที่มา http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000078189

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ยางน่อง



ยางน่อง เป็นอย่างไรเคยสนใจหาข้อมูลพอรู้เป็นเลาๆ เอามาปันกันอ่านครับ
IPB Image


1. คอลัมน์รู้ไปโม้ด โดยน้าชาติ ประชาชื่น


ผมอยากได้ข้อมูลต้นยางน่อง ชนิดเถาหรือต้นก็ได้ และจะหาซื้อได้ที่ไหนครับ ถามหาหลายแห่งแล้วไม่มีเลยครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ/kemtip 

ตอบ "ยางน่อง-upas tree" เป็นพืชในวงศ์ moraceae ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Antiaris toxicarica เป็นต้นไม้ที่ไม่ค่อยรู้จักมักคุ้นกันนัก มีทั้งชนิดยืนต้นและเถา


ชนิดยืนต้นเป็นไม้ใหญ่ผลัดใบ มี 2 เพศในต้นเดียวกัน สูง 45-60 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง180 เซนติเมตร บางต้นมีพูลึก สูงจากพื้นดิน 3 เมตร เปลือกลำต้นเรียบ ยางสีขาวอมเหลืองจะค่อยเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เมื่อถูกอากาศจะจับตัวเป็นเม็ด รูปใบกลม ผลมี 1 เมล็ด มีเนื้อนุ่มรูปกระสวย ผิวกำมะหยี่ พบในแถบเขตร้อนอย่างศรีลังกา อินเดีย จีนตอนใต้ ไทย มาเลเซีย นับเป็นไม้หายาก (พบ 1 ต้นในพื้นที่ 500 ไร่) เนื้อไม้ใช้ในการก่อสร้างประเภทที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมาก หรือทำเฟอร์นิเจอร์

ยางน่องชนิดเครือ หรือเถา ชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Strophanthus scandens Roem & Schult อยู่ในวงศ์ Apocynaceae เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง มีน้ำยางสีขาว ตามกิ่งอ่อนมีสีแดงเข้ม ส่วนที่เป็นพิษคือยางจากต้น และเมล็ดมีสารไกลโคไซด์ที่เป็นพิษต่อหัวใจ ชื่อสโตรแฟนตินจี, คอมบิคาซิต โคลีน และไตรโกเนลลีน ซึ่งมีผลต่อระบบประสาท และทำให้หัวใจเต้นช้าลง เต้นไม่เป็นจังหวะ และหัวใจวาย เช่นเดียวกับยางน่องต้น

ยางน่องจัดเป็นไม้น่ากลัว อยู่ในประเภทต้นไม้ใช้ฆ่า มีบันทึกว่าน้ำยางสีขาวที่ได้จากการกรีดเปลือกของลำต้นใช้ทาหัวลูกดอกเพื่อฆ่าคนหรือสัตว์ ประเทศมาเลเซียยุคก่อนก็ใช้น้ำยางนี้เป็นเครื่องมือประหารชีวิต

สำหรับประเทศไทย ชาวซาไก และพรานทางเหนือและอีสานใช้ปลายลูกหน้าไม้ชุบน้ำยางไว้ยิงสัตว์ใหญ่ แต่ก่อนจะรับประทานเนื้อสัตว์นั้น ให้เฉือนเอาเนื้อร้ายที่มีสีเขียวอันเกิดจากพิษยางน่องออกจนหมดก่อน

แม้ยางจะเป็นพิษ แต่เนื้อไม้ที่มีสีขาว เป็นไม้เสี้ยนตรง เนื้ออ่อน สามารถนำไปทำเป็นหีบใส่ของ รองเท้าไม้ เครื่องเล่นต่างๆ ได้ เมล็ดของมันยังมีสรรพคุณแก้ไข้ ส่วนเปลือกให้ใยละเอียดสีขาว ใช้ทำเชือก เยื่อกระดาษ ทุบทำเป็นที่นอน ผ้าห่มและเสื้อกางเกงของพวกชาวป่า จึงเป็นต้นไม้ที่น่าอนุรักษ์ต้นหนึ่ง แม้ยางจะอันตราย แต่ส่วนอื่นก็มีคุณค่าน่าศึกษา

ยางน่องมีพิษ ห้ามสัมผัสถูกแผลเพราะอาจดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเป็นออกฤทธิ์ถึงตายได้ แต่ถ้าเป็นแผลถูกงูกัด ไม่ว่าจะเป็นงูชนิดใด รวมทั้งตะขาบ แมงป่อง สามารถใช้ยางน่องทาแผลรอยกัดเหล่านั้นเพื่อรักษาพิษจากสัตว์เหล่านั้นได้ ที่ท่านว่า ใช้พิษแก้พิษ นั่นแล

กล้าของต้นยางน่องยังไม่มีการนำมาเพาะปลูกขายเป็นธุรกิจ แต่ถ้าสนใจรอไว้งานเกษตรแฟร์ซึ่งมีสมุนไพรจากสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศมาขาย หรือติดต่อครูภูมิปัญญาไทยผู้เชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพรของซาไก คือนางอาภาพร ศรีธารโต หมู่ 3 ตำบลบ้านแหร อำเภอธารโต จังหวัดยะลา 95150

จงใช้ให้เป็นคุณเถิด
(20 มกราคม 2548)

2. ยางน่องจะมีทั้งคุณและทั้งโทษ
ต้นน่องที่เคยพบจะพบในป่าได้น้อยมากที่เคยพบครั้งแรกในชีวิต คือ ที่ หมู่บ้านสวนพลูพุต่อ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี เป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์เป็นป่ากันชนและป่าชุมชนของห ้วยขาแข้งยังคงเป็นป่าที่เป็นต้นน้ำที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์มีพืชที่อุดมสมบูรณ์อาทิเช่น ค้างคาวดำ กราวเ ครือ และที่สำคัญบริเวณตาน้ำยังสามารถพบต้นน่องที่สูงใหญ่ตามความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ตอนที่เราไปพบจะพบ รอยของมีดที่ใช้ฟันตั้งแต่บริเวณลำต้นจนถึงปลายของลำต้นมีชาวบ้านเล่าให้เราฟังว่าสมัยโบราณนั้นเวลาออกไป ล่าสัตว์มักจะเอามีดไปสับที่บริเวณลำต้นเพื่อเอายางน่องไปล่าสัตว์ได้ยางน่องแล้วก็นำไปเคี่ยวรวมกับ กระเ ทียม พริก ถ้าเคี่ยวได้ที่จะมีฟองขึ้นและเมื่อได้ที่ก็นำไปทดลองกับกิ้งก่าโดยนำปลายลูกดอกจุ่มยางน่องแล้ วนำไปเสียบที่ตัวกิ้งก่าแล้วปล่อยให้มันวิ่งขึ้นต้นไม้ถ้ามันตายแล้วตกลงมาจากต้นไม้แสดงว่ายางน่องที่เรา เคี่ยวนั้นได้ที่แต่ถ้าตายแล้วไม่ตกลงมาแสดงว่าเคี่ยวไม่ได้ที่ต้องนำมาเคี่ยวใหม่***เหตุผลที่ต้องกับกิ้ งก่าให้วิ่งขึ้นต้นไม้แล้วให้ร่วงลงมานั้นคือเมื่อเวลาเรายิงสัตว์บนตนไม้แล้วสัตว์บางตัวเล็บจะเกาะกับต้ นไม้ดีมากแม้ขณะตายยังไม่ยอมหล่นจากต้นไม้ดังนั้นเราจึงต้องการให้มันตายแล้วร่วงลงมาเพื่อสะดวกในการเก็บ 

