วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รวยได้จากแกลบ

คนไทยได้ รับการปลูกฝังให้รู้ซึ้งถึงบุญคุณของแม่พระโพสพมาช้านาน เราสามารถใช้ประโยชน์ได้ จากทุกส่วน ของต้นข้าว นอกจากเมล็ดข้าวที่หล่อเลี้ยงมนุษย์มานับร้อยนับพันปีแล้ว เรายังใช้ประโยชน์จากฟางข้าว หรือแม้กระทั่ง แกลบข้าวได้ด้วย โดยเป็นการใช้งานด้านการเกษตรอื่นๆ เช่น ใช้ฟางเพื่อเป็นอาหารของ วัว-ควาย เป็นเชื้อในการ เพาะเห็ด ใช้แกลบเป็นฉนวนความร้อน หรือใช้สารอินทรีย์ในแกลบเป็นเชื้อเพลิง สำหรับผลิตพลังงานในการสีข้าว เป็นต้น

เมื่อเราพิจารณาแกลบให้ชัดขึ้น โดยนำมาส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะเห็นพื้นผิวของแกลบ มีรูปร่างคล้ายข้าวโพด คือมีลักษณะเป็นเม็ดขนาดเล็กเรียงกันเป็นแนว และโครงสร้างภายใน มีความพรุนมาก เพื่อใช้เป็นทางลำเลียงน้ำและอาหารนั่นเอง

โครงสร้างนี้เกิด จากส่วนสำคัญสองส่วนคือ ส่วนที่เป็นสารอินทรีย์จำพวกเซลลูโลส ลิกนิน และส่วนที่เป็นสารอนินทรีย์ ซึ่งมีซิลิกา (SiO2) เป็นองค์ประกอบหลัก ธรรมชาติได้สรรสร้างให้องค์ประกอบทั้งสองส่วนนี้ผสมกลมกลืนกันอย่างน่าพิศวง หากเรารู้จักนำสมบัติเด่นของแกลบมาใช้ เช่น ความพรุนของแกลบ หรือ ซิลิกาในแกลบที่มีขนาดเล็กจิ๋วระดับนาโนเมตร (เท่ากับหนึ่งในสิบล้านส่วนของมิลลิเมตร) เป็นต้น ก็จะเกิดประโยชน์อย่างประเมินค่ามิได้

ตัวอย่างเช่น
การนำซิลิกาและสารอินทรีย์มาใช้ประโยชน์โดยตรง เรื่องนี้โรงสีข้าวคุ้นเคยเป็นอย่างดี คือการเผาแกลบ เพื่อใช้พลังงานจากสารอินทรีย์และ ขายเถ้าแกลบให้กับอุตสาหกรรมอื่น ที่ไม่ต้องการซิลิกา ที่มีความบริสุทธิ์มากนัก แต่ถ้าเราควบคุมการเผาให้เหมาะสม ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะเป็นซิลิกาที่มีความบริสุทธิ์สูง และมีความละเอียดมาก สามารถใช้ในงานที่ทำให้มูลค่าเพิ่มสูงขึ้นมาก เช่น ใช้เป็นองค์ประกอบในยาสีฟัน ในเครื่องสำอาง ในสีทาบ้าน ในโทนเนอร์ (toner) สำหรับเครื่องพิมพ์ เป็นต้น

นอกจากน
ี้ ยังสามารถนำแกลบและเถ้าแกลบมาแปรรูปเป็นสารประกอบซิลิกอนอื่นๆ ได้อีก เช่น ซิลิกอน (Si) ซิลิกอนคาร์ไบด์ (SiC) ซิลิกอนไนไตร์ด (Si3N4) ซิลิโคน เป็นต้น

ซิลิกอน
เป็นวัตถุดิบที่มีความสำคัญมากในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ใช้เป็นแผ่นรองแผงวงจรรวม ใช้ในการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ เป็นต้น

ซิลิกอนคาร์ไบด์/ซิลิกอนไนไตร์ด
เป็นสารประกอบที่มีความแข็งเกือบเทียบเท่าเพชร ทำให้สามารถใช้งาน ได้อย่างกว้างขวาง ในอุตสาหกรรมการผลิต

ซิลิโคนและสารประกอบซิลิกอนอื่นๆ
เป็นสารที่อุตสาหกรรมเคมีและปิโตรเคมีมีความต้องการใช้เป็นอย่างมาก

ภาพถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์แสดงพื้นผิวที่มีลักษณะคล้ายข้าวโพด

และภาคตัดขวางแสดงโครงสร้างที่มีความพรุนสูง


ประโยชน์จากการใช้แกลบยังมีอีกมาก ปัจจุบันอาจจะยังไม่มีการนำมาใช้จริงในระดับอุตสาหกรรม เนื่องจากคู่แข่ง ของการใช้ซิลิกาจากแกลบ ก็คือซิลิกาจากทราย ยังมีราคาถูกและหาได้ง่ายนั่นเอง แต่ถ้าพิจารณาถึง การแปรรูปซิลิกา ให้เป็น สารประกอบต่างๆ ที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น จะเห็นว่า ซิลิกาจากแกลบที่มีขนาดเล็กมากระดับนาโนเมตร (เมื่อเทียบกับ ทรายที่มีขนาดระดับมิลลิเมตร) ต้องการพลังงานในการแปรรูปน้อยกว่าหลายสิบหลายร้อยเท่า

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ผู้ผลิตจะเห็นว่าการใช้แกลบหรือเถ้าแกลบแทนทรายจะช่วยลดต้นทุนการผลิต ได้มาก แต่การเปลี่ยน กระบวนการผลิตก็ยังต้องการใช้การลงทุนสูงในเบื้องต้น จึงยังชะลอการลงทุนไว้ก่อน

ในอนาคตอันใกล้ ด้วยเหตุผลด้านวิกฤตพลังงาน ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านคุณภาพชีวิตชาวนา หรือด้านความสามารถ ในการแข่งขัน ตลอดจนการเกิดตลาดใหม่ที่มีผลตอบแทนคุ้มค่า (niche market) อาจทำให้มีความต้องการแกลบสูงมาก จนชาวนาเปลี่ยนมาขายแกลบเป็นหลัก แล้วแถมข้าวก็เป็นได้

ที่มา http://www.mtec.or.th/index.php?option=com_content&task=view&id=93&Itemid=36

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การแปลงไฟล์ทำ DVD คุณภาพสูง ด้วย Cinema Craft Encoder


มีโปรแกรมหลายตัวที่encodeออกมาได้ผลงานสวยดีมากๆ เช่น Cinema craft, Procoder, TMPGEnc, Main Concept


แต่ที่จะทำให้ดูนี่คือ Cinema craft


*สำหรับถ้าต้องการกำหนดขนาดไฟล์ที่ได้ให้ได้ดั่งใจ เช่น เอาพอดีแผ่นDVD5\9 เราจะต้องมาคำนวณ Video bitrate ที่จะใช้กันก่อน

DVD-R แผ่นนึงมีเนื้อที่ขนาด 4.37 GB หรือเท่ากับ 4483 mb ไปดูซิว่า audio file ของเรามีขนาดเท่าไหร่(mb) เช่น 167 mb ดังนั้น จะเหบือเนื้อที่ให้ส่วนของวิดีโอคือ 4483-167=4316 mb


จากนั้นคำนวณความยาวของวิดีโอของเราในหน่วยวินาที เช่น วิดีโอยาว 1h 44min 10sec ก็จะเท่ากับ 6250 วินาทีนั่นเอง จากนั้นเอาไปคำนวณตามสูตร mb*1024*8/sec =bitrate


ดังนั้นbitrateของวิดีโอเราก็ควรจะเท่ากับ 4316*1024*8/6250= 5657 kbps

แต่ต้องปรับลงให้เหลือซัก 5500 kbps เพราะต้องเผื่อเนื้อที่ไปให้สำหรับในส่วนของmuxing overhead และก็พวก menu, chapters ต่างๆ เป็นต้น สรุปก็คือให้ปรับลดลงจากที่คำนวณได้เล็กน้อย

ส่วนถ้าเป็น DVD9 ก็ทำเหมือนกันเพียงแค่เปลี่ยนขนาดความจุเป็น 8152mb ก็จะได้วิดีโอที่นานขึ้น หรือ bitrate เพิ่มขึ้นก็ได้

หมายเหตุ : bitrate เป็นค่าหนึ่งที่พอจะบ่งบอกได้ถึงคุณภาพของไฟล์นั้นๆ

การแปลงไฟล์จากต้นฉบับที่มีbitrateต่ำๆไปเป็นbitrateที่สูงขึ้น ไม่ได้ทำให้คุณภาพเพิ่มขึ้นเลย แต่กลับทำให้ได้ไฟล์ขนาดใหญ่ขึ้นโดยไม่จำเป็น

เปิดโปรแกรม Cinema craft (ชื่อย่อCCE) จับไฟล์วิดีโอของเราโยนเข้าไป(จะใช้เป็นAviSynth scrip หรือ Frameserver ก็ได้) คลิกขวาที่ไฟล์แล้วเลือก Setting ตั้งค่าต่างๆตามนี้คือ


Output files : เลือกที่ๆเราจะเก็บผลงาน ติ๊กตรง Audio file ออกไปด้วย ถ้าหากว่าเราใช้BeSweet ทำไปแล้ว


Audio setting : Format:MPEG-1 Bitrateก็แล้วแต่ เช่น 224, 192 เป็นต้น แล้วมันก็จะโชว์ขนาด file size ของAudioมา ซึ่งเราสามารถเอาไปใช้คำนวณหาขนาดไฟล์ของวิดีโอ (กรณีไม่ได้แยกเอาaudioออกมาทำต่างหาก)


Video setting :

Mode : MPEG-2 for DVD

ถ้าต้องการลดเวลาที่ใช้ในการencodeให้เลือก 1-pass VBR, Q=60 แต่จะได้คุณภาพดีน้อยลง

สำหรับาคุณภาพสูงให้เลือก Multipass VBR. Pass อย่างน้อย2-3ขึ้นไป แต่เกิน5ขึ้นไปก็แยกแทบไม่ออกแล้ว อาจจะทำให้เสียเวลาเกินไป ปกติผมใช้3pass ถ้ารีบหน่อยก็ใช้2


Video information file : ติ๊กให้ Create new


Frame rate : สำหรับ PAL เลือกเป็น 25, 720*576 (สำหรับNTSC เลือกเป็น 29.97, 720*480) ก็จะได้ Frame size มาในขนาดตามนั้น (ถ้ามันไม่ยอมขึ้นให้ก็พิมพ์ใส่เอง)


Frame size : [Area setting] ไปเช็คดูว่า ตำแหน่งของ Output file เป็นดังที่ต้องการหรือไม่

คลิก Move to center เพื่อเลื่อนให้อยู่ตรงกลางframe

(w,h) ให้ใส่ขนาดตามต้องการ ถ้าต้องการคงอัตราส่วนเดิมให้คำนวณ เทียบบัญญัตญางค์ให้ดี สังเกตจาก Zooming Herizontal ต้องเท่าหรือเกือบเท่ากับ Vertical

Interpolation method : เลือกเป็น Lanczos interpolation

ติ๊ก Progressive frame สำหรับ Progressive source

File size : เลือกเป็น mb แล้วใส่ตามที่เราต้องการว่าจะให้ออกมาเป็นขนาดเท่าไหร่ หรือจะไปกำหนดเองจากที่เราคำนวณ bitrate ก็ได้


Bitrate (kbits/sec) : Avg เป็นค่าbitrateเฉลี่ย ใส่ค่าที่เราคำนวณลงไป เช่น จากที่คำนวณได้เมื่อกี๊คือ 5500 (จากAvg5500) Minก็ใส่ซัก 2500(ต่ำสุด0) Maxก็ใส่ซัก 8500(มากสุด9000)

Aspect ratio : สำหรับvideoที่ถ่ายมาทั่วไปก็ใช้ 4:3 แต่ถ้าตอนถ่ายกำหนดเป็น 16:9 ก็ให้ตั้งเป็น 16:9


Preprocess : ถ้าเป็น Interlaced DV ให้ติ๊ก Deinterlacing ด้วย เช่นพวกกล้องวิดีโอ


[Advance] : คลิก[Quantization matrices] > Preset เลือกเป็น MPEG standard แล้ว OK ออกมา


[Picture Quality] : สำหรับ Interlaced source ให้เลือกที่ Block scan order เป็น Alternate

สำหรับ Progressive source ให้เลือกที่ Block scan order เป็น Zigzag และให้ติ๊กเพิ่มที่ Progressive frame ด้วย

ถ้าไม่รู้ว่าเป็นอะไร ไม่แน่ใน หรือ ขี้เกียจ ก็เลือกเป็น Auto ได้ ไม่เป็นไร

Detailed setting : ให้ติ๊กเอา Low ออก เพื่อDisable Simple setting สังเกตกราฟจะกลับมาเป็นเส้นขนาด ไม่โค้ง

Quantizer characteristics ปรับให้อยู่ในช่วง 27-30

ค่านอกเหนือจากนี้ให้ใช้ค่า Default ของโปรแกรม แล้ว OKออกมาให้อยู่หน้าแรกของโปรแกรม

เมื่อตั้งค่าทั้งหมดเสร็จแล้วให้กดปุ่มEncode(ปุ่มสีแดงมีวงกลมสีขาวอยู่ตรงกลาง) รอจนเสร็จทั้งหมด สรุปแล้วเราก็จะได้ไฟล์มา2ส่วนคือ *.mpv เป็นส่วนของภาพ และ *.mpa เป็นส่วนของเสียง พร้อมที่จะเอาเข้าในพวกโปรแกรมDVD Author ต่างๆ(เช่น DVD Lab)เพื่อรวมและใส่องค์ประกอบอื่นๆ เช่น menu, subtitle เป็นต้น แล้วเราก็จะได้ไฟล์ทั้งหมดออกมาพร้อมที่จะเอาไปไรท์เป็นDVD-Video ได้เลย (เช่น ใช้ Nero, Alcohol120%)


เพิ่มเติม

1 Pass ก็คือการเข้ารหัสใหม่ 1 รอบ

9 Pass
ก็คือการเข้ารหัสใหม่ 9 รอบนั่นเอง จะเห็นได้จาก เวปบิท ที่เขาเขียนกันด้านท้ายของหนัง
เช่น D9>5 CCE 9 pass
ยิ่ง เยอะยิ่งดี แต่การแปลงไฟล์ก็จะช้าลง และเราจะเริ่มมองไม่เห็นความแตกต่างหลังจาก 6 pass



วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ปฏิบัติการสู่การเป็นนักท่องเที่ยวสีเขียว


green-tourist.jpg

ปลาย ฝนต้นหนาว ย่างสิ้นปีอย่างนี้ หลาย ๆ คนคงวางแผนหาที่ชาร์จแบตร่างกาย ผ่อนคลายอารมณ์ ให้สมกับนโยบายเที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก แต่เกรงว่าถ้าครึกครื้นกันมากไปหน่อย สิ่งแวดล้อมอาจจะพังครืนเอาได้ วันนี้เลยนำแนวทางปฏิบัติง่าย ๆ สู่การเป็นนักท่องเที่ยวสีเขียวมาฝาก อย่าลืมว่านักท่องเที่ยวอย่างเรานี่แหละจะเป็นผู้กำหนดทิศทาง และมาตรฐานการท่องเที่ยวได้นะ

เตรียมตัว

  • จัดสัมภาระให้เบา ถ้ากระเป๋าเดินทางของนักท่องเที่ยวทุกคนบนโลกเบาลงกว่าที่เคยจัด คนละ 8 กิโลกรัม จะประหยัดน้ำมันไปได้ 1,500 ล้านลิตรต่อปีเลยทีเดียว
  • แบ่งบรรจุสบู่ แชมพู ยาสีฟันไปเอง ผลิตภัณฑ์ของโรงแรมก่อปัญหาขยะพลาสติกมหาศาลแต่ละปี ไหนจะต้องแบ่งบรรจุขวด ผ่านระบบขนส่ง ซึ่งเสียทั้งพลังงานและสร้างมลพิษ
  • ใช้การสื่อสารออนไลน์ ระบบอีทิกเก็ต ระบบจีพีเอส ไม่เพียงประหยัดกระดาษ ยังไม่หลงทาง ประหยัดน้ำมันอีกด้วย
  • ศึกษาข้อมูลเพื่อให้เตรียมตัว ปฏิบัติตัวและซื้อสินค้าได้อย่างเหมาะสม

ไฟฟ้า

  • ปรับเปลี่ยนค่านิยมที่ว่า เสียเงินไปแล้วต้องใช้ให้คุ้ม การพักโรงแรมก็สามารถประหยัดเพื่อช่วยโลกได้
  • ระลึกเสมอว่า มาตรฐานบริการที่สะดวกสบายจนเกินไป หมายถึงการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง และนำไปสู่การเร่งให้เกิดภาวะโลกร้อน
  • สนับสนุนผู้ประกอบการที่ให้ความสำคัญกับการลดการใช้พลังงานอย่างจริงจัง
  • การท่องเที่ยว คือการแสวงหาประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวัน ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องปรับอากาศ หรือเปิดเครื่องปรับอากาศรอไว้เพื่อให้ห้องพักเย็นตลอดเวลา ดูโทรทัศน์รายการโปรดเหมือนอยู่ที่บ้าน หรือเปิดไฟทุกดวงจนสว่างจ้า
  • ใช้ถ่านแบบชาร์จซ้ำได้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ
  • ไม่ต้องส่งผ้าเช็ดตัวซักทุกวัน เพราะปกติเมื่ออยู่บ้านเราก็ไม่ได้ซักผ้าเช็ดตัวทุกครั้งที่ใช้

น้ำ

  • เตรียมกระติกน้ำ งดซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติก
  • ช่วยโรงแรมที่พักประหยัดน้ำจะสร้างหลักเกณฑ์การใช้น้ำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ไม่ใช้อ่างอาบน้ำ เพราะสิ้นเปลืองน้ำกว่าเปิดจากฝักบัวถึง 10 เท่าๆ
  • รายงานท่อรั่ว แตก ไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบทันที
  • อย่าใช้น้ำอย่างสิ้นเปลืองด้วยเหตุผลว่ามีคนจ่ายให้ หรือพักโรงแรมแล้วต้องใช้ให้คุ้ม

ระบบการขนส่ง

  • เลือกระบบขนส่งสาธารณะแบบราง เพราะเป็นระบบที่ขนส่งได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับสัดส่วนพลังงานที่ถูกใช้ไป
  • หากจำเป็นต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน ควรชดเชยคาร์บอนไดออกไซด์จากการบินด้วยวิธีคาร์บอนออฟเซ็ตติ้ง
  • ซื้อสินค้าที่ผลิตจากในท้องถิ่นนั้นจริง ๆ
  • การท่องเที่ยวคือการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และความทรงจำ ลดการช็อปปิ้งลงให้มากที่สุด เพราะยิ่งซื้อมากยิ่งเป็นการกระตุ้นกระบวนการขนส่งสินค้าให้ต้องส่งไกลยิ่ง ขึ้น
  • ทดลองอาหารจากผลผลิตพื้นบ้าน เพราะผักริมรั้วที่ถูกนำมาปรุงอาหารแทบไม่ปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เลย
  • เตรียมกระติกน้ำดื่มเก๋ ๆ เพื่อลดการซื้อน้ำดื่มบรรจุขวด เพราะน้ำดื่มบรรจุขวดไม่เพียงสิ้นเปลืองขวด ยังเพิ่มขยะและสูญเสียพลังงานไปกับการขนส่งอีกมหาศาล
  • อย่าเห็นแก่จำนวน เช่น การท่องเที่ยววันเดียว 9 แห่ง สิ้นเปลืองพลังงานมากกว่าเที่ยวแห่งเดียว
  • เมื่อไม่ซื้อ ก็ไม่มีการขนส่ง

สินค้า

  • ไม่ซื้อสินค้าคุณภาพต่ำ แม้ราคาถูกแต่เสียง่าย สิ้นเปลืองพลังงานและทรัพยากร อีกทั้งยังเป็นขยะที่กำจัดยาก
  • กำหนดงบประมาณตายตัว เพื่อการซื้อของที่ระลึก ของฝากในการเดินทาง แทนการตกอยู่ในบรรยากาศของการซื้อไม่อั้น
  • โปสการ์ด อาจให้คุณค่าทางใจกว่าของฝากที่ผู้รับไม่ได้ต้องการ
  • เลือกเครื่องดื่มจากขวดแก้ว แทนกระป๋องอลูมิเนียม

เก็บกระเป๋าครั้งหน้า อย่าลืมนำทริกง่าย ๆ อย่างนี้ไปลองใช้กันนะ

ที่มา http://green.in.th/blog/lifestyle/1925

"พลับพลึงด่าง" ไม้ประดับขจัดมลพิษ



Dracaena-deremensis.jpg

การ จัดการให้บ้านหรืออาคารมีระบบสิ่งแวดล้อมในตัวเองเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพที่ดี ดังนั้น การใช้ต้นไม้เพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ง่ายและประหยัด ถึงแม้ว่าในปัจจุบันบ้านของเราอาจอยู่ติดกับบ้านหลังอื่น มีฝุ่นละอองจากรถยนต์ แต่เราก็สามารถช่วยให้มลพิษน้อยลง

หรือกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศก็จะช่วยประหยัดไฟฟ้า และช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศในห้องได้ดีกว่าในห้องหรืออาคารที่ไม่มีต้นไม้ เลย

พลับพลึงด่าง

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Dracaena deremensis อยู่ในตระกูล Agavaceae มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนแอฟริกา

พลับพลึงด่างเป็นไม้ประดับที่นิยมในต่างประเทศมาก เป็นไม้ที่มีความทนทานและอยู่ในที่แสงสว่างน้อยได้ดี มีประสิทธิภาพในการขจัดไอระเหยเบนซินได้ดี

มี รูปร่างเหมือนต้นพลับพลึงไทย แต่มีขนาดเล็กกว่า ขอบใบมีสีขาวเป็นเส้นขนานกับขอบใบ ขนาดใบยาวประมาณ 60 เซนติเมตร กว้าง 5 เซนติเมตร ถ้าปลูกในอาคารจะสูงได้ถึง 3 เมตร

ถ้าปลูกในกระถาง ต้องใช้ดินปนทรายเพื่อให้ดินร่วนและระบายน้ำได้ดี ชอบความชื้นสม่ำเสมอ

หากจัดลำดับความสามารถในการขจัดไอละเหยสารเคมี ได้คะแนน 6 ใน 10 คะแนน

ที่มา www.vcharkarn.com

แสดง TOP (จำนวน) อันดับแรกในออราเคิล (TOP-N Analysis query)

มีหลายครั้ง ที่เราต้องการแสดง ข้อมูล เรียงลำดับ TOP เช่น แสดง อันดับเพลงฮิต 10 อันดับแรก ถ้าเป็น MS SQL Server หรือ My SQL มี Syntax ง่ายๆ มารองรับอยู่แล้ว เช่น

MS SQL SERVER :

SELECT TOP 10 vote , music_name
FROM music
ORDER BY vote DESC

My SQL :

SELECT  vote , music_name
FROM music
ORDER BY vote DESC
LIMIT 10 ;
แต่ สำหรับ Oracle นั้น ไม่มี Syntax ง่ายๆ แบบนี้มารองรับครับ .. ไม่รู้ทำไม ..ถ้าผมเป็นเจ้าของบริษัท Oracle คงสั่งให้ลูกน้อง ทำ Syntax TOP เหมือน MS SQL Server ไปแล้ว แต่พอดีผมไม่ใช่ เจ้าของบริษัท Oracle ... โปรแกรมเมอร์ Oracle เลยต้องทนลำบากต่อไป สำหรับ Oracle Database นั้น ถ้าจะเขียน TOP อันดับ ต้องใช้ Sub-Query และ คอลัมน์อีแอบ (Pseudocolumn) ชื่อว่า ROWNUM เข้าช่วยครับ เรียวิธีการนี้ว่า TOP-N Analysis

ใน ข้อมูลทุกตารางนั้น จะมีคอลัมน์อีแอบ อยู่ชื่อว่า ROWNUM Pseudocolumn ซึ่งเป็นหมายเลขของแต่ละแถวในตาราง ที่ผมเรียกว่า คอลัมน์อีแอบ นั้น เพระาปรกติ เวลาคุณใช้คำสั่ง DESC หรือ DESCRIBE ชื่อตาราง มันจะไม่แสดงชื่อคอลัมน์นี้ออกมาด้วย แต่ในการ SELECT คุณบอกให้มันแสดงตัวตนออกมาได้

ตัวอย่างแรก ผมจะแสดง ชื่อ และ เงินเดือน พนักงานที่มีเงินเดือนมากที่สุด 3 อันดับแรก ในบริษัท (เงินเดือนเรียงจาก มาก ไปน้อย)
SELECT ROWNUM as RANK, ename , sal
FROM (SELECT ename,sal FROM emp
ORDER BY sal DESC)
WHERE ROWNUM <= 3;
TOP-N Analysis เรียงจากมากไปน้อย


ตัวอย่างอันสุดท้ายนี้ ผมจะแสดง ชื่อ และ วันที่จ้างงานเข้ามา ของพนักงานที่มีอายุงานอาวุโสมากที่สุด 4 อันดับแรก ของบริษัท
( อาวุโส แสดงว่า จ้างงานมาในอดีตที่ไกลที่สุด ดังนั้น วันที่จ้างงาน ต้องเรียงจาก น้อย ไปมาก )

SELECT ROWNUM as SENIOR , e.ename,e.hiredate
FROM (SELECT ename,hiredate FROM emp
ORDER BY hiredate) e
WHERE ROWNUM<=4 111111111
TOP-N Analysisเรียงจาก น้อย ไปมาก

ที่มา http://www.oracleskill.com/oracle-tutorials/TOP-N-Analysis.html

กฎ 20 ข้อในการพัฒนาเว็บให้เป็นเลิศและประสบความสำเร็จ


1. ให้ความนับถือผู้ชมเว็บของคุณ อย่าพยายามบังคับให้พวกเขาอ่านเนื้อหาในเว็บของคุณทั้งหมด ปล่อยให้พวกเขาเลือกและตัดสินใจเองว่าจะอ่านอะไร ให้ลองนึกว่าถ้าคุณเป็นผู้ชมเว็บ คุณจะทำอย่างไรกับหน้าต่างที่ป๊อบอัพขึ้นมาและกล่องโฆษณาที่เกลื่อนกลาดอยู่ เต็มไปหมด
2. โฆษณาที่แย่ กล่องโฆษณาที่น่ารำคาญอาจช่วยเพิ่มรายได้ให้คุณเพียงชั่วขณะหนึ่ง แต่ในระยะยาวแล้ว มันไม่ทำให้เว็บไซต์ของคุณประสบความสำเร็จได้ อย่างไรก็ตาม การผนวกโฆษณาเข้ากับเนื้อหาของเว็บไซต์ และจัดโครงสร้างของเว็บให้ดีก็จะช่วยให้โฆษณานั้นไม่รบกวนผู้ชม มันจะช่วยให้เว็บของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้นและยังช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่คุณ ได้ด้วย

3. ให้ข้อมูลและสอนผู้ชมเว็บของคุณ แบ่งปันความคิด ไอเดีย ประสบการณ์ และความรู้ของคุณให้กับคนที่ต้องการหรืออาจจะต้องการคำแนะนำจากคุณ เมื่อคุณมีข้อมูลเหล่านี้ คุณก็มีเครื่องมือที่ทรงพลังที่จะดึงดูดความสนใจของมวลชนมาที่งาน ความสนใจ และบริการของคุณได้ นอกจากนี้แล้ว ถ้าคุณแบ่งปันความรู้ที่มีคุณค่ากับผู้ใช้คนอื่น คุณก็จะได้รับการเคารพนับถือว่าเป็นบุคคลที่รู้ว่าเขาหรือเธอกำลังพูดถึง อะไร

4. สร้างสรรค์สไตล์ของคุณ สร้างสรรค์จากไอเดียของคุณ ทำให้ตัวคุณเกิดแรงบันดาลใจ แต่อย่าลอกเลียนแบบ มันน่าสนใจกว่ามากที่จะได้รู้ว่าคุณมีความสามารถอะไรแทนที่จะไปสนใจว่าคน อื่นมีความสามารถอะไร ค้นหาจินตนาการและความอยากรู้อยากเห็นของคุณเอง ไอเดียใหม่ๆ หรือไอเดียเก่าที่ถูกพัฒนาขึ้น ย่อมดึงดูดผู้ใช้เว็บมากกว่าของลอกเลียนแบบ

5. ใส่ใจกับมาตรฐาน คิดถึงคนให้มาก การใช้มาตรฐานเว็บที่ดีจะช่วยลดงานของคุณในอนาคตลงได้มาก เมื่อคุณจะสร้างเว็บสำหรับคนทั่วไป มันจึงมีเหตุผลที่คุณจะใช้เวลาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่จะตรวจสอบโค้ดต่างๆ และทำให้มันเป็นมาตรฐาน เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามมาตรฐานดีแล้ว คุณก็ไม่ต้องกังวลว่าในอนาคตจะมีเว็บบราวเซอร์เวอร์ชั่นใหม่เกิดขึ้นมาซึ่ง จะทำให้เว็บของคุณมีปัญหา นอกจากนี้เว็บของคุณจะต้องสามารถอ่านได้ง่าย (readability) เข้าถึงได้ง่าย (accessibility) และใช้งานง่าย (usability) จำไว้ว่าคุณต้องนับถือผู้ชมเว็บของคุณ

6. ใช้ข้อความที่ชัดเจน อย่ากลัวที่จะบอกว่าคุณต้องการสื่ออะไร ความคลุมเครือทำให้เกิดระยะห่างระหว่างคุณกับผู้ชมเว็บของคุณอย่างไม่จำเป็น ให้ใช้ข้อความที่เด่นชัดต่อผู้ชมเว็บถ้าคุณต้องการนำเสนออะไรให้แก่พวกเขา ถ้าคุณระบุให้ชัดเจนว่าคุณกำลังพูดถึงอะไรอยู่ คุณก็จะได้รับผลตอบรับที่ดีหรือได้คำตอบของคำถามที่คุณสงสัย

7. เกลียด Internet Explorer ได้ถ้าคุณอยาก แต่อย่าปฏิเสธผู้ใช้มัน อย่าออกแบบเว็บที่เหมาะสำหรับบางเว็บบราวเซอร์เป็นพิเศษ คุณควรออกแบบเว็บให้เหมาะสำหรับ Internet Explorer เหมือนกับที่ออกแบบให้กับบราวเซอร์อื่นๆ Internet Explorer อาจจะไม่ใช่บราวเซอร์ที่ดีที่สุด แต่ก็มีผู้ใช้เว็บถึง 85% ที่ใช้มันอยู่ ให้กลับไปดูกฎข้อที่ 1

8. เอาใจใส่เนื้อหาของเว็บ สำหรับเว็บที่กำลังพัฒนา คุณจะต้องทำให้มันมีข้อมูลที่น่าสนใจและมีรูปลักษณ์ที่ดูดี อย่าลืมว่าผู้ชมเว็บของคุณจะจดจำทุกสิ่ง เมื่อคุณแสดงลิงค์ไปยังเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมแก่พวกเขาโดยที่ไม่มีข้อความ อธิบายว่ามีอะไรซ่อนอยู่ภายใต้ลิงค์นั้น คุณก็จะไม่ได้เห็นผู้ชมเว็บเหล่านี้อีกเลย ถ้าโค้ดของเว็บไซต์เป็นร้อยกรอง เนื้อหาของเว็บไซต์ก็เป็นร้อยแก้ว

9. อย่ากังวลมากกับ SEO อย่าไปมองในระดับคีย์เวิร์ด เพราะมีสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือเว็บไซต์ของคุณต้องการนำเสนออะไร การพยายามเพิ่มตำแหน่งใน search engine นั้นเสียเวลามากกว่าการเขียนบทความที่มีประโยชน์ลงในบล็อกของคุณ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญ SEO คุณจะทราบว่าคุณต้องปรับแต่งเว็บไซต์ตลอดเวลาเพื่อให้มีอันดับที่ดีขึ้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณเขียนบทความที่ดี มันจะอยู่กับเว็บไซต์ของคุณไปตลอด

