วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

สาร เอ็นโดฟินส์ ( ENDORPHINES) กับ อดรีนาลีน (Adrenaline)


สารเอ็นโดฟินส์
Endophine นี้ถูกค้น พบครั้งแรกโดย John Hughs และ Hans Kosterlitz ในปี ค.ศ.1975 โดยพบในสมองของสุกร ในขณะนั้นเขาได้ให้ชื่อว่าสาร “ Enkephalins” (ในภาษากรีก egkephalos มีความหมายว่า ภายในกะโหลกศีรษะ) และต่อมาได้มีการค้นพบสารเอ็นโดฟินส์อีกหลายชนิดในมนุษย์ โดยคำว่า Endophine นั้นมีที่มาจากคำว่า Endogenous Morphine ซึ่งหมายถึงสารมอร์ฟีนที่ถูกผลิตขึ้นภายในร่างกายโดยธรรมชาติซึ่งไม่ก่อผล เสียต่อร่างกาย
เมื่อเรามีความสุขหรืออยู่ในสภาวะที่สุข สบาย (Pleasure experience) ไม่ว่าจะเป็นการจินตนาการหรือความรู้สึกจากประสาทรับสัมผัสทั้ง 5 เช่น การเล่นคลอเคลียกันสัตว์เลี้ยงแสนรัก การฟังดนตรีเพราะๆ การอ่านหนังสือที่ถูกใจ การดูภาพยนตร์ การออกกำลังกาย (ในบางตำรากล่าวว่าต้องเป็นการออกกำลังกายที่หนักๆ) การทำสมาธิ หรือการที่มีความรู้สึกรัก การได้พูดคุยกับคนที่เรารัก การได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เรารัก การได้สัมผัสถ่ายทอดความรักซึ่งกันและกัน กระทั่งการได้ร่วมรักกับคนที่เรารัก ขั้นตอนการเล้าโลม เหล่านี้เป็นการกระตุ้นให้สมองเกิดการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ขึ้น(โดยพบว่ามี การหลั่งสารเอ็นโดฟินส์อย่างมากในช่วง orgasm)

ถึงแม้ว่าจะ ผ่านวันแห่งความรักมานานแล้ว แต่เราก็ยังคงสัมผัสกับความรักอยู่เสมอไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ความรักเป็นสิ่งจรรโลงใจให้กับมนุษย์มานานแสนนาน อาจสังเกตได้จากบทเพลง บทกวี นวนิยาย ละคร หรืออุปรากรต่างๆ ก็มักวนเวียนอยู่กับเรื่องของความรัก

ความ รักของแต่ละคนก็มีนิยามแตกต่างกัน บางคนมีความรักที่หมายถึงความรู้สึกอยากอยู่ใกล้ คิดถึงเมื่ออยู่ห่างไกล ต้องการทำสิ่งที่ดีให้เพื่อเอาใจ บางคนความรักหมายถึงการอยากใช้ชีวิตด้วย อยากมีครอบครัวด้วยกัน อยากแก่ไปด้วยกัน

บางครั้งความรักก็นำความทุกข์มาให้แก่คนเรา แต่หลายๆ ครั้งที่ความรักนำความสุข ความอิ่มใจ ปลื้มปิติมาให้ทั้งแก่ผู้รักและผู้ถูกรัก

หลาย ท่านอาจเคยมีประสบการณ์ยามเมื่อแรกรักใหม่ๆ ถึงแม้จะเป็นการแอบชอบ แอบรักใครสักคนก็ตาม ก็มักรู้สึกว่าช่วงนั้นพิเศษกว่าปกติ สามารถนั่งอมยิ้มได้คนเดียวเมื่อนึกถึง มองอะไรๆ สดชื่นไปหมด อยากรู้ความเป็นไปของคนที่เรารักทุกอย่าง บ่อยครั้งก็มองเห็นแต่ข้อดีของคนที่เราชอบ เรารัก ต่อมาเมื่อคบกันนานเข้า ก็ต้องมีการปรับตัวเข้าหากัน เมื่อคนที่รักกันอยู่ด้วยกันนานๆ ก็มักจะมี ความผูกพัน กัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เพิ่มขึ้นมานอกเหนือจากความรู้สึกรักใคร่ในช่วงแรก

สาร เอ็นโดฟินส์เป็นสารเคมีจำพวกเดียวกับฝิ่น (opioid) ซึ่งผลิตขึ้นภายในร่างกาย โดยสมองส่วนไฮโปธารามัส (Hypothalamus) และต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) อันเนื่องมาจากเป็นสารเคมีจำพวกเดียวกับฝิ่นจึงมีฤทธิ์บรรเทาอาการปวด (Analgesia) และทำให้รู้สึกสุขสบาย (Sense of well-being)หรืออีกนัยหนึ่ง สารเอ็นโดฟินส์ก็คือ ยาแก้ปวดแบบธรรมชาติ นั่นเอง

สารเอ็นโดฟินส์นี้ ถูกค้นพบครั้งแรกโดย John Hughs และ Hans Kosterlitz ในปี ค.ศ.1975 โดยพบในสมองของสุกร ในขณะนั้นเขาได้ให้ชื่อว่าสาร Enkephalins (ในภาษากรีก egkephalos มีความหมายว่า ภายในกะโหลกศีรษะ) และต่อมาได้มีการค้นพบสารเอ็นโดฟินส์อีกหลายชนิดในมนุษย์ โดยคำว่า Endophine นั้นมีที่มาจากคำว่า Endogenous Morphine ซึ่งหมายถึงสารมอร์ฟีนที่ถูกผลิตขึ้นภายในร่างกายโดยธรรมชาติซึ่งไม่ก่อผล เสียต่อร่างกาย


เมื่อเรามีความสุขหรืออยู่ในสภาวะที่สุข สบาย (Pleasure experience) ไม่ว่าจะเป็นการจินตนาการหรือความรู้สึกจากประสาทรับสัมผัสทั้ง 5 เช่น การเล่นคลอเคลียกันสัตว์เลี้ยงแสนรัก การฟังดนตรีเพราะๆ การอ่านหนังสือที่ถูกใจ การดูภาพยนตร์ การออกกำลังกาย (ในบางตำรากล่าวว่าต้องเป็นการออกกำลังกายที่หนักๆ) การทำสมาธิ หรือการที่มีความรู้สึกรัก การได้พูดคุยกับคนที่เรารัก การได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เรารัก การได้สัมผัสถ่ายทอดความรักซึ่งกันและกัน กระทั่งการได้ร่วมรักกับคนที่เรารัก ขั้นตอนการเล้าโลม เหล่านี้เป็นการกระตุ้นให้สมองเกิดการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ขึ้น(โดยพบว่ามี การหลั่งสารเอ็นโดฟินส์อย่างมากในช่วง orgasm)

เมื่อสารเอ็นโดฟินส์ที่หลั่งออกมานี้จะไปจับกับตัวรับ(receptor) ชนิด Opioid ในสมอง ก็จะมีผลโดยรวมทำให้เกิดการหลั่งของสารโดปามีน(Dopamine) มากขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดผลดีต่อร่างกายต่างๆ เช่น บรรเทาความเจ็บปวด เกี่ยวข้องกับสมดุล ความหิว การนอนหลับ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ ระบบควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย นอกจากนี้ยังมีผลต่อการควบคุมการสร้างฮอร์โมนเพศ (sex hormones) และที่สำคัญสารเอ็นโดฟินส์สามารถส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่าง กาย (Immune system) โดยมีการศึกษาและรายงานถึงผลของการหัวเราะว่าทำให้เกิดการหลั่งสารเอ็นโด ฟินส์ในสมองมากขึ้น จะเกิดการกดการทำงานของ Stress hormone หรือฮอร์โมนที่หลั่งเมื่อร่างกายเผชิญกับสภาวะที่เครียด เช่น Adrenaline มีผลทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้อาการปวดบรรเทาลง และมีผลทำให้หลอดเลือดขยายตัวได้ดีขึ้น ทำให้เม็ดเลือดขาวเดินทางเข้าไปฆ่าเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น โอกาสเจ็บป่วยก็จะลดลง คือทำให้สุขภาพแข็งแรงขึ้นนั่นเอง ดังนั้นการที่มีกิจกรรมใดก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกเป็นสุขมีการหลั่งสารเอ็น เอ็นโดฟินส์ย่อมมีส่วนเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกายได้เสมอ


เนื่อง จากร่างกายกับจิตใจมีความเชื่อมประสานกันอย่างแยกไม่ได้ ในบางครั้งอาจเคยสังเกตว่าเวลาไม่สบายกาย จิตใจก็มักหงุดหงิดหรือหดหู่ไปด้วย หรือเวลาที่ไม่สบายใจ ร่างกายก็พลอยเบื่ออาหาร นอนไม่หลับไปด้วย ดังนั้นเวลาที่คนเราไม่สบาย นอกจากการรับประทานยาตามแพทย์สั่งแล้ว การอยู่ในสภาวะที่มีความสบายกาย และสบายใจ หรือมีความสุขใจ ก็มีผลดีต่ออาการเจ็บป่วยทางร่างกาย การมีความรัก มีคนรักคอยเอาใจใส่ดูแลอยู่ใกล้ๆ การได้รับสัมผัสการกอด จูบ การลูบหัว จับมือจากคนรัก ซึ่งจะทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ สบายใจขึ้นทันที เป็นสิ่งที่ทำให้เกิด Pleasure experience เมื่อมีการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์แล้ว คนรักที่กำลังไม่สบายก็จะรู้สึกเจ็บปวดน้อยลง การทำงานของเม็ดเลือดขาวและระบบภูมิคุ้มกันโรคก็แข็งแรงขึ้น มีผลให้หายเจ็บป่วยได้ไวขึ้นเช่นกัน ดังจะเห็นได้ว่าความรักนั้น นอกจากจะทำให้สุขใจแล้ว ยังทำให้สุขกายได้อีกด้วย


ในผู้ ที่ติดสารเสพติดนั้น เหตุผลของการใช้สารเสพติดมักเกี่ยวข้องกับความต้องการคลายเครียด คลายความทุกข์ใจ อยากรู้สึกสนุกหรือมีความสุขมากขึ้น ฯลฯ ซึ่งจะพบว่า ถ้าครอบครัว และสังคม มีความรัก ความอบอุ่นให้แก่กันเพียงพอ และรู้จักการหาความสุขจากกิจกรรมที่สร้างสรรค์ ก็จะเกิดการหลั่งของ Endogenous Morphine หรือ Endorphine ทำให้รู้สึกสุขสบาย ไม่ต้องหาสารสุขจากภายนอก เชื่อว่าจะช่วยลดปัญหาการใช้สารเสพติดลงได้เป็นอย่างยิ่ง

อดรีนาลีน (Adrenaline) เป็น “ฮอร์โมน” สร้างขึ้นจากต่อมหมวกไตของสัตว์ อดรีนาลีนจะหลั่งออกมาขณะที่ โกรธ, ตกใจ, ตื่นเต้น อย่างรุนแรง เป็นวิวัฒนาการที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเพื่อรับมือกับ สถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพทางร่างกายในระยะเวลาอันสั้น เลือดสามารถไปเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ออกซิเจนสามารถเข้าสู่ปอดได้อย่างรวดเร็ว

ทุกครั้งที่เกิดภาวะเครียด โดยเฉพาะความเครียดเรื้อรังนั้นมีผลโดยตรงต่อการทำงานของร่างกาย ทุกระบบจะทำงานหนักมากขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ กลไกลที่ผลต่อร่างกายก็คือ เมื่อภายใต้จิตสำนึกของคุณเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งเรียกว่า อะดรีนาลิน (Adrenaline) ผลของฮอร์โมนชนิดนี้กระทบและเป็นผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก เมื่อร่างกายมีการหลั่งจะทำให้หลอดเลือดในร่างกายบีบตัว


ที่มา
http://atcloud.com/groups/190/show_story?story_id=64049
http://www.nookjung.com/health/tag/adrenaline

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

เทคโนโลยีการเข้ารหัสลับ Cryptography

เทคโนโลยีการเข้ารหัสลับหรือวิทยาการการเข้ารหัสลับนั้นเริ่มเป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโรมัน พัฒนาจากแนวคิดเกี่ยวกับ พื้นฐานในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และพัฒนาเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งกลายเป็นกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ในการเข้ารหัสลับ (Cryptographic Algorithms) โดยการสร้างสิ่งที่อยู่ในรูปตัวอักษร อักขระ ตัวเลข หรือสัญลักษณ์ใดๆ ขึ้นมา และเรียกสิ่งนั้นว่า “กุญแจ (key)” และใช้ “กุญแจ (key)” นั้นเอง เป็นกลไกสำคัญในการ “เข้ารหัส” และ “ถอดรหัส”

คำศัพท์สำคัญพื้นฐานในการทำความเข้าใจวิทยาการการเข้ารหัส
ในการทำความเข้าใจพื้นฐานของวิทยาการในการเข้ารหัสนั้น จำเป็นต้องทำความเข้าใจคำศัพท์หลายคำเช่นกันซึ่งมีความสำคัญต่อขั้นตอนวิธีในการเข้าและถอดรหัส อันได้แก่

“การเข้ารหัส (encryption)” และ “การถอดรหัส (decryption)”
“การเข้ารหัส” หมายถึง การแปลงข้อความหรือข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์รูปหนึ่งที่อ่านได้ (plaintext) ให้อยู่ในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมซึ่งอ่านไม่ได้ (ciphertext) ส่วน “การถอดรหัส” หมายถึงการแปลงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์จากรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม (ciphertext) นั้น ให้กลับไปอยู่ในรูปของข้อความหรือข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบเดิมก่อนการเปลี่ยนแปลง (plaintext)

Source: Secure Electronic Commerce,
Warwick Ford and Michael S. Baum, Prentice Hall PTR, 1997

สำหรับกระบวนการข้างต้นในการแปลงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่อ่านได้เป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่อ่านไม่ได้จะนี้เรียกว่า “การเข้ารหัส (Encryption) และการแปลงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์กลับให้อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่อ่านได้เรียกว่า “การถอดรหัส (Decryption)”
“กุญแจ (key)”
คำว่า “กุญแจ (key)” ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเข้ารหัสหรือถอดรหัสนั้น จะสร้างขึ้นด้วยกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่คำนวณโดยอัตโนมัติ และได้ผลลัพธ์ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของ อักษร อักขระ ตัวเลข หรือสัญลักษณ์ใดๆ ก็ได้ เช่น

D3K7EF8C9FE98A4B58CB2A57FD814BF78BC3D98B15FE8A
4FA8EB33C2F5D569FFB4A0012CF16EDA45CEF79AA5F1D3
AF7D9B46CF711CE84DEA011BF8A2D75F9CA701AD4B8A9F


คำว่า “กุญแจ” ในที่นี้จึงต่างไปจาก “กุญแจ” เป็นดอกๆ สำหรับใช้ไขแม่กุญแจทั่วไป แต่เหตุที่เรียกว่า “กุญแจ” อาจจะด้วยวัตถุประสงค์ในการสร้างขึ้นมาในการใช้เข้ารหัสโดยแปลงข้อความหรือตัวหนังสือที่อ่านเข้าใจได้ (plaintext) ให้อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งอ่านไม่ได้หรืออ่านไม่เข้าใจ(ciphertext)และในการใช้ เพื่อถอดรหัสโดยทำหน้าที่ในการแปลงข้อความที่อ่านไม่ได้หรืออ่านไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของสิ่งๆนั้นให้อยู่ในรูปของข้อความที่ อ่านได้หรือสามารถเข้าใจได้ถึงวัตถุประสงค์ของสิ่งๆ นั้น
การทำงานของ “กุญแจ” โดยทำให้ข้อความนั้นเป็นความลับจึงคล้ายกับการปิดไม่ให้บุคคลอื่นได้รับรู้หรือเข้าถึงหรือเข้าใจ และสามารถใช้ไขความลับของข้อความนั้นได้คล้ายกับการเปิดออกอ่านได้ จึงน่าจะเป็นที่มาของการใช้คำว่า “กุญแจ”

