วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ความดันโลหิตต่ำ (HYPOTENSION)



... เป็นเรื่องเกี่ยวกับ สมองอยู่มากเหมือนกัน คือเรื่องของ ความดันโลหิตต่ำ (HYPOTENSION)
ผู้ที่สนใจในเรื่องสุขภาพกลัวกันมากๆอยู่ โรคหนึ่ง คือ โรคความดันโลหิตสูง (HYPERTENSION) กลัวนักกลัวหนาจนกระทั่งว่าเวลาไปขอประกันชีวิต ที่บริษัทประกันชีวิตที่ไหนก็ตาม เขามักจะขอให้ไปตรวจโรคดูก่อน ถ้าพบว่าความดันโลหิตสูงมาก บริษัทประกันชีวิตนั้นๆ มักจะไม่รับประกัน
แต่ถ้าความดันโลหิตต่ำซึ่งตรงกันข้ามกับความดันโลหิตสูง บริษัทรับประกันชีวิตมักจะมองข้ามไป รับประกันชีวิตโดยไม่ลังเล
และถ้าไปคุยกับใครซึ่งรู้เรื่องการแพทย์หรือเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพเสีย หน่อย บอกกับเขาว่า “ฉัน เป็นโรคความดันโลหิตต่ำ” ก็มักจะได้รับคำทักว่า “ดีซิไม่ได้เป็นความดันสูงไม่เห็นจะน่ากลัวอะไร
เรื่องของเรื่องก็คือ ความดันต่ำไม่เป็นอันตราย ก็จริง แต่ก็คงจะทำให้คุณเป็นคน อ่อนแอ ไม่มีแรง ปวดหัวเวียนหัวอยู่ตลอดเวลา ทำงานทำการแบบออกแรงหน่อยก็ทำไม่ได้ เหล่านี้เป็นต้น
ความดันโลหิตโดยทั่วๆไปสำหรับผู้ ใหญ่นั้น ถ้าเกิน 140/90 ขึ้นไป ถือว่าเป็นความดันโลหิตสูงเกินควร หรือถ้าต่ำกว่า 100/60 ก็ถือว่าต่ำเกินควร


ตัวเลขเหล่านี้เราจะรู้ได้จากการวัดด้วยเครื่องวัดความดันโลหิต (SPHYG MO-MANOMETER)  ซึ่งจะเป็นเครื่องวัดที่ต้องใช้หูฟัง (STETHOSCOPE) หรือจะเป็นเครื่องวัดอัตโนมัติแบบที่เรียกว่าดิจิตอลก็ได้
ความดันโลหิตต่ำเกิดขึ้นได้จากต้นตอสองประการ คือ จากระบบบางอย่างของร่างกายบกพร่อง มาตั้งแต่เกิด หรือเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บเฉพาะหน้าบางประการ
สาเหตุบางอย่างจากระบบบกพร่องนั้น ได้แก่ คนที่โลหิตจางหรือเลือดน้อย ปริมาณรวมของเลือดต่ำและผนังของเส้นเลือดและการปั๊มของหัวใจผิดปกติ
อันตรายร้ายแรงจากระบบบกพร่องนั้น จะไม่ค่อยมี แต่ผู้ที่ความดันโลหิตต่ำมักจะ เป็นคนที่ไม่มีแรง เวียนหัว หัวหมุนและคลื่นไส้อาเจียนได้ง่าย ทำงาน หนักไม่ค่อยจะได้ เหนื่อยง่าย ถ้าจะพูดแบบชาวบ้านก็คงเป็นเพราะว่า “คนเอว บางร่างน้อยไม่ค่อยมี เรี่ยวมีแรงอย่างนั้นแหละ”
ส่วนที่ความดันโลหิตต่ำเพราะมีโรคภัยเฉพาะหน้าเกิดขึ้นนั้น อาจจะเกิดขึ้นเพราะโลหิตจางแบบเฉียบพลัน ซึ่งสาเหตุอาจจะเป็นเพราะ อุบัติเหตุเสียเลือดมาก หรือมีสิ่งที่เป็นท้อกซิน มากเข้าสู่ร่างกายอย่างกะทันหัน หรือต้องรับยาเคมีบางอย่าง เช่น ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งต้องรับเคมีบำบัด และต้องใช้รังสีบำบัด เป็นต้น
ขอพูดถึงวิธีแก้สำหรับผู้ที่มีโรคภัยเฉพาะหน้าก่อน ถ้าจะให้รู้ว่าเพราะโลหิตจางหรือไม่ คงจะต้องตรวจเลือดก่อน แล้วดูที่ปริมาณเม็ดเลือดขาวก่อนเป็นตัวแรก ต่อจากนั้นให้ดูที่เฮโมโกลบิน (ตัวที่รับเอาออกซิเจนเข้าไว้ในเลือด) แล้วดูเฮมาโตคริต (เปอร์เซ็นต์ของเม็ดเลือดแดงทั้งหมด)
ถ้าชนิดของเลือดเหล่านี้ต่ำกว่าเกณฑ์จะค่อนข้างแน่ใจว่าโลหิตจาง และถ้าวัดความดันโลหิต ว่าต่ำกว่าเกณฑ์ก็ต้องให้เลือดเป็นการด่วน แต่การปฏิบัติเช่นนี้เป็นหน้าที่ของแพทย์นะครับ คุณทำเองไม่ได้ เมื่อแก้อาการโลหิตจางตามนี้ได้แล้ว ความ ดันโลหิตของคุณน่าจะขึ้นมาได้อยู่ในระดับปกติ
แต่อีกอย่างหนึ่งที่จะต้องเฝ้าดูเป็นพิเศษก็คือ การที่คุณโลหิตจางนั้นเกิดจากการเลือดออกภายในร่างกายหรือไม่ เลือดออกภายในนี้อาจจะเป็นที่แผลในกระเพาะหรือลำไส้ คุณรับประทานอะไรเข้าไปเป็นกรดหรือย่อยไม่หมด ก็จะทำให้แผลภายในเลือดออกไม่หยุด อย่างนี้อันตรายแบบเฉียบพลัน ความดันโลหิตต่ำอย่างแน่นอน
ฉะนั้น อย่าวางใจถ้าความดันโลหิตต่ำจนหมดแรงจะเป็นลม แต่ไม่ พบอาการผิดปกติอย่างอื่น ให้ดูให้แน่ว่ามีเลือดออกภายในร่างกายหรือไม่ รีบส่งโรงพยาบาลด่วนนะครับ
อ้อ โรคเฉพาะหน้าที่ทำให้ความดันโลหิตต่ำอีกอย่างหนึ่งและไม่ค่อยมีใครสังเกตพบ ก็คือ ผู้ที่เป็นหวัดอย่างแรง หรือไปติดเชื้อหวัดใหญ่มา ความดันโลหิตมักจะต่ำ แต่ก็ไม่มีใครค่อยสังเกต เพราะถ้าใครเป็นหวัดใหญ่ ก็มักจะให้คนไข้นอนพัก ให้ยาแก้ไข้ ให้อาหารบำรุงไม่กี่วันก็จะหาย
แต่ข้อสังเกตนะครับ ถ้ามีโอกาสตรวจความดันโลหิตและปรากฏว่าเป็นความดันต่ำแล้วละก็ รีบให้ยาบำรุงเลือดด้วย ก็จะหายเร็วขึ้นแน่ๆ
ทีนี้ก็มาถึงการแก้ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำโดยทั่วไป
1. แก้ด้วยอาหาร ควรจะให้อาหารที่เพิ่มโปรตีน ให้มากๆ สำหรับท่านที่กินอาหารชีวจิตอยู่แล้ว เราให้กินโปรตีนทั้งจากพืชและจากเนื้อสัตว์ได้
จากพืชก็คือ ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง และผลิตผลจากถั่ว เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร เป็นต้น
และเราให้กินปลาหรืออาหารทะเลได้ อาทิตย์ละ 2 ครั้ง
คุณอาจจะเพิ่มปลาได้เป็นอาทิตย์ละสัก 3 ครั้ง และถั่ว-เต้าหู้ให้เพิ่มขึ้นเป็น 25% แทนที่จะเป็น 15% ตามสูตรหนึ่งของเรา
2. กินวิตามิน B COMPLEX 100 มก. เป็นประจำวันละ 1 เม็ด และให้แถม B1 100 มก.
และ B12 500 ไมโครแกรม อีกอย่างละเม็ด
3. แคลเซียม 1,000 มก. และโปแตสเซียม 500 มก. กินประมาณ 1 เดือน เว้น 1 เดือน
4. วิตามิน E 400 IU. วันละ 1 เม็ด
5. ขอให้ออกกำลังกายเบาๆก่อน ใช้วิธีรำตะบองแบบชีวจิตจะดีที่สุด แรกใช้แต่ละท่า ประมาณ 20 ครั้ง เมื่อรู้สึกดีแล้ว ให้เพิ่มเป็นท่าละ 3 ครั้ง
6. ใช้หัวแม่มือนวดเบาๆ บริเวณกลาง หน้าอกแล้วเลื่อนไปที่บริเวณใกล้รักแร้สองข้าง
ที่มา http://sesai.exteen.com/20071004/entry




วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สมุนไพรแก้พิษงูกัด



โลดทะนงแดง
      ชาวสุรินทร์ถิ่นเมืองช้างจะรู้กิตติศัพท์หมอเอี๊ยะ สายกระสุนเป็นอย่างดี เพราะท่านเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องสมุนไพรรักษางูมีพิษกัด หมอเอี๊ยะ  สายกระสุน หมอพื้นบ้านแห่งอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์เล่าให้ฟังว่า ภูมิปัญญานี้สืบสานมาหลายชั่วอายุคน ต่อให้งูจะมีพิษมากน้อยขนาดไหนไม่มีกลัว รักษาหายมาเยอะแล้ว โดยใช้สมุนไพรโลดทะนงแดง-พระเจ้าปลูกหลง บ้างก็เรียกนางแซง หรือหนาดคำ  ซึ่งมีอยู่  2 ชนิด คือโลดทะนงแดงเพราะมีเปลือกหุ้มรากสีแดงและโลดทะนงขาวซึ่งมีเปลือกหุ้มรากสีดำ แต่ชนิดที่มีสรรพคุณทางยาแก้พิษต้องใช้โลดทะนงแดงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นพิษจากงูทุกชนิด แมงมุมทุกชนิดกัด  ตะขาบกัด แมงป่องกัด และแม้กระทั่งกินเห็ดพิษ
     แนวทางการรักษาใช้ 2 วิธีคือใช้ดื่มและใช้ทา สำหรับดื่มให้นำรากโลดทะนงแดง และเม็ดหมากแห้ง ฝนกับน้ำประมาณครึ่งแก้วดื่ม ดื่ม 1  แก้วสำหรับถูกงูทุกชนิดกัด ยกเว้นงูจงอางให้ดื่ม  2  ครั้ง ถ้าสัตว์อื่นกัดไม่ต้องดื่ม ส่วนกินเห็ดเป็นพิษดื่มครั้งเดียว  กรณีใช้ทาให้นำรากต้นโลดทะนงแดงและหมากแห้งฝนกับน้ำมะนาวจนกระทั่งข้นแล้ว จึงนำไปทาบริเวณบาดแผลที่ถูกงูกัด แมงมุมกัด หรือสัตว์มีพิษกัด ทาทุกเช้า-เย็นจนกระทั่งหายเป็นปกติ สำหรับผู้ที่ถูกงูกัดไม่ควรดื่มเหล้า เพราะจะทำให้แผลอักเสบหายช้าและอาจเสียชีวิตได้
     ในบางตำราใช้รากโลดทะนงแดงฝนกับเหล้าขาวดื่มทำให้อาเจียนอย่างแรง เพื่อถอนพิษสำหรับคนที่ถูกยาเบื่อ ยาเมา เมาเห็ดเมาหอยต่างๆ แต่ระวังอย่าใส่เหล้าขาวเยอะ เดี๋ยวจะเมาเหล้าขาวแทน ฮ่าๆๆ สำหรับสาวๆสามารถใช้ทาหัวฝีแก้ฟกช้ำใช้เป็นยาดูดหนองได้ดี ติดต่อหมอเอี๊ยะ  สายกระสุน ปราชญ์พื้นบ้าน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์   08-4638-2713




พญาลิ้นงู
      ลุงเกษม  อิทร์ชัยญะ วัย ๗๔ ปี ( พ.ศ. ๒๕๕๔) ส่งสมุนไพรมาให้ปลูกเพื่อการอนุรักษ์กลัวจะสูญพันธุ์ ในจดหมายลุงเขียนเล่ามาว่า เคยถูกแมงป่องต่อย เจ็บปวดมาก จึงได้ใช้หัวว่านยาพญาลิ้นงูที่ปลูกเอาไว้ในบ้าน จำนวน ๒-๓ หัว นำไปตำให้แหลก ผสมกับเหล้าขาว จำนวน  ๒  ช้อนแกง แล้วเอามาพอกแผล เพียงไม่กี่นาทีก็รู้สึกหายปวดและอีกประสบการณ์หนึ่งคือ งูเห่าดอกจันทร์ได้กัดสุนัขที่บ้าน สุนัขทำท่าจะไปไม่รอด จึงได้ใช้ว่านพญาลิ้นงูโขลกให้แหลกผสมกับเหล้าขาวเป็นกระสายยา ๒  ช้อนแกง คั้นเอายานี้ กรอกปากสุนัข เพียงไม่นานสุนัขก็อาการดีขึ้นและหายเป็นปกติ
      สมุนไพรพญาลิ้นงู รูปร่างคล้ายต้นกระเทียม ต้นหอมเล็ก ต้นกุยช่าย คนโบราณนิยมใช้รักษาผู้ที่ถูกงูกัด โดยการเอาใบว่านมาหลายๆใบแล้วตำรวมเข้ากับเม็ดมะขามสด แล้วขยี้ๆพอกลงไปที่แผล แล้วมันก็จะค่อยๆสำแดงเดช ดูดพิษงูนั้นออกมา ให้หมั่นพอกไปเรื่อยๆจนแน่ใจว่าพิษงูนั้นหมด ถ้าหากจะปลูกสมุนไพรพญาลิ้นงูลุงเกษมบอกว่า ผู้หญิงที่กำลังมีประจำเดือนห้ามปลูก และปุ๋ยเคมีห้ามใช้  ให้ใช้ได้เฉพาะมูลวัวเก่าๆจะดีนักแล
      ส่วนใครที่ไม่ต้องการให้งูเข้ามาป้วนเปี้ยนในเขตบ้าน  ให้ใช้ผงกำมะถันโรยรอบบ้าน กลิ่นของกำมะถันจะฉุนมาก จึงทำให้งูไม่ชอบกลิ่นและหลีกห่างไป ขอบคุณลุงเกษม  อินทร์ชัยญะ หมู่ ๗ ต.นางแก้ว  อ.โพธาราม จ.ราชบบุรี ๐๓๒-๓๕๙-๔๙๑ ,  ๐๘-๓๓๑๐-๒๕๗๔




สมุนไพรตีนตะขาบ
      เกษตรกรหลายคนเวลาทำการเกษตรดายหญ้าในพื้นที่รกๆอาจจะถูกตะขาบหรือแมงป่องต่อย ทำให้เกิดอาการปวดบวมเจ็บปวด วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นคือใช้เชือกหรือยางรัดบริเวณเหนือรอยแผลที่ถูกงูกัดแล้วหักต้นตีนตะขาบเพื่อเอายางของต้นตีนตะขาบผสมเหล้าขาวประมาณ ๑๐๐ ซีซี. มาทาบริเวณบาดแผล เมื่อรู้สึกว่ายางตีนตะขาบเริ่มแห้ง ให้ทาซ้ำเรื่อยๆ ประมาณ  ๓๐  นาที ก็สามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดและอาการบวมได้ ให้ทำการพอกยาจนกว่าจะหาย อาจจะใช้ต้นและใบตีนตะขาบตำให้ละเอียดพอกทาก็ได้



เสลดพังพอนตัวเมีย

สรรพคุณเด่น
แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย เริม งูสวัด อีสุกอีใส
วิธีใช้
1. ใช้ใบสด 1-2 ใบ ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียดเติมแอลกอฮอล์ 70%
หรือเหล้าขาวพอให้ยาชุ่มคนให้เข้ากัน เอาสำลีชุบน้ำยา
ทาบริเวณที่มีอาการบ่อยๆ วันละ 4-5 ครั้ง
2. ใช้ในรูปเสลดพังพอนในกลีเซอรีน
ทำโดยนำใบสดที่สะอาดประมาณ 1 กิโลกรัม
ตำให้ละเอียด เติมแอลกอฮอล์ 70 % 1 ลิตรหมักไว้ประมาณ7 วัน

กรองเอาเฉพาะน้ำยาใส่ภาชนะตั้งในหม้อน้ำร้อนเพื่อระเหยแอลกอฮอล์ออก

(ห้ามตั้งบนเตาไฟโดยเด็ดขาด)
ให้เหลือประมาณครึ่งหนึ่งแล้วเติมกลีเซอรีนปริมาณเท่าตัวแบ่งใส่ขวดเล็กเก็บไว้ใช้ได้นาน 6 เดือนใช้เสลดพังพอนกลีเซอลีนป้ายบริเวณที่มีแผลอย่างน้อยวันละ 3-5 ครั้ง
ข้อควรระวัง
ไม่ควรใช้วิธีตำพอกลงบริเวณที่มีอาการโดยตรงเพราะจะทำให้กากติดแผล
ทำความสะอาด ยาก อาจทำให้ติดเชื้อเป็นหนองได้

แหล่งสมุนไพร
       คงมีหลายคนสนใจเกี่ยวกับว่านสมุนไพรต่างๆ แต่ไม่ทราบว่าจะหาได้ที่ไหน ผมขอแนะนำให้ติดต่อไปที่สวนดงว่านที่มีว่านสมุนไพรมากกว่า ๕๐๐ ชนิดบนเนื้อที่  ๑๗  ไร่ แถวคลองสี่ ,สีคิ้วและดอนเมือง  ของคุณณรงค์ศักดิ์  ค้านอธรรม  อยู่ที่ ๒๔๔/๓๒๙  หมู่บ้านยิ่งโอฬาร  ซอยวิภาวดีรังสิต แขวงสีกัน  เขตดอนเมือง  กทม.๑๐๒๑๐  โทร. ๐๘-๑๗๓๕-๔๒๔๓
       คุณณรงค์ศักดิ์  ข้นอธรรม เป็นนักอนุรักษ์ว่านไทย รางวัลโล่เกียรติคุณ ๒๕๕๐ งานพฤกษาสยาม ครั้งที่ ๔ จากพระองค์โสมฯเสนอโดยกรมส่งเสริมการเกษตร มีประสบการณ์กว่า ๓๐  ปี และเป็นผู้เขียนหนังสือ ว่านสมุนไพร ไม้มงคลไทย เพื่อทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐  ปีและในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๕  ธันวาคม ๒๕๕๐
       บ้านเรายังดีนะครับที่ยังมีคนดีๆสนใจอนุรักษ์สมุนไพรว่านที่มีคุณค่าไว้ให้คนรุ่นหลังๆได้ศึกษาเรียนรู้และนำไปใช้ประโยชน์ ไม่เช่นนั้นป่านนี้คงเห็นแต่ในรูปและเล่าขานแบบลมๆแล้งๆ


ที่มา 

http://www.jamrat.net/jamrathealth.aspx?blogid=21
http://thaiherb-tip108.blogspot.com/2011/01/blog-post_27.html

หินน้ำมัน (Oil Shale)


หินน้ำมัน(Oil Shale) หินน้ำมัน คือ หินตะกอนเนื้อละเอียดที่มีการเรียงตัวเป็นชั้นบางๆ มีสารประกอบอินทรีย์ที่สำคัญคือ เคอโรเจน (kerogen) แทรกอยู่ระหว่างชั้นหินตะกอนโดยทั่วไปมีความถ่วงจำเพาะ1.6–2.5 ในหินน้ำมันมีหินตะกอนเนื้อละเอียดขนาดตั้งแต่หินทรายแป้งลงมาส่วนใหญ่เป็นหินดินดาน มีสีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลแก่ มีอินทรีย์สารที่เรียกว่าเคอโรเจน(kerogene) เป็นสารน้ำมันปนอยู่ในเนื้อหินแทรกเรียงตัวอยู่ในชั้นบางๆ
กระบวนการเกิดหินน้ำมันมาจากการสะสมและทับถมตัวของซากพืชจำพวกสาหร่าย และสัตว์พวกแมลง ปลา และสัตว์เล็ก ๆอื่น ๆ ภายใต้แหล่งน้ำที่ภาวะเหมาะสมซึ่งมีปริมาณออกซิเจนจำกัด มีอุณหภูมิสูงและถูกกดทับจากการทรุดตัวของเปลือกโลกเป็นเวลานับล้านปีทำให้สารอินทรีย์ในซากพืชและสัตว์เหล่านั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นสารประกอบเคอโรเจนผสมกับตะกอนดินทรายจนกระทั่งที่ถูกอัดแน่นกลายเป็นหินน้ำมัน 
หินน้ำมันแต่ละแห่งในโลกมีช่วงอายุตั้งแต่ 3 – 600 ล้านปี        หินที่เป็นแหล่งกำเนิดหินน้ำมันจะคล้ายกับหินที่เป็นแหล่งกำเนิดปิโตรเลียม แต่หินน้ำมันอาจมีปริมาณเคอโรเจนมากถึงร้อยละ 40 ในขณะที่ปิโตรเลียมมีประมาณร้อยละ 1
ส่วนประกอบของหินน้ำมัน มี 2 ประเภท ดังนี้                  
1) สารประกอบอนินทรีย์ ได้แก่  แร่ธาตุต่าง ๆ ที่ผุพังมาจากชั้นหินโดยกระบวนการทางกายภาพและทางเคมี ประกอบด้วยแร่ธาตุที่สำคัญ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
กลุ่มแร่ซิลิเกต ได้แก่ ควอทซ์ เฟลสปาร์ เคลย์
กลุ่มแร่คาร์บอเนต ได้แก่ แคลไซต์ โดโลไมต์
นอกจากนี้ ยังมีแร่ซัลไฟด์อื่น ๆ และฟอสเฟต ปริมาณแร่ธาตุในหินน้ำมันแต่ละแห่งจะแตกต่างกันตามสภาพการกำเนิด การสะสมตัวของหินน้ำมัน และสภาพแวดล้อม                
2) สารประกอบอินทรีย์ ประกอบด้วยบิทูเมน และเคอโรเจน บิทูเมนละลายได้ในเบนซิน เฮกเซน และตัวทำละลายอินทรีย์อื่น ๆ จึงแยกออกจากหินน้ำมันได้ง่าย เคอโรเจนไม่ละลายในตัวทำละลาย หินน้ำมันที่มีสารอินทรีย์ละลายอยู่ในปริมาณสูงจัดเป็นหินน้ำมันคุณภาพดี เมื่อนำมาสกัดควรให้น้ำมันอย่างน้อยร้อยละ 50 ของปริมาณสารอินทรีย์ที่มีอยู่ แต่อาจได้น้ำมันเพียงร้อยละ 30 หรือน้อยกว่า แต่ถ้ามีสารอนินทรีย์ปนอยู่มาก จะเป็นหินน้ำมันคุณภาพต่ำ  

หินน้ำมันส่วนใหญ่แล้วชาวบ้านจะเรียกกันว่า หินติดไฟหรือหินดินดานน้ำมัน เพราะสามารถจุดไฟติดได้ ชาวบ้านนำมาทำเป็นเชื้อเพลิงในการก่อไฟ  นอกจากนี้แล้ว ยังมีการนำหินน้ำมันมาใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ โดยนำมากลั่นเอาน้ำมันมาใช้เป็นเชื้อเพลิงและประโยชน์อื่น ๆหินน้ำมันที่มีคุณภาพดีจะมีสีน้ำตาลไหม้จนถึงสีดำ มีลักษณะแข็งและเหนียว เมื่อสกัดหินน้ำมันด้วยความร้อนที่เพียงพอ เคอโรเจน จะสลายตัวให้ น้ำมันหิน ซึ่งมีลักษณะคล้ายน้ำมันดิบ ถ้ามีปริมาณมากก็จะได้น้ำมันหินมาก
สำหรับการใช้ประโยชน์  จากหินน้ำมันนั้น ในปัจจุบันได้มีการใช้ใช้เป็นแหล่งพลังงานได้เช่นเดียวกับถ่านหิน หินน้ำมัน 1000 กิโลกรัม เมื่อนำมาผ่านกระบวนการสกัด สามารถสกัดเป็นน้ำมันหินได้ประมาณ 100 ลิตร โดยนำไปทำผลิตภัณฑ์ที่ได้ประกอบด้วยน้ำมันก๊าด น้ำมันตะเกียง พาราฟิน น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่น ไข แนฟทา และแอมโมเนียซัลเฟตนอกจากนี้แล้วยังมีแร่ธาตุที่มีอยู่ในหินน้ำมัน ที่เป็นสารประกอบที่เกิดขึ้นจากการกระบวนการสกัดหินน้ำมัน คือ ยูเรเนียม วาเนเดียม สังกะสีโซเดียมคาร์บอเนต แอมโมเนียมซัลเฟต และกำมะถัน น้ำมัน นอกจากนี้แล้วยังมีผลพลอยได้จากส่วนต่าง ๆ เหล่านี้สามารถนำไปใช้ผลิต  ใยคาร์บอน คาร์บอนดูดซับ คาร์บอนแบล็กและปุ๋ยคอโรเจน
ประเทศปริมาณที่พบ (ล้านล้านบาร์เรล)
สหรัฐอเมริกา626
บราซิล300
รัสเซีย41
ซาเอียร์38
ออสเตรเลีย17
แคนาดา16
อิตาลี13
ตารางแสดงแหล่งหินน้ำมันที่มีปริมาณหินน้ำมันมากในประเทศต่างๆของโลก

ในปัจจุบันมีการใช้พลังงานเชื้อเพลิงเป็นจำนวนมากขึ้น ทำให้มีการศึกษาค้นคว้าวิจัยเชื้อเพลิงและพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ นำมาใช้เป็นพลังงานทดแทน จากบทความการใช้หินน้ำมันในอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ของ อาจารย์ปิติวัฒน์ วัฒนชัย อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้กล่าวไว้ว่า “หินน้ำมันได้มีการศึกษาค้นคว้าวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ   พบว่าการใช้ประโยชน์จากหินน้ำมันโดยการนำไปใช้สำหรับสกัดเอาน้ำมันนั้นค่อนข้างมีกรรมวิธียุ่งยากซับซ้อนและต้องใช้พลังงานความร้อนให้กับหินน้ำมันสูงเป็นการสิ้นเปลืองพลังงาน
ดังนั้นการใช้ประโยชน์จากนำหินน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงให้พลังงานโดยตรง พร้อมทั้งนำขี้เถ้าและกากหินน้ำมันที่เป็นผลิตภัณฑ์พลอยได้มาพัฒนาเป็นส่วนผสมในคอนกรีต เพื่อให้ได้คอนกรีตที่มีคุณภาพทางเคมีและคุณสมบัติทางฟิสิกส์ที่ดีขึ้น และใช้งานได้จริง อีกส่วนหนึ่งคือการใช้หินน้ำมันเป็นวัตถุดิบของส่วนผสมขั้นต้นในการผลิตปูนซีเมนต์ซึ่งสามารถช่วยลดพลังงานจากภายนอกที่ต้องป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตปูนเม็ด และได้ปูนซีเมนต์ที่มีคุณภาพดี สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างได้”
แหล่งหินน้ำมันที่สำคัญในประเทศไทยได้แก่ แหล่งที่อำเภอแม่สอด แม่ระมาด และอำเภออุ้มผาง จังหวัดตากบ้านป่าคา อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน และที่อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ สำหรับประเทศไทยแล้วหินน้ำมันแม่สอดมีศักยภาพที่จะใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อป้อนเข้าสู่เตาเผากระบวนการผลิตปูนเม็ดในการผลิตปูนซีเมนต์ รวมถึงการใช้กาก และขี้เถ้าหินน้ำมันเป็นส่วนผสมในการผลิตปูนซีเมนต์ และวัสดุก่อสร้างทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ยังต้องการพัฒนาทางเทคโนโลยีการใช้หินน้ำมันในอุตสาหกรรมการก่อสร้างต่อไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อประเทศไทยในอนาคต


จะเห็นได้ว่ากระบวนการเกิดพลังงานเชื้อเพลิงธรรมชาตินั้นมีกระบวนการสะสม ที่ใช้ระยะเวลามาอย่างยาวนาน โดยมนุษย์เรานำมาใช้เอื้ออำนวยความสะดวกในยุคปัจจุบัน ดังนั้นเราควรใช้พลังงานที่มีอย่างรู้คุณค่าให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้พลังงานอย่างแท้จริง  “คิดก่อนใช้  รู้ใช้อย่างมีค่าไม่สูญเปล่า”
ที่มา
http://th.wikipedia.org
สมาคมธรณีวิทยาแห่งประเทศไทย
http://www.innnews.co.th

Worth of the worlds





วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประเทศที่สามารถเดินทางเข้าไปได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า



ข้อมูลของกรมการกงสุล ประเทศและดินแดนที่ผู้ถือหนังสือเดินทางไทยสามารถเดินทางเข้าไปได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า มีอยู่ทั้งหมด 25 ประเทศ/ดินแดน ได้แก่

1. อาร์เจนตินา สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 90 วัน
2. บาห์เรน สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 14 วัน
3. บราซิล สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 90 วัน
4. บรูไน สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 14 วัน
5. กัมพูชา สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 14 วัน
6. ชิลี สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 90 วัน
7. เอกวาดอร์ สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 90 วัน
8. ฮ่องกง สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน
9. อินโดนีเซีย สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน
10. สาธารณรัฐเกาหลี สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 90 วัน
11. ลาว สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน
12. มาเก๊า สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน
13. มองโกเลีย สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน
14. มาเลเซีย สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน
15. มัลดีฟส์ สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน
16. ปานามา สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 180 วัน
17. เปรู สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 90 วัน
18. ฟิลิปปินส์ สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 21 วัน
19. รัสเซีย สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน
20. เซเซลส์ สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน
21. สิงคโปร์ สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน
22. แอฟริกาใต้ สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน
23. ตุรกี สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน
24. เวียดนาม สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน
25. ญี่ปุ่น สามารถพำนักอยู่ได้ไม่เกิน 15 วัน. 


ที่มา https://www.facebook.com

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เร่งความเร็ว Google Chrome


 
1
เริ่มต้นให้เราพิมพ์คำว่า about:flags เข้าไปที่ Address Bar ก่อน แล้ว Google Chrome จะแจ้งเตือนกับเราว่าการปรับแต่งนี้อาจก่อปัญหาตามมาในภายหลังได้ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะการปรับแต่งครั้งนี้ทางทีมงานทดสอบแล้วว่าทำได้ ปลอดภัยและไม่ทำให้เกิดผลเสียกับเบราเซอร์ของเราแน่นอน
 
2
มองหาคำสั่ง “ใช้ GPU ประสานการแสดงผลในทุกหน้าเว็บ” แล้วเลือกในช่องตัวเลือกให้เป็นคำว่า “เปิดใช้งานแล้ว” เป็นขั้นตอนแรก
  
3
มองหาคำสั่ง “ปิดใช้งาน Canvas 2 มิติที่ได้รับการเร่ง” แล้วกดที่คำสั่ง “เปิดการใช้งาน” ที่เขียนเอาไว้ด้านล่างเป็นตัวอักษรสีน้ำเงินพร้อมขีดเส้นใต้
4
ที่แถบด้านล่างสุดจะมีแถบแจ้งว่า “การเปลี่ยนแปลงของคุณจะมีผลในครั้งต่อไปที่คุณเปิด Google Chrome” แล้วสังเกตที่แถบด้านล่างจะมีคำว่า “เปิดใช้งานใหม่เดี๋ยวนี้” ให้เราคลิกที่คำสั่งนั้นหนึ่งครั้งแล้ว Google Chrome จะถูกเปิดใหม่ และจะเห็นได้ว่าเบราเซอร์ทำงานได้เร็วกว่าเดิมมาก
 
 
เป็นวิธีง่ายๆ ไม่กี่ขั้นตอนเพื่อให้ Google Chrome สามารถทำงานได้เร็วยิ่งกว่าเดิม โดยทางทีมงานได้ทดสอบกับ Google Chrome ที่ใช้งานอยู่แล้วปรากฏว่าสามารถประมวลผลหน้าเว็บไซต์ได้เร็วกว่าเดิมมากทีเดียว ซึ่งถ้าใครอยากเปิดหน้าเว็บไซต์ได้เร็วกว่าเดิมก็ปรับแต่งตามขั้นตอนด้านบนเท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย

ที่มา http://notebookspec.com/google-chrome/178559/


วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ETF (Exchange Traded Fund)

  
   หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ที่ผสมผสานคุณลักษณะของกองทุนรวมและหุ้นเข้าด้วยกัน ถ้าเป็นเช่นนั้น... บอกได้คำเดียวว่าคุณไม่ควรพลาดที่จะลงทุนใน "ETF"  เพราะ ETF เป็นกองทุนเปิดที่ซื้อขายสะดวกเหมือนหุ้น ใช้เงินลงทุนน้อย ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายต่ำ อีกทั้งยังลงทุนง่าย ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์หลักทรัพย์รายตัว เพียงแค่เข้าใจสภาวะตลาดหรือแนวโน้มของหลักทรัพย์ที่กองทุน ETF เข้าไปลงทุน ก็สามารถตัดสินใจลงทุนได้


     เกริ่นเพียงเท่านี้ หลายๆ ท่านคงเริ่มสนใจ ETF ขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก่อนที่เราจะไปทำความรู้จักกับ ETF อย่างละเอียด
เราลองมาดูกันก่อนดีกว่าว่า... จริงๆ แล้ว ETF คืออะไร? และมีลักษณะสำคัญอย่างไร?
     ETF ย่อมาจากคำว่า "Exchange Traded Fund" ซึ่งถ้าพิจารณาคำศัพท์ภาษาอังกฤษแต่ละคำที่ประกอบขึ้นมา
ผู้ลงทุนจะเข้าใจว่า ETF คืออะไรดียิ่งขึ้น โดย...

Exchangeหมายความว่า มีการนำหน่วยลงทุน ETF ไปจดทะเบียนในตลาดรองหรือ
ตลาดหลักทรัพย์ฯ
Tradedหมายความว่า สามารถทำการซื้อขาย ETF ผ่านบริษัทหลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์ได้เสมือนกับเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนตัวหนึ่ง ดังนั้น สภาพคล่องของกองทุน ETF
จึงไม่ต่างจากหลักทรัพย์จดทะเบียนทั่วๆ ไปที่สามารถซื้อขายกันได้ตลอดทั้งวัน
นอกจากนี้ ผู้ลงทุนยังสามารถทราบราคาซื้อขายได้ในทันทีแบบ Real Time อีกด้วย
Fundหมายความว่า ETF เป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่ง

  จึงพอสรุปให้เข้าใจง่ายๆ ได้ว่า ETF คือ กองทุนเปิดที่จดทะเบียนและสามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เสมือนการซื้อขายหุ้นตัวหนึ่ง โดย ETF จะมีลักษณะคล้ายกับกองทุนรวมทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น... การที่มีผู้บริหารกองทุน
มืออาชีพคอยดูแลบริหารกองทุนให้อย่างเป็นระบบ ใช้เงินลงทุนน้อย แต่สามารถกระจายความเสี่ยงได้มาก รวมถึงการมีกลไกในการปกป้องผู้ถือหน่วยลงทุน
     อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่ง แต่ ETF กลับมีลักษณะสำคัญที่แตกต่างจากกองทุนรวมประเภทอื่นๆ กล่าวคือ...