9a. หลีกเลี่ยงการทำ SEO และ PageRank แบบผิดๆ การทำ Search Engine Optimization ที่ไม่ถูกต้อง (การแลกเปลี่ยนลิงค์กับทุกเว็บไซต์บนเน็ตเท่าที่เป็นไปได้ การโพสต์ลิงค์ของคุณในเว็บรวมลิงค์ ฯลฯ) จะทำให้เว็บของคุณถูกแบนจาก search engine สำคัญๆ ในที่สุด อัลกอริธึมของ search engine ถูกปรับปรุงตลอดเวลา ท้ายที่สุดแล้วความพยายามของคุณก็จะไม่เกิดประโยชน์ และยังเสี่ยงที่ PageRank จะกลายเป็น 0

10. ติดต่อ แต่อย่าสแปม ให้คนที่สนใจเนื้อหาของคุณได้รู้ว่าคุณมีเนื้อหานั้นๆ ต้องรู้ก่อนว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพ จากนั้นให้เอาใจใส่กับคนที่อาจจะสนใจในบริการของเว็บคุณ นึกถึงเว็บไซต์ที่พวกเขาชอบเข้าไปชม แล้วติดต่อเจ้าของเว็บไซต์เหล่านี้เพื่ออธิบายถึงประโยชน์ของบริการของคุณ แต่จำไว้ว่าคุณไม่ได้เขียนถึงโปรแกรม แต่คุณกำลังเขียนถึงมนุษย์ ซึ่งจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะแบ่งปันบริการของคุณให้กับผู้ชมเว็บของเขาหรือ ไม่ จำไว้ว่าจะส่งลิงค์ แต่ให้ส่งคำเชิญชวนที่มีข้อความที่สุภาพที่อธิบายว่าเว็บของคุณมีอะไรที่แตก ต่างจากเว็บอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน ต้องมั่นใจว่าคนที่คุณเขียนถึงตระหนักได้ว่ามันสำคัญต่อผู้ชมเว็บของพวกเขา อย่างไร จงจำไว้ว่าคุณไม่ได้ทำเพื่อเงิน แต่ทำเพื่อผู้ใช้ อย่าสแปม อย่าโฆษณา แต่ให้เผยแพร่สิ่งที่มีประโยชน์

11. ไม่ต้องเกรงใจที่จะถาม มีนักพัฒนาเว็บจำนวนมากที่เคย กำลัง หรือจะถามคำถามเดียวกับที่คุณมีอยู่ตอนนี้ อย่าลังเลที่จะถาม อย่าลังเลที่จะหาคำตอบ ยิ่งคำถามของคุณฉลาดมากเท่าไร คำถามนั้นก็มีโอกาสจะได้รับคำตอบมากขึ้นเท่านั้น และยังทำให้คนพบเว็บของคุณจาก search engine อีกด้วย

12. ตอบอีเมลทันที ติดต่อกับลูกค้าที่มีศักยภาพของคุณให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ อย่าปล่อยให้อีเมลกองอยู่ใน inbox นานเกิน 12 ชั่วโมง อย่าส่งข้อความตอบกลับอัตโนมัติ คนที่เขียนข้อความถึงคุณรู้ว่าเขากำลังเขียนถึงคุณ อย่าทำให้คนอื่นเสียเวลาเช่นเดียวกับที่คุณไม่ทำให้ตัวเองเสียเวลา พยายามสร้างความประทับใจให้กับคนที่คุณติดต่อด้วย ตอบกลับอย่างมั่นใจ มืออาชีพ เป็นกันเอง และเป็นตัวของตัวเอง

13. ใช้ประโยชน์ของ social bookmark อย่ากลัวที่จะเผยแพร่เว็บไซต์ของคุณผ่าน Digg, Reddit, Furl, del.icio.us, Ma.gnolia, Blinklist และเว็บไซต์ social bookmark อื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ให้เลือก tag ที่จะใช้ในเว็บเหล่านี้อย่างระมัดระวังซึ่งจะทำให้ผู้ชมเว็บเข้ามาที่เว็บ ของคุณ และถ้า tag ถูกเลือกใช้อย่างมีเหตุมีผล ไม่เพียงแต่จะมีผู้ชมเว็บเข้ามาเท่านั้น แต่คุณยังสามารถโน้มน้าวให้พวกเขาช่วย tag บทความของคุณใน social bookmark ต่อด้วย

14. สร้างความสัมพันธ์ นักพัฒนาเว็บที่สร้างสรรค์มักจะได้รับการสนับสนุนจากบล็อกของนักพัฒนาเว็บด้วยกัน

15. คิดในระดับโลก ข้อ มูลในเว็บของคุณอาจจะไม่ดึงดูดคนในประเทศของคุณ แต่โลกของเว็บนั้นไร้ขอบเขต แล้วทำไมคุณไม่สื่อสารกับคนทั้งโลกล่ะ? ไม่จำเป็นต้องหาตลาดเฉพาะ (niche) ที่ใกล้ตัวคุณ ในเมื่อคุณมีโอกาสที่ไม่จำกัดอยู่ทั่วโลก

16. อย่าแหกหลักการ ควรพูดคุยกับลูกค้าถึงแนวทางที่เว็บไซต์ควรถูกนำเสนอหรือพัฒนาขึ้น ให้ความเคารพกับมุมมองของลูกค้า แต่จงจำไว้เสมอว่าคนที่พัฒนาเว็บคือคุณ อย่าทำเพียงเพราะว่าคุณถูกสั่งให้ทำ ให้แก้ไขข้อผิดพลาดถ้าคุณพบว่าลูกค้าผิด จงเป็นมืออาชีพ เพราะในท้ายที่สุดแล้วคุณสร้างเว็บเพื่อผู้ใช้ ไม่ใช่เพื่อลูกค้าของคุณ

17. ติดตามข่าวสารสม่ำเสมอ ตื่นตัวตลอดเวลาว่ามีอะไรเกิดขึ้นในโลกอินเทอร์เน็ต เว็บถูกพัฒนาอย่างรวดเร็วและมีไอเดียใหม่ๆ ออกมาเสมอ อย่างไรก็ตาม นิตยสารด้านการออกแบบและพัฒนาเว็บก็คุ้มค่าที่จะอ่าน

18. เรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์ ค้น หาไอเดียใหม่ๆ ตลอดเวลา พยายามเข้าไปอ่านตามกระดานข่าวของนักพัฒนาเว็บ มุ่งความสนใจของคุณไปยังสิ่งที่ผู้คนกำลังค้นหาและพูดถึงกันอยู่

19. ทำเว็บให้สวยขึ้น CSS ดีไซน์ที่โปร่งตา อ่านง่าย และดูชาญฉลาด คือความสวยงาม

20. ตระหนักถึงพลังอำนาจของเว็บอยู่เสมอ ให้การสนับสนุนแก่โครงการที่สำคัญต่อคุณในอนาคต



ที่มา http://www.webmaster.or.th

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

security: กันก็อปปี้ไฟล์ลงธัมบ์ไดรฟ์?

สำหรับการปรับแต่ง Windows XP ไม่ให้สามารถก็อปปี้ไฟล์ผ่านทางพอร์ต USB ได้ จะใช้วิธีเดียวกันคือ เข้าไปแก้ที่ Registry แต่ในกรณีของ Windows XP อย่างน้อยจะต้องได้รับการติดตั้ง Service Pack 2 ขึ้นไปถึงจะทำได้ ขั้นแรกกดปุ่ม Windows +R (คลิ้กปุ่ม Start เลือก Run) พิมพ์คำสั่ง regedit แล้วกด Enter
หลังจากที่หน้าต่างโปรแกรม Registry Editor ปรากฎขึ้นมาแล้ว ในกรอบซ้ายมือให้คลิ้กเครื่องหมาย + หน้ารายการตามลำดับข้างล่างนี้

HKEY_LOCAL_Machine\System\CurrentControlSet\Control\StorageDevicePolicies

หาก คลิ้กเข้าไปถึง Contrl แล้วไม่พบคีย์ StorageDevicePolices ก็ อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะคุณสามารถสร้างคีย์นี้ขึ้นมาได้ โดยคลิ้กขวาบนรายการ Contorl เลือกคำสั่ง New ตามด้วย Key แล้วตั้งชื่อคีย์ใหม่ภายใต้ Control ว่า StorageDevicePolicies



คลิ้ก เลือกรายการนี้ จะพบว่า ในกรอบด้านขวาจะไม่มีพารามิเตอร์ใดๆ เลย ให้คลิกขวาบนคีย์ StorageDevicePolicies แล้วเลือกคำสั่ง New ตามด้วย DWORD value ตั้งชื่อว่า WriteProtect แล้วกดปุ่ม Enter บนคีย์บอร์ด



ขั้นตอนสำคัญก็คือ การกำหนดค่าให้ WriteProtect ทำงาน โดยคลิกขวาเลือกคำสั่ง Modify แล้วเปลี่ยนค่าจาก 0 เป็น 1 แล้วคลิ้กปุ่ม OK



จาก นั้นปิดหน้าต่างโปรแกรม Registry Editor แล้วรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์ใหม่ คราวนี้ ก็จะไม่มีใครสามารถก็อปปี้ไฟล์จากเครื่องคอมพ์ของคุณลงยูเอสบีไดรฟ์ได้อีก ต่อไปแล้ว ยกเว้นเขารู้พาสเวิร์ดแอดมิน และความลับของการป้องกันด้วยวิธีนี้ (สำหรับการแก้ไขกลับไปเป็นเหมือนเดิมก็แค่เปลี่ยนค่าของ WriteProtect จาก 1 ให้เป็น 0 แล้วรีสตาร์ทก็เป็นอันเรียบร้อยแล้ว)

ที่มา http://www.thaiadmin.org/board/index.php?topic=111993.0

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เทคนิคการแก้ไข Stuck Pixel บนจอ LCD

หลายคนเซ็งเมื่อเห็น"จุดสีดำ"ที่เช็ดเท่าไหร่ก็ไม่ออกซะทีบนหน้าจอ แอลซีดีคู่ใจ วิกฤตจุดดำบนจอแอลซีดีถูกเรียกว่า “Dead Pixel” บ้าง “Stuck Pixel” บ้าง ต่อไปนี้คือวิธีแก้ไขเบื้องต้นที่อาจทำให้จุดดับบนจอหายไปโดยที่คุณไม่ต้อง ส่งซ่อมให้ยุ่งยาก

***เทคนิคการแก้ไข Stuck Pixel บนจอ LCD
บทความโดย นิตยสาร LCDSPEC (www.lcdspec.com)

ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีการผลิตจอ LCD จะเดินทางมาไกลจนกระทั่งมี “วุฒิภาวะ” ในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม และกระบวนการผลิต LCD Panel ในปัจจุบันก็มีความแม่นยำสูงมาก แต่ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าจอ LCD นั้นประกอบไปด้วยพิกเซลนับแสนหรือนับล้านจุด จึงเป็นไปได้ที่จุดพิกเซลจำนวนหนึ่ง (จากจุดนับล้านจุด) จะเสียหายจากการผลิต หรือเสื่อมไปก่อนเวลาอันควร ในขณะที่จุดพิกเซลที่เหลือยังคงทำงานได้ตามปกติ

คำว่า “พิกเซล” (Pixel) เป็นคำผสมที่เกิดจากคำว่า Pix (“pictures”) และ el (“element”) หมาย ถึงหน่วยเล็กที่สุดของภาพที่แสดงบนจอคอมพิวเตอร์ หรือบนกระดาษ หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นหนึ่งใน “จุด” เล็กๆ หลากสีที่เรียงชิดติดกันจนเป็นภาพที่เราสามารถรับรู้ได้นั่นเอง จอภาพที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นจอ CRT, LCD หรือ Plasma ต่างก็ประกอบไปด้วยจุด “พิกเซล” สีแดง น้ำเงิน และเขียว เรียงชิดติดกันเป็นจำนวนมหาศาลทั้งสิ้น และจุดต่างๆ เหล่านี้ก็จะดับและสว่างตามคำสั่งของวงจรควบคุม เพื่อเปล่งแสงสีต่างๆ ออกมา และเมื่อประกอบกับจุดสีต่างๆ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ก็จะทำให้เกิดภาพที่เรามองเห็นได้บนจอแสดงผล
จุดพิกเซลอาจมีรูปร่างแตกต่างกันออกไป เช่น สี่เหลี่ยม หรือวงกลม ขึ้นอยู่กับประเภทของจอ
เจ้าของจอ LCD หลายคนเคยพบปัญหา Stuck Pixel หรือ Dead Pixel อาการของปัญหานี้มี 2 แบบ ได้แก่

อาการแบบที่ 1: เมื่อจอแสดงภาพสีดำสนิท จะสังเกตเห็นว่าจุดบางจุดบนจอสว่างอย่างถาวร โดยจุดที่สว่างอาจเป็นสีแดง น้ำเงิน หรือเขียว ก็ได้ และถึงแม้จอจะเปลี่ยนไปแสดงภาพสีอื่นๆ จุดสว่างดังกล่าวก็ยังสว่างค้างเป็นสีเดิมอยู่ เราเรียกอาการนี้ว่า “Stuck Pixel” แต่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า “Stuck Pixel” คือ “Dead Pixel” ซึ่งจริงๆ แล้วมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อาการแบบที่ 2: จุดบางจุดบนจอดับสนิทอย่างถาวร ไม่ว่าจอจะแสดงภาพใดอยู่ก็ตาม ซึ่งเราเรียกพิกเซลที่มีอาการนี้ว่า “Dead Pixel” หรือพิกเซลที่ “ตาย” แล้วนั่นเอง บทความนี้จะนำเสนอวิธีการแก้ไข “Stuck Pixel” เท่านั้น แต่ไม่รวมถึงการแก้ไข “Dead Pixel”

วันนี้ LCDSPEC ขอนำเสนอเทคนิคต่างๆ ในการกำจัด Stuck Pixel ครับ แต่ ก่อนจะศึกษาเทคนิคการกำจัด Stuck Pixel คุณควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามขั้น ตอนในบทความนี้เสียก่อน ได้แก่

- ถ้าผู้ผลิตจอ LCD ของคุณกำหนดเงื่อนไขการรับประกันที่ครอบคลุมถึง Stuck/Dead Pixel อยู่แล้ว เมื่อจอของคุณเกิด Stuck pixel ขึ้น คุณควรปรึกษาบริษัทผู้ผลิตเสียก่อน และไม่ควรซ่อม Stuck pixel ด้วยตนเอง

- เทคนิคการกำจัด Stuck Pixel เป็นเทคนิคที่รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ และเป็นเทคนิคที่ได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถแก้ไขปัญหาได้ในหลายๆ กรณี LCDSPEC จะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับจอ LCD จากการปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆ ในบทความนี้

- หลีกเลี่ยงการเปิดจอ LCD เพื่อดูอุปกรณ์ภายใน เพราะจะทำให้จอของคุณสิ้นสุดการประกันจากบริษัทผู้ผลิตโดยทันที

- หากคุณใช้เทคนิคที่ต้องใช้น้ำ กรุณาหลีกเลี่ยงการทำให้อุปกรณ์ต่างๆ ของจอ LCD และเครื่องคอมพิวเตอร์เปียกน้ำ

- หลายๆ คนกล่าวว่าการใช้แรงกดบนเม็ด Pixel ของจอ LCD แล้วจะทำให้จอ LCD เสียหายมากขึ้นกว่าเดิม (ถึงแม้ว่าจะเป็นคำกล่าวที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ก็ตาม) หากคุณปฏิบัติตามวิธีในบทความนี้อย่างเคร่งครัด ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายดังกล่าวได้