“กุญแจคู่ (key pairs)”
“กุญแจคู่” จะประกอบด้วยกุญแจสองข้างที่สร้างขึ้นมาพร้อมกันด้วยกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า “ระบบรหัสแบบอสมมาตร” โดยกุญแจข้างหนึ่งเรียกว่า “กุญแจส่วนตัว (private key)” ส่วนอีกข้างเรียกว่า “กุญแจสาธารณะ (public key)” เหตุที่เรียกต่างกันเพราะลักษณะการทำงานของกุญแจทั้งสองข้างที่ต่างกัน กล่าวคือ “กุญแจส่วนตัว” นั้น ใช้ในการสร้างลายมือชื่อดิจิทัลเพื่อระบุหรือยืนยันตัวบุคคล ส่วน “กุญแจสาธารณะ” นั้นใช้ในการตรวจสอบลายมือชื่อ ดิจิทัล กุญแจทั้งสองข้างซึ่งสร้างขึ้นมาพร้อมกันนี้จึงเป็นกุญแจที่มีความสัมพันธ์กันในเชิงตรรกะซึ่งต้องใช้ควบคู่กันเสมอ7

“กุญแจส่วนตัว (private key)” หมายความถึง กุญแจที่ใช้ในการสร้างลายมือชื่อดิจิทัล

“กุญแจสาธารณะ (public key)” หมายความถึง กุญแจที่ใช้ในการตรวจสอบลายมือชื่อดิจิทัล

ประเภทระบบการเข้ารหัส
อย่างไรก็ตาม วิทยาการการเข้ารหัสนั้นสัมพันธ์อย่างยิ่งกับกลไกการทำงานของ “กุญแจ” ที่สร้างขึ้นให้อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพราะในการเข้ารหัสแต่ละครั้งอาจใช้กุญแจเพียงแค่ข้างเดียวหรือหลายข้างต่างวัตถุประสงค์กันไป จึงทำให้สามารถแยกประเภทของการเข้ารหัสตามจำนวนกุญแจที่นำมาใช้ได้ ดังนี้

ระบบการเข้ารหัสแบบกุญแจสมมาตร (Symmetric Key Cryptosystem)

รูปการเข้ารหัสแบบ Secret Key Encryption

การเข้ารหัสแบบสมมาตรนี้อาจจะเป็นการเข้ารหัสอย่างง่าย เช่น กำหนดเพียงให้เลื่อนพยัญชนะออกไปอีก 1 ตำแหน่งกล่าวคือคำว่า “กฎหมาย” หากเลื่อนตำแหน่งพยัญชนะไป 1 ตัว ก็จะปรากฎเป็นดังนี้ “ขฏฬาย” แทนคำว่า “กฎหมาย”จะเป็นการนำข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แบบธรรมดาเข้ารหัสโดยการแปลงข้อมูลนั้นให้อยู่ในรูป ที่ไม่สามารถอ่านได้ด้วยการใช้กุญแจดอกเดียวกันหรือสูตรเดียวกันผ่านกระบวนการทางคณิตศาสตร์ทั้งในการเข้ารหัสและถอดรหัสเพื่อ แปลงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่อ่านไม่ได้ให้เป็นข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์ที่อ่านได้ ดังนั้นเมื่อใช้กุญแจในการเข้ารหัสแล้วก็ต้องส่งมอบกุญแจนั้นให้กับผู้รับ อีกฝ่ายซึ่งต้องใช้กุญแจดอกเดียวกันในการถอดรหัส และต้องมีการเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับกุญแจไว้เป็นความลับเพื่อความปลอดภัยของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ กรณีที่ไม่ประสงค์ ให้บุคคลที่สามหรือบุคคลอื่นได้ล่วงรู้อันอาจนำกุญแจไปใช้ในทางมิชอบโดยการเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณะชนได้รับรู้ อย่างไรก็ตาม ระบบการเข้ารหัสแบบสมมาตรมีข้อดี คือ อาจตกลงให้มีการเข้ารหัสแบบง่ายๆ เช่น การเลื่อนพยัญชนะ หรือกรณีที่มีการใช้เทคโนโลยีซับซ้อนขึ้น การเข้ารหัสแบบนี้ก็จะช่วยให้สามารถเข้ารหัสและถอดรหัสได้รวดเร็ว แต่ก็มีข้อเสียเพราะข้อตกลงให้มีการเข้ารหัสแบบง่ายๆ อาจทำให้บุคคลอื่นล่วงรู้ได้ง่าย และในกรณีที่มีการใช้ระบบกุญแจก็จะประสบปัญหาในด้านการบริหารจัดการกุญแจเพราะในการใช้กุญแจเพื่อเข้ารหัสและถอดรหัสนั้นจะต้องใช้กุญแจอันเดียวกัน ผู้สร้างกุญแจจึงต้องแจ้งให้บุคคลอื่นทราบเพื่อใช้ในการถอดรหัส ซึ่งการจะทำสำเนาให้บุคคลหลายคนเพื่อใช้ร่วมกันก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาในการระบุตัวบุคคล การแสดงความผูกพันหรือความรับผิดที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมในครั้งนั้น ดังนั้น โดยทั่วไปในการใช้กุญแจในระบบสมมาตรจึงมักมีการสร้างกุญแจขึ้นแบบสำหรับคนสองคนใช้ร่วมกัน ดังนั้นหากมีหลายคน ถ้าไม่ต้องการให้กุญแจซ้ำกันก็ต้องให้กุญแจหลายดอก เป็นจำนวนมากเพื่อความคล่องตัวและสะดวกในการใช้งานสำหรับกรณีที่ต้องติดต่อสื่อสารกับคนเป็นจำนวนมาก เช่น คนสี่คนติดต่อกัน จะต้องใช้กุญแจคนละ 3แบบ รวมทั้งสิ้นมีคู่กรณีได้ 6 คู่ รวมกุญแจทั้งสิ้น 6 แบบ ถ้าคน 100 คนจะต้องใช้กุญแจจำนวนมากซึ่งก็จะ เกิดปัญหามากมายติดตามมาเช่นกันในการบริหารจัดการกุญแจซึ่งมีเป็นจำนวนมาก