ซื้อขายราคา Real Time ไม่ต้องรอลุ้นราคากองทุนทุกสิ้นวัน จุดเด่นสำคัญของกองทุน ETF
ที่แตกต่างจากกองทุนเปิดทั่วไป คือ ETF เป็นกองทุนเปิดที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ผู้ลงทุนจึงสามารถซื้อขายหน่วยลงทุน ETF ผ่านโบรกเกอร์ได้ในราคาและเวลาที่ต้องการ (Real Time) โดยไม่จำเป็นต้องรอ NAV ต่อหน่วย ณ สิ้นวันเหมือนกับการซื้อขายกองทุนเปิดที่ไม่ใช่หลักทรัพย์
จดทะเบียน
ซื้อง่ายขายคล่อง บลจ. ผู้ออกกองทุน ETF จะมีการแต่งตั้งผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker)
เพื่อทำหน้าที่เสนอซื้อและเสนอขายหน่วยลงทุนของ ETF ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญ
ที่ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลงทุน ETF ได้ตลอดเวลาทำการของตลาดหลักทรัพย์ฯ
เป็นตัวช่วยกระจายความเสี่ยง ตามที่ได้กล่าวไปแล้วว่าการลงทุนในกองทุน ETF นั้น มี นโยบาย
การลงทุนที่เลียนแบบหรือล้อกับดัชนีที่ถูกนำมาใช้ในการอ้างอิง โดยสามารถอ้างอิงกับดัชนีได้
หลากหลายประเภท เช่น ดัชนีราคาหุ้น ดัชนีราคาตราสารหนี้ ดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ฯลฯ จึงช่วย
กระจายความเสี่ยงในการลงทุนได้เป็นอย่างดี เพราะมีการกระจายการลงทุนไปยังกลุ่มหลักทรัพย์หลายตัวหรือหลายอุตสาหกรรม ซึ่งจะแตกต่างจากการลงทุนของกองทุนรวมทั่วไป ที่เป็นการเลือกลงทุนใน
หลักทรัพย์หรือสินทรัพย์รายตัวแต่ละประเภทตามที่นโยบายการลงทุนกำหนดไว้
ได้ผลตอบแทนตามตลาด ค่าบริหารจัดการต่ำ กองทุน ETF ส่วนใหญ่มีนโยบายการบริหารจัดการ
ลงทุนในเชิงรับ (Passive Management Strategy) ที่เน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีหรือราคาของสินทรัพย์ที่กองทุนใช้อ้างอิงมากที่สุด ไม่ได้เป็นการบริหารจัดการลงทุนในเชิงรุก (Active Management Strategy) เพื่อเอาชนะตลาดเหมือนกองทุนรวมส่วนใหญ่ จึงทำให้ ETF มีค่าใช้จ่ายตลอดจนค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการที่ต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไป


ตารางด้านล่างนี้ จะช่วยให้ผู้ลงทุนเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง... กองทุนรวมทั่วไป หุ้น และ ETF ชัดเจนยิ่งขึ้น



เนื่องจากกองทุน ETF เป็นกองทุนที่มีลักษณะเลียนแบบดัชนีทางการเงิน กองทุน ETF จึงสามารถลงทุนใน
หลักทรัพย์ได้ทุกประเภท หากหลักทรัพย์ประเภทนั้นๆ มีดัชนีที่อ้างอิงได้ ตัวอย่างเช่น...
  • กองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีราคาหุ้น (Equity ETF) ได้แก่
    กองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีราคาหุ้นโดยรวม เช่น SET50 Index, S&P500 Index, NASDAQ Composite
      Index ฯลฯ
    - กองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีราคาหุ้นรายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น SET Energy & Utilities Sector Index ฯลฯ
    - กองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีราคาหุ้นโดยรวมของแต่ละประเทศ หรือดัชนีราคาหุ้นระหว่างประเทศ
     เช่น 
      MSCI World Index ฯลฯ

  • กองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีราคาตราสารหนี้ (Bond ETF) ได้แก่
    - กองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีราคาพันธบัตรรัฐบาล (Treasury Bond Index)
    - กองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีร าคาหุ้นกู้บริษัทเอกชน (Corporate Bond Index)
     ฯลฯ
  • กองทุน ETF ที่อ้างอิงหลักทรัพย์หรือดัชนีอื่นๆ ได้แก่
    - กองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity ETF)
    - กองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีราคาทองคำ (Gold ETF)
     ฯลฯ
















         
    แม้ว่ากองทุน ETF จะมีหลากหลายตามประเภทของดัชนีหลักทรัพย์ที่ใช้อ้างอิง เช่น ดัชนีราคาหุ้น ดัชนีราคา
    ตราสารหนี้ หรือดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ฯลฯ แต่กองทุน ETF ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดก็คือ
     "กองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีราคาหุ้น" (Equity ETF) เพราะว่าหุ้นเป็นหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง และเป็นที่นิยมของผู้ลงทุนในทุกประเทศ รวมถึงดัชนีที่ใช้อ้างอิงก็มีความหลากหลาย สามารถคำนวณราคาได้ง่าย


    จากข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2554 ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีกองทุน ETF จดทะเบียนรวม 8 กองทุน คือ...


         อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก 4 ใน 8 ของกองทุน ETF ที่ซื้อขายในประเทศไทยเป็นกองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีราคาหุ้น (Equity ETF) ดังนั้น เนื้อหาและตัวอย่างต่างๆ จึงขอเน้นไปที่ Equity ETF เป็นหลัก โดยเฉพาะ "กองทุนเปิด ThaiDEX SET50 ETF" หรือที่เรียกย่อๆ ว่า "TDEX" ซึ่งเป็น Equity ETF ที่มีขนาดกองทุนใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นที่นิยมของผู้ลงทุนมากที่สุดในบรรดา Equity ETF ทั้ง 4 กองทุน

    ที่มา :