- จอ LCD ประกอบไปด้วยผลึกแก้วหลายๆ ชั้น (layer) ซึ่งมีความละเอียดและบอบบางเป็นอย่างมาก การใช้แรงกด หรือแตะ อาจทำให้ชิ้นส่วนบอบบางเหล่านั้นเกิดความเสียหายได้ คุณจึงต้องยอมรับความเสี่ยงดังกล่าวหากคุณต้องการปฏิบัติตามขั้นตอนที่นำเสนอในบทความนี้

หากคุณยอมรับทุกข้อที่กล่าวมา ต่อไปนี้คือ 4 เทคนิคเพื่อการกำจัด Stuck Pixel ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ได้แก่ การใช้ซอฟต์แวร์ การใช้แรงกด การแตะหรือเคาะเบาๆ และการใช้ความร้อน

##เทคนิคการใช้ Software

เทคนิคนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า Stuck Pixel สามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้เมื่อมันถูกเปิด/ปิด ซ้ำๆ กันอย่างรวดเร็ว คุณควรลองใช้เทคนิคนี้ก่อนเป็นอันดับแรก และหากเทคนิคนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาให้คุณได้ จึงค่อยเปลี่ยนไปปฏิบัติตามเทคนิคถัดไป เทคนิคการใช้ Software นี้ใช้ได้ดีกับ LCD Monitor แต่ก็ไม่ผิดกติกาอะไรหากคุณจะนำเครื่องคอมพิวเตอร์ไปต่อกับ LCD TV แล้วรัน Software เหล่านี้

คุณสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมช่วยแก้ไข Stuck Pixel ได้จาก Website ต่อไปนี้:

JScreenFix – เว็บไซท์ที่ใช้ Java Applet ซึ่งเป็นโปรแกรมเล็กๆ ที่จะช่วยขจัด Stuck pixel โดยการเปิด/ปิด พิกเซลแต่ละจุดบนจอเป็นจำนวน 60 ครั้งต่อวินาที
JeffPatch.com blog – สำหรับคนที่ใช้เครื่อง Mac ที่ Blog นี้ก็มีวีดีโอภาพกระพริบจาก Sony ที่อาจช่วยแก้ไข Stuck Pixel ได้
DPT 2.20 – โปรแกรมบน Windows ที่สามารถช่วยให้คุณค้นหา Stuck pixel ได้ง่ายขึ้น และมี “Pixel Exerciser” ที่ช่วยให้ Pixel ที่เสียหายกลับมาทำงานได้อย่างเดิม
UDPixel 2.1 – ฟรีแวร์บน Windows ที่ช่วยคุณค้นหา และแก้ไข Stuck Pixel
LCD Scrub – Screensaver สำหรับเครื่อง Mac ที่แสดงภาพกระพริบบนจอ เพื่อช่วยแก้ไข Stuck Pixel และแก้ไขอาการ Burn-in
##เทคนิคการใช้แรงกด

1.ปิดจอ LCD ของคุณ
2.นำผ้านิ่มๆ ชุบน้ำหมาดๆ (ถ้าใช้น้ำอุ่นจะได้ผลดีขึ้น และห้ามใช้ผ้าเปียก) มาห่อบริเวณหัวปากกาลูกลื่น, ดินสอ, ไขควงเล็กๆ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน แต่ต้องเป็นอุปกรณ์ที่ไม่มีหัวแหลมคมที่จะทำให้จอ LCD เป็นรอยได้ เราขอแนะนำให้ใช้ปากกา Stylus ที่มากับเครื่อง PDA หรือ Smartphone สำหรับการนี้
3.ใช้ยาง หรือเชือกเส้นเล็กๆ มัดผ้าที่ห่อบริเวณหัวปากกาไว้ เพื่อไม่ให้ผ้าหลุดออกมาในขณะที่คุณนำปากกาไปกดบนจอ
4.นำ ปากกาที่เตรียมไว้ไปกดเบาๆ ที่ Stuck Pixel โดยพยายามกดให้ตรงกับจุด Pixel ที่เสียหายมากที่สุด การกดผิดพลาดอาจทำให้จุด Pixel ที่อยู่ข้างเคียงเสียหายตามไปด้วย
5.ระหว่างที่กด Stuck Pixel ให้กดปุ่ม Power ของจอ LCD เพื่อเปิดให้จอทำงาน
6.นำปากกาออกจากจอ แล้วตรวจสอบดูว่า Stuck Pixel หายเป็นปกติหรือไม่ หากยังไม่หายเป็นปกติ ให้ทำตามขั้นตอนข้อ 4 และ 5 อีกครั้ง โดยค่อยๆ เพิ่มแรงกดให้มากขึ้นทีละนิด

##เทคนิคการแตะ/เคาะเบาๆ ที่ Stuck Pixel

1.นำจอ LCD มาต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ และเปิดจอ LCD และเครื่องคอมพิวเตอร์
2.ใช้โปรแกรมแต่งภาพสร้างภาพสีดำล้วน ที่มีขนาดเท่ากับจอ LCD ของคุณ เช่นหากคุณใช้จอ Full HD ก็ควรสร้างไฟล์ภาพสีดำที่มีขนาด 1,920 x 1,080 พิกเซล เป็นต้น แล้วนำภาพสีดำที่สร้างขึ้นมาแสดงแบบเต็มจอ ซึ่งการแสดงภาพสีดำนี้จะทำให้คุณสามารถมองเห็น Stuck pixel ได้อย่างชัดเจน
3.ใช้ ปากกาที่มีไม่มีหัวแหลมคม หรือใช้ Stylus ที่มากับเครื่อง PDA/Smartphone แตะเบาๆ ที่ Stuck Pixel ไม่ควรใช้แรงกดมากเกินไป แต่แรงกดนั้นจะต้องมากพอที่จะทำให้เม็ดพิกเซลที่ถูกแตะกระพริบแสงสีขาวๆ ในขณะที่ถูกแตะ หรือกล่าวได้ว่าหากเม็ดพิกเซลไม่กระพริบแสงสีขาว แสดงว่าคุณยังแตะมันไม่แรงพอนั่นเอง
4.พยายามแตะเป็นจังหวะอีก 5-10 ครั้ง โดยค่อยๆ เพิ่มแรงกดทีละนิด จนกว่าอาการ Stuck Pixel จะหายไป
5.นำไฟล์รูปภาพสีขาวล้วนแบบเต็มจอมาแสดง แล้วดูว่าอาการ Stuck Pixel หายไปหรือไม่ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้ทำให้ Pixel ข้างเคียงเกิดความเสียหาย

##เทคนิคการใช้ความร้อน

เทคนิคนี้มีประโยชน์ในกรณีที่เม็ด pixel กลายเป็นสีขาวหรือสีดำในบริเวณกว้าง และสามารถใช้ได้ดีกับเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้ค (แต่ก็ใช้ได้กับจอ LCD ทั่วไปได้เช่นกัน) การ ใช้เทคนิคนี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคภายในจอ หรือภายในเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊คบุ้คเสียหายจากความร้อนได้ คุณจึงควร Backup ข้อมูลสำคัญไว้ก่อนจะลงมือปฏิบัติ และเทคนิคนี้อาจไม่ช่วยให้เม็ด Pixel ที่เสียหายเป็นบริเวณกว้างกลับมาเป็นปกติได้ทั้งหมด หรือถึงแม้จะแก้ไข Stuck Pixel ได้สำเร็จ จอของคุณก็อาจกลับมามีอาการเดิมอีกครั้ง

คุณสามารถแก้ไข Stuck Pixel โดยใช้ความร้อนตามขั้นตอนต่อไปนี้:

1.เทคนิคนี้จะต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง หรือเป็นวัน เราจึงแนะนำให้คุณเสียบปลั๊กเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้คแทนการใช้พลังงานจาก แบตเตอรี่
2.ไปที่ Power Settings ใน Control Panel และตรวจสอบให้แน่ใจว่า Windows จะไม่ดับจอ LCD และจะไม่เข้าสู่โหมด Standby หรือ Hibernate เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ (ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่องและจอจะถูกเปิดและทำงานตลอดเวลานั่นเอง)
3.กดหน้าจอของโน๊ตบุ้กให้เข้ามาใกล้ keyboard เล็กน้อย แต่ต้องไม่ใกล้ถึงขนาดที่ทำให้เครื่องหยุดทำงาน หลังจากนั้นให้วางโน๊ตบุ้คไว้ในที่แคบๆ ที่อากาศและความร้อนถ่ายเทไม่สะดวก เช่นตู้เล็กๆ หรือลิ้นชัก
4.ปล่อย ให้โน๊ตบุ้คของคุณทำงานอยู่อย่างนั้นหลายๆ ชั่วโมง หรือหลายๆ วัน ควรหมั่นเข้าไปตรวจสอบบ่อยๆ ว่า Stuck Pixel หายไปหรือไม่ การใช้ความร้อนจะทำให้ของเหลวในผลึก LCD ไหลอยู่ในเม็ด Pixel ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยยิ่งขึ้นในบางพื้นที่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ของเหลวดังกล่าวอาจจะไม่ตอบสนองต่อคำสั่งของวงจรควบ คุม

เราหวังว่าเทคนิคนี้จะเป็น ประโยชน์ต่อผู้ที่ประสบปัญหา Stuck Pixel ได้ไม่มากก็น้อย สำหรับบทความ และเทคนิคอื่นๆ ในการเลือกซื้อและใช้งาน HDTV คุณสามารถติดตามได้จากเว็บไซต์ www.lcdspec.com ครับ

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ทำไมระหว่างที่จอหนังในโรงภาพยนตร์จะต้องมีตัวเลขขีดๆขึ้นมาด้วย

สงสัยกันมั้ยว่าเวลาเราดูหนัง จะมีตัวเลขแปลกๆ เกิดขึ้นเสมอ เวลาดูในโรง

ผมสงสัยมานานมากๆ ละ วันนี้ได้คําตอบซักที มาดูกันเลยครับ






พี่ ตัวเลขที่คุณเห็นนั่นคือรหัสลับที่เขียนลงบนฟิล์มซึ่งแต่ละ copy จะแตกต่างกันโดยเจ้าของหนังให้ทางฟิล์มแลปเป็นคนทำรหัสลับนั้นขึ้นเพื่อตรวจ ได้ในกรณีที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์เอาหนังไปทำแผ่นผี วีซีดีเถื่อนครับ ขยายความอีกหน่อยนะครับ คือ การละเมิดลิขสิทธิ์หนังเนี่ยมีหลายวิธีที่จะได้ตัวหนังมาหนึ่งในวิธีที่นิยม เพราะจะได้แผ่นผีออกเร็วมาก คือ การแอบเอากล้อง หรือโทรศัพท์ไปถ่ายจากหนังที่กำลังฉายในโรงหนังในกรณีที่มีการแอบถ่ายแบบนี้ เมื่อเป็นแผ่นผีซีดีเถื่อนมันก็จะมีตัวเลขรหัสลับนั้นปรากฎอยู่ในหนังแผ่นผี นั้นเมื่อเจ้าของหนังได้เห็นแผ่นผีก็จะมีการเช็คว่าตัวเลขรหัสลับที่มีตรง กับฟิล์มที่ส่งไปให้โรงหนังโรงใดจากนั้นจะได้ดำเนินการสืบว่าใครเป็นผู้แอบ ถ่าย หรือจะได้จัดการดำเนินการกับโรงหนังที่ปล่อยให้มีการแอบถ่ายหนังเรื่องนั้น เป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ในอดีต สมัย คุณ สมศักดิ์(เสี่ยเจียง) เป็นนายกสมาพันธ์มีการกำหนดบทลงโทษไว้แรงถึงขั้นสูงสุด คือถ้าโรงหนังใดปล่อยให้มีการแอบถ่ายในโรงตัวเองบ่อยๆจะให้สมาชิกสมาพันธ์ ทั้งหมด Anti ไม่ส่งหนังให้โรงนั้นฉายอีกเลยแต่ปัจจุบันไม่แน่ใจว่ามีการลงโทษใดๆ หรือไม่


ที่มา : http://movie.mthai.com/movie-guru/48497.html

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

มาดูความเร็วของ internet แต่ละประเทศกันครับ

สังเกต ประเทศไทยนะครับ ^^

Top Countries by Download Speed


1. 20.88 Mb/s Korea, Republic of
2. 15.75 Mb/s Japan
3. 14.59 Mb/s Aland Islands
4. 13.08 Mb/s Lithuania
5. 12.94 Mb/s Sweden
6. 12.68 Mb/s Latvia
7. 12.40 Mb/s Romania
8. 11.67 Mb/s Bulgaria
9. 11.53 Mb/s Netherlands
10. 9.54 Mb/s Moldova, Republic of
11. 9.16 Mb/s Hong Kong
12. 8.56 Mb/s Slovakia
13. 8.37 Mb/s Germany
14. 8.20 Mb/s Russian Federation

65. 2.79 Mb/s Thailand

Top Countries by Upload Speed

1. 8.83 Mb/s Lithuania
2. 7.05 Mb/s Japan
3. 5.48 Mb/s Bulgaria
4. 5.17 Mb/s Aland Islands
5. 5.06 Mb/s Latvia
6. 4.88 Mb/s Romania
7. 4.86 Mb/s Hong Kong
8. 4.64 Mb/s Russian Federation
9. 4.55 Mb/s Sweden
10. 4.37 Mb/s Slovenia
11. 3.64 Mb/s Andorra
12. 3.56 Mb/s Moldova, Republic of
13. 3.10 Mb/s Netherlands
14. 3.02 Mb/s Asia/Pacific Region

56. 0.69 Mb/s Thailand


แพทเทิร์น Agile - ปิงปองโปรแกรมมิ่ง

Agile สนับสนุนความคิดที่ว่าสองหัวดีกว่าหัวเดียว การเขียนโปรแกรมสองคนโดยใช้คอมเครื่องเดียวหรือที่เรียกว่า Pair Programming ไม่ได้ระบุว่าจะแบ่งกันเขียนโปรแกรมอย่างไร การแบ่งให้คนนึงเขียนเทสต์ อีกคนเขียนโค้ด แล้วคนเขียนโค้ดเสร็จกลับไปเขียนเทสต์ ให้อีกคนเขียนโค้ดสลับไปมาเหมือนตีปิงปอง จะทำให้งานท้าทาย ไม่น่าเบื่อ และมีประสิทธิผลมากขึ้น

แรงผลักดันทั้งแง่บวกและลบ
- คนที่อยากลอง Pair Programming ไม่รู้ว่าควรแบ่งงานกันอย่างไรดี ถ้าไม่แบ่งงานให้ดีจะกลายเป็นคนนึงพิมพ์ คนนึงเอาแต่ดู
- เขียนโปรแกรมติดกันนานๆอาจทำให้เหนื่อยล้า ปัญหาบางอันติดเป็นชั่วโมงๆถ้ามีคนช่วยดูอาจเจอวิธีแก้ปัญหาที่คนๆเดียวอาจมองข้าม
- คนเขียนโปรแกรมหรือทดสอบโปรแกรมทำงานอย่างเดียวกันทุกวันอาจนึกไม่ถึงมุมมองของอีกฝ่าย
- การผลักกันคิด ผลักกันทำ ทำให้ช่วยกันทำให้งานเดินไปอย่างต่อเนื่อง
- เขียนเทสต์ก่อนเขียนโค้ดจะไม่น่าเบื่อถ้าคนเขียนเทสต์เป็นคนละคนกับคนเขียนโค้ด

ดังนั้น

ให้ พัฒนาโปรแกรมโดยแบ่งงานเป็นเรื่องย่อยๆที่สามารถทำได้ในระยะเวลาไม่เกิน หนึ่งวัน แต่ละเรื่องจะต้องเขียนโค้ดสำหรับเทสต์ก่อน แล้วค่อยเขียนโค้ดจริง โดยคนหนึ่งเขียนเทสต์ให้อีกคนเขียนโค้ด เมื่อเขียนโค้ดจนรันเทสต์ผ่านแล้ว ให้คนเขียนโค้ดเป็นคนเขียนเทสต์ให้อีกฝ่ายหนึ่งบ้าง สลับไปมา ในระหว่างเขียนเทสต์หรือเขียนโค้ด คนที่ถือคีย์บอร์ดจะเป็นผู้นำ โดยคนที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นผู้ออกความเห็น ช่วยคิด ช่วยหาจุดผิดพลาดของโปรแกรม เมื่อฝ่ายหนึ่งเขียนเสร็จแล้ว จึงยกคีย์บอร์ดให้อีกฝ่ายทำต่อ เวลาในการยึคแป้นพิมพ์ทำแต่ละรอบไม่ควรนานเกินหนึ่งชั่วโมง

ข้อดี
- แต่ละฝ่ายได้มีโอกาสเขียนทั้งเทสต์และโค้ด ทำให้เพิ่มประสบการณ์ในการพัฒนากว้างขึ้น
- การสลับให้แต่ละฝ่ายจับคีย์บอร์ด จะทำให้เพิ่มความมั่นใจ และมีความเป็นเจ้าของโค้ดทีตนเขียนมากขึ้น
- การให้สองคนทำเรื่องเดียวกัน ทำให้โค้ดทุกส่วนมีแบ๊กอัพ ที่ผ่านตาอย่างน้อยสองคน ทำให้ลดปัญหาที่เกิดจากการหาคนทำแทนไม่ได้
- การมีคนช่วยคิดอยู่ข้างๆ ช่วยลดความผิดพลาด และโอกาสที่เสียเวลานานๆกับการติดปัญหาที่เขียนโปรแกรมคนเดียวมักมองไม่ออก
- การสลับคู่เขียนโปรแกรมในทีม ทำให้ทุกคนในทีมมีโอกาสทำงานร่วมกัน และทำให้แต่ละคนได้มีโอกาสเรียนรู้งาน เห็นภาพรวมของทั้งระบบ จะมีส่วนช่วยให้เข้าใจจุดประสงค์ของการเขียนงานส่วนย่อยแต่ละส่วนมากขึ้น
- การใช้หลักปิงปอง ทำให้รู้สึกสนุกขึ้น ต่างฝ่ายต่างพยายามท้าทายอีกฝ่าย
- ใช้หลักนี้ ในการอบรมนักพัฒนาที่มีประสบการณ์น้อยกว่าได้ โดยคนที่มีประสบการณ์มากกว่าสามารถเขียนโค้ดและอธิบายสิ่งที่ตนทำ ในขณะเดียวกันคนที่มีประสบการณ์น้อยกว่าก็สามารถลองหัดโดยมีพี่เลี้ยงคอยแนะ เพิ่ม
- ลดความเหนื่อยล้าจากการทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งติดกันนานมากๆ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ถือคีย์บอร์ดเริ่มหมดสมาธิ ก็สามารถสลับให้อีกฝ่ายทำต่อ
- ในระหว่างที่คนหนึ่งเขียนโปรแกรม อีกฝ่ายสามารถคิดวิธี refactor โค้ดให้กระทัดรัด อ่านง่าย และสื่อความหมายดีขึ้น ทำให้เราสามารถปรับปรุงคุณภาพโค้ดให้ดีขึ้นได้ทันที

ข้อเสีย
- บางคนไม่คุ้นเคยกับการเีขียนโปรแกรมสองคน อาจไม่สะดวกใจ
- ไม่เหมาะกับทีมที่ไม่ชอบแสดงความเห็น หรือชอบทำงานคนเดียว
- ผู้บริหารอาจไม่เห็นด้วยกับการที่คนสองคนทำงานเดียวกัน ฟังเหมือนกับเสียกำลังคนสองเท่า
- ไม่เหมาะกับทีมที่ขาดวินัย ทำงานร่วมกัน อาจทำให้เอาเวลาไปคุยนอกเรื่องมากกว่าตั้งใจทำงานร่วมกัน
- ทำไม่ได้ถ้าสมาชิกแต่ละคนอยู่คนละที่ คนละสาขา
- ไม่เหมาะถ้านักพัฒนาแต่ละคนมีทักษะต่างกันมากๆ

เทคนิคในทางปฏิบัติ
การ เขียนโปรแกรมแบบปิงปอง จะได้ผลดีเมื่อเราใช้แนวการพัฒนาโปรแกรมโดยการเขียนเทสต์ก่อน (test driven design) โดยคนหนึ่งเขียนเทสต์ให้อีกคนเขียนโค้ดเพื่อรันเทสต์ให้ผ่าน การเขียนเทสต์เหมือนกับการกำหนดอินเตอร์เฟซว่าเราจะต้อง Implement อะไรบ้าง และเป็นการทำให้รู้ว่าควรเขียนโค้ดอย่างไรให้รันเทสต์ผ่าน ไม่ควรเขียนโค้ดเผื่อสิ่งที่ไม่ได้เขียนเทสต์ครอบคลุมไว้ และพยายาม refactor โค้ดเมื่อเห็นโอกาส

การเขียนโปรแกรมสองคน ทุกคนควรมีโอกาสเขียนร่วมกับคนอื่นๆในทีม โดยอาจกำหนดตารางทำงานสลับคู่ทุกวัน อย่าง pairing matrix หรือ pairing calendar เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสทำงานร่วมกันคนอื่น มีโอกาสเรียนรู้งานส่วนอื่นๆ และทำให้ทีมมีความสัมพันธ์ดีขึ้น บางองค์กรอาจเขียนโปรแกรมสองคนตลอดทั้งวันและทุกๆวัน ในขณะที่บางองค์กรอาจแบ่งเวลาครึ่งวันเขียนโปรแกรมร่วมกัน และอีกครึ่งวันแยกเขียนตามปกติ เพื่อจะได้มีเวลาเช็คอีเมล์หรือเคลียร์งานด้านอื่นๆ

แพทเทิร์นที่เกี่ยวข้อง
Agile แบ่งงานออกเป็นเรื่องๆ (User story) ที่มีขอบเขตเนื้อหาสำหรับเขียนไม่มากนัก เช่นใช้เวลาในหน่วยวันสองวัน การใช้โปรแกรมมิ่งแบบปิงปองเป็นรูปแบบหนึ่งของการเขียนโปรแกรมทีละสองคน และสนับสนุนให้เขียนโปรแกรมโดยการเขียนเทสต์ก่อน การเขียนเทสต์ควรใช้ไลบรารี่อย่าง unit testing, mock objects ร่วมกับ continuous integration tool การเขียนโค้ดควรต้องมี IDE ที่สนับสนุน Refactoring, version control

ที่มา http://www.thaidev.org/?p=70

แพทเทิร์น Agile – ยืนประชุมประจำวัน

"คนเรายืนนานๆแล้วเมื่อย ถ้าต้องยืนประชุมจะได้ไม่เยิ่นเยื้อ หาข้อสรุปได้เร็วๆไม่เสียเวลาทุกคน"

Agile เน้นการสื่อสารบ่อยๆ นั่นหมายถึงแต่ละวันสมาชิกในทีมควรมีเวลาเล่าให้คนอื่นฟังถึงความคืบหน้าและ ปัญหาที่ติดที่คนอื่นอาจช่วยได้ ให้ทุกคนฟัง แต่ทำยังไงให้ประชุมไม่ยืดเยื้อ จนเสียเวลาทำงาน หรือนานจนหมดสมาธิ

แรงผลักดันทั้งแง่บวกและลบ
- การสื่อสารระหว่างสมาชิกในทีมเป็นสิ่งสำคัญ สมาชิกในทีมควรรู้ถึงความคืบหน้าของโครงการโดยรวมจากสิ่งที่สมาชิกแต่ละคนทำอยู่
- เวลาเป็นของมีค่า ทีมพัฒนาควรใช้เวลาส่วนใหญ่วางแผน ออกแบบ เขียน และทดสอบโปรแกรม ถ้าต้องเสียเวลาประชุมบ่อยๆครั้งละนานๆคงไม่เหมาะ
- การได้เล่าถึงปัญหาที่เราติดอยู่ อาจมีคนอื่นรู้วิธีแก้ปัญหาสามารถช่วยเหลือได้
- การประชุมสำหรับทีมที่มีสมาชิกมากๆ มักยืดเยื้อ และฟังดูเป็นทางการ
- ประชุมสั้นไป อาจทำให้ได้ข้อมูลไม่ละเอียดพอที่ทุกคนจะเข้าใจตรงกัน

ดังนั้น

เราควรจะจัดประชุมรับฟังความคืบหน้าของสมาชิกในทีมทุกคน จัดประชุมเป็นรายวันโดยให้แต่ละคนสรุปถึงสิ่งที่ตนทำในวันที่ผ่านมา ปัญหาที่ตนติดอยู่ และสิ่งที่คาดว่าจะทำในวันนั้น โดยแต่ละคนไม่ควรใช้เวลาเกินหนึ่งนาที เพื่อป้องกันความยืดเยื้อจากการประชุมนานๆ ให้ทุกคนยืนประชุม เพื่อเป็นการบังคับไม่ให้ประชุมนานจนคนยืนทนไม่ไหว ควรจำกัดเวลาประชุมไม่ให้เกินสิบหรือสิบห้านาที เรื่องไหนที่คิดว่าจะยืดเยื้อ ต้องรีบหยุดและไปคุยนอกรอบแทน

ประโยชน์
- ประชุมรายวัน ช่วยการสื่อสารข่าวสารในทีมให้ทันเหตุการณ์
- ปัญหาที่เราเล่าให้ทีมฟัง อาจมีคนเคยเจอและรู้วิธีแก้ ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาค้นวิธีแก้ปัญหาเอง
- ทุกคนรู้ว่่าถ้าประชุมนาน จะต้องยืนจนเมื่อย ทำให้ตัดสินใจว่าเรื่องไหนควรคุยต่างหาก เรื่องไหนที่ต้องรีบตัดสินใจ เรื่องไหนควรคุยนอกรอบ
- การได้ฟังตัวอย่างดีๆจากความคืบหน้าของผู้อื่น ทำให้เราอยากมีผลงานให้เทียบเท่าหรือทำให้ดียิ่งขึ้น
- การยืนประชุมไม่เหมาะสำหรับทุกเรื่อง เรื่องที่ต้องใช้เวลานาน ควรใช้วิธีการประชุมแบบปกติ
- ถ้าจัดประชุมตอนเช้า เป็นการลดปัญหาคนมาทำงานสายไปในตัว

เทคนิคในทางปฏิบัติ

Agile พยายามหลีกเลี่ยงอะไรที่เป็นทางการ แต่ในขณะเดียวกันวิธีนี้จะประสบความสำเร็จเมื่อทุกคนต้องมีวินัยมีความรับ ผิดชอบสูง การประชุมที่ใช้เวลาสั้นๆจึงสำคัญมากที่ทุกคนต้องตรงเวลา การยืนประชุมครั้งแรก อาจต้องมีคนแนะนำถึงขั้นตอน ส่วนใหญ่สมาชิกจะยืนล้อมเป็นวงในพื้นที่ว่างๆที่ใกล้จุดที่สมาชิกส่วนใหญ่ทำ งาน ไม่จำเป็นต้องจัดในห้องประชุม เพื่อลดความเป็นทางการลง ถ้าทีมมีการใช้ฝาผนังเก็บข้อมูลโครงการ เช่น story card, burnup chart ก็ควรประชุมใกล้ๆฝาผนังเพื่อจะได้ง่ายต่อการอ้างอิงถึงข้อมูลบนฝาผนัง ถ้าการประชุมนอกห้องประชุมส่งเสียงดังรบกวนทีมอื่นจริงๆ ค่อยย้ายไปที่ห้องประชุม

ผู้นำประชุมอาจเป็นผู้จัดการโครงการ ที่เล่าให้คนในทีมฟังถึงข่าวสารที่น่าสนใจ ความคืบหน้า และประเด็นที่เกี่ยวข้องจากทีมอื่นหรือจากองค์กร แล้วให้สมาชิกในทีมแต่ละคน เล่าให้ฟังถึงสิ่งที่ตนทำในวันที่ผ่านมา สิ่งที่ติดขัดที่ผู้อื่นสามารถช่วยเหลือได้ และสิ่งที่ตนตั้งใจที่จะทำในวันนั้น เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาว่าถึงคิวใครเป็นคนคุย อาจใช้ปากกาหนึ่งแท่งเป็นตัวกำหนดว่าคนที่ถือปากกาเท่านั้นที่จะเป็นผู้พูด ให้คนอื่นฟัง นอกจากใช้ปากกาแล้ว อาจใช้สื่ออะไรก็ได้ อย่าง ลูกเทนนิส ตุ๊กตา ลูกบอล ก็จะเป็นการลดความเป็นทางการของการประชุม ผู้ดูแลการประชุมควรคอยสังเกตและควบคุมเวลาการพูดของแต่ละคนไม่ให้ยืดเยื้อ หรือนอกเรื่อง ถ้ามีหัวข้ออะไรที่ต้องใช้เวลาคุย หรือการตัดสินใจที่ต้องคิดนาน ก็ให้แยกไปคุยนอกรอบไป

บางครั้งการเรียงคิวพูดทีละคนอาจทำให้คนที่เตรียมพูดคนถัดไป ไม่สนใจคนอื่นฟังเพราะต้องเตรียมคิดว่าตัวเองจะพูดอะไรบ้าง ดังนั้นเราอาจกำหนดสุ่มว่าใครควรจะเป็นผู้พูดคนถัดไป เทคนิคนึงก็คือ การโยนปากกาที่คนพูดๆเสร็จ ไปให้ใครก็ได้ที่ต้องการให้พูดต่อ ห้ามส่งให้คนที่อยู่ข้างๆตน จะทำให้แต่ละคนต้องเตรียมเรื่องที่จะพูดให้เรียบร้อยก่อนประชุม และตั้งใจฟังคนอื่นพูดมากขึ้น

ทีมที่มีขนาดใหญ่มากๆอาจมีปัญหาในการควบคุมเวลาและหาสถานที่ที่ใหญ่พอที่ ทุกคนจะยืนประชุมได้ และทำให้ฟังลำบากถ้าคนพูดอยู่ไกลและพูดเสียงเบา ปัญหานี้ไม่ควรมีเพราะ agile ไม่ส่งเสริมให้ทีมมีขนาดใหญ่เกินไป สิบคนน่าจะเป็นจำนวนสูงสุดของทีม ถ้าทีมไหนมีสามาชิกเกิน ควรแบ่งออกเป็นทีมย่อย โดยแต่ละทีมอาจให้ผู้จัดการทีม เป็นผู้ประสานงานข้ามทีมย่อย

แพทเทิร์นที่เกี่ยวข้อง
การยืนประชุมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมสำคัญของทีม Agile โดยเล่าถึงความคืบหน้าจากแผนที่่วางจาก การประชุมการวางแผนระดับ Iteration โดยแต่ละคนจะรายงานถึงความคืบหน้าของ Story card ที่ตนทำอยู่


ที่มา http://www.thaidev.org/?p=68

ความแตกต่างระหว่าง Software Engineer กับ SA

นึกสนใจก็เลยลองเสาะหาข้อมูลมาซะหน่อย

ถ้ามอง ปัจจัยในการ พัฒนา Software เป็นหลักนะครับ
SA ==> System Analyst จะเป็น ผู้ที่ทำการวิเคราะระบบเป็นหลัก ซึ่งจะ Abstarct มากๆ ก่อน
SE ==> System Engineer นำสิ่งที่ SA วิเคราะห์มา ในเชิง Realize ขึ้น คือเริ่มมองเห็นรูปร่างของ Software นั่นเองครับ
SAt ==> System architecture เป็นคนออกแบบโครงสร้างของระบบทั้งหมดในเชิง Software คือ ระบุได้ว่า ส่วนไหนพัฒนางานโดยอะไร (Framwork ใด) รูปแบบไหน


Software Engineer จะดูแลเรื่อง Detail Design เช่น การ Design Class Diagram และ Sequence Diagram นอกจากนี้ถ้าเป็น SE ระดับ Senior หน่อยก็เป็นพวก Project Management ครับ ส่วน System Analyst จะดูเรื่องการเก็บ Requirement ทำพวก Input และ Output ที่ User ต้องการ รวมถึง Business Process ต่างๆ ส่วน System Architect จะดูและภาพรวมของระบบ Environment ของระบบ การ Integrate เข้ากับระบบอื่น

ซึ่ง ถ้าเคยเรียน Software Engineering จะเห็นได้ว่าวิชาจะเน้นหนักไปที่ Software Lifecycle, Project Management , Software Quality และ Design Pattern

System Analysis จะเน้นพวกการเก็บ Requirement การกำหนด Input Output การ Design Process Flow

System Architect ซึ่งยังไม่ค่อยมีเปิดสอน จะเน้นพวก System Integration และความรู้ด้าน Data Communication ครับผม

SA ที่หมายถึง System Analyst ยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทอะครับ (อ้างอิงจากที่เคยเรียนอะนะ)

1.) System Analyst
2.) Bussiness Analyst

ถ้า เป็นลักษณะที่ 1. ก็รู้ Business และเข้าใจ Requirement ในระดับที่สามารถออกแบบระบบ หรือ ส่วนใหญ่กระบวนทางธุรกิจก็มักจะหมายถึง Table ใน Database รวมไปถึงสามารถอธิบาย Business Flow ให้พวก Developer ทำโปรแกรมออกมาให้ตาม Requirement ของลูกค้า
เข้าใจว่างานหลักๆคือเน้น การสร้างระบบจึงต้องมีความรู้ด้าน Program ด้วย ไม่อย่างนั้นจะคุยกะโปรแกรมเมอร์ไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนพูดกันคนละภาษา
แต่คนพวกนี้จึงอาจโดนเกณฑ์ไป coding ถ้าโปรเจคไม่เสร็จ

ถ้า เป็นลักษณะที่ 2. เข้าใจว่าต้องเป็นพวกที่มีประสบการณ์ด้าน Business สูง สามารถวิเคราะห์ข้อมูลหรือ Requirement จากลูกค้าได้ พวกนี้อาจจะต้องหนักด้านการติดต่อกับลูกค้าเป็นหลัก , design table , หน้าจอ เข้าใจ flow งานทั้งหมดแต่อาจจะไม่ต้อง Programming เป็นเลยก็ได้

แต่ ในโลกตวามจริง โปรเจคอาจจะไม่จำเป็นต้องจ้าง SA ที่เป็น 2 แบบนี้พร้อมกันเพราะทำให้ต้นทุนสูงก็เลยจ้างมาคนเดียวแล้วก็รับหน้าที่ทั้ง 2 เรื่องนี้ไปพร้อมๆกัน เพราะ Phase Design มันไม่ได้ต้องทำกันตลอดทั้ง Project และเมื่อ SA วางระบบเสร็จแล้ว ขั้นตอนในการ implement หรือ tuning ระบบให้เข้ากับความต้องการ SA ก็ไม่ต้องทำงานหนักแล้วดังนั้นความรับผิดชอบก็จะตกอยู่ที่การไปคุยกับลูกค้า ว่าระบบโ
อเคไม๊มมากกว่า

อีกอย่างนึงที่มักจะเห็น SA ชอบทำตกไปคือ การให้ความเข้าใจกับลูกค้า SA ควรจะ minimize scope ของงานให้ได้ตาม requirement แต่ไม่ได้ทำให้งานไปตกอยู่ที่ Programmer ทั้งหมด ดังนั้นในขั้นตอนการ design จึงเป็นเรื่องสำคัญว่าจะทำอย่างไรให้ระบบทำงานได้ครบตามความต้องการ และ งานไม่ใหญ่มากนักเพื่อให้ส่งมอบงานได้ตรงเวลาอะครับ (ไม่งั้นอาจเห็น Programmer กับ SA ทะเลาะกันแน่ๆ)


ส่วน SA ที่เป็น Software/System Architect

เน้นหนักไปที่การ design software / system ให้มี Quality หรือ Best Performance มากกว่าอะครับ แช่นทำอย่างไรโปรแกรมจะทำงานได้เร็ว , โปรแกรมไม่ Error บ่อย , ปรับระบบให้รองรับต่อการเปลี่ยนแปลง ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าในส่วนของ Architect นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Requirement เพราะ Analyst เป็นคน design ให้ตรงกับ Requirement
ดัง นั้นคิดว่าคนเป็น Architect ควรจะมีความรู้ด้าน Design Pattern , Framework เป็นอย่างดี และสามารถประยุกต์เข้ากับระบบที่ Analyst design มา

Requirement แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

functional requirement : Analyst ต้องรับตรงนี้ไปหละว่าจะ design กันยังไง

non-function requirement : ตรงนี้ Architect ต้องดูแล

หากความรู้อันน้อยนิดที่ผมกล่าวนั้นบกพร่องก็ขออภัยด้วยนะครับ และก็ขอให้ผู้รู้วานช่วยแก้ไขด้วยละกันครับ

ที่มา http://www.narisa.com/forums/index.php?showtopic=3968

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

สาร เอ็นโดฟินส์ ( ENDORPHINES) กับ อดรีนาลีน (Adrenaline)


สารเอ็นโดฟินส์
Endophine นี้ถูกค้น พบครั้งแรกโดย John Hughs และ Hans Kosterlitz ในปี ค.ศ.1975 โดยพบในสมองของสุกร ในขณะนั้นเขาได้ให้ชื่อว่าสาร “ Enkephalins” (ในภาษากรีก egkephalos มีความหมายว่า ภายในกะโหลกศีรษะ) และต่อมาได้มีการค้นพบสารเอ็นโดฟินส์อีกหลายชนิดในมนุษย์ โดยคำว่า Endophine นั้นมีที่มาจากคำว่า Endogenous Morphine ซึ่งหมายถึงสารมอร์ฟีนที่ถูกผลิตขึ้นภายในร่างกายโดยธรรมชาติซึ่งไม่ก่อผล เสียต่อร่างกาย
เมื่อเรามีความสุขหรืออยู่ในสภาวะที่สุข สบาย (Pleasure experience) ไม่ว่าจะเป็นการจินตนาการหรือความรู้สึกจากประสาทรับสัมผัสทั้ง 5 เช่น การเล่นคลอเคลียกันสัตว์เลี้ยงแสนรัก การฟังดนตรีเพราะๆ การอ่านหนังสือที่ถูกใจ การดูภาพยนตร์ การออกกำลังกาย (ในบางตำรากล่าวว่าต้องเป็นการออกกำลังกายที่หนักๆ) การทำสมาธิ หรือการที่มีความรู้สึกรัก การได้พูดคุยกับคนที่เรารัก การได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เรารัก การได้สัมผัสถ่ายทอดความรักซึ่งกันและกัน กระทั่งการได้ร่วมรักกับคนที่เรารัก ขั้นตอนการเล้าโลม เหล่านี้เป็นการกระตุ้นให้สมองเกิดการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ขึ้น(โดยพบว่ามี การหลั่งสารเอ็นโดฟินส์อย่างมากในช่วง orgasm)

ถึงแม้ว่าจะ ผ่านวันแห่งความรักมานานแล้ว แต่เราก็ยังคงสัมผัสกับความรักอยู่เสมอไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ความรักเป็นสิ่งจรรโลงใจให้กับมนุษย์มานานแสนนาน อาจสังเกตได้จากบทเพลง บทกวี นวนิยาย ละคร หรืออุปรากรต่างๆ ก็มักวนเวียนอยู่กับเรื่องของความรัก

ความ รักของแต่ละคนก็มีนิยามแตกต่างกัน บางคนมีความรักที่หมายถึงความรู้สึกอยากอยู่ใกล้ คิดถึงเมื่ออยู่ห่างไกล ต้องการทำสิ่งที่ดีให้เพื่อเอาใจ บางคนความรักหมายถึงการอยากใช้ชีวิตด้วย อยากมีครอบครัวด้วยกัน อยากแก่ไปด้วยกัน

บางครั้งความรักก็นำความทุกข์มาให้แก่คนเรา แต่หลายๆ ครั้งที่ความรักนำความสุข ความอิ่มใจ ปลื้มปิติมาให้ทั้งแก่ผู้รักและผู้ถูกรัก

หลาย ท่านอาจเคยมีประสบการณ์ยามเมื่อแรกรักใหม่ๆ ถึงแม้จะเป็นการแอบชอบ แอบรักใครสักคนก็ตาม ก็มักรู้สึกว่าช่วงนั้นพิเศษกว่าปกติ สามารถนั่งอมยิ้มได้คนเดียวเมื่อนึกถึง มองอะไรๆ สดชื่นไปหมด อยากรู้ความเป็นไปของคนที่เรารักทุกอย่าง บ่อยครั้งก็มองเห็นแต่ข้อดีของคนที่เราชอบ เรารัก ต่อมาเมื่อคบกันนานเข้า ก็ต้องมีการปรับตัวเข้าหากัน เมื่อคนที่รักกันอยู่ด้วยกันนานๆ ก็มักจะมี ความผูกพัน กัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เพิ่มขึ้นมานอกเหนือจากความรู้สึกรักใคร่ในช่วงแรก

สาร เอ็นโดฟินส์เป็นสารเคมีจำพวกเดียวกับฝิ่น (opioid) ซึ่งผลิตขึ้นภายในร่างกาย โดยสมองส่วนไฮโปธารามัส (Hypothalamus) และต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) อันเนื่องมาจากเป็นสารเคมีจำพวกเดียวกับฝิ่นจึงมีฤทธิ์บรรเทาอาการปวด (Analgesia) และทำให้รู้สึกสุขสบาย (Sense of well-being)หรืออีกนัยหนึ่ง สารเอ็นโดฟินส์ก็คือ ยาแก้ปวดแบบธรรมชาติ นั่นเอง

สารเอ็นโดฟินส์นี้ ถูกค้นพบครั้งแรกโดย John Hughs และ Hans Kosterlitz ในปี ค.ศ.1975 โดยพบในสมองของสุกร ในขณะนั้นเขาได้ให้ชื่อว่าสาร Enkephalins (ในภาษากรีก egkephalos มีความหมายว่า ภายในกะโหลกศีรษะ) และต่อมาได้มีการค้นพบสารเอ็นโดฟินส์อีกหลายชนิดในมนุษย์ โดยคำว่า Endophine นั้นมีที่มาจากคำว่า Endogenous Morphine ซึ่งหมายถึงสารมอร์ฟีนที่ถูกผลิตขึ้นภายในร่างกายโดยธรรมชาติซึ่งไม่ก่อผล เสียต่อร่างกาย


เมื่อเรามีความสุขหรืออยู่ในสภาวะที่สุข สบาย (Pleasure experience) ไม่ว่าจะเป็นการจินตนาการหรือความรู้สึกจากประสาทรับสัมผัสทั้ง 5 เช่น การเล่นคลอเคลียกันสัตว์เลี้ยงแสนรัก การฟังดนตรีเพราะๆ การอ่านหนังสือที่ถูกใจ การดูภาพยนตร์ การออกกำลังกาย (ในบางตำรากล่าวว่าต้องเป็นการออกกำลังกายที่หนักๆ) การทำสมาธิ หรือการที่มีความรู้สึกรัก การได้พูดคุยกับคนที่เรารัก การได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เรารัก การได้สัมผัสถ่ายทอดความรักซึ่งกันและกัน กระทั่งการได้ร่วมรักกับคนที่เรารัก ขั้นตอนการเล้าโลม เหล่านี้เป็นการกระตุ้นให้สมองเกิดการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ขึ้น(โดยพบว่ามี การหลั่งสารเอ็นโดฟินส์อย่างมากในช่วง orgasm)

เมื่อสารเอ็นโดฟินส์ที่หลั่งออกมานี้จะไปจับกับตัวรับ(receptor) ชนิด Opioid ในสมอง ก็จะมีผลโดยรวมทำให้เกิดการหลั่งของสารโดปามีน(Dopamine) มากขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดผลดีต่อร่างกายต่างๆ เช่น บรรเทาความเจ็บปวด เกี่ยวข้องกับสมดุล ความหิว การนอนหลับ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ ระบบควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย นอกจากนี้ยังมีผลต่อการควบคุมการสร้างฮอร์โมนเพศ (sex hormones) และที่สำคัญสารเอ็นโดฟินส์สามารถส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่าง กาย (Immune system) โดยมีการศึกษาและรายงานถึงผลของการหัวเราะว่าทำให้เกิดการหลั่งสารเอ็นโด ฟินส์ในสมองมากขึ้น จะเกิดการกดการทำงานของ Stress hormone หรือฮอร์โมนที่หลั่งเมื่อร่างกายเผชิญกับสภาวะที่เครียด เช่น Adrenaline มีผลทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้อาการปวดบรรเทาลง และมีผลทำให้หลอดเลือดขยายตัวได้ดีขึ้น ทำให้เม็ดเลือดขาวเดินทางเข้าไปฆ่าเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น โอกาสเจ็บป่วยก็จะลดลง คือทำให้สุขภาพแข็งแรงขึ้นนั่นเอง ดังนั้นการที่มีกิจกรรมใดก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกเป็นสุขมีการหลั่งสารเอ็น เอ็นโดฟินส์ย่อมมีส่วนเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกายได้เสมอ


เนื่อง จากร่างกายกับจิตใจมีความเชื่อมประสานกันอย่างแยกไม่ได้ ในบางครั้งอาจเคยสังเกตว่าเวลาไม่สบายกาย จิตใจก็มักหงุดหงิดหรือหดหู่ไปด้วย หรือเวลาที่ไม่สบายใจ ร่างกายก็พลอยเบื่ออาหาร นอนไม่หลับไปด้วย ดังนั้นเวลาที่คนเราไม่สบาย นอกจากการรับประทานยาตามแพทย์สั่งแล้ว การอยู่ในสภาวะที่มีความสบายกาย และสบายใจ หรือมีความสุขใจ ก็มีผลดีต่ออาการเจ็บป่วยทางร่างกาย การมีความรัก มีคนรักคอยเอาใจใส่ดูแลอยู่ใกล้ๆ การได้รับสัมผัสการกอด จูบ การลูบหัว จับมือจากคนรัก ซึ่งจะทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ สบายใจขึ้นทันที เป็นสิ่งที่ทำให้เกิด Pleasure experience เมื่อมีการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์แล้ว คนรักที่กำลังไม่สบายก็จะรู้สึกเจ็บปวดน้อยลง การทำงานของเม็ดเลือดขาวและระบบภูมิคุ้มกันโรคก็แข็งแรงขึ้น มีผลให้หายเจ็บป่วยได้ไวขึ้นเช่นกัน ดังจะเห็นได้ว่าความรักนั้น นอกจากจะทำให้สุขใจแล้ว ยังทำให้สุขกายได้อีกด้วย


ในผู้ ที่ติดสารเสพติดนั้น เหตุผลของการใช้สารเสพติดมักเกี่ยวข้องกับความต้องการคลายเครียด คลายความทุกข์ใจ อยากรู้สึกสนุกหรือมีความสุขมากขึ้น ฯลฯ ซึ่งจะพบว่า ถ้าครอบครัว และสังคม มีความรัก ความอบอุ่นให้แก่กันเพียงพอ และรู้จักการหาความสุขจากกิจกรรมที่สร้างสรรค์ ก็จะเกิดการหลั่งของ Endogenous Morphine หรือ Endorphine ทำให้รู้สึกสุขสบาย ไม่ต้องหาสารสุขจากภายนอก เชื่อว่าจะช่วยลดปัญหาการใช้สารเสพติดลงได้เป็นอย่างยิ่ง

อดรีนาลีน (Adrenaline) เป็น “ฮอร์โมน” สร้างขึ้นจากต่อมหมวกไตของสัตว์ อดรีนาลีนจะหลั่งออกมาขณะที่ โกรธ, ตกใจ, ตื่นเต้น อย่างรุนแรง เป็นวิวัฒนาการที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเพื่อรับมือกับ สถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพทางร่างกายในระยะเวลาอันสั้น เลือดสามารถไปเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ออกซิเจนสามารถเข้าสู่ปอดได้อย่างรวดเร็ว

ทุกครั้งที่เกิดภาวะเครียด โดยเฉพาะความเครียดเรื้อรังนั้นมีผลโดยตรงต่อการทำงานของร่างกาย ทุกระบบจะทำงานหนักมากขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ กลไกลที่ผลต่อร่างกายก็คือ เมื่อภายใต้จิตสำนึกของคุณเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งเรียกว่า อะดรีนาลิน (Adrenaline) ผลของฮอร์โมนชนิดนี้กระทบและเป็นผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก เมื่อร่างกายมีการหลั่งจะทำให้หลอดเลือดในร่างกายบีบตัว