ระบบการเข้ารหัสแบบกุญแจอสมมาตร (Asymmetric Key Cryptosystem)

รูปการเข้ารหัสแบบ Public Key Encryption

ระบบการเข้ารหัสแบบอสมมาตรเป็นการเข้าและถอดรหัสโดยใช้กุญแจสองดอก กุญแจข้างหนึ่งใช้เข้ารหัส อีกข้างหนึ่งหรืออีกดอกหนึ่งใช้ในการถอดรหัส ข้างที่ใช้ในการเข้ารหัสต้องเก็บไว้เป็นความลับ ส่วนข้างที่ใช้ในการถอดรหัสไม่จำต้องเก็บไว้เป็นความลับแต่อย่างใด (หรือจะใช้กลับกันก็ได้แล้วแต่วัตถุประสงค์)
กุญแจที่สร้างขึ้นจะสร้างขึ้นพร้อมกันเรียกว่า “กุญแจคู่ (Key Pair)” ข้างที่ใช้ในการเข้ารหัสเรียกว่า “กุญแจส่วนตัว(Private Key)” ส่วนอีกข้างใช้ในการถอดรหัสเรียกว่า “กุญแจสาธารณะ (Public Key)” และโดยทั่วไปกุญแจทั้งสองข้างแม้สร้างขึ้นมาพร้อมกันแต่ก็จะมีลักษณะไม่เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น การเข้ารหัสและถอดรหัส หากใช้กุญแจข้างเดียวกัน จะไม่ได้ผลต้องใช้อีก ข้างหนึ่งซึ่งสร้างขึ้นมาพร้อมกันเท่านั้นจึงจะบรรลุวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้

ข้อดีของการเข้ารหัสแบบสมมาตร
1. การเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูลใช้เวลาน้อย เพราะว่าอัลกอริทึมที่ใช้ไม่ได้สลับซับซ้อน
2. ขนาดของข้อมูลหลังจากทำการเข้ารหัสแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงไม่มาก หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่า ข้อมูลหลังจากทำการเข้ารหัสแล้ว จะมีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าเดิมมากนัก

ข้อด้อยของการเข้ารหัสแบบสมมาตร
1. การจัดการกับกุญแจลับที่ยุ่งยาก เพราะ Mr. A ต้องจำให้ได้ด้วยว่า ถ้าจะติดต่อกับ Mr. B ต้องใช้กุญแจลับดอกไหน หรือติดต่อกับนายขาวต้องใช้กุญแจลับดอกไหน
2. การกระจายกุญแจลับ เนื่องจากการเข้ารหัสวิธีนี้ต้องใช้กุญแจลับ 1 ดอกต่อผู้รับ 1 คน ดังนั้นถ้า Mr. A ต้องติดต่อกับคนมากๆ Mr. A ก็ต้องส่งกุญแจลับที่ใช้ไปให้กับทุกคน

ที่มา

http://www.ecommerce.or.th/ictlaw/et/explain/chapter2-2-3.html

http://www.nextproject.net/contents/default.aspx?00044

http://www.vcharkarn.com/va2/index.php/my/show/17025/article

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

LCD หรือ LED ซื้ออะไรดี?


เท่าที่ทราบผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็ยังสับสนระหว่างจอ LED กับ LCD อยูดี ทั้งนี้เข้าใจว่า ฝ่ายการตลาดเรียก LED TV ก็เพื่อทำให้มันแตกต่างจาก LCD TV นั่นเอง

LED ย่อมาจาก Light-emitting-diode ซึ่งมันไม่ได้หมายถึง "ชนิด" ของทีวี แต่มันหมายถึงชนิดของ "เทคโนโลยีที่ใช้ส่องสว่างด้านหลังจอ" หรือ backlight ต่างหาก ในขณะที่ TV ทั้งสองชนิดยังคงเป็น LCD เหมือนเดิม ทั้งนี้ LCD จะย่อมาจาก Liquid-crystal display ซึ่งมันคือชนิดของเทคโนโลยีทีวี และมอนิเตอร์ โดยทั่วไป LCD จะใช้แสงสว่างส่องด้านหลัง (backlight) เป็น CCFL (Cold Cathode Fluorescent Lamp) เพื่อให้ความสว่างกับภาพในจอ LCD นั่นเอง แต่ LED TV จะแทนที่ CCFL ด้วย LED ทำให้ได้ภาพที่มีสว่าง-คม-ชัด-ลึกมากกว่า เรียกว่า คอนทราสของมันให้ความ "สว่างไสว-มึดสนิท" อย่างแท้จริง รวมถึงสีสันที่สมจริงมากขึ้นอีกด้วย ขออนุญาตอธิบายความแตกต่างอย่างสั้นๆ อีกครั้งตรงนี้นะครับ

