วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

แชร์ประสบการณ์ในการวางกล้องวงจรปิดกันขโมยไร้สาย


กล้องวงจรปิด บ.มีเดียเสริซ์ จำกัด

บทความความรู้เรื่องกล้องวงจรปิด วันนี้จะเล่าสู่กันฟังเรื่องวิธีเลือกระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับบ้าน หรือเรียกว่า กันขโมยบ้านมาให้คุณผู้ที่สนใจซื้อหรือกำลังตัดสินใจ ชั่งใจในการเลือกซื้อ เรามาติดตามและแชร์ประสบการณ์ในการกล้องวงจรปิดหรือกล้อง CCTV กัน

เชื่อว่าหลายๆ ครั้งเพื่อนๆ หรือผู้สนใจคงจะได้คำแนะนำหรือพบเป็นบทความที่เกี่ยวกับการแนะนำ ซึ่งหาได้จากอินเตอร์เน็ต จากหนังสือพิมพ์บ้าง หรือจากคำบอกเล่าประสบการณ์ของผู้ที่เคยติดตั้ง อย่างที่เราจะคุยกันในวันนี้ผมจะขอพูดกับการเลือกวงจรปิดกันขโมยไร้สายแบบ เจาะจง

การเลือกซื้อกล้องวงจรปิดระบบกันขโมย

1. เลือกกล้องที่ได้คุณภาพก่อน กล้องคุณภาพนั้นมีหลายราคา ที่คุณภาพดีราคาถูกนั่น ดูจะเป็นเรื่องที่สวนทางกัน จึงอยากจะแนะนำให้เลือกซื้อกล้องรุ่นที่มีราคาระดับ 20,000 บาทขึ้นไปครับ นั่นเพราะว่าโดยส่วนมากแล้วที่ราคาต่ำกว่านั้นมักจะเป็นของที่ไม่มี ประสิทธิภาพผลิตจากโรงงานที่ไม่เข้มงวดด้านการ QC ปัญหาก็คือการใช้งานผิดพลาด ระบบกันขโมยไม่ได้มาตรฐานเกิดเตือนภัยผิดพลาดบ่อยๆ ซึ่งที่ผ่านมาก็พอจะกล่าวได้ว่า กรณีศึกษาแบนี้พบเห็นบ่อยครับ สู้ว่าเราลงทุนครั้งเดียวได้แบบมีคุณภาพน่าจะดีกว่า

นอกจากคุณภาพแล้ว อีกอย่างความทนทาน อายุการใช้งาน การบำรุงรักษาก็มีส่วนจำเป็นและสำคัญด้วยเช่นกัน ซึ่งกล้องที่มีราคาสูงจะมีