วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การแปลงไฟล์ทำ DVD คุณภาพสูง ด้วย Cinema Craft Encoder


มีโปรแกรมหลายตัวที่encodeออกมาได้ผลงานสวยดีมากๆ เช่น Cinema craft, Procoder, TMPGEnc, Main Concept


แต่ที่จะทำให้ดูนี่คือ Cinema craft


*สำหรับถ้าต้องการกำหนดขนาดไฟล์ที่ได้ให้ได้ดั่งใจ เช่น เอาพอดีแผ่นDVD5\9 เราจะต้องมาคำนวณ Video bitrate ที่จะใช้กันก่อน

DVD-R แผ่นนึงมีเนื้อที่ขนาด 4.37 GB หรือเท่ากับ 4483 mb ไปดูซิว่า audio file ของเรามีขนาดเท่าไหร่(mb) เช่น 167 mb ดังนั้น จะเหบือเนื้อที่ให้ส่วนของวิดีโอคือ 4483-167=4316 mb


จากนั้นคำนวณความยาวของวิดีโอของเราในหน่วยวินาที เช่น วิดีโอยาว 1h 44min 10sec ก็จะเท่ากับ 6250 วินาทีนั่นเอง จากนั้นเอาไปคำนวณตามสูตร mb*1024*8/sec =bitrate


ดังนั้นbitrateของวิดีโอเราก็ควรจะเท่ากับ 4316*1024*8/6250= 5657 kbps

แต่ต้องปรับลงให้เหลือซัก 5500 kbps เพราะต้องเผื่อเนื้อที่ไปให้สำหรับในส่วนของmuxing overhead และก็พวก menu, chapters ต่างๆ เป็นต้น สรุปก็คือให้ปรับลดลงจากที่คำนวณได้เล็กน้อย

ส่วนถ้าเป็น DVD9 ก็ทำเหมือนกันเพียงแค่เปลี่ยนขนาดความจุเป็น 8152mb ก็จะได้วิดีโอที่นานขึ้น หรือ bitrate เพิ่มขึ้นก็ได้

หมายเหตุ : bitrate เป็นค่าหนึ่งที่พอจะบ่งบอกได้ถึงคุณภาพของไฟล์นั้นๆ

การแปลงไฟล์จากต้นฉบับที่มีbitrateต่ำๆไปเป็นbitrateที่สูงขึ้น ไม่ได้ทำให้คุณภาพเพิ่มขึ้นเลย แต่กลับทำให้ได้ไฟล์ขนาดใหญ่ขึ้นโดยไม่จำเป็น

เปิดโปรแกรม Cinema craft (ชื่อย่อCCE) จับไฟล์วิดีโอของเราโยนเข้าไป(จะใช้เป็นAviSynth scrip หรือ Frameserver ก็ได้) คลิกขวาที่ไฟล์แล้วเลือก Setting ตั้งค่าต่างๆตามนี้คือ


Output files : เลือกที่ๆเราจะเก็บผลงาน ติ๊กตรง Audio file ออกไปด้วย ถ้าหากว่าเราใช้BeSweet ทำไปแล้ว


Audio setting : Format:MPEG-1 Bitrateก็แล้วแต่ เช่น 224, 192 เป็นต้น แล้วมันก็จะโชว์ขนาด file size ของAudioมา ซึ่งเราสามารถเอาไปใช้คำนวณหาขนาดไฟล์ของวิดีโอ (กรณีไม่ได้แยกเอาaudioออกมาทำต่างหาก)


Video setting :

Mode : MPEG-2 for DVD

ถ้าต้องการลดเวลาที่ใช้ในการencodeให้เลือก 1-pass VBR, Q=60 แต่จะได้คุณภาพดีน้อยลง

สำหรับาคุณภาพสูงให้เลือก Multipass VBR. Pass อย่างน้อย2-3ขึ้นไป แต่เกิน5ขึ้นไปก็แยกแทบไม่ออกแล้ว อาจจะทำให้เสียเวลาเกินไป ปกติผมใช้3pass ถ้ารีบหน่อยก็ใช้2


Video information file : ติ๊กให้ Create new


Frame rate : สำหรับ PAL เลือกเป็น 25, 720*576 (สำหรับNTSC เลือกเป็น 29.97, 720*480) ก็จะได้ Frame size มาในขนาดตามนั้น (ถ้ามันไม่ยอมขึ้นให้ก็พิมพ์ใส่เอง)


Frame size : [Area setting] ไปเช็คดูว่า ตำแหน่งของ Output file เป็นดังที่ต้องการหรือไม่

คลิก Move to center เพื่อเลื่อนให้อยู่ตรงกลางframe

(w,h) ให้ใส่ขนาดตามต้องการ ถ้าต้องการคงอัตราส่วนเดิมให้คำนวณ เทียบบัญญัตญางค์ให้ดี สังเกตจาก Zooming Herizontal ต้องเท่าหรือเกือบเท่ากับ Vertical

Interpolation method : เลือกเป็น Lanczos interpolation

ติ๊ก Progressive frame สำหรับ Progressive source

File size : เลือกเป็น mb แล้วใส่ตามที่เราต้องการว่าจะให้ออกมาเป็นขนาดเท่าไหร่ หรือจะไปกำหนดเองจากที่เราคำนวณ bitrate ก็ได้


Bitrate (kbits/sec) : Avg เป็นค่าbitrateเฉลี่ย ใส่ค่าที่เราคำนวณลงไป เช่น จากที่คำนวณได้เมื่อกี๊คือ 5500 (จากAvg5500) Minก็ใส่ซัก 2500(ต่ำสุด0) Maxก็ใส่ซัก 8500(มากสุด9000)

Aspect ratio : สำหรับvideoที่ถ่ายมาทั่วไปก็ใช้ 4:3 แต่ถ้าตอนถ่ายกำหนดเป็น 16:9 ก็ให้ตั้งเป็น 16:9


Preprocess : ถ้าเป็น Interlaced DV ให้ติ๊ก Deinterlacing ด้วย เช่นพวกกล้องวิดีโอ


[Advance] : คลิก[Quantization matrices] > Preset เลือกเป็น MPEG standard แล้ว OK ออกมา


[Picture Quality] : สำหรับ Interlaced source ให้เลือกที่ Block scan order เป็น Alternate

สำหรับ Progressive source ให้เลือกที่ Block scan order เป็น Zigzag และให้ติ๊กเพิ่มที่ Progressive frame ด้วย