ถ้าใครสนใจจะดูต้นน่องและดูความอุดมสมบูรณ์ของป่าต้นน้ำและป่าชุมชน ติดต่อได้ที่ผู้ใหญ ่บ้าน สวนพลูพุต่อ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธษนี


ต้นยางน่อง เป็นต้นที่มีผลสวยงาม เป็นกำมะยี่สีแดง ถ้าอยากจะเห็นมันสักครั้ง ไปดูที่ศูนยืฝึกนิสิตวน ศาสตร์ ที่วังน้ำเขียว โคราช ก็ได้ค่ะ เข้าไปก็เจอเลย สำหรับท่านที่ต้องการต้นยางน่อง ถ้ายังงัยก็ ระมัดระวังด้วยนะคะ มันเป็นไม้ป่าที่เหมาะจะอยู่กับป่าหรือเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องอาศัยป่า หากท่า นไม่มีความจำเป็นใดๆ ในการใช้ประโยชน์ในทางที่ดี ก็อย่านำมาปลูกจะดีกว่าค่ะ...เป็นห่วงท่านที่ต้องการ และบุคคลที่ไม่รู้จักอาจได้รับอันตรายโดยที่ไม่คาดฝันก็ได้


3. ยางน่อง ตำนานพิษแก้พิษ 
ยางน่อง เป็นต้นไม้ที่ไม่ค่อยจะเป็นที่รู้จักมักคุ้นของคนทั่วไป มีทั้งอย่างชนิดยืนต้นและอย่างเถา ยางน่องต้น มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Antiaris toxicaria Lesch. อยู่ในวงศ์ Moraceae เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่มาก อาจสูงได้ถึง 70 เมตร ลำต้นจะเป็นพูพอน แผ่ออกพื้นดินเพื่อยึดลำต้น เปลือกต้นค่อนข้างเรียบ สีขาวหรือขาวอมเทา เปลือกชั้นในสีขาวหรือขาวอมเหลือง 
ถ้าถากเปลือกดูจะมีน้ำยางสีขาวหรือขาวอมเหลืองซึมตามรอยถาก พิษของยางน่องจะอยู่ที่ยางนี่แหละ ยางจะมีสารไกลโคไซด์ (glycoside) ที่เป็นพิษต่อหัวใจ ชื่อแอนดิเอริน (antiarin) มีรสขมและมีฤทธิ์กัด มีผลต่อระบบประสาท และหัวใจทำให้หัวใจเต้นช้าลง หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ และหัวใจวายตาย 
หมอโบราณทางภาคเหนือ กล่าวว่ายางที่ได้จากต้นยางน่องเป็นพิษ ใช้ชุบปลายลูกหน้าไม้ยิงสัตว์ใหญ่ได้ แต่ก่อนจะรับประทานเนื้อสัตว์นั้น ให้เฉือนเอาเนื้อร้ายที่มีสีเขียวอันเกิดจากพิษยางน่องให้หมดเสียก่อนจึงจะรับประทานได้ 
แม้ยางต้นน่องจะเป็นพิษแต่เนื้อไม้ที่มีสีขาว เป็นไม้ที่เสี้ยนตรง เนื้ออ่อน สามารถที่จะนำไปทำเป็นหีบใส่ของ รองเท้าไม้ เครื่องเล่นต่างๆได้ และสามารถใช้เมล็ดต้นยางน่องเป็นยาแก้ไข้ ส่วนเปลือกต้นยางน่อง ให้ใยละเอียดสีขาว ใช้ทำเชือก เยื่อกระดาษ ทุบทำเป็นที่นอน ผ้าห่มและเสื้อกางเกงของพวกชาวป่า เช่น แม้ว มูเซอ และเงาะ เป็นต้น ต้นยางน่องจึงเป็นต้นไม้ที่น่าอนุรักษ์ต้นหนึ่ง แม้เราจะไม่ใช้ยางน่องในการชุบหน้าไม้ยิงสัตว์อีกต่อไปแล้ว แต่ส่วนอื่นของต้นยางน่องก็มีคุณค่าน่าศึกษา 
ยางน่องอีกต้นเป็นชนิดเครือ ชื่อยางน่องเครือ ชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Strophanthus scandens Roem & Schult อยู่ในวงศ์ Apocynaceae เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง มีน้ำยางสีขาว ตามกิ่งอ่อนมีสีแดงเข้ม ส่วนที่เป็นพิษ คือ ยางจากต้น และเมล็ดมีสารไกลโคไซด์ (glycoside) ที่เป็นพิษต่อหัวใจ ชื่อ สโตรแฟนตินจี (Stophantin G), คอมบิคาซิต โคลีน (kombicacid choline), ไตรโกเนลลีน (trigonelline) ซึ่งทำให้หัวใจเต้นช้าลง เต้นไม่เป็นจังหวะและหัวใจวายตาย เช่นเดียวกับยางน่องต้น 
ประสบการณ์ของหมอยาอิสานจะนิยมใช้ยางน่องเครือ พรานจะรู้ดีว่ายางน่องเครือต้นไหนมีพิษรุนแรง ต้นไหนมีพิษอ่อน ต้นที่มีพิษแรงจัดยอดจะออกเป็นสีแดงเข้มกว่า ยางจะออกเป็นสีขาวออกแดงเรื่อๆ วิธีการทำยางน่องเพื่อใช้ชุบลูกดอกเวลายิงสัตว์ เขาจะใช้กาบ(เปลือก) ยางน่องเครือใส่น้ำเคี่ยวให้เข้าๆกันจนเหนียวติดมือ (ห้ามเอามือที่เป็นแผล เป็นขี้หิด ขี้กลากไปสัมผัสเชียวนา มีสิทธิ์ที่จะตายได้) เก็บใส่กระบอกไม้ไผ่ไว้ใช้ 
พรานบางคนต้องให้พิษยางน่องแรงขึ้น จะเพิ่มต้นยาสูบลงไปประมาณ 1 คืบ ถ้าไม่มีต้นเอาใบยาสูบที่แรงๆสักเล็กน้อย และเปลือกไม้ชนิดหนึ่งชื่อ ไม้ชีงวง ใช้หนึ่งคืบ สองอย่างนี้ไม่ต้องใช้มากเท่าเปลือกยางน่อง เป็นตัวเสริมฤทธิ์เท่านั้น และถ้ายางน่องในกระบอกที่เก็บไว้แห้งกรัง เขาจะเคี้ยวเปลือกไม้ชีงวงใส่แล้วเอายางน่องในกระบอกไปอุ่นไฟ ยางน่องในกระบอกจะมีพิษและใช้ได้เหมือนเดิม 
ถ้าหากเกิดพลาดพลั้ง เช่น ยิงถูกกันเอง หรือเผลอเอามือที่มีแผลไปสัมผัส ท่านให้รีบไปเคี้ยวผ้าดำ เคี้ยวๆแล้วกลืนน้ำลายกิน เพราะว่าผ้าดำจะเกิดจากการย้อมด้วยต้นครามและด่าง (ทำจากเผาไม้ในธรรมชาติ เช่น ด่างไม้ขี้เหล็ก) หรือให้กินปูนา จะกินปูนาดิบๆเพราะปิ้งไม่ทันหรือที่ปิ้งไว้แล้วก็ได้ หมอยาหลายท่านยืนยันว่าปูนาสามารถแก้พิษยางน่องได้ชะงัดจริง 
หากเป็นสมัยนี้ถ้าถูกพิษทั้งยางน่องต้นและยางน่องเครือเเข้าต้องวิ่งหา ผงถ่าน ยาถ่าย ยาขับปัสสาวะ ยาป้องกันหัวใจเต้นผิดจังหวะ (propanold) กันให้วุ่นวายไปหมด 
แม้ยางน่องจะมีพิษ ห้ามสัมผัสถูกแผลเพราะอาจดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเป็นพิษถึงตายได้ แต่ถ้าเป็นแผลถูก งูกัด ไม่ว่าจะเป็นงูชนิดใด รวมทั้งตะขาบ แมลงป่อง สามารถใช้ยางน่องทาแผลรอยกัดเหล่านั้นเพื่อรักษาพิษจากงูและสัตว์พิษเหล่านั้นได้ เป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่าใช้พิษแก้พิษ 
ภูมิปัญญาและประสบการณ์การใช้พรรณพืชของบ้านเรา หลายคนอาจมองเป็นเรื่องโม้หรือเรื่องเล่าไร้การทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่เรื่องเล่าและประสบการณ์เหล่านี้แหละที่เป็นฐานข้อมูลในการพัฒนายาสมัยใหม่ 
แม้เราไม่สามารถพัฒนายาใหม่จากต้นยางน่องได้ อย่างน้อยเรื่องราวของยางน่องก็เป็นอุทาหรณ์บอกกับเราว่า ยางน่องแม้จะเป็นพิษแต่ก็แก้พิษได้ เศรษฐกิจที่เป็นพิษในขณะนี้ด้านกลับของมันก็ช่วยแก้พิษที่เกิดจากการพัฒนาที่ผิดทาง เพราะเป็นการพัฒนาที่ทำลายวัฒนธรรมและธรรมชาติ ทำให้เราหันกลับมาหาสิ่งที่เรามี แค่เป็นหนี้ไม่ทำให้เราตายหรอก 


4. ศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา
http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_toxic/a_t....asp?info_id=86
วงศ์ Apocynaceae
2.1Strophanthus caudatus (Burm.f.) Kurz
ชื่อทั่วไป Brush wood ชื่อพื้นเมืองเรียกว่า ยางน่องเถา เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย ผลัดใบแต่ผลิใบใหม่ไว ใบเดี่ยวติดตรงข้ามกันเป็นคู่ๆ แต่ละคู่สลับทิศทางกัน ทรงใบรูปรี รูปไข่กลับ หรือ รูปทรงขอบขนาน ดอกโต รูปแจกันสีชมพู ออกรวมกันเป็นช่อกระจุกหรือช่อเชิงหลั่นตามปลายกิ่ง ทั้งกลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีอย่างละ 5 แฉก ปลายกลีบดอกเรียวยาวสีเหลือง ผลเป็นฝักคู่แก้จัดจะแตกด้านเดียว เมล็ดมีปุยขนสียาวเป็นกระจุกที่ปลาย
ส่วนที่เป็นพิษ ยางจากเปลือกทำให้สลบหรือตายได้ คนพื้นเมืองจะใช้หัวลูกศรจุ่มยางนี้แล้วใช้ยิงสัตว์หรือคน

ถ้าโดนพิษจากยางน่องเครือให้ใช้เถาย่านางแดงหรือรากรางจืดฝนกับมะนาวกินและทา




ที่มา http://www.konrakmeed.com/webboard/upload/lofiversion/index.php?t2758.html

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คน 4 ชาติ “ขยันแบบคนจีน มีวินัยแบบฝรั่ง พัฒนาต่อเนื่องอย่างคนญี่ปุ่น มีน้ำใจแบบคนไทย”



 
 จะกล่าวถึงลักษณะการทำงาน แนวคิด การใช้ชีวิตของคน 4 ชาติ ได้แก่ คนจีน คนฝรั่ง คนญี่ปุ่น และคนไทย ซึ่งมีลักษณะที่โดดเด่นแตกต่างกันไป ถ้าเอาแนวคิดของคน 4 ชาตินี้ ก็จะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบทีเดียว

คนจีน

คนจีน หรือคนที่มีเชื้อสายจีน จะเป็นคนขยัน รู้จักทำมาหากิน พัฒนาอาชีพการงานของตนเองไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นธุรกิจที่ใหญ่โตทีเดียว อย่างที่กล่าวกันว่า เสื่อผืนหมอนใบ เป็นลักษณะเปรียบเทียบของชาวจีนที่อพยพย้ายถิ่นฐานจากเมืองจีนไปอยู่เมืองอื่น ด้วยของติดตัวไม่กี่อย่าง แล้วไปตั้งรกรากในประเทศนั้นจนมีธุรกิจกิจการใหญ่โต
คนจีนจะเป็นคนที่ประหยัดมาก อย่าเข้าใจว่าขี้เหนียวขี้ตืดหละ การใช้จ่ายแต่ละบาทแต่ละสตางค์มีความหมายสำหรับเขา แม้แต่เศษเป็นจุดทศนิยมก็ยังนำมาคิด แต่ส่วนมากแล้วจะปัดเศษลงถ้าเป็นการใช้จ่าย และปัดเศษขึ้นถ้าเป็นรายได้เข้ามา เขาก็เอาแนวคิดที่ว่า เก็บสลึงพึงให้ครบบาท จากเศษอันนิดเดียวก็สามารถที่จะลดต้นทุนไปได้ เช่น มีลูกจ้างอยู่ 5 พันคน ถ้าทุกคนปัดเศษค่าจ้างที่เป็นจุดทศนิยมลงมาก็จะประหยัดไปประมาณ 50 บาทต่อเดือน ถ้าเป็นการจ่ายรายเดือน ถ้าเป็นปีก็ 600 บาท ซึ่งจะต่างจากรายได้ที่คิดจากต้นทุนที่เสียไปก็จะปัดขึ้น ที่เขียนให้เห็นนี้ เพื่อให้เห็นแนวคิดการประหยัดของคนจีน
ในธุรกิจที่มีการลงทุนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ ถ้าของเดิมยังใช้ได้อยู่ ยังซ่อมได้ ก็ยากที่ไปเปลี่ยนแนวคิดเขาได้ ยกเว้นเราจะมีข้อมูลที่มากพอ เป็นตัวเลข ผลได้ ผลเสียที่จะได้กลับมา รวมทั้งระยะเวลาคืนทุน ต้องให้เขาเห็นชัดเจน ยกตัวอย่างบริษัทหนึ่ง ลวดเชื่อม ต้องนำซากของลวดเชื่อมอันเก่าที่ใช้แล้วไปแลกอันใหม่มาใช้จึงจะเบิกของใหม่มาได้ และเคยเจอขนาดก้านธูปที่ใช้แล้ว ต้องนำซากไปเบิกอันใหม่มา นี่ก็เป็นวิธีประหยัดของเขา ซึ่งถ้าเราไม่มีข้อมูลที่เพียงพอแสดงให้เขาเห็นก็คงหมดประโยชน์ที่จะเปลี่ยนแปลงเขา
คนจีนค่อนข้างจะดูแลความเป็นอยู่ของลูกจ้างค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นที่พักที่อาศัย อาหารการกิน สวัสดิการต่างๆ ของลูกจ้าง จะดูแลค่อนข้างดี เพื่ออำนวยในเรื่องความสะดวกในการทำงานที่ต้องใช้กำลัง ต้องใช้แรงงานสมองในการผลิตหรือจัดทำสินค้าให้กับเขา คนจีนจะทำงานโดยไม่สนใจเวลา ไม่ว่าจะดึกแค่ไหนงานก็ต้องเสร็จ การแต่งกายในตอนทำงานก็จะไม่ได้สนใจเท่าไหร่ จะสกปรกหรือเลอะแค่ไหนก็ทำงานให้เสร็จจนได้ การรับประทานอาหารค่อนข้างจะเร็ว การเป็นอยู่จะเรียบง่ายไม่หวือหวา แต่เมื่อออกสู่สังคมข้างนอก ไม่ว่าจะห่างจากที่พักเท่าไหร่ คนจีนจะแต่งกายเรียบร้อย ดูสะอาดตา ซึ่งจะต่างจากการเป็นอยู่ส่วนตัวเลย

คนฝรั่ง

ฝรั่งจะเป็นชาติที่ยึดถือเรื่องเวลาเป็นที่สุด สายแม้ไม่เพียงกี่นาทีก็ถือว่าไม่รับผิดชอบ เพราะฉะนั้นงานทุกอย่างจะบังคับด้วยเวลา การนัดพบ การเจรจาทางธุรกิจสำคัญมาก ถ้าคุณพลาดเพียงไม่กี่นาที เขาก็ถือว่าคุณไม่ควรที่จะร่วมธุรกิจกับเขา งานต่างๆ ที่เขามอบหมายจะต้องเสร็จตรงเวลา เวลาที่เหลือจากงานเสร็จก็เป็นหน้าที่ของคุณเองที่คุณจะจัดการ เพราะเป้าหมายของเขาคือต้องเสร็จตรงเวลา
คนฝรั่งจะ ไม่เชื่อเรื่องงมงาย  หรือยอมคนง่าย ๆ จะฟังมากกว่าพูด  เวลาฟังเขาจะไม่พูดสวนคำ  จะหยุดคิดสักนิด  เป็นคนที่ยอมรับเหตุผลมากกว่า   เขาจะใช้ปัญญาแก้ปัญหาร่วมกัน  เพื่อความถูกต้องสมบูรณ์  บ้านเมืองของเขาจึงร่วมกันแก้ปัญหาอย่างมีระบบ มี ความเข้าใจในการปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามระเบียบของสังคม  และความเข้าใจในการปฏิบัติกับคนอื่น  และมีความสุภาพอ่อนน้อมต่อกัน  รวมไปถึงความเคารพในสิทธิของคนอื่น  พลเมืองรู้หน้าที่ของตนว่าอะไรเป็นหน้าที่  และสิทธิ  การทำมาหากินจะเริ่มตั้งแต่อายุน้อยในระหว่างเรียน หรือเรียนจบแล้วจะหางานทำช่วยพ่อแม่ทันที  บางคนก็แยกตัวออกไปตั้งตัวเป็นอิสระ  บางคนก็ไปเรียนต่อเมื่อมีเงินสนับสนุนตนเองได้ 
นอกจากฝรั่งจะมีวินัยในเรื่องเวลาแล้ว ก็ยังเป็นผู้ที่ยอมรับในเหตุและผล ยอมรับฟังคนอื่น เข้าใจเรื่องสิทธิและหน้าที่ รู้จักช่วยเหลือตนเองตั้งแต่อายุยังน้อย ฝรั่งจึงมักจะไปไหนด้วยตัวคนเดียวอยู่ตลอดไม่ว่าจะไปประเทศใด เพราะเขาเข้าใจในกฎเกณฑ์ กฎระเบียบของสังคมดี ค่อนข้างจะมีความมั่นใจในตนเองสูง กล้าทำกล้าทดลองสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง จนกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะมีแนวคิดที่มีเหตุผลในการพัฒนาธุรกิจ ตนเอง และบ้านเมือง กล้าลงทุนจากข้อมูลที่เพียงพอ ฝรั่งเลยเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาในแถบเอเชียอยู่ตลอดกระทั่งปัจจุบัน

คนญี่ปุ่น


คนญี่ปุ่นเป็นคนที่พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน การใช้ชีวิต มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ญี่ปุ่นจึงมีแนวคิดและหลักการในการทำงานมากมายออกมา เพราะการที่เป็นคนไม่หยุดอยู่กับที่ มีความคิด มีแนวทาง และมีช่องทางในการพัฒนาอยู่ตลอดจึงทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว นอกจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องแล้วคนญี่ปุ่นก็ยังมีวินัยในตนเองค่อนข้างสูงด้วยเช่นกัน มีความเป็นระเบียบ เคารพในกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่มีอยู่
การทำงานของคนญี่ปุ่น เมื่อได้รับงานใดงานหนึ่งแล้ว ก็จะทำจนเสร็จ ทำเสร็จแล้วก็ยังไม่หยุดที่จะทำต่อ โดยการปรับปรุงงานก่อนหน้าให้ดีขึ้นกว่าเดิม และจะพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด คนญี่ปุ่นจะเป็นคนที่มีความอดทนสูง ชอบทำงานเป็นทีมซึ่งเปรียบเทียบดั่งแนวคิดที่ว่า หลายหัวดีกว่าหัวเดียว และคนญี่ปุ่นรักความเป็นศักดิ์ศรีของตนเองค่อนข้างมาก เหตุการณ์ที่พิสูจน์ได้อย่างที่ทุกคนได้เห็น เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีก็กลับมาฟื้นตัวได้ และจนปัจจุบันเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วเทียบได้กับประเทศทางตะวันตก เหตุผลที่ฟื้นตัวเร็วเพราะด้วยนิสัยของตนเองที่มีความอดทน รักศักดิ์ศรี มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ เมื่อมีปัญหาใดๆ ก็จะมีวิธีและแนวทาง แก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน จนปัญหาที่มีอยู่หมดไป แต่ก็ไม่หยุดที่จะเพิ่มประสิทธิภาพจากเดิม ซึ่งจะเป็นเช่นนี้อยู่เสมอ

คนไทย

ก็ที่รู้ๆ กันอยู่แล้วว่าคนไทยเป็นอย่างไร แต่จุดเด่นของคนไทยก็อยู่ที่การเป็นคนที่มีน้ำใจ เพราะเมืองไทยเป็นเมืองแห่งรอยยิ้มที่รู้จักกันทั่วไป วัฒนธรรมของคนไทยจะค่อนไปทางอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพผู้ใหญ่ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เพราะเหตุนี้จึงทำให้ชาวต่างชาติชอบมาเที่ยวเมืองไทย เพราะคนไทยโดยส่วนมากจะให้การต้อนรับที่ดีเหมือนกับอยู่บ้านของตนเอง ก็จะไม่ขอกล่าวมากสำหรับนิสัยของคนไทยเพราะส่วนมากจะรู้กันหมดแล้ว
มาดูการทำงานของคนไทย คนไทยเป็นคนที่ต้องยอมรับว่าเก่งมากๆ ไม่ว่าจะแข่งขันอะไรทางด้านวิชาการก็มักจะติดอยู่ในอันดับ 1 ใน 10 อยู่ตลอด เพราะความเก่งนี้เองทำให้มีปัญหาในการทำงาน เพราะเมื่อรวมกลุ่มกันแล้ว ก็จะหาข้อสรุป ข้อยุติค่อนข้างยาก ดั่งที่ว่าคนไทย 1 คน เมื่อเทียบคนญี่ปุ่นแล้ว คนไทยจะเก่งกว่า แต่เมื่อรวมกลุ่มกัน คนญี่ปุ่นจะดีกว่า คนไทยจึงเหมาะที่จะทำงานด้วยกำลังของตนเอง ไม่เหมาะจะลงทุนร่วมธุรกิจกับพรรคพวกเพื่อนฝูงเพราะจะมีปัญหาตลอดในเรื่องธุรกิจ เรื่องความชิงดีชิงเด่นกัน การเรียนรู้ในเรื่องการทำงานจะมีน้อย เพราะคิดว่าตนเองเก่งอยู่แล้ว ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการเรียนรู้และพัฒนาหน้าที่การงาน ชอบเล่นพรรคเล่นพวกกันในการทำงานหรือชิงความเป็นใหญ่ในธุรกิจหรือการงาน ซึ่งส่วนมากจะออกมาในรูปแบบการทำงานแบบครอบครัวเสียมากกว่า การเข้าถึงระบบค่อนข้างที่จะยากพอสมควร

สรุป
จากที่เขียนมาก็นำแนวคิดวิธีการทำงานของแต่ชาติมาผสมกัน จะทำให้เป็นคนที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเข้าได้กับผู้อื่นได้ดี และที่แนะนำควรจะเป็นคนที่ฉลาด คนฉลาดจะเป็นคนที่ชอบเรียนรู้จากคนเก่ง ถ้าคนเก่ง 100 คน คนที่ฉลาดจะไปเรียนรู้แนวทาง แนวคิด วิธีการ ความรู้จากคนเก่ง 100 คน เพียงเท่านี้ คุณก็จะเป็นคนที่เก่งและมีความฉลาดไปในตัวด้วย ความรู้ต่างๆ คนฉลาดจึงมักจะนำเข้ามาใส่ตนเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน วิธีการ หลักการ แนวคิด ซึ่งนอกจากตำราแล้ว ก็ยังได้รับจากคนเก่งอีกทางหนึ่ง
เป็นคนแกล้งโง่ในบางครั้งบางเวลา แกล้งโง่นี่ไม่ใช่ว่าโง่หรอก แต่รู้แล้วก็ทำเป็นไม่รู้เพื่อที่จะนำเอาความรู้ใหม่ๆ เข้ามาใส่ตนอยู่เสมอ และเป็นคนที่ยอมรับความคิดของคนอื่นอยู่เสมอ และแกล้งฉลาดในบางครั้งบางเวลาเพื่อแสดงศักยภาพให้คนได้รู้ เพื่อการยอมรับในการทำงาน การใช้ชีวิต และสังคม แต่ไม่ใช่การโอ้อวด อวดเก่ง อย่างนี้ใช้ไม่ได้ การปฏิบัติ 2 อย่างนี้ขึ้นอยู่กับเวลาและโอกาสที่ตนอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ เพื่อเป็นการแก้ปัญหา หรือเพื่อการนำไปสู่ความสำเร็จของตนเอง
นิสัยของคนแต่ละชาติที่กล่าวมา ถ้าเราเป็นคนที่ฉลาดแล้วก็จะนำแนวทางการทำงาน แนวคิด วิธีการต่างๆ ของคน 4 ชาติมารวมกัน ดังที่กล่าวไว้ “ขยันแบบคนจีน มีวินัยแบบคนฝรั่ง พัฒนาต่อเนื่องอย่างคนญี่ปุ่น มีน้ำใจแบบคนไทย”
ยกตัวอย่างเช่น จะทำงานสักชิ้นหนึ่ง เราก็ต้องทำให้เสร็จตามเวลาที่กำหนดไม่ว่าจะหนักแค่ไหน และพัฒนางานนั้นอย่างต่อเนื่องจนหาที่ติไม่ได้ และไม่หยุดพัฒนาถ้าหากยังมีข้อบกพร่องอยู่ หาความรู้หรือคำแนะนำจากคนอื่น จากตำรา หรือจากหลักการต่างๆ มาพัฒนาปรับปรุงอยู่เสมอ เมื่อทำเสร็จแล้วควรจะแนะนำผู้อื่นบ้าง เพื่อสร้างการทำงานเป็นทีม เพียงเท่านี้คุณก็จะได้ลักษณะบางส่วนของคน 4 ชาติมาใช้แล้ว


ที่มา http://www.cgpcenter.com/generalknowledges/fourperson.html

วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปริมาณแอลกอฮอล์



กำหนดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสำหรับผู้ขับขี่ไม่ให้เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ตามประกาศกฎกระทรวงมหาดไทยฉบับที่ 16/2537 ผู้ฝ่าฝืนจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 2,000 ถึง 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ปริมาณการดื่มเบียร์ 1 ขวด (630 มิลลิลิตร) หรือเบียร์ 2 กระป๋อง[1 กระป๋อง (340 มิลลิลิตร/ 12 ออนซ์) ] ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดอาจมากกว่าหรือน้อยกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของผู้ดื่มเป็นสำคัญ ผู้ดื่มน้ำหนักตัว 60 – 69 กิโลกรัม ค่าเฉลี่ยระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ [160 ปอนด์ = 72.5747792 กิโลกรัม]

ถ้าผู้ดื่มน้ำหนักน้อยกว่านี้ระดับแอลกอฮอล์จะเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

อัตราการทำลายของแอลกอฮอล์ใน 1 ชั่วโมง ร่างกายจะกำจัดแอลกอฮอล์ได้ 15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ 

กล่าวคือ

ถ้ามีระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เมื่อเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง ระดับแอลกอฮอล์จะเหลือ 35 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

เครื่องดื่มประเภทวิสกี้ 35 ดีกรี และ 43 ดีกรี

ผู้ดื่มที่มีส่วนสูง 170 ซม. น้ำหนักมากกว่า 58 กก. สามารถดื่มวิสกี้ปริมาณ 80 มิลลิลิตร และ 100 มิลลิลิตร ตามลำดับ

ส่วนผู้หญิงสูงเฉลี่ย 158 ซม. น้ำหนัก 45 – 55 กิโลกรัมดื่มวิสกี้ปริมาณ 40 มิลลิลิตร และ 60 มิลลิลิตร (1 ฝาเท่ากับ 10 มิลลิลิตร)

เครื่องดื่มประเภทไวน์ 10-12 ดีกรี

ผู้ดื่มที่มีส่วนสูง 170 ซม. น้ำหนัก 61 กก. ปริมาณที่ดื่ม 300 มิลลิลิตร

สำหรับ ผู้หญิงสูงเฉลี่ย 157 ซม. น้ำหนัก 45 – 55 กิโลกรัมปริมาณที่ดื่ม 170 มิลลิลิตร


การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จะมีแอลกอฮอล์ที่ค้างอยู่ในปาก 15-20 นาที ถ้ามีการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์จากลมหายใจจะมีผลทำให้ระดับแอลกอฮอล์สูงกว่า ความเป็นจริง ดังนั้นควรบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าก่อน เพื่อกำจัดแอลกอฮอล์ที่ค้างอยู่ในปา



ในปัจจุบันมีวิธีการตรวจหาระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 3 วิธี คือ
1. ทางลมหายใจ โดยการเป่าลมออกจากปากเข้าไปในเครื่องตรวจตัวเลขที่อยู่บนเครื่อง จะบอกระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเป็นมิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ (mg% )
2. ทางเลือดโดยตรง
3. ทางปัสสาวะ
ในที่นี้จะกล่าวถึงการวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด สรุปดังนี้
เส้นทางเดินของแอลกอฮอล์ในร่างกาย
เมื่อเราดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์จะดูดซึมผ่านปาก กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กเข้าสู่เลือด เนื่องจากโมเลกุลของแอลกอฮอล์มีขนาดเล็กและไม่ต้องการน้ำย่อย แอลกอฮอล์จะเคลื่อนที่ตามทิศทางเดินของเลือด แอลกอฮอล์บางส่วนจะถูกทำลายโดยตับ จากนั้นเลือดจะผ่านไปทางหัวใจด้านขวา และเลือดถูกสูบฉีดไปปอด สู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แอลกอฮอล์เข้าสู่สมอง ทำให้การสั่งงานของสมองช้าลง เมื่อแอลกอฮอล์ผ่านปอด แอลกอฮอล์บางส่วนจะแพร่ออกสู่อากาศ (ลมหายใจ) ซึ่งการวิเคราะห์ปริมาณแอลกอฮอล์ในลมหายใจจะสามารถนำไปสู่การวิเคราะห์หา ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดได้
หลักการของเครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดโดยวิธีเป่าลมหายใจ คือ
ให้ผู้ถูกตรวจเป่าลมหายใจเข้าเครื่องซึ่งมี ตัวตรวจจับ (Detector) แอลกอฮอล์ ซึ่งมี 4 แบบ ได้แก่
1. ตัวตรวจจับแบบ Colorimeter
เปลี่ยนสีจากสีเหลืองเป็นเขียว เมื่อได้รับแอลกอฮอล์
2. ตัวตรวจจับแบบสารกึ่งตัวนำ
ส่วนใหญ่เป็นเครื่องที่ใช้ทดสอบตัวเอง พกพาสะดวก แต่ไม่มีความเที่ยงตรง
3. ตัวตรวจจับแบบเซลไฟฟ้าเคมี
การวัดแอลฮอล์โดยใช้เครื่องที่มีตัวตรวจจับแบบนี้ มีความเที่ยงตรง สามารถใช้เป็นหลักฐานทางคดีได้ตัวเครื่องมีขนาดเล็ก แต่มีราคาแพง
4. ตัวตรวจจับแบบ Infrared
การวัดแอลฮอล์โดยใช้เครื่องที่มีตัวตรวจจับแบบนี้ มีความเที่ยงตรง สามารถใช้เป็นหลักฐานทางคดีได้ ตังเครื่องมีขาดใหญ่ เหมาะสำกรับใช้ประจำที่ เช่น สถานีตำรวจ
ปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณของแอลกอฮอล์ ในเลือด
1. ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเครื่องดื่ม ถ้าความเข้มข้นมากปริมาณของแอลกอฮอล์ในเลือดจะสูง
2. อัตราการดื่ม ถ้าดื่มเร็ว ปริมาณของแอลกอฮอล์ในเลือดจะสูง
3. การดื่มเมื่อไม่มีอาหารในกระเพาะ ปริมาณของแอลกอฮอล์ในเลือดจะสูงกว่าการดื่มเมื่อมีอาหารในกระเพาะ
4. น้ำหนักของร่างกาย คนที่มีน้ำหนักมาก ปริมาณของแอลกอฮอล์ในเลือดจะต่ำกว่าคนที่มีน้ำหนักน้อย ถ้าดื่มในปริมาณที่เท่ากัน
ถ้ามีแอลกอฮอล์ในเลือดจะมีผลอย่างไร
- ถ้ามีแอลกอฮอล์ในเลือด 30 mg% จะมีอาการสนุกสนานร่าเริง
- ถ้ามีแอลกอฮอล์ในเลือด 50 mg% จะทำให้การเคลื่อนไหวช้าลง
- ถ้ามีแอลกอฮอล์ในเลือด 100 mg% จะเมาเดินไม่ตรงทาง
- ถ้ามีแอลกอฮอล์ในเลือด 200 mg% จะเกิดอาการสับสน
- ถ้ามีแอลกอฮอล์ในเลือด 300 mg% จะเกิดอาการง่วงซึม
- ถ้ามีแอลกอฮอล์ในเลือด 400 mg% จะเกิดอาการสลบอาจถึงตาย
สรุป หากท่านทราบถึงอันตรายของแอลกฮอล์ในเลือดแล้ว ท่านควรระมัดระวัง หากท่านจำเป็นต้องดื่มแอลกอฮอล์ ท่านควรไปรถโดยสาร หรือรถรับจ้างสาธารณะ หรือมีผู้อื่นขับรถให้ ก็จะปลอดภัยทั้งสำหรับตัวท่านและผู้อื่นด้วย เนื่องจากคำว่า "เมาสุรา" หมายถึง การมีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายมากกว่า 50 mg% ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้การทำงานช้าลง ถ้าขับขี่ยานพาหนะ จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากกว่าคนที่ไม่มีแอลกอฮอล์ในร่างกายถึง 2 เท่า
ที่ มา: กองรังสีและเครื่องมือแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, 2546