ที่มา
http://atcloud.com/groups/190/show_story?story_id=64049
http://www.nookjung.com/health/tag/adrenaline

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

เทคโนโลยีการเข้ารหัสลับ Cryptography

เทคโนโลยีการเข้ารหัสลับหรือวิทยาการการเข้ารหัสลับนั้นเริ่มเป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโรมัน พัฒนาจากแนวคิดเกี่ยวกับ พื้นฐานในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และพัฒนาเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งกลายเป็นกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ในการเข้ารหัสลับ (Cryptographic Algorithms) โดยการสร้างสิ่งที่อยู่ในรูปตัวอักษร อักขระ ตัวเลข หรือสัญลักษณ์ใดๆ ขึ้นมา และเรียกสิ่งนั้นว่า “กุญแจ (key)” และใช้ “กุญแจ (key)” นั้นเอง เป็นกลไกสำคัญในการ “เข้ารหัส” และ “ถอดรหัส”

คำศัพท์สำคัญพื้นฐานในการทำความเข้าใจวิทยาการการเข้ารหัส
ในการทำความเข้าใจพื้นฐานของวิทยาการในการเข้ารหัสนั้น จำเป็นต้องทำความเข้าใจคำศัพท์หลายคำเช่นกันซึ่งมีความสำคัญต่อขั้นตอนวิธีในการเข้าและถอดรหัส อันได้แก่

“การเข้ารหัส (encryption)” และ “การถอดรหัส (decryption)”
“การเข้ารหัส” หมายถึง การแปลงข้อความหรือข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์รูปหนึ่งที่อ่านได้ (plaintext) ให้อยู่ในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมซึ่งอ่านไม่ได้ (ciphertext) ส่วน “การถอดรหัส” หมายถึงการแปลงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์จากรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม (ciphertext) นั้น ให้กลับไปอยู่ในรูปของข้อความหรือข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบเดิมก่อนการเปลี่ยนแปลง (plaintext)

Source: Secure Electronic Commerce,
Warwick Ford and Michael S. Baum, Prentice Hall PTR, 1997

สำหรับกระบวนการข้างต้นในการแปลงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่อ่านได้เป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่อ่านไม่ได้จะนี้เรียกว่า “การเข้ารหัส (Encryption) และการแปลงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์กลับให้อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่อ่านได้เรียกว่า “การถอดรหัส (Decryption)”
“กุญแจ (key)”
คำว่า “กุญแจ (key)” ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเข้ารหัสหรือถอดรหัสนั้น จะสร้างขึ้นด้วยกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่คำนวณโดยอัตโนมัติ และได้ผลลัพธ์ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของ อักษร อักขระ ตัวเลข หรือสัญลักษณ์ใดๆ ก็ได้ เช่น

D3K7EF8C9FE98A4B58CB2A57FD814BF78BC3D98B15FE8A
4FA8EB33C2F5D569FFB4A0012CF16EDA45CEF79AA5F1D3
AF7D9B46CF711CE84DEA011BF8A2D75F9CA701AD4B8A9F


คำว่า “กุญแจ” ในที่นี้จึงต่างไปจาก “กุญแจ” เป็นดอกๆ สำหรับใช้ไขแม่กุญแจทั่วไป แต่เหตุที่เรียกว่า “กุญแจ” อาจจะด้วยวัตถุประสงค์ในการสร้างขึ้นมาในการใช้เข้ารหัสโดยแปลงข้อความหรือตัวหนังสือที่อ่านเข้าใจได้ (plaintext) ให้อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งอ่านไม่ได้หรืออ่านไม่เข้าใจ(ciphertext)และในการใช้ เพื่อถอดรหัสโดยทำหน้าที่ในการแปลงข้อความที่อ่านไม่ได้หรืออ่านไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของสิ่งๆนั้นให้อยู่ในรูปของข้อความที่ อ่านได้หรือสามารถเข้าใจได้ถึงวัตถุประสงค์ของสิ่งๆ นั้น
การทำงานของ “กุญแจ” โดยทำให้ข้อความนั้นเป็นความลับจึงคล้ายกับการปิดไม่ให้บุคคลอื่นได้รับรู้หรือเข้าถึงหรือเข้าใจ และสามารถใช้ไขความลับของข้อความนั้นได้คล้ายกับการเปิดออกอ่านได้ จึงน่าจะเป็นที่มาของการใช้คำว่า “กุญแจ”

“กุญแจคู่ (key pairs)”
“กุญแจคู่” จะประกอบด้วยกุญแจสองข้างที่สร้างขึ้นมาพร้อมกันด้วยกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า “ระบบรหัสแบบอสมมาตร” โดยกุญแจข้างหนึ่งเรียกว่า “กุญแจส่วนตัว (private key)” ส่วนอีกข้างเรียกว่า “กุญแจสาธารณะ (public key)” เหตุที่เรียกต่างกันเพราะลักษณะการทำงานของกุญแจทั้งสองข้างที่ต่างกัน กล่าวคือ “กุญแจส่วนตัว” นั้น ใช้ในการสร้างลายมือชื่อดิจิทัลเพื่อระบุหรือยืนยันตัวบุคคล ส่วน “กุญแจสาธารณะ” นั้นใช้ในการตรวจสอบลายมือชื่อ ดิจิทัล กุญแจทั้งสองข้างซึ่งสร้างขึ้นมาพร้อมกันนี้จึงเป็นกุญแจที่มีความสัมพันธ์กันในเชิงตรรกะซึ่งต้องใช้ควบคู่กันเสมอ7

“กุญแจส่วนตัว (private key)” หมายความถึง กุญแจที่ใช้ในการสร้างลายมือชื่อดิจิทัล

“กุญแจสาธารณะ (public key)” หมายความถึง กุญแจที่ใช้ในการตรวจสอบลายมือชื่อดิจิทัล

ประเภทระบบการเข้ารหัส
อย่างไรก็ตาม วิทยาการการเข้ารหัสนั้นสัมพันธ์อย่างยิ่งกับกลไกการทำงานของ “กุญแจ” ที่สร้างขึ้นให้อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพราะในการเข้ารหัสแต่ละครั้งอาจใช้กุญแจเพียงแค่ข้างเดียวหรือหลายข้างต่างวัตถุประสงค์กันไป จึงทำให้สามารถแยกประเภทของการเข้ารหัสตามจำนวนกุญแจที่นำมาใช้ได้ ดังนี้

ระบบการเข้ารหัสแบบกุญแจสมมาตร (Symmetric Key Cryptosystem)

รูปการเข้ารหัสแบบ Secret Key Encryption

การเข้ารหัสแบบสมมาตรนี้อาจจะเป็นการเข้ารหัสอย่างง่าย เช่น กำหนดเพียงให้เลื่อนพยัญชนะออกไปอีก 1 ตำแหน่งกล่าวคือคำว่า “กฎหมาย” หากเลื่อนตำแหน่งพยัญชนะไป 1 ตัว ก็จะปรากฎเป็นดังนี้ “ขฏฬาย” แทนคำว่า “กฎหมาย”จะเป็นการนำข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แบบธรรมดาเข้ารหัสโดยการแปลงข้อมูลนั้นให้อยู่ในรูป ที่ไม่สามารถอ่านได้ด้วยการใช้กุญแจดอกเดียวกันหรือสูตรเดียวกันผ่านกระบวนการทางคณิตศาสตร์ทั้งในการเข้ารหัสและถอดรหัสเพื่อ แปลงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่อ่านไม่ได้ให้เป็นข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์ที่อ่านได้ ดังนั้นเมื่อใช้กุญแจในการเข้ารหัสแล้วก็ต้องส่งมอบกุญแจนั้นให้กับผู้รับ อีกฝ่ายซึ่งต้องใช้กุญแจดอกเดียวกันในการถอดรหัส และต้องมีการเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับกุญแจไว้เป็นความลับเพื่อความปลอดภัยของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ กรณีที่ไม่ประสงค์ ให้บุคคลที่สามหรือบุคคลอื่นได้ล่วงรู้อันอาจนำกุญแจไปใช้ในทางมิชอบโดยการเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณะชนได้รับรู้ อย่างไรก็ตาม ระบบการเข้ารหัสแบบสมมาตรมีข้อดี คือ อาจตกลงให้มีการเข้ารหัสแบบง่ายๆ เช่น การเลื่อนพยัญชนะ หรือกรณีที่มีการใช้เทคโนโลยีซับซ้อนขึ้น การเข้ารหัสแบบนี้ก็จะช่วยให้สามารถเข้ารหัสและถอดรหัสได้รวดเร็ว แต่ก็มีข้อเสียเพราะข้อตกลงให้มีการเข้ารหัสแบบง่ายๆ อาจทำให้บุคคลอื่นล่วงรู้ได้ง่าย และในกรณีที่มีการใช้ระบบกุญแจก็จะประสบปัญหาในด้านการบริหารจัดการกุญแจเพราะในการใช้กุญแจเพื่อเข้ารหัสและถอดรหัสนั้นจะต้องใช้กุญแจอันเดียวกัน ผู้สร้างกุญแจจึงต้องแจ้งให้บุคคลอื่นทราบเพื่อใช้ในการถอดรหัส ซึ่งการจะทำสำเนาให้บุคคลหลายคนเพื่อใช้ร่วมกันก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาในการระบุตัวบุคคล การแสดงความผูกพันหรือความรับผิดที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมในครั้งนั้น ดังนั้น โดยทั่วไปในการใช้กุญแจในระบบสมมาตรจึงมักมีการสร้างกุญแจขึ้นแบบสำหรับคนสองคนใช้ร่วมกัน ดังนั้นหากมีหลายคน ถ้าไม่ต้องการให้กุญแจซ้ำกันก็ต้องให้กุญแจหลายดอก เป็นจำนวนมากเพื่อความคล่องตัวและสะดวกในการใช้งานสำหรับกรณีที่ต้องติดต่อสื่อสารกับคนเป็นจำนวนมาก เช่น คนสี่คนติดต่อกัน จะต้องใช้กุญแจคนละ 3แบบ รวมทั้งสิ้นมีคู่กรณีได้ 6 คู่ รวมกุญแจทั้งสิ้น 6 แบบ ถ้าคน 100 คนจะต้องใช้กุญแจจำนวนมากซึ่งก็จะ เกิดปัญหามากมายติดตามมาเช่นกันในการบริหารจัดการกุญแจซึ่งมีเป็นจำนวนมาก

ระบบการเข้ารหัสแบบกุญแจอสมมาตร (Asymmetric Key Cryptosystem)

รูปการเข้ารหัสแบบ Public Key Encryption

ระบบการเข้ารหัสแบบอสมมาตรเป็นการเข้าและถอดรหัสโดยใช้กุญแจสองดอก กุญแจข้างหนึ่งใช้เข้ารหัส อีกข้างหนึ่งหรืออีกดอกหนึ่งใช้ในการถอดรหัส ข้างที่ใช้ในการเข้ารหัสต้องเก็บไว้เป็นความลับ ส่วนข้างที่ใช้ในการถอดรหัสไม่จำต้องเก็บไว้เป็นความลับแต่อย่างใด (หรือจะใช้กลับกันก็ได้แล้วแต่วัตถุประสงค์)
กุญแจที่สร้างขึ้นจะสร้างขึ้นพร้อมกันเรียกว่า “กุญแจคู่ (Key Pair)” ข้างที่ใช้ในการเข้ารหัสเรียกว่า “กุญแจส่วนตัว(Private Key)” ส่วนอีกข้างใช้ในการถอดรหัสเรียกว่า “กุญแจสาธารณะ (Public Key)” และโดยทั่วไปกุญแจทั้งสองข้างแม้สร้างขึ้นมาพร้อมกันแต่ก็จะมีลักษณะไม่เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น การเข้ารหัสและถอดรหัส หากใช้กุญแจข้างเดียวกัน จะไม่ได้ผลต้องใช้อีก ข้างหนึ่งซึ่งสร้างขึ้นมาพร้อมกันเท่านั้นจึงจะบรรลุวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้

ข้อดีของการเข้ารหัสแบบสมมาตร
1. การเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูลใช้เวลาน้อย เพราะว่าอัลกอริทึมที่ใช้ไม่ได้สลับซับซ้อน
2. ขนาดของข้อมูลหลังจากทำการเข้ารหัสแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงไม่มาก หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่า ข้อมูลหลังจากทำการเข้ารหัสแล้ว จะมีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าเดิมมากนัก

ข้อด้อยของการเข้ารหัสแบบสมมาตร
1. การจัดการกับกุญแจลับที่ยุ่งยาก เพราะ Mr. A ต้องจำให้ได้ด้วยว่า ถ้าจะติดต่อกับ Mr. B ต้องใช้กุญแจลับดอกไหน หรือติดต่อกับนายขาวต้องใช้กุญแจลับดอกไหน
2. การกระจายกุญแจลับ เนื่องจากการเข้ารหัสวิธีนี้ต้องใช้กุญแจลับ 1 ดอกต่อผู้รับ 1 คน ดังนั้นถ้า Mr. A ต้องติดต่อกับคนมากๆ Mr. A ก็ต้องส่งกุญแจลับที่ใช้ไปให้กับทุกคน

ที่มา

http://www.ecommerce.or.th/ictlaw/et/explain/chapter2-2-3.html

http://www.nextproject.net/contents/default.aspx?00044

http://www.vcharkarn.com/va2/index.php/my/show/17025/article

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

LCD หรือ LED ซื้ออะไรดี?


เท่าที่ทราบผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็ยังสับสนระหว่างจอ LED กับ LCD อยูดี ทั้งนี้เข้าใจว่า ฝ่ายการตลาดเรียก LED TV ก็เพื่อทำให้มันแตกต่างจาก LCD TV นั่นเอง

LED ย่อมาจาก Light-emitting-diode ซึ่งมันไม่ได้หมายถึง "ชนิด" ของทีวี แต่มันหมายถึงชนิดของ "เทคโนโลยีที่ใช้ส่องสว่างด้านหลังจอ" หรือ backlight ต่างหาก ในขณะที่ TV ทั้งสองชนิดยังคงเป็น LCD เหมือนเดิม ทั้งนี้ LCD จะย่อมาจาก Liquid-crystal display ซึ่งมันคือชนิดของเทคโนโลยีทีวี และมอนิเตอร์ โดยทั่วไป LCD จะใช้แสงสว่างส่องด้านหลัง (backlight) เป็น CCFL (Cold Cathode Fluorescent Lamp) เพื่อให้ความสว่างกับภาพในจอ LCD นั่นเอง แต่ LED TV จะแทนที่ CCFL ด้วย LED ทำให้ได้ภาพที่มีสว่าง-คม-ชัด-ลึกมากกว่า เรียกว่า คอนทราสของมันให้ความ "สว่างไสว-มึดสนิท" อย่างแท้จริง รวมถึงสีสันที่สมจริงมากขึ้นอีกด้วย ขออนุญาตอธิบายความแตกต่างอย่างสั้นๆ อีกครั้งตรงนี้นะครับ

กลับ มาที่คำถามว่า LED ดีกว่า LCD อย่างไร? นอกจากเรื่องของความสว่างคมชัด-คอนทราสสุดๆ แล้ว การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวทำให้ผู้ผลิตสามารถออกแบบจอ LED TV ได้บางกว่า LCD TV มาก ส่วนข้อดีข้อต่อไปก็คือ LED TV เป็นมิตรกับธรรมชาติ เนื่องจากไม่ได้ใช้ CCFL ที่มีสารปรอท (สารพิษอันคราย) แถมยังใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ที่สำคัญ มันมีอายุการใช้งานที่นานกว่าจอ LCD อีกต่างหาก (โดยทั่วไปจะนานกว่าประมาณ 2 เท่า) ฟังข้อดีมาเยอะแล้ว ข้อเสียของ LED TV ก็คือ มันแพงกว่ามาก โดยผู้ผลิตให้เหตุผลว่า ราคาที่สูงขึ้นเกิดจากการออกแบบให้บางลง และคุณภาพของความคมชัด ซึ่งคุณสมบัติทั้งสองอย่างนี้เกิดจากการเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีส่องสว่างด้าน หลังจอด้วย LED โดยแท้ นอกจากนี้ LED TV รุ่นใหม่ยังมีการเพิ่มคุณสมบัติให้แพงเว่อร์ขึ้นไปอีกด้วย เทคโนโลยี 240Hz ที่ำให้ได้ชมการแสดงผลภาพเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลยิ่งขึ้น

หาก พิจารณาจากข้อดีข้อเสียแล้ว LED TV หรือทีวีแอลซีดีที่ใช้แบคไลท์เป็น"แอลอีดี"เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าอยู่ ดี โดยเฉพาะคุณภาพที่ได้ แม้มันจะมีราคาที่แพงกว่า แต่คุณก็ได้อายุการใช้งานคืนมา ดังทีได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ก่อนจบคำถาม (ที่ไม่รู้ว่าตอบยาวไป หรือเปล่า?) มีทิปเล็กๆ น้อยๆ ก่อนชอปมาฝากด้วยครับ โดยหากคุณตัดสินใจที่จะซื้อเป็น LED TV แนะนำให้เลือกรุ่นทีมาพร้อมกับ Local dimming ซึ่งมันสามารถปิดกลุ่ม LED สำหรับพิกเซลของภาพที่เป็นสีดำ (ไม่มีประโยชน์ที่จะส่องสว่างพิกเซลที่ต้องมึดสนิท) ด้วยวิธีนี้นอกจากจะได้คอนทราสเพิ่มขึ้นแล้ว มันยังช่วยประหยัดพลังงานอีกด้วย

ที่มา http://www.arip.co.th/tips.php?id=409589

7 ทิปส์เด็ดๆ ของ Windows 7

วันนี้เราได้นำ 7 ทิปส์เด็ดๆ ของ Windows 7 มาเรียกน้ำย่อยกันก่อน ไปดูกันเลย

1. สลับเปลี่ยนไปยังหน้าต่างที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย

ใน กรณีที่ผู้ใช้งานเปิดไฟล์จำนวนหลายๆ ไฟล์จากโปรแกรมเดียวกัน อย่างเช่น โปรแกรมไมโครซอฟท์ เวิร์ด วินโดวส์ 7 จะช่วยให้คุณสับเปลี่ยนระหว่างหน้าต่างได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น เพียงแค่กดปุ่ม Ctrl ในขณะคลิกที่ไอคอนบนทาสก์บาร์ หน้าต่างก็จะเปลี่ยนเป็นหน้าต่างถัดไป โดยคุณสามารถเลือกเปิดหน้าต่างที่คุณต้องการได้

2. กำหนดขนาดของหน้าต่างตามความต้องการของผู้ใช้งาน

วินโดวส์ 7 ช่วยให้การจัดการเอกสารและโปรแกรมต่างๆทำได้ง่ายขึ้น โดยผู้ใช้งานสามารถกำหนดขนาดของหน้าต่างได้โดยการเลือกคลิกเมาส์ หรือ ใช้แป้นพิมพ์ หากต้องการขยายหน้าต่างให้มีขนาดเป็นครึ่งหนึ่งของหน้าจอ ผู้ใช้งานเพียงแค่ลากหน้าต่างไปชนกับหน้าจอทางด้านซ้าย หรือ ขวา และหน้าต่างนั้นก็จะมีขนาดเป็นครึ่งหนึ่งของหน้าจอทันที ในกรณีที่ต้องการขยายขนาดของหน้าต่างนั้นให้เต็มหน้าจอ ผู้ใช้งานเพียงแค่ลากหน้าต่างไปด้านบนของจอเพื่อขยายหน้าต่างให้เต็มจอ หรือ ดับเบิ้ล คลิก ที่มุมด้านบน หรือด้านล่างของหน้าต่างเพื่อปรับเปลี่ยนขนาดของหน้าต่าง ในขณะที่หน้าต่างนั้นยังมีความกว้างเท่าเดิม

ผู้ใช้งานยังสามารถกำหนดขนาดของหน้าต่างได้โดยใช้แป้นพิมพ์ ดังต่อไปนี้

windows 7 + ลูกศรซ้าย และ windows 7 + ลูกศรขวา เพื่อขยายหน้าต่างให้มีขนาดครึ่งหนึ่งของหน้าจอ

windows 7 + ลูกศรบน และ windows 7 + ลูกศรล่าง เพื่อขยายและลดขนาดของหน้าต่าง

windows 7 + Shift +ลูกศรบน และ windows 7 + Shift + ลูกศรล่าง เพื่อขยายหน้าจอ หรือ ปรับหน้าจอให้มีขนาดเท่าเดิม

3. เชื่อมต่อกับเครื่องโปรเจคเตอร์ได้อย่างง่ายๆ

เพียง แค่เชื่อมต่อกับเครื่องโปรเจคเตอร์ ผู้ใช้งานก็จะสามารถแสดงข้อมูลที่ต้องการบนโปรเจคเตอร์ได้อย่างง่ายดายด้วย ปลายนิ้วเพียงแค่มีไดรเวอร์ของวินโดวส์ 7 อย่าง displayswitch.exe เมื่อผู้ใช้งานกดปุ่ม windows 7 + P หน้าต่างในการควบคุมโปรเจคเตอร์ก็จะปรากฏขึ้นมาโดยทันที

windows 7

เมื่อเลื่อนลูกศร หรือ กดปุ่ม windows 7 + P ผู้ใช้งานจะสามารถเลือกรูปแบบการทำงานที่ต้องการได้ อาทิ clone, extend หรือ external only

4. จัดการกับการแสดงผลบนจอมอนิเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ

วินโดวส์ 7 ช่วยให้การทำงานกับจอมอนิเตอร์หลายมอนิเตอร์มีประสิทธิภาพและสะดวกยิ่งขึ้น ในกรณีที่ผู้ใช้งานจำเป็นที่จะต้องทำงานกับจอมอนิเตอร์มากกว่าหนึ่งจอ ผู้ใช้งานสามารถใช้คีย์บอร์ด windows 7 + Shift + ลูกศรซ้าย และ windows 7 + Shift + ลูกศรขวา ในการสลับการแสดงผลระหว่างจอมอนิเตอร์ได้

5. แอบดูเดสก์ท็อปได้ด้วย Aero Peek

เครื่อง มือที่มีประโยชน์มากในวินโดวส์ 7 ที่คนทั่วไปอาจจะยังไม่รู้จักกันนักก็คือ Windows® Aero® Feature ที่เรียกว่า Aero Peek โดยผู้ใช้งานเพียงแค่คลิกที่สี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมล่างขวามือของทาสก์บาร์ จากนั้นหน้าเดสก์ท็อปก็จะปรากฏขึ้น นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวได้โดยใช้ปุ่ม windows 7 + Space

windows 7


6. หมดปัญหากับเรื่องยุ่งยากด้วย Aero shake

วินโดวส์ 7 ช่วยขจัดความวุ่นวายของการเปิดหน้าต่างหลายๆ หน้าต่างภายในเวลาเดียวกันนอกเหนือไปจากหน้าต่างที่คุณกำลังทำงานอยู่ได้ เพียงแค่จับที่ด้านบนของหน้าต่างที่คุณต้องการทำงานแล้วเขย่าไปมา หรือกดปุ่ม windows 7 + Home ผู้ใช้งานก็จะสามารถลดขนาดของหน้าต่างอื่นๆที่ไม่ได้ใช้งานลงได้ทันที หากผู้ใช้งานต้องการให้หน้าต่างกลับมามีขนาดเท่าเดิมก็สามารถทำได้เพียง เขย่าหน้าต่างที่ทำงานอยู่ หรือแค่กดปุ่ม windows 7 + Home อีกครั้ง

7. ใช้ Help Desk จัดการปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ

การ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์อาจเป็นเรื่องยุ่งยากทั้งกับผู้ใช้งานและ Help Desk นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ วินโดวส์ 7 หาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย Problem Steps Recorder เครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานบันทึกปัญหาที่พวกเขาพบในแต่ละขั้นตอนได้ อย่างง่ายดาย เพียงแค่คลิกที่เมนู record จากนั้นจึงเพิ่มข้อคิดเห็นที่ต้องการลงไป ไฟล์ HTML ดังกล่าวก็จะเปลี่ยนเป็นไฟล์ .ZIP ในทันที ซึ่งจะช่วยให้การส่งต่อไปยัง Help Desk ทำได้ง่ายขึ้น ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปที่เมนูดังกล่าวได้จาก Control Panel ภายใต้คำสั่ง ‘Record steps to reproduce a problem’ หรือ เปิดโปรแกรม psr.exe จาก Explorer

ข้อมูลจาก : Microsoft Media Newsletter
http://www.arip.co.th/tips.php?id=409794

ความต้องการพื้นฐาน (Basic Needs)


โดยหลักวิชาจิตวิทยาและหลักการสร้างแรงจูงใจ (Motivation)
ได้กำหนดไว้ตามแนวของมาสโลว์ (Abraham Maslow) ว่ามนุษย์ทุกคนมีความต้องการ 5 ขั้นเสมอ

เรียกว่า ความต้องการพื้นฐาน (Basic Needs) คือ

1. ความต้องการเกี่ยวกับร่างกาย (Physiological Needs) ได้แก่ ปัจจัย 4 (เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย อาหาร ยารักษาโรค) ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องเพิ่มอีกหนึ่งก็คือ ความต้องการทางเพศ (Sex)

2. ความต้องการเกี่ยวกับความมั่นคงและความปลอดภัย (Safety Needs)

3. ความต้องการเกี่ยวกับสังคมหรือความผูกพันในสังคม (Belonging Needs)

4. ความต้องการที่จะมีเกียรติ มีชื่อเสียง (Esteem Needs)

5. ความต้องการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต หรือพิสูจน์ตนเองว่าได้ก้าวมาถึงจุดมุ่งหมายสุดยอดที่ตั้งไว้แล้ว (Self Actualization Needs)

คน EGO สูง



ผมคิดว่า
คนที่เรามักเรียกกันว่า EGO สูง
จริงๆแล้ว EGO ไม่แข็งแรงครับ

เลยต้องชนะ ต้องเก่ง ต้องถูกเสมอ
ไม่อย่างนั้น EGO จะเจ็บปวด และย่อยยับมากจนทนไม่ได้
พบบ่อยในคนที่มาจากครอบครัวที่คาดหวังและกดดัน


ทางรักษาหรือ?
ผมก็ไม่รู้หรอก
แต่คิดว่าที่เราจะพอทำได้ ก็คือ

รักเขาหรือเธอให้มากขึ้น
ให้ความมั่นใจว่าไม่ว่าเขาหรือเธอจะพ่ายแพ้หรือผิดพลาด เราก็ยังรักเขาหรือเธอเท่าเดิม

ความรู้ ความสามารถ และความพยายามของเขาและเธอเหล่านั้นมีความหมายและมีคุณค่าเสมอ
แม้ในวันที่พ่ายแพ้

ผมเชื่อว่านิสัยนี้จะหายไปเมื่อ EGO ของเขาและเธอแข็งแรงดีแล้ว

มาว่ากันโดยทฤษฏีกันเถอะ

ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) บิดาแห่งวิชาจิตวิเคราะห์ (Psycho-analysis) เชื่อว่าจิตประกอบด้วยพลังจิต 3 ส่วนคือ
อิด (Id) = เป็นแรงขับให้เกิดความต้องการ เช่น ความหิว ความรัก เป็นต้น
อีโก้ (Ego) = เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ตัดสินใจ
ซูเปอร์อีโก้ (Super Ego) = เป็นส่วนที่ได้รับการอบรมแล้ว รู้จักรับผิดชอบ รู้จักควบคุมอารมณ์และความรู้สึก

ฟรอยด์ สรุปว่า สัญชาตญาณความต้องการตามธรรมชาติ เช่น ต้องการอาหาร การนอน การขับถ่าย และการสืบพันธุ์ ฯลฯ เรียกว่า “อิด” (id) เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันจึงได้สร้าง “กติกา” ทางสังคมขึ้น เช่น วัฒนธรรม ศีลธรรม ศาสนา และกฎหมาย ฯลฯ จะได้จำกัดความต้องการตามสัญชาตญาณของตนเองลงเพื่อความสงบสุขเป็นระเบียบของ สังคมและตนเอง ฟรอยด์เรียกกติกาทางสังคมนี้ว่า “ซูเปอร์อีโก้” (super-ego) มนุษย์แต่ละคนจะประนีประนอมระหว่าง “อิด” กับ “ซูเปอร์อีโก้” ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน กลายเป็นบุคคลิกภาพหรือความเป็น “ตัวตน” ของคน ๆ นั้น ซึ่งฟรอยด์เรียกว่า “อีโก้” (ego)

จิตวิทยาวิเคราะห์ของฟรอยด์ เชื่อว่ามนุษย์รับรู้โลกภายนอกโดยผ่าน “จิตสำนึก” (conscious mind) ประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในจิตสำนึกตั้งแต่เด็ก ที่สุดแล้วมิได้หายไปไหน แต่ถูกเก็บไว้ในก้นบึ้งของจิตที่เรียกว่า “จิตใต้สำนึก” (subconscious mind) โดยเฉพาะประสบการณ์ที่มีผลกระทบกับเราอย่างรุนแรง ไม่ว่าทางดีหรือทางร้าย จะฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกยาวนานเป็นพิเศษ การควบคุมจิตใต้สำนึก ต้องฝึกการใช้จิตเหนือสำนึก (superconscious mind) เพื่อให้จิตสำนึกเป็นไปในทิศทางที่เป็นด้านบวก


แต่สำหรับพุทธวิทยาวิเคราะห์ของอวกาศ ขอตีความเองว่า...

อิด น่าจะหมายถึงกิเลสตัณหา ซึ่งซ่อนไว้ภายในจิตจนแทบเป็นเนื้อเดียวกัน แต่ไม่ใช่ เป็นเพียงแขกที่มาเยือนบ่อยจนขับไล่ได้ยาก จะแสดงสัญชาตญาณดิบการเพื่อป้องกันตัวเอง และเห็นแก่ตัวเป็นหลัก

อี โก้ น่าจะเป็นตัวตนตามที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน จะแสดงตัวออกมาอย่างไร จะปล่อยให้อิดหรือซูเปอร์อีโก้เข้ามามีผลต่อตัวเองอย่างไร ย่อมขึ้นอยู่ที่จิตสำนึกมีสติหรือฝึกฝนมาดีแค่ไหน ถ้าจะดับตัวตนนั้น จะต้องอยู่เหนือทั้งอิดและซูเปอร์อีโก้ เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งที่เจ็บปวดอีกต่อไป โดยเข้าไปถึงภาวะไม่มีอีโก้อีก หรือที่เรียกจิตเดิม ซึ่งชาวพุทธถือว่า ตัวจิตจริงๆ นั้น บริสุทธิ์เป็นประภัสสร ตัวจิตเดิมนี้ แสดงตัวออกมาบ่อยๆ ขณะที่จิตยังไม่ปรุงแต่งผ่านความดีชั่วใดๆ

ซูเปอร์อีโก้ น่าจะหมายถึงความดีงาม ความถูกต้อง และความเสียสละ เป็นต้น หากเป็นพวกยึดความดีมากเกินไป ก็มีปัญหาอีกเหมือนกัน ต่างจากคนทำดีที่ไม่ยึด แบบนั้นจะไม่เจ็บปวดเมื่อไม่เป็นไปดังใจนัก

อี โก้ หรือตัวตนของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร จะแสดงตัวออกมาอย่างไร มีความสำคัญมาก ยิ่งจิตสำนึกของคนในสังคมมีคุณภาพเท่าไหร่ สังคมก็จะสงบสุขมากเท่านั้น หากจิตสำนึกส่วนรวมต่ำ คนชั่วมากกว่าคนดี สังคมก็จะไปไม่รอด ... โลกก็จะไปไม่รอด ...


ที่มา http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=whitespace&month=05-2006&date=27&group=1&gblog=4