กลับ มาที่คำถามว่า LED ดีกว่า LCD อย่างไร? นอกจากเรื่องของความสว่างคมชัด-คอนทราสสุดๆ แล้ว การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวทำให้ผู้ผลิตสามารถออกแบบจอ LED TV ได้บางกว่า LCD TV มาก ส่วนข้อดีข้อต่อไปก็คือ LED TV เป็นมิตรกับธรรมชาติ เนื่องจากไม่ได้ใช้ CCFL ที่มีสารปรอท (สารพิษอันคราย) แถมยังใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ที่สำคัญ มันมีอายุการใช้งานที่นานกว่าจอ LCD อีกต่างหาก (โดยทั่วไปจะนานกว่าประมาณ 2 เท่า) ฟังข้อดีมาเยอะแล้ว ข้อเสียของ LED TV ก็คือ มันแพงกว่ามาก โดยผู้ผลิตให้เหตุผลว่า ราคาที่สูงขึ้นเกิดจากการออกแบบให้บางลง และคุณภาพของความคมชัด ซึ่งคุณสมบัติทั้งสองอย่างนี้เกิดจากการเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีส่องสว่างด้าน หลังจอด้วย LED โดยแท้ นอกจากนี้ LED TV รุ่นใหม่ยังมีการเพิ่มคุณสมบัติให้แพงเว่อร์ขึ้นไปอีกด้วย เทคโนโลยี 240Hz ที่ำให้ได้ชมการแสดงผลภาพเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลยิ่งขึ้น

หาก พิจารณาจากข้อดีข้อเสียแล้ว LED TV หรือทีวีแอลซีดีที่ใช้แบคไลท์เป็น"แอลอีดี"เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าอยู่ ดี โดยเฉพาะคุณภาพที่ได้ แม้มันจะมีราคาที่แพงกว่า แต่คุณก็ได้อายุการใช้งานคืนมา ดังทีได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ก่อนจบคำถาม (ที่ไม่รู้ว่าตอบยาวไป หรือเปล่า?) มีทิปเล็กๆ น้อยๆ ก่อนชอปมาฝากด้วยครับ โดยหากคุณตัดสินใจที่จะซื้อเป็น LED TV แนะนำให้เลือกรุ่นทีมาพร้อมกับ Local dimming ซึ่งมันสามารถปิดกลุ่ม LED สำหรับพิกเซลของภาพที่เป็นสีดำ (ไม่มีประโยชน์ที่จะส่องสว่างพิกเซลที่ต้องมึดสนิท) ด้วยวิธีนี้นอกจากจะได้คอนทราสเพิ่มขึ้นแล้ว มันยังช่วยประหยัดพลังงานอีกด้วย

ที่มา http://www.arip.co.th/tips.php?id=409589

7 ทิปส์เด็ดๆ ของ Windows 7

วันนี้เราได้นำ 7 ทิปส์เด็ดๆ ของ Windows 7 มาเรียกน้ำย่อยกันก่อน ไปดูกันเลย

1. สลับเปลี่ยนไปยังหน้าต่างที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย

ใน กรณีที่ผู้ใช้งานเปิดไฟล์จำนวนหลายๆ ไฟล์จากโปรแกรมเดียวกัน อย่างเช่น โปรแกรมไมโครซอฟท์ เวิร์ด วินโดวส์ 7 จะช่วยให้คุณสับเปลี่ยนระหว่างหน้าต่างได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น เพียงแค่กดปุ่ม Ctrl ในขณะคลิกที่ไอคอนบนทาสก์บาร์ หน้าต่างก็จะเปลี่ยนเป็นหน้าต่างถัดไป โดยคุณสามารถเลือกเปิดหน้าต่างที่คุณต้องการได้

2. กำหนดขนาดของหน้าต่างตามความต้องการของผู้ใช้งาน

วินโดวส์ 7 ช่วยให้การจัดการเอกสารและโปรแกรมต่างๆทำได้ง่ายขึ้น โดยผู้ใช้งานสามารถกำหนดขนาดของหน้าต่างได้โดยการเลือกคลิกเมาส์ หรือ ใช้แป้นพิมพ์ หากต้องการขยายหน้าต่างให้มีขนาดเป็นครึ่งหนึ่งของหน้าจอ ผู้ใช้งานเพียงแค่ลากหน้าต่างไปชนกับหน้าจอทางด้านซ้าย หรือ ขวา และหน้าต่างนั้นก็จะมีขนาดเป็นครึ่งหนึ่งของหน้าจอทันที ในกรณีที่ต้องการขยายขนาดของหน้าต่างนั้นให้เต็มหน้าจอ ผู้ใช้งานเพียงแค่ลากหน้าต่างไปด้านบนของจอเพื่อขยายหน้าต่างให้เต็มจอ หรือ ดับเบิ้ล คลิก ที่มุมด้านบน หรือด้านล่างของหน้าต่างเพื่อปรับเปลี่ยนขนาดของหน้าต่าง ในขณะที่หน้าต่างนั้นยังมีความกว้างเท่าเดิม

ผู้ใช้งานยังสามารถกำหนดขนาดของหน้าต่างได้โดยใช้แป้นพิมพ์ ดังต่อไปนี้

windows 7 + ลูกศรซ้าย และ windows 7 + ลูกศรขวา เพื่อขยายหน้าต่างให้มีขนาดครึ่งหนึ่งของหน้าจอ

windows 7 + ลูกศรบน และ windows 7 + ลูกศรล่าง เพื่อขยายและลดขนาดของหน้าต่าง

windows 7 + Shift +ลูกศรบน และ windows 7 + Shift + ลูกศรล่าง เพื่อขยายหน้าจอ หรือ ปรับหน้าจอให้มีขนาดเท่าเดิม

3. เชื่อมต่อกับเครื่องโปรเจคเตอร์ได้อย่างง่ายๆ

เพียง แค่เชื่อมต่อกับเครื่องโปรเจคเตอร์ ผู้ใช้งานก็จะสามารถแสดงข้อมูลที่ต้องการบนโปรเจคเตอร์ได้อย่างง่ายดายด้วย ปลายนิ้วเพียงแค่มีไดรเวอร์ของวินโดวส์ 7 อย่าง displayswitch.exe เมื่อผู้ใช้งานกดปุ่ม windows 7 + P หน้าต่างในการควบคุมโปรเจคเตอร์ก็จะปรากฏขึ้นมาโดยทันที

windows 7

เมื่อเลื่อนลูกศร หรือ กดปุ่ม windows 7 + P ผู้ใช้งานจะสามารถเลือกรูปแบบการทำงานที่ต้องการได้ อาทิ clone, extend หรือ external only

4. จัดการกับการแสดงผลบนจอมอนิเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ

วินโดวส์ 7 ช่วยให้การทำงานกับจอมอนิเตอร์หลายมอนิเตอร์มีประสิทธิภาพและสะดวกยิ่งขึ้น ในกรณีที่ผู้ใช้งานจำเป็นที่จะต้องทำงานกับจอมอนิเตอร์มากกว่าหนึ่งจอ ผู้ใช้งานสามารถใช้คีย์บอร์ด windows 7 + Shift + ลูกศรซ้าย และ windows 7 + Shift + ลูกศรขวา ในการสลับการแสดงผลระหว่างจอมอนิเตอร์ได้

5. แอบดูเดสก์ท็อปได้ด้วย Aero Peek

เครื่อง มือที่มีประโยชน์มากในวินโดวส์ 7 ที่คนทั่วไปอาจจะยังไม่รู้จักกันนักก็คือ Windows® Aero® Feature ที่เรียกว่า Aero Peek โดยผู้ใช้งานเพียงแค่คลิกที่สี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมล่างขวามือของทาสก์บาร์ จากนั้นหน้าเดสก์ท็อปก็จะปรากฏขึ้น นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวได้โดยใช้ปุ่ม windows 7 + Space

windows 7


6. หมดปัญหากับเรื่องยุ่งยากด้วย Aero shake

วินโดวส์ 7 ช่วยขจัดความวุ่นวายของการเปิดหน้าต่างหลายๆ หน้าต่างภายในเวลาเดียวกันนอกเหนือไปจากหน้าต่างที่คุณกำลังทำงานอยู่ได้ เพียงแค่จับที่ด้านบนของหน้าต่างที่คุณต้องการทำงานแล้วเขย่าไปมา หรือกดปุ่ม windows 7 + Home ผู้ใช้งานก็จะสามารถลดขนาดของหน้าต่างอื่นๆที่ไม่ได้ใช้งานลงได้ทันที หากผู้ใช้งานต้องการให้หน้าต่างกลับมามีขนาดเท่าเดิมก็สามารถทำได้เพียง เขย่าหน้าต่างที่ทำงานอยู่ หรือแค่กดปุ่ม windows 7 + Home อีกครั้ง

7. ใช้ Help Desk จัดการปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ

การ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์อาจเป็นเรื่องยุ่งยากทั้งกับผู้ใช้งานและ Help Desk นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ วินโดวส์ 7 หาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย Problem Steps Recorder เครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานบันทึกปัญหาที่พวกเขาพบในแต่ละขั้นตอนได้ อย่างง่ายดาย เพียงแค่คลิกที่เมนู record จากนั้นจึงเพิ่มข้อคิดเห็นที่ต้องการลงไป ไฟล์ HTML ดังกล่าวก็จะเปลี่ยนเป็นไฟล์ .ZIP ในทันที ซึ่งจะช่วยให้การส่งต่อไปยัง Help Desk ทำได้ง่ายขึ้น ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปที่เมนูดังกล่าวได้จาก Control Panel ภายใต้คำสั่ง ‘Record steps to reproduce a problem’ หรือ เปิดโปรแกรม psr.exe จาก Explorer

ข้อมูลจาก : Microsoft Media Newsletter
http://www.arip.co.th/tips.php?id=409794

ความต้องการพื้นฐาน (Basic Needs)


โดยหลักวิชาจิตวิทยาและหลักการสร้างแรงจูงใจ (Motivation)
ได้กำหนดไว้ตามแนวของมาสโลว์ (Abraham Maslow) ว่ามนุษย์ทุกคนมีความต้องการ 5 ขั้นเสมอ

เรียกว่า ความต้องการพื้นฐาน (Basic Needs) คือ

1. ความต้องการเกี่ยวกับร่างกาย (Physiological Needs) ได้แก่ ปัจจัย 4 (เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย อาหาร ยารักษาโรค) ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องเพิ่มอีกหนึ่งก็คือ ความต้องการทางเพศ (Sex)

2. ความต้องการเกี่ยวกับความมั่นคงและความปลอดภัย (Safety Needs)

3. ความต้องการเกี่ยวกับสังคมหรือความผูกพันในสังคม (Belonging Needs)

4. ความต้องการที่จะมีเกียรติ มีชื่อเสียง (Esteem Needs)

5. ความต้องการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต หรือพิสูจน์ตนเองว่าได้ก้าวมาถึงจุดมุ่งหมายสุดยอดที่ตั้งไว้แล้ว (Self Actualization Needs)

คน EGO สูง



ผมคิดว่า
คนที่เรามักเรียกกันว่า EGO สูง
จริงๆแล้ว EGO ไม่แข็งแรงครับ

เลยต้องชนะ ต้องเก่ง ต้องถูกเสมอ
ไม่อย่างนั้น EGO จะเจ็บปวด และย่อยยับมากจนทนไม่ได้
พบบ่อยในคนที่มาจากครอบครัวที่คาดหวังและกดดัน


ทางรักษาหรือ?
ผมก็ไม่รู้หรอก
แต่คิดว่าที่เราจะพอทำได้ ก็คือ

รักเขาหรือเธอให้มากขึ้น
ให้ความมั่นใจว่าไม่ว่าเขาหรือเธอจะพ่ายแพ้หรือผิดพลาด เราก็ยังรักเขาหรือเธอเท่าเดิม

ความรู้ ความสามารถ และความพยายามของเขาและเธอเหล่านั้นมีความหมายและมีคุณค่าเสมอ
แม้ในวันที่พ่ายแพ้

ผมเชื่อว่านิสัยนี้จะหายไปเมื่อ EGO ของเขาและเธอแข็งแรงดีแล้ว

มาว่ากันโดยทฤษฏีกันเถอะ

ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) บิดาแห่งวิชาจิตวิเคราะห์ (Psycho-analysis) เชื่อว่าจิตประกอบด้วยพลังจิต 3 ส่วนคือ
อิด (Id) = เป็นแรงขับให้เกิดความต้องการ เช่น ความหิว ความรัก เป็นต้น
อีโก้ (Ego) = เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ตัดสินใจ
ซูเปอร์อีโก้ (Super Ego) = เป็นส่วนที่ได้รับการอบรมแล้ว รู้จักรับผิดชอบ รู้จักควบคุมอารมณ์และความรู้สึก

ฟรอยด์ สรุปว่า สัญชาตญาณความต้องการตามธรรมชาติ เช่น ต้องการอาหาร การนอน การขับถ่าย และการสืบพันธุ์ ฯลฯ เรียกว่า “อิด” (id) เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันจึงได้สร้าง “กติกา” ทางสังคมขึ้น เช่น วัฒนธรรม ศีลธรรม ศาสนา และกฎหมาย ฯลฯ จะได้จำกัดความต้องการตามสัญชาตญาณของตนเองลงเพื่อความสงบสุขเป็นระเบียบของ สังคมและตนเอง ฟรอยด์เรียกกติกาทางสังคมนี้ว่า “ซูเปอร์อีโก้” (super-ego) มนุษย์แต่ละคนจะประนีประนอมระหว่าง “อิด” กับ “ซูเปอร์อีโก้” ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน กลายเป็นบุคคลิกภาพหรือความเป็น “ตัวตน” ของคน ๆ นั้น ซึ่งฟรอยด์เรียกว่า “อีโก้” (ego)

จิตวิทยาวิเคราะห์ของฟรอยด์ เชื่อว่ามนุษย์รับรู้โลกภายนอกโดยผ่าน “จิตสำนึก” (conscious mind) ประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในจิตสำนึกตั้งแต่เด็ก ที่สุดแล้วมิได้หายไปไหน แต่ถูกเก็บไว้ในก้นบึ้งของจิตที่เรียกว่า “จิตใต้สำนึก” (subconscious mind) โดยเฉพาะประสบการณ์ที่มีผลกระทบกับเราอย่างรุนแรง ไม่ว่าทางดีหรือทางร้าย จะฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกยาวนานเป็นพิเศษ การควบคุมจิตใต้สำนึก ต้องฝึกการใช้จิตเหนือสำนึก (superconscious mind) เพื่อให้จิตสำนึกเป็นไปในทิศทางที่เป็นด้านบวก


แต่สำหรับพุทธวิทยาวิเคราะห์ของอวกาศ ขอตีความเองว่า...

อิด น่าจะหมายถึงกิเลสตัณหา ซึ่งซ่อนไว้ภายในจิตจนแทบเป็นเนื้อเดียวกัน แต่ไม่ใช่ เป็นเพียงแขกที่มาเยือนบ่อยจนขับไล่ได้ยาก จะแสดงสัญชาตญาณดิบการเพื่อป้องกันตัวเอง และเห็นแก่ตัวเป็นหลัก

อี โก้ น่าจะเป็นตัวตนตามที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน จะแสดงตัวออกมาอย่างไร จะปล่อยให้อิดหรือซูเปอร์อีโก้เข้ามามีผลต่อตัวเองอย่างไร ย่อมขึ้นอยู่ที่จิตสำนึกมีสติหรือฝึกฝนมาดีแค่ไหน ถ้าจะดับตัวตนนั้น จะต้องอยู่เหนือทั้งอิดและซูเปอร์อีโก้ เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งที่เจ็บปวดอีกต่อไป โดยเข้าไปถึงภาวะไม่มีอีโก้อีก หรือที่เรียกจิตเดิม ซึ่งชาวพุทธถือว่า ตัวจิตจริงๆ นั้น บริสุทธิ์เป็นประภัสสร ตัวจิตเดิมนี้ แสดงตัวออกมาบ่อยๆ ขณะที่จิตยังไม่ปรุงแต่งผ่านความดีชั่วใดๆ

ซูเปอร์อีโก้ น่าจะหมายถึงความดีงาม ความถูกต้อง และความเสียสละ เป็นต้น หากเป็นพวกยึดความดีมากเกินไป ก็มีปัญหาอีกเหมือนกัน ต่างจากคนทำดีที่ไม่ยึด แบบนั้นจะไม่เจ็บปวดเมื่อไม่เป็นไปดังใจนัก

อี โก้ หรือตัวตนของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร จะแสดงตัวออกมาอย่างไร มีความสำคัญมาก ยิ่งจิตสำนึกของคนในสังคมมีคุณภาพเท่าไหร่ สังคมก็จะสงบสุขมากเท่านั้น หากจิตสำนึกส่วนรวมต่ำ คนชั่วมากกว่าคนดี สังคมก็จะไปไม่รอด ... โลกก็จะไปไม่รอด ...


ที่มา http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=whitespace&month=05-2006&date=27&group=1&gblog=4