ถ้าไม่รู้ว่าเป็นอะไร ไม่แน่ใน หรือ ขี้เกียจ ก็เลือกเป็น Auto ได้ ไม่เป็นไร

Detailed setting : ให้ติ๊กเอา Low ออก เพื่อDisable Simple setting สังเกตกราฟจะกลับมาเป็นเส้นขนาด ไม่โค้ง

Quantizer characteristics ปรับให้อยู่ในช่วง 27-30

ค่านอกเหนือจากนี้ให้ใช้ค่า Default ของโปรแกรม แล้ว OKออกมาให้อยู่หน้าแรกของโปรแกรม

เมื่อตั้งค่าทั้งหมดเสร็จแล้วให้กดปุ่มEncode(ปุ่มสีแดงมีวงกลมสีขาวอยู่ตรงกลาง) รอจนเสร็จทั้งหมด สรุปแล้วเราก็จะได้ไฟล์มา2ส่วนคือ *.mpv เป็นส่วนของภาพ และ *.mpa เป็นส่วนของเสียง พร้อมที่จะเอาเข้าในพวกโปรแกรมDVD Author ต่างๆ(เช่น DVD Lab)เพื่อรวมและใส่องค์ประกอบอื่นๆ เช่น menu, subtitle เป็นต้น แล้วเราก็จะได้ไฟล์ทั้งหมดออกมาพร้อมที่จะเอาไปไรท์เป็นDVD-Video ได้เลย (เช่น ใช้ Nero, Alcohol120%)


เพิ่มเติม

1 Pass ก็คือการเข้ารหัสใหม่ 1 รอบ

9 Pass
ก็คือการเข้ารหัสใหม่ 9 รอบนั่นเอง จะเห็นได้จาก เวปบิท ที่เขาเขียนกันด้านท้ายของหนัง
เช่น D9>5 CCE 9 pass
ยิ่ง เยอะยิ่งดี แต่การแปลงไฟล์ก็จะช้าลง และเราจะเริ่มมองไม่เห็นความแตกต่างหลังจาก 6 pass



วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ปฏิบัติการสู่การเป็นนักท่องเที่ยวสีเขียว


green-tourist.jpg

ปลาย ฝนต้นหนาว ย่างสิ้นปีอย่างนี้ หลาย ๆ คนคงวางแผนหาที่ชาร์จแบตร่างกาย ผ่อนคลายอารมณ์ ให้สมกับนโยบายเที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก แต่เกรงว่าถ้าครึกครื้นกันมากไปหน่อย สิ่งแวดล้อมอาจจะพังครืนเอาได้ วันนี้เลยนำแนวทางปฏิบัติง่าย ๆ สู่การเป็นนักท่องเที่ยวสีเขียวมาฝาก อย่าลืมว่านักท่องเที่ยวอย่างเรานี่แหละจะเป็นผู้กำหนดทิศทาง และมาตรฐานการท่องเที่ยวได้นะ

เตรียมตัว

  • จัดสัมภาระให้เบา ถ้ากระเป๋าเดินทางของนักท่องเที่ยวทุกคนบนโลกเบาลงกว่าที่เคยจัด คนละ 8 กิโลกรัม จะประหยัดน้ำมันไปได้ 1,500 ล้านลิตรต่อปีเลยทีเดียว
  • แบ่งบรรจุสบู่ แชมพู ยาสีฟันไปเอง ผลิตภัณฑ์ของโรงแรมก่อปัญหาขยะพลาสติกมหาศาลแต่ละปี ไหนจะต้องแบ่งบรรจุขวด ผ่านระบบขนส่ง ซึ่งเสียทั้งพลังงานและสร้างมลพิษ
  • ใช้การสื่อสารออนไลน์ ระบบอีทิกเก็ต ระบบจีพีเอส ไม่เพียงประหยัดกระดาษ ยังไม่หลงทาง ประหยัดน้ำมันอีกด้วย
  • ศึกษาข้อมูลเพื่อให้เตรียมตัว ปฏิบัติตัวและซื้อสินค้าได้อย่างเหมาะสม

ไฟฟ้า

  • ปรับเปลี่ยนค่านิยมที่ว่า เสียเงินไปแล้วต้องใช้ให้คุ้ม การพักโรงแรมก็สามารถประหยัดเพื่อช่วยโลกได้
  • ระลึกเสมอว่า มาตรฐานบริการที่สะดวกสบายจนเกินไป หมายถึงการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง และนำไปสู่การเร่งให้เกิดภาวะโลกร้อน
  • สนับสนุนผู้ประกอบการที่ให้ความสำคัญกับการลดการใช้พลังงานอย่างจริงจัง
  • การท่องเที่ยว คือการแสวงหาประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวัน ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องปรับอากาศ หรือเปิดเครื่องปรับอากาศรอไว้เพื่อให้ห้องพักเย็นตลอดเวลา ดูโทรทัศน์รายการโปรดเหมือนอยู่ที่บ้าน หรือเปิดไฟทุกดวงจนสว่างจ้า
  • ใช้ถ่านแบบชาร์จซ้ำได้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ
  • ไม่ต้องส่งผ้าเช็ดตัวซักทุกวัน เพราะปกติเมื่ออยู่บ้านเราก็ไม่ได้ซักผ้าเช็ดตัวทุกครั้งที่ใช้

น้ำ

  • เตรียมกระติกน้ำ งดซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติก
  • ช่วยโรงแรมที่พักประหยัดน้ำจะสร้างหลักเกณฑ์การใช้น้ำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ไม่ใช้อ่างอาบน้ำ เพราะสิ้นเปลืองน้ำกว่าเปิดจากฝักบัวถึง 10 เท่าๆ
  • รายงานท่อรั่ว แตก ไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบทันที
  • อย่าใช้น้ำอย่างสิ้นเปลืองด้วยเหตุผลว่ามีคนจ่ายให้ หรือพักโรงแรมแล้วต้องใช้ให้คุ้ม

ระบบการขนส่ง

  • เลือกระบบขนส่งสาธารณะแบบราง เพราะเป็นระบบที่ขนส่งได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับสัดส่วนพลังงานที่ถูกใช้ไป
  • หากจำเป็นต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน ควรชดเชยคาร์บอนไดออกไซด์จากการบินด้วยวิธีคาร์บอนออฟเซ็ตติ้ง
  • ซื้อสินค้าที่ผลิตจากในท้องถิ่นนั้นจริง ๆ
  • การท่องเที่ยวคือการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และความทรงจำ ลดการช็อปปิ้งลงให้มากที่สุด เพราะยิ่งซื้อมากยิ่งเป็นการกระตุ้นกระบวนการขนส่งสินค้าให้ต้องส่งไกลยิ่ง ขึ้น
  • ทดลองอาหารจากผลผลิตพื้นบ้าน เพราะผักริมรั้วที่ถูกนำมาปรุงอาหารแทบไม่ปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เลย
  • เตรียมกระติกน้ำดื่มเก๋ ๆ เพื่อลดการซื้อน้ำดื่มบรรจุขวด เพราะน้ำดื่มบรรจุขวดไม่เพียงสิ้นเปลืองขวด ยังเพิ่มขยะและสูญเสียพลังงานไปกับการขนส่งอีกมหาศาล
  • อย่าเห็นแก่จำนวน เช่น การท่องเที่ยววันเดียว 9 แห่ง สิ้นเปลืองพลังงานมากกว่าเที่ยวแห่งเดียว
  • เมื่อไม่ซื้อ ก็ไม่มีการขนส่ง

สินค้า

  • ไม่ซื้อสินค้าคุณภาพต่ำ แม้ราคาถูกแต่เสียง่าย สิ้นเปลืองพลังงานและทรัพยากร อีกทั้งยังเป็นขยะที่กำจัดยาก
  • กำหนดงบประมาณตายตัว เพื่อการซื้อของที่ระลึก ของฝากในการเดินทาง แทนการตกอยู่ในบรรยากาศของการซื้อไม่อั้น
  • โปสการ์ด อาจให้คุณค่าทางใจกว่าของฝากที่ผู้รับไม่ได้ต้องการ
  • เลือกเครื่องดื่มจากขวดแก้ว แทนกระป๋องอลูมิเนียม

เก็บกระเป๋าครั้งหน้า อย่าลืมนำทริกง่าย ๆ อย่างนี้ไปลองใช้กันนะ

ที่มา http://green.in.th/blog/lifestyle/1925

"พลับพลึงด่าง" ไม้ประดับขจัดมลพิษ



Dracaena-deremensis.jpg

การ จัดการให้บ้านหรืออาคารมีระบบสิ่งแวดล้อมในตัวเองเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพที่ดี ดังนั้น การใช้ต้นไม้เพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ง่ายและประหยัด ถึงแม้ว่าในปัจจุบันบ้านของเราอาจอยู่ติดกับบ้านหลังอื่น มีฝุ่นละอองจากรถยนต์ แต่เราก็สามารถช่วยให้มลพิษน้อยลง

หรือกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศก็จะช่วยประหยัดไฟฟ้า และช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศในห้องได้ดีกว่าในห้องหรืออาคารที่ไม่มีต้นไม้ เลย

พลับพลึงด่าง

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Dracaena deremensis อยู่ในตระกูล Agavaceae มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนแอฟริกา

พลับพลึงด่างเป็นไม้ประดับที่นิยมในต่างประเทศมาก เป็นไม้ที่มีความทนทานและอยู่ในที่แสงสว่างน้อยได้ดี มีประสิทธิภาพในการขจัดไอระเหยเบนซินได้ดี

มี รูปร่างเหมือนต้นพลับพลึงไทย แต่มีขนาดเล็กกว่า ขอบใบมีสีขาวเป็นเส้นขนานกับขอบใบ ขนาดใบยาวประมาณ 60 เซนติเมตร กว้าง 5 เซนติเมตร ถ้าปลูกในอาคารจะสูงได้ถึง 3 เมตร

ถ้าปลูกในกระถาง ต้องใช้ดินปนทรายเพื่อให้ดินร่วนและระบายน้ำได้ดี ชอบความชื้นสม่ำเสมอ

หากจัดลำดับความสามารถในการขจัดไอละเหยสารเคมี ได้คะแนน 6 ใน 10 คะแนน

ที่มา www.vcharkarn.com

แสดง TOP (จำนวน) อันดับแรกในออราเคิล (TOP-N Analysis query)

มีหลายครั้ง ที่เราต้องการแสดง ข้อมูล เรียงลำดับ TOP เช่น แสดง อันดับเพลงฮิต 10 อันดับแรก ถ้าเป็น MS SQL Server หรือ My SQL มี Syntax ง่ายๆ มารองรับอยู่แล้ว เช่น

MS SQL SERVER :

SELECT TOP 10 vote , music_name
FROM music
ORDER BY vote DESC

My SQL :

SELECT  vote , music_name
FROM music
ORDER BY vote DESC
LIMIT 10 ;
แต่ สำหรับ Oracle นั้น ไม่มี Syntax ง่ายๆ แบบนี้มารองรับครับ .. ไม่รู้ทำไม ..ถ้าผมเป็นเจ้าของบริษัท Oracle คงสั่งให้ลูกน้อง ทำ Syntax TOP เหมือน MS SQL Server ไปแล้ว แต่พอดีผมไม่ใช่ เจ้าของบริษัท Oracle ... โปรแกรมเมอร์ Oracle เลยต้องทนลำบากต่อไป สำหรับ Oracle Database นั้น ถ้าจะเขียน TOP อันดับ ต้องใช้ Sub-Query และ คอลัมน์อีแอบ (Pseudocolumn) ชื่อว่า ROWNUM เข้าช่วยครับ เรียวิธีการนี้ว่า TOP-N Analysis

ใน ข้อมูลทุกตารางนั้น จะมีคอลัมน์อีแอบ อยู่ชื่อว่า ROWNUM Pseudocolumn ซึ่งเป็นหมายเลขของแต่ละแถวในตาราง ที่ผมเรียกว่า คอลัมน์อีแอบ นั้น เพระาปรกติ เวลาคุณใช้คำสั่ง DESC หรือ DESCRIBE ชื่อตาราง มันจะไม่แสดงชื่อคอลัมน์นี้ออกมาด้วย แต่ในการ SELECT คุณบอกให้มันแสดงตัวตนออกมาได้

ตัวอย่างแรก ผมจะแสดง ชื่อ และ เงินเดือน พนักงานที่มีเงินเดือนมากที่สุด 3 อันดับแรก ในบริษัท (เงินเดือนเรียงจาก มาก ไปน้อย)
SELECT ROWNUM as RANK, ename , sal
FROM (SELECT ename,sal FROM emp
ORDER BY sal DESC)
WHERE ROWNUM <= 3;
TOP-N Analysis เรียงจากมากไปน้อย


ตัวอย่างอันสุดท้ายนี้ ผมจะแสดง ชื่อ และ วันที่จ้างงานเข้ามา ของพนักงานที่มีอายุงานอาวุโสมากที่สุด 4 อันดับแรก ของบริษัท
( อาวุโส แสดงว่า จ้างงานมาในอดีตที่ไกลที่สุด ดังนั้น วันที่จ้างงาน ต้องเรียงจาก น้อย ไปมาก )

SELECT ROWNUM as SENIOR , e.ename,e.hiredate
FROM (SELECT ename,hiredate FROM emp
ORDER BY hiredate) e
WHERE ROWNUM<=4 111111111
TOP-N Analysisเรียงจาก น้อย ไปมาก

ที่มา http://www.oracleskill.com/oracle-tutorials/TOP-N-Analysis.html

กฎ 20 ข้อในการพัฒนาเว็บให้เป็นเลิศและประสบความสำเร็จ


1. ให้ความนับถือผู้ชมเว็บของคุณ อย่าพยายามบังคับให้พวกเขาอ่านเนื้อหาในเว็บของคุณทั้งหมด ปล่อยให้พวกเขาเลือกและตัดสินใจเองว่าจะอ่านอะไร ให้ลองนึกว่าถ้าคุณเป็นผู้ชมเว็บ คุณจะทำอย่างไรกับหน้าต่างที่ป๊อบอัพขึ้นมาและกล่องโฆษณาที่เกลื่อนกลาดอยู่ เต็มไปหมด
2. โฆษณาที่แย่ กล่องโฆษณาที่น่ารำคาญอาจช่วยเพิ่มรายได้ให้คุณเพียงชั่วขณะหนึ่ง แต่ในระยะยาวแล้ว มันไม่ทำให้เว็บไซต์ของคุณประสบความสำเร็จได้ อย่างไรก็ตาม การผนวกโฆษณาเข้ากับเนื้อหาของเว็บไซต์ และจัดโครงสร้างของเว็บให้ดีก็จะช่วยให้โฆษณานั้นไม่รบกวนผู้ชม มันจะช่วยให้เว็บของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้นและยังช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่คุณ ได้ด้วย

3. ให้ข้อมูลและสอนผู้ชมเว็บของคุณ แบ่งปันความคิด ไอเดีย ประสบการณ์ และความรู้ของคุณให้กับคนที่ต้องการหรืออาจจะต้องการคำแนะนำจากคุณ เมื่อคุณมีข้อมูลเหล่านี้ คุณก็มีเครื่องมือที่ทรงพลังที่จะดึงดูดความสนใจของมวลชนมาที่งาน ความสนใจ และบริการของคุณได้ นอกจากนี้แล้ว ถ้าคุณแบ่งปันความรู้ที่มีคุณค่ากับผู้ใช้คนอื่น คุณก็จะได้รับการเคารพนับถือว่าเป็นบุคคลที่รู้ว่าเขาหรือเธอกำลังพูดถึง อะไร

4. สร้างสรรค์สไตล์ของคุณ สร้างสรรค์จากไอเดียของคุณ ทำให้ตัวคุณเกิดแรงบันดาลใจ แต่อย่าลอกเลียนแบบ มันน่าสนใจกว่ามากที่จะได้รู้ว่าคุณมีความสามารถอะไรแทนที่จะไปสนใจว่าคน อื่นมีความสามารถอะไร ค้นหาจินตนาการและความอยากรู้อยากเห็นของคุณเอง ไอเดียใหม่ๆ หรือไอเดียเก่าที่ถูกพัฒนาขึ้น ย่อมดึงดูดผู้ใช้เว็บมากกว่าของลอกเลียนแบบ

5. ใส่ใจกับมาตรฐาน คิดถึงคนให้มาก การใช้มาตรฐานเว็บที่ดีจะช่วยลดงานของคุณในอนาคตลงได้มาก เมื่อคุณจะสร้างเว็บสำหรับคนทั่วไป มันจึงมีเหตุผลที่คุณจะใช้เวลาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่จะตรวจสอบโค้ดต่างๆ และทำให้มันเป็นมาตรฐาน เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามมาตรฐานดีแล้ว คุณก็ไม่ต้องกังวลว่าในอนาคตจะมีเว็บบราวเซอร์เวอร์ชั่นใหม่เกิดขึ้นมาซึ่ง จะทำให้เว็บของคุณมีปัญหา นอกจากนี้เว็บของคุณจะต้องสามารถอ่านได้ง่าย (readability) เข้าถึงได้ง่าย (accessibility) และใช้งานง่าย (usability) จำไว้ว่าคุณต้องนับถือผู้ชมเว็บของคุณ

6. ใช้ข้อความที่ชัดเจน อย่ากลัวที่จะบอกว่าคุณต้องการสื่ออะไร ความคลุมเครือทำให้เกิดระยะห่างระหว่างคุณกับผู้ชมเว็บของคุณอย่างไม่จำเป็น ให้ใช้ข้อความที่เด่นชัดต่อผู้ชมเว็บถ้าคุณต้องการนำเสนออะไรให้แก่พวกเขา ถ้าคุณระบุให้ชัดเจนว่าคุณกำลังพูดถึงอะไรอยู่ คุณก็จะได้รับผลตอบรับที่ดีหรือได้คำตอบของคำถามที่คุณสงสัย

7. เกลียด Internet Explorer ได้ถ้าคุณอยาก แต่อย่าปฏิเสธผู้ใช้มัน อย่าออกแบบเว็บที่เหมาะสำหรับบางเว็บบราวเซอร์เป็นพิเศษ คุณควรออกแบบเว็บให้เหมาะสำหรับ Internet Explorer เหมือนกับที่ออกแบบให้กับบราวเซอร์อื่นๆ Internet Explorer อาจจะไม่ใช่บราวเซอร์ที่ดีที่สุด แต่ก็มีผู้ใช้เว็บถึง 85% ที่ใช้มันอยู่ ให้กลับไปดูกฎข้อที่ 1

8. เอาใจใส่เนื้อหาของเว็บ สำหรับเว็บที่กำลังพัฒนา คุณจะต้องทำให้มันมีข้อมูลที่น่าสนใจและมีรูปลักษณ์ที่ดูดี อย่าลืมว่าผู้ชมเว็บของคุณจะจดจำทุกสิ่ง เมื่อคุณแสดงลิงค์ไปยังเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมแก่พวกเขาโดยที่ไม่มีข้อความ อธิบายว่ามีอะไรซ่อนอยู่ภายใต้ลิงค์นั้น คุณก็จะไม่ได้เห็นผู้ชมเว็บเหล่านี้อีกเลย ถ้าโค้ดของเว็บไซต์เป็นร้อยกรอง เนื้อหาของเว็บไซต์ก็เป็นร้อยแก้ว

9. อย่ากังวลมากกับ SEO อย่าไปมองในระดับคีย์เวิร์ด เพราะมีสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือเว็บไซต์ของคุณต้องการนำเสนออะไร การพยายามเพิ่มตำแหน่งใน search engine นั้นเสียเวลามากกว่าการเขียนบทความที่มีประโยชน์ลงในบล็อกของคุณ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญ SEO คุณจะทราบว่าคุณต้องปรับแต่งเว็บไซต์ตลอดเวลาเพื่อให้มีอันดับที่ดีขึ้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณเขียนบทความที่ดี มันจะอยู่กับเว็บไซต์ของคุณไปตลอด

9a. หลีกเลี่ยงการทำ SEO และ PageRank แบบผิดๆ การทำ Search Engine Optimization ที่ไม่ถูกต้อง (การแลกเปลี่ยนลิงค์กับทุกเว็บไซต์บนเน็ตเท่าที่เป็นไปได้ การโพสต์ลิงค์ของคุณในเว็บรวมลิงค์ ฯลฯ) จะทำให้เว็บของคุณถูกแบนจาก search engine สำคัญๆ ในที่สุด อัลกอริธึมของ search engine ถูกปรับปรุงตลอดเวลา ท้ายที่สุดแล้วความพยายามของคุณก็จะไม่เกิดประโยชน์ และยังเสี่ยงที่ PageRank จะกลายเป็น 0

10. ติดต่อ แต่อย่าสแปม ให้คนที่สนใจเนื้อหาของคุณได้รู้ว่าคุณมีเนื้อหานั้นๆ ต้องรู้ก่อนว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพ จากนั้นให้เอาใจใส่กับคนที่อาจจะสนใจในบริการของเว็บคุณ นึกถึงเว็บไซต์ที่พวกเขาชอบเข้าไปชม แล้วติดต่อเจ้าของเว็บไซต์เหล่านี้เพื่ออธิบายถึงประโยชน์ของบริการของคุณ แต่จำไว้ว่าคุณไม่ได้เขียนถึงโปรแกรม แต่คุณกำลังเขียนถึงมนุษย์ ซึ่งจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะแบ่งปันบริการของคุณให้กับผู้ชมเว็บของเขาหรือ ไม่ จำไว้ว่าจะส่งลิงค์ แต่ให้ส่งคำเชิญชวนที่มีข้อความที่สุภาพที่อธิบายว่าเว็บของคุณมีอะไรที่แตก ต่างจากเว็บอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน ต้องมั่นใจว่าคนที่คุณเขียนถึงตระหนักได้ว่ามันสำคัญต่อผู้ชมเว็บของพวกเขา อย่างไร จงจำไว้ว่าคุณไม่ได้ทำเพื่อเงิน แต่ทำเพื่อผู้ใช้ อย่าสแปม อย่าโฆษณา แต่ให้เผยแพร่สิ่งที่มีประโยชน์

11. ไม่ต้องเกรงใจที่จะถาม มีนักพัฒนาเว็บจำนวนมากที่เคย กำลัง หรือจะถามคำถามเดียวกับที่คุณมีอยู่ตอนนี้ อย่าลังเลที่จะถาม อย่าลังเลที่จะหาคำตอบ ยิ่งคำถามของคุณฉลาดมากเท่าไร คำถามนั้นก็มีโอกาสจะได้รับคำตอบมากขึ้นเท่านั้น และยังทำให้คนพบเว็บของคุณจาก search engine อีกด้วย

12. ตอบอีเมลทันที ติดต่อกับลูกค้าที่มีศักยภาพของคุณให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ อย่าปล่อยให้อีเมลกองอยู่ใน inbox นานเกิน 12 ชั่วโมง อย่าส่งข้อความตอบกลับอัตโนมัติ คนที่เขียนข้อความถึงคุณรู้ว่าเขากำลังเขียนถึงคุณ อย่าทำให้คนอื่นเสียเวลาเช่นเดียวกับที่คุณไม่ทำให้ตัวเองเสียเวลา พยายามสร้างความประทับใจให้กับคนที่คุณติดต่อด้วย ตอบกลับอย่างมั่นใจ มืออาชีพ เป็นกันเอง และเป็นตัวของตัวเอง

13. ใช้ประโยชน์ของ social bookmark อย่ากลัวที่จะเผยแพร่เว็บไซต์ของคุณผ่าน Digg, Reddit, Furl, del.icio.us, Ma.gnolia, Blinklist และเว็บไซต์ social bookmark อื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ให้เลือก tag ที่จะใช้ในเว็บเหล่านี้อย่างระมัดระวังซึ่งจะทำให้ผู้ชมเว็บเข้ามาที่เว็บ ของคุณ และถ้า tag ถูกเลือกใช้อย่างมีเหตุมีผล ไม่เพียงแต่จะมีผู้ชมเว็บเข้ามาเท่านั้น แต่คุณยังสามารถโน้มน้าวให้พวกเขาช่วย tag บทความของคุณใน social bookmark ต่อด้วย

14. สร้างความสัมพันธ์ นักพัฒนาเว็บที่สร้างสรรค์มักจะได้รับการสนับสนุนจากบล็อกของนักพัฒนาเว็บด้วยกัน

15. คิดในระดับโลก ข้อ มูลในเว็บของคุณอาจจะไม่ดึงดูดคนในประเทศของคุณ แต่โลกของเว็บนั้นไร้ขอบเขต แล้วทำไมคุณไม่สื่อสารกับคนทั้งโลกล่ะ? ไม่จำเป็นต้องหาตลาดเฉพาะ (niche) ที่ใกล้ตัวคุณ ในเมื่อคุณมีโอกาสที่ไม่จำกัดอยู่ทั่วโลก

16. อย่าแหกหลักการ ควรพูดคุยกับลูกค้าถึงแนวทางที่เว็บไซต์ควรถูกนำเสนอหรือพัฒนาขึ้น ให้ความเคารพกับมุมมองของลูกค้า แต่จงจำไว้เสมอว่าคนที่พัฒนาเว็บคือคุณ อย่าทำเพียงเพราะว่าคุณถูกสั่งให้ทำ ให้แก้ไขข้อผิดพลาดถ้าคุณพบว่าลูกค้าผิด จงเป็นมืออาชีพ เพราะในท้ายที่สุดแล้วคุณสร้างเว็บเพื่อผู้ใช้ ไม่ใช่เพื่อลูกค้าของคุณ

17. ติดตามข่าวสารสม่ำเสมอ ตื่นตัวตลอดเวลาว่ามีอะไรเกิดขึ้นในโลกอินเทอร์เน็ต เว็บถูกพัฒนาอย่างรวดเร็วและมีไอเดียใหม่ๆ ออกมาเสมอ อย่างไรก็ตาม นิตยสารด้านการออกแบบและพัฒนาเว็บก็คุ้มค่าที่จะอ่าน

18. เรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์ ค้น หาไอเดียใหม่ๆ ตลอดเวลา พยายามเข้าไปอ่านตามกระดานข่าวของนักพัฒนาเว็บ มุ่งความสนใจของคุณไปยังสิ่งที่ผู้คนกำลังค้นหาและพูดถึงกันอยู่

19. ทำเว็บให้สวยขึ้น CSS ดีไซน์ที่โปร่งตา อ่านง่าย และดูชาญฉลาด คือความสวยงาม

20. ตระหนักถึงพลังอำนาจของเว็บอยู่เสมอ ให้การสนับสนุนแก่โครงการที่สำคัญต่อคุณในอนาคต



ที่มา http://www.webmaster.or.th

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

security: กันก็อปปี้ไฟล์ลงธัมบ์ไดรฟ์?

สำหรับการปรับแต่ง Windows XP ไม่ให้สามารถก็อปปี้ไฟล์ผ่านทางพอร์ต USB ได้ จะใช้วิธีเดียวกันคือ เข้าไปแก้ที่ Registry แต่ในกรณีของ Windows XP อย่างน้อยจะต้องได้รับการติดตั้ง Service Pack 2 ขึ้นไปถึงจะทำได้ ขั้นแรกกดปุ่ม Windows +R (คลิ้กปุ่ม Start เลือก Run) พิมพ์คำสั่ง regedit แล้วกด Enter
หลังจากที่หน้าต่างโปรแกรม Registry Editor ปรากฎขึ้นมาแล้ว ในกรอบซ้ายมือให้คลิ้กเครื่องหมาย + หน้ารายการตามลำดับข้างล่างนี้

HKEY_LOCAL_Machine\System\CurrentControlSet\Control\StorageDevicePolicies

หาก คลิ้กเข้าไปถึง Contrl แล้วไม่พบคีย์ StorageDevicePolices ก็ อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะคุณสามารถสร้างคีย์นี้ขึ้นมาได้ โดยคลิ้กขวาบนรายการ Contorl เลือกคำสั่ง New ตามด้วย Key แล้วตั้งชื่อคีย์ใหม่ภายใต้ Control ว่า StorageDevicePolicies



คลิ้ก เลือกรายการนี้ จะพบว่า ในกรอบด้านขวาจะไม่มีพารามิเตอร์ใดๆ เลย ให้คลิกขวาบนคีย์ StorageDevicePolicies แล้วเลือกคำสั่ง New ตามด้วย DWORD value ตั้งชื่อว่า WriteProtect แล้วกดปุ่ม Enter บนคีย์บอร์ด



ขั้นตอนสำคัญก็คือ การกำหนดค่าให้ WriteProtect ทำงาน โดยคลิกขวาเลือกคำสั่ง Modify แล้วเปลี่ยนค่าจาก 0 เป็น 1 แล้วคลิ้กปุ่ม OK



จาก นั้นปิดหน้าต่างโปรแกรม Registry Editor แล้วรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์ใหม่ คราวนี้ ก็จะไม่มีใครสามารถก็อปปี้ไฟล์จากเครื่องคอมพ์ของคุณลงยูเอสบีไดรฟ์ได้อีก ต่อไปแล้ว ยกเว้นเขารู้พาสเวิร์ดแอดมิน และความลับของการป้องกันด้วยวิธีนี้ (สำหรับการแก้ไขกลับไปเป็นเหมือนเดิมก็แค่เปลี่ยนค่าของ WriteProtect จาก 1 ให้เป็น 0 แล้วรีสตาร์ทก็เป็นอันเรียบร้อยแล้ว)

ที่มา http://www.thaiadmin.org/board/index.php?topic=111993.0

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เทคนิคการแก้ไข Stuck Pixel บนจอ LCD

หลายคนเซ็งเมื่อเห็น"จุดสีดำ"ที่เช็ดเท่าไหร่ก็ไม่ออกซะทีบนหน้าจอ แอลซีดีคู่ใจ วิกฤตจุดดำบนจอแอลซีดีถูกเรียกว่า “Dead Pixel” บ้าง “Stuck Pixel” บ้าง ต่อไปนี้คือวิธีแก้ไขเบื้องต้นที่อาจทำให้จุดดับบนจอหายไปโดยที่คุณไม่ต้อง ส่งซ่อมให้ยุ่งยาก

***เทคนิคการแก้ไข Stuck Pixel บนจอ LCD
บทความโดย นิตยสาร LCDSPEC (www.lcdspec.com)

ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีการผลิตจอ LCD จะเดินทางมาไกลจนกระทั่งมี “วุฒิภาวะ” ในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม และกระบวนการผลิต LCD Panel ในปัจจุบันก็มีความแม่นยำสูงมาก แต่ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าจอ LCD นั้นประกอบไปด้วยพิกเซลนับแสนหรือนับล้านจุด จึงเป็นไปได้ที่จุดพิกเซลจำนวนหนึ่ง (จากจุดนับล้านจุด) จะเสียหายจากการผลิต หรือเสื่อมไปก่อนเวลาอันควร ในขณะที่จุดพิกเซลที่เหลือยังคงทำงานได้ตามปกติ

คำว่า “พิกเซล” (Pixel) เป็นคำผสมที่เกิดจากคำว่า Pix (“pictures”) และ el (“element”) หมาย ถึงหน่วยเล็กที่สุดของภาพที่แสดงบนจอคอมพิวเตอร์ หรือบนกระดาษ หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นหนึ่งใน “จุด” เล็กๆ หลากสีที่เรียงชิดติดกันจนเป็นภาพที่เราสามารถรับรู้ได้นั่นเอง จอภาพที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นจอ CRT, LCD หรือ Plasma ต่างก็ประกอบไปด้วยจุด “พิกเซล” สีแดง น้ำเงิน และเขียว เรียงชิดติดกันเป็นจำนวนมหาศาลทั้งสิ้น และจุดต่างๆ เหล่านี้ก็จะดับและสว่างตามคำสั่งของวงจรควบคุม เพื่อเปล่งแสงสีต่างๆ ออกมา และเมื่อประกอบกับจุดสีต่างๆ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ก็จะทำให้เกิดภาพที่เรามองเห็นได้บนจอแสดงผล
จุดพิกเซลอาจมีรูปร่างแตกต่างกันออกไป เช่น สี่เหลี่ยม หรือวงกลม ขึ้นอยู่กับประเภทของจอ
เจ้าของจอ LCD หลายคนเคยพบปัญหา Stuck Pixel หรือ Dead Pixel อาการของปัญหานี้มี 2 แบบ ได้แก่

อาการแบบที่ 1: เมื่อจอแสดงภาพสีดำสนิท จะสังเกตเห็นว่าจุดบางจุดบนจอสว่างอย่างถาวร โดยจุดที่สว่างอาจเป็นสีแดง น้ำเงิน หรือเขียว ก็ได้ และถึงแม้จอจะเปลี่ยนไปแสดงภาพสีอื่นๆ จุดสว่างดังกล่าวก็ยังสว่างค้างเป็นสีเดิมอยู่ เราเรียกอาการนี้ว่า “Stuck Pixel” แต่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า “Stuck Pixel” คือ “Dead Pixel” ซึ่งจริงๆ แล้วมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อาการแบบที่ 2: จุดบางจุดบนจอดับสนิทอย่างถาวร ไม่ว่าจอจะแสดงภาพใดอยู่ก็ตาม ซึ่งเราเรียกพิกเซลที่มีอาการนี้ว่า “Dead Pixel” หรือพิกเซลที่ “ตาย” แล้วนั่นเอง บทความนี้จะนำเสนอวิธีการแก้ไข “Stuck Pixel” เท่านั้น แต่ไม่รวมถึงการแก้ไข “Dead Pixel”

วันนี้ LCDSPEC ขอนำเสนอเทคนิคต่างๆ ในการกำจัด Stuck Pixel ครับ แต่ ก่อนจะศึกษาเทคนิคการกำจัด Stuck Pixel คุณควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามขั้น ตอนในบทความนี้เสียก่อน ได้แก่

- ถ้าผู้ผลิตจอ LCD ของคุณกำหนดเงื่อนไขการรับประกันที่ครอบคลุมถึง Stuck/Dead Pixel อยู่แล้ว เมื่อจอของคุณเกิด Stuck pixel ขึ้น คุณควรปรึกษาบริษัทผู้ผลิตเสียก่อน และไม่ควรซ่อม Stuck pixel ด้วยตนเอง

- เทคนิคการกำจัด Stuck Pixel เป็นเทคนิคที่รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ และเป็นเทคนิคที่ได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถแก้ไขปัญหาได้ในหลายๆ กรณี LCDSPEC จะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับจอ LCD จากการปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆ ในบทความนี้

- หลีกเลี่ยงการเปิดจอ LCD เพื่อดูอุปกรณ์ภายใน เพราะจะทำให้จอของคุณสิ้นสุดการประกันจากบริษัทผู้ผลิตโดยทันที

- หากคุณใช้เทคนิคที่ต้องใช้น้ำ กรุณาหลีกเลี่ยงการทำให้อุปกรณ์ต่างๆ ของจอ LCD และเครื่องคอมพิวเตอร์เปียกน้ำ

- หลายๆ คนกล่าวว่าการใช้แรงกดบนเม็ด Pixel ของจอ LCD แล้วจะทำให้จอ LCD เสียหายมากขึ้นกว่าเดิม (ถึงแม้ว่าจะเป็นคำกล่าวที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ก็ตาม) หากคุณปฏิบัติตามวิธีในบทความนี้อย่างเคร่งครัด ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายดังกล่าวได้

- จอ LCD ประกอบไปด้วยผลึกแก้วหลายๆ ชั้น (layer) ซึ่งมีความละเอียดและบอบบางเป็นอย่างมาก การใช้แรงกด หรือแตะ อาจทำให้ชิ้นส่วนบอบบางเหล่านั้นเกิดความเสียหายได้ คุณจึงต้องยอมรับความเสี่ยงดังกล่าวหากคุณต้องการปฏิบัติตามขั้นตอนที่นำเสนอในบทความนี้

หากคุณยอมรับทุกข้อที่กล่าวมา ต่อไปนี้คือ 4 เทคนิคเพื่อการกำจัด Stuck Pixel ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ได้แก่ การใช้ซอฟต์แวร์ การใช้แรงกด การแตะหรือเคาะเบาๆ และการใช้ความร้อน

##เทคนิคการใช้ Software

เทคนิคนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า Stuck Pixel สามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้เมื่อมันถูกเปิด/ปิด ซ้ำๆ กันอย่างรวดเร็ว คุณควรลองใช้เทคนิคนี้ก่อนเป็นอันดับแรก และหากเทคนิคนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาให้คุณได้ จึงค่อยเปลี่ยนไปปฏิบัติตามเทคนิคถัดไป เทคนิคการใช้ Software นี้ใช้ได้ดีกับ LCD Monitor แต่ก็ไม่ผิดกติกาอะไรหากคุณจะนำเครื่องคอมพิวเตอร์ไปต่อกับ LCD TV แล้วรัน Software เหล่านี้

คุณสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมช่วยแก้ไข Stuck Pixel ได้จาก Website ต่อไปนี้:

JScreenFix – เว็บไซท์ที่ใช้ Java Applet ซึ่งเป็นโปรแกรมเล็กๆ ที่จะช่วยขจัด Stuck pixel โดยการเปิด/ปิด พิกเซลแต่ละจุดบนจอเป็นจำนวน 60 ครั้งต่อวินาที
JeffPatch.com blog – สำหรับคนที่ใช้เครื่อง Mac ที่ Blog นี้ก็มีวีดีโอภาพกระพริบจาก Sony ที่อาจช่วยแก้ไข Stuck Pixel ได้
DPT 2.20 – โปรแกรมบน Windows ที่สามารถช่วยให้คุณค้นหา Stuck pixel ได้ง่ายขึ้น และมี “Pixel Exerciser” ที่ช่วยให้ Pixel ที่เสียหายกลับมาทำงานได้อย่างเดิม
UDPixel 2.1 – ฟรีแวร์บน Windows ที่ช่วยคุณค้นหา และแก้ไข Stuck Pixel
LCD Scrub – Screensaver สำหรับเครื่อง Mac ที่แสดงภาพกระพริบบนจอ เพื่อช่วยแก้ไข Stuck Pixel และแก้ไขอาการ Burn-in
##เทคนิคการใช้แรงกด

1.ปิดจอ LCD ของคุณ
2.นำผ้านิ่มๆ ชุบน้ำหมาดๆ (ถ้าใช้น้ำอุ่นจะได้ผลดีขึ้น และห้ามใช้ผ้าเปียก) มาห่อบริเวณหัวปากกาลูกลื่น, ดินสอ, ไขควงเล็กๆ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน แต่ต้องเป็นอุปกรณ์ที่ไม่มีหัวแหลมคมที่จะทำให้จอ LCD เป็นรอยได้ เราขอแนะนำให้ใช้ปากกา Stylus ที่มากับเครื่อง PDA หรือ Smartphone สำหรับการนี้
3.ใช้ยาง หรือเชือกเส้นเล็กๆ มัดผ้าที่ห่อบริเวณหัวปากกาไว้ เพื่อไม่ให้ผ้าหลุดออกมาในขณะที่คุณนำปากกาไปกดบนจอ
4.นำ ปากกาที่เตรียมไว้ไปกดเบาๆ ที่ Stuck Pixel โดยพยายามกดให้ตรงกับจุด Pixel ที่เสียหายมากที่สุด การกดผิดพลาดอาจทำให้จุด Pixel ที่อยู่ข้างเคียงเสียหายตามไปด้วย
5.ระหว่างที่กด Stuck Pixel ให้กดปุ่ม Power ของจอ LCD เพื่อเปิดให้จอทำงาน
6.นำปากกาออกจากจอ แล้วตรวจสอบดูว่า Stuck Pixel หายเป็นปกติหรือไม่ หากยังไม่หายเป็นปกติ ให้ทำตามขั้นตอนข้อ 4 และ 5 อีกครั้ง โดยค่อยๆ เพิ่มแรงกดให้มากขึ้นทีละนิด

##เทคนิคการแตะ/เคาะเบาๆ ที่ Stuck Pixel

1.นำจอ LCD มาต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ และเปิดจอ LCD และเครื่องคอมพิวเตอร์
2.ใช้โปรแกรมแต่งภาพสร้างภาพสีดำล้วน ที่มีขนาดเท่ากับจอ LCD ของคุณ เช่นหากคุณใช้จอ Full HD ก็ควรสร้างไฟล์ภาพสีดำที่มีขนาด 1,920 x 1,080 พิกเซล เป็นต้น แล้วนำภาพสีดำที่สร้างขึ้นมาแสดงแบบเต็มจอ ซึ่งการแสดงภาพสีดำนี้จะทำให้คุณสามารถมองเห็น Stuck pixel ได้อย่างชัดเจน
3.ใช้ ปากกาที่มีไม่มีหัวแหลมคม หรือใช้ Stylus ที่มากับเครื่อง PDA/Smartphone แตะเบาๆ ที่ Stuck Pixel ไม่ควรใช้แรงกดมากเกินไป แต่แรงกดนั้นจะต้องมากพอที่จะทำให้เม็ดพิกเซลที่ถูกแตะกระพริบแสงสีขาวๆ ในขณะที่ถูกแตะ หรือกล่าวได้ว่าหากเม็ดพิกเซลไม่กระพริบแสงสีขาว แสดงว่าคุณยังแตะมันไม่แรงพอนั่นเอง
4.พยายามแตะเป็นจังหวะอีก 5-10 ครั้ง โดยค่อยๆ เพิ่มแรงกดทีละนิด จนกว่าอาการ Stuck Pixel จะหายไป
5.นำไฟล์รูปภาพสีขาวล้วนแบบเต็มจอมาแสดง แล้วดูว่าอาการ Stuck Pixel หายไปหรือไม่ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้ทำให้ Pixel ข้างเคียงเกิดความเสียหาย

##เทคนิคการใช้ความร้อน

เทคนิคนี้มีประโยชน์ในกรณีที่เม็ด pixel กลายเป็นสีขาวหรือสีดำในบริเวณกว้าง และสามารถใช้ได้ดีกับเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้ค (แต่ก็ใช้ได้กับจอ LCD ทั่วไปได้เช่นกัน) การ ใช้เทคนิคนี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคภายในจอ หรือภายในเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊คบุ้คเสียหายจากความร้อนได้ คุณจึงควร Backup ข้อมูลสำคัญไว้ก่อนจะลงมือปฏิบัติ และเทคนิคนี้อาจไม่ช่วยให้เม็ด Pixel ที่เสียหายเป็นบริเวณกว้างกลับมาเป็นปกติได้ทั้งหมด หรือถึงแม้จะแก้ไข Stuck Pixel ได้สำเร็จ จอของคุณก็อาจกลับมามีอาการเดิมอีกครั้ง

คุณสามารถแก้ไข Stuck Pixel โดยใช้ความร้อนตามขั้นตอนต่อไปนี้:

1.เทคนิคนี้จะต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง หรือเป็นวัน เราจึงแนะนำให้คุณเสียบปลั๊กเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้คแทนการใช้พลังงานจาก แบตเตอรี่
2.ไปที่ Power Settings ใน Control Panel และตรวจสอบให้แน่ใจว่า Windows จะไม่ดับจอ LCD และจะไม่เข้าสู่โหมด Standby หรือ Hibernate เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ (ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่องและจอจะถูกเปิดและทำงานตลอดเวลานั่นเอง)
3.กดหน้าจอของโน๊ตบุ้กให้เข้ามาใกล้ keyboard เล็กน้อย แต่ต้องไม่ใกล้ถึงขนาดที่ทำให้เครื่องหยุดทำงาน หลังจากนั้นให้วางโน๊ตบุ้คไว้ในที่แคบๆ ที่อากาศและความร้อนถ่ายเทไม่สะดวก เช่นตู้เล็กๆ หรือลิ้นชัก
4.ปล่อย ให้โน๊ตบุ้คของคุณทำงานอยู่อย่างนั้นหลายๆ ชั่วโมง หรือหลายๆ วัน ควรหมั่นเข้าไปตรวจสอบบ่อยๆ ว่า Stuck Pixel หายไปหรือไม่ การใช้ความร้อนจะทำให้ของเหลวในผลึก LCD ไหลอยู่ในเม็ด Pixel ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยยิ่งขึ้นในบางพื้นที่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ของเหลวดังกล่าวอาจจะไม่ตอบสนองต่อคำสั่งของวงจรควบ คุม

เราหวังว่าเทคนิคนี้จะเป็น ประโยชน์ต่อผู้ที่ประสบปัญหา Stuck Pixel ได้ไม่มากก็น้อย สำหรับบทความ และเทคนิคอื่นๆ ในการเลือกซื้อและใช้งาน HDTV คุณสามารถติดตามได้จากเว็บไซต์ www.lcdspec.com ครับ