โอกาสในการเกิดอุบัติเหตุของผู้ขับขี่
เมื่อเปรียบเทียบระดับแอลกอออล์ในเลือดกับโอกาสเกิดอุบัติเหตุ จราจร พบว่า
ระดับแอลกอฮอล์ใน เลือด (mg% )โอกาสเกิดอุบัติเหตุ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ดื่มสุรา
20
ใกล้เคียงกับคนไม่ดื่มสุรา
50
โอกาสเกิดอุบัติเหตุเพิ่มเป็น 2 เท่า
80
โอกาสเกิดอุบัติเหตุเพิ่มเป็น 3 เท่า
100
โอกาสเกิดอุบัติเหตุเพิ่มเป็น 6 เท่า
150
โอกาสเกิดอุบัติเหตุเพิ่มเป็น 40 เท่า
มากกว่า 200
ไม่สามารถวัดได้ เนื่องจากควบคุมการทดลองไม่ได้
ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยสำหรับทุกท่าน หากท่านเป็นผู้ขับขี่ ไม่ควรดื่มสุรา หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ควรใช้รถโดยสารสาธารณะ หรือให้ผู้อื่นขับให้จะปลอดภัยกว่า เพราะ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์แม้เพียงเล็กน้อย ก็มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้

ที่มา
http://web.kanjaruek.com
http://savepoint.weloveshopping.com
http://www.bloggang.com

วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สนามเทนนิส

คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน

สนามเทนนิสในปัจจุบันมีสภาพแตกต่างกัน 4 แบบ คือ

1.คอร์ทหญ้า ( Grass court )

2.คอร์ทดิน ( Clay court )

3.คอร์ทปูน ( Hard court ) และ

4.คอร์ทพรม ( Carpet court )

ซึ่งรายการของ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ หรือ ดับเบิลยูทีเอ ทัวร์ ที่มีการแข่งขันตลอดปี ยังไงนักเทนนิสอาชีพก็จะต้องมีโอกาสได้เล่นในสนามครบทั้ง 4 ชนิดอย่างแน่นอน
     


       คอร์ทหญ้า ซึ่งมีมากในประเทศอังกฤษ ส่วนมากจะใช้หญ้าพันธุ์ที่เรียกว่า รายกราส ( Ryegrass ) ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้บอลกระดอนช้ากว่าหญ้าพันธุ์อื่นๆ คอร์ทหญ้ามีค่าดูแลรักษาสูงกว่า ฮาร์ด คอร์ท และ เคลย์คอร์ท ต้องมีการหว่านเมล็ด ปลูกใหม่ทุกปี และเวลาสนามเปียกก็จะค่อนข้างลื่น ดังนั้น สมัยนี้พอฝนมา เขาก็ต้องรีบเอาผ้าใบคลุมทันที ไม่เช่นนั้นกว่าหญ้าจะแห้ง รอเป็นวันครับ
     
       การแข่งขันที่ใช้ สนามหญ้า ก็คือ วิมเบิลดัน รายการระดับ แกรนด์ สแลม ของประเทศอังกฤษที่เป็นทอร์นาเมนท์ที่เก่าแก่ที่สุด เริ่มกันตั้งแต่ปี 1877 นอกจากนั้น ก็ยังมีรายการอื่นๆอีก เช่น อารตัว แชมเปียนชิพ ( Artois Championship ) รายการ ออร์ดีนา โอเพน ( Ordina Open ) และคนที่เล่นได้ดีในสนามลักษณะนี้ ก็คือ วีนัส วิลเลียมส์ โรเจอร์ เฟเดเรอร์ พีท แซมพรัส ชเตฟี กราฟ เป็นต้น
     


       ฮาร์ด คอร์ท เป็นคอร์ทปูน มีอยู่ทั่วโลก มักปูพื้นผิวด้วยยางแอสฟัลท์ ( asphalt ) มีคุณสมบัติทำให้บอลกระดอนเร็วกว่า คอร์ทดิน แต่ช้ากว่า คอร์ทหญ้า ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปริมาณและขนาดของเม็ดทรายที่ผสมเข้าไปในปูนเพื่อฉาบผิวพื้น ถ้ายิ่งมีทรายน้อย บอลก็จะยิ่งกระดอนเร็ว อย่างรายการระดับ แกรนด์ สแลม ก็มี ยู เอส โอเพน เขาเรียกว่า อคริลิค ฮาร์ด คอร์ท ( Acrylic hard court ) ส่วน ออสตราเลียน โอเพน เป็น ซินเธทิค ฮาร์ด คอร์ท ( Synthetic hard court )
     



       คอร์ทพรม อันนี้จะใช้ได้ก็เฉพาะสนามในร่ม เป็นพวกยางหรือวัสดุสังเคราะห์ รายการที่ใช้ คอร์ทพรม ก็มีตัวอย่าง เช่น เบแอ็นเป ปารีบา มาสเตอร์ส ( BNP Paribas Masters ) ที่กรุงปารี ประเทศฝรั่งเศส
     


       คอร์ทดิน ทำจากพวกอิฐ หินบด ซึ่งแม้ว่าค่าก่อสร้างสนามแบบนี้จะดูราคาไม่สูงเท่ากับสนามแบบอื่นๆ แต่ผมอยากเรียนท่านผู้อ่านว่า มันจะมาหนักที่ค่าดูแลรักษา อย่างน้อยก็ใช้เงินมากกว่า ฮาร์ด คอร์ท เขาต้องใช้ลูกกลิ้งไถพื้นผิวให้เรียบอยู่เสมอ แล้ว คอร์ทดิน ก็ยังมี 2 ชนิดแตกต่างกัน คือ ดินสีแดง อย่างที่ใช้ในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ มีคุณสมบัติไม่ดูดซับน้ำง่ายๆ ที่เขาไม่ใช้ดินแท้ๆก็เพราะเวลามีน้ำเฉอะแฉะ กว่าจะแห้งนั้นกินเวลาร่วม 2-3 วันครับ อันนี้ผิดกับ ดินสีเขียว ที่ส่วนมากจะใช้ในสหรัฐอเมริกา เรียกว่า ฮาร์-ทรู ( Har-Tru ) หรือ อเมริกัน เคลย์ ( American clay ) ซึ่งพื้นผิวจะมีคุณสมบัติแข็งกว่า บอลกระดอนเร็วกว่า แต่ส่วนมากเขาจะใช้ปูชั้นล่างของผิวหน้ามากกว่า รายการเทนนิสระดับ แกรนด์ แสลม ที่ใช้ คอร์ทดินสีแดงๆ ก็คือ เฟรนช์ โอเพน
     
       ลูกบอลจะกระดอนบนคอร์ทดินได้สูงและช้ากว่าบนคอร์ทชนิดอื่น ดังนั้น อย่าไปหวังว่าจะหวดทีเดียวให้คู่ต่อสู้รับกลับมาไม่ได้ ในแต่ละเกม ลูกวินเนอร์มีให้เห็นน้อยกว่า ดังนั้น การเล่นเทนนิสบนคอร์ทดินจึงเป็นเกมยืดเยื้อพอสมควร เหมาะสำหรับนักเทนนิสที่ชอบคอยตั้งรับ ตีโต้ท้ายคอร์ท รวมทั้ง พวกที่ชอบเล่นท็อพสปิน ลูกเล่นอีกอย่างที่นักหวดถนัดคอร์ทดินชอบใช้คือ ลูกหยอด ใครไม่ถนัดคอร์ทประเภทนี้ก็ยากที่จะเข้าสู่รอบลึกๆ เพราะการเคลื่อนที่บนคอร์ทดินนั้นแตกต่างจากคอร์ทอื่นอย่างสิ้นเชิง มันเป็นลักษณะการไถลเข้าหาลูกบอลแล้วตีมากกว่าการเล่นบนฮาร์ดคอร์ทหรือกราสคอร์ทที่ต้องวิ่งไปแล้วหยุดเพื่อหวดลูกบอล
     
       นักเทนนิสที่ถนัดการเล่นบน คอร์ทดิน ถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้อง ชุสตีน เอแน็ง ( Justine Henin ) อดีตมือ 1 ของโลกชาวเบลเยียม ที่คว้าแชมป์หญิงเดี่ยว โรล็อง การโรส หรือ เฟรนช์ โอเพน มา 4 สมัยในปี 2003 และ 2005-2007 ส่วนฝ่ายชายเป็น ราฟาเอล นาดาล มือ 1 ของโลกชาวสเปนแน่นอน เพราะหมอนี่กวาดแชมป์ชายเดี่ยว เฟรนช์ โอเพน มาแล้ว 4 สมัยซ้อนในปี 2005-2008 ซึ่งว่าที่จริงแล้ว นาดาล ก็ไม่เคยแพ้ใน เฟรนช์ โอเพน เลยตั้งแต่ลงแข่งมา แถมยังเป็นเจ้าของสถิติชนะติดต่อกันบนคอร์ทชนิดเดียวกันยาวนานที่สุดด้วย โดยตั้งแต่เดือนเมษายน 2005 ถึงเดือนพฤษภาคม 2007 เขาทำสถิติได้รับชัยชนะบน เคลย์ คอร์ท ติดต่อกันเอาไว้ที่ 81 แมตช์
     
       แม้ว่าการแข่งขันเทนนิสบนคอร์ทดินจะมีอยู่ตลอดปี โดยเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ คือ รายการ โมบีสตาร์ โอเพน ( Movistar Open ) ที่ บีญา เดล มาร ( Vina del Mar ) ประเทศชิลี แล้วไปจบรายการสุดท้ายที่ บีซีอาร์ โอเพน โรมาเนีย ( BCR Open Romania ) ที่กรุงบูคาเรสท์ ประเทศโรมาเนียตอนปลายเดือนกันยายน แต่ระหว่างต้นเดือนเมษายนถึงปลายเดือนพฤษภาคม ตลอด 2 เดือนเต็มนั้น รายการเทนนิสบนเคลย์คอร์ทถึง 12 รายการจะมาอัดแน่นอยู่ในช่วงนี้ ซึ่งรายการสุดท้ายก็คือ เทนนิส แกรนด์ สแลม เฟรนช์ โอเพน นั่นเอง ถือเป็นช่วงขุดทอง ตักตวงทั้งเงินรางวัลและคะแนนสะสมของนักเทนนิสที่ถนัดคอร์ทดินครับ ขนาด โรเจอร์ เฟเดเรอร์ มือ 2 ของโลกที่เคยเป็นมือ 1 อันยาวนานมาก่อนยังถอยเลย ขอสู้เพียงแค่ 2 รายการเล็กๆเท่านั้น แล้วก็จะไปดับแค้นกับ ราฟาเอล นาดาล ในรายการใหญ่ โรล็อง การโรส ปลายเดือนพฤษภาคมครับ

ที่มา http://www.manager.co.th/Sport/ViewNews.aspx?NewsID=9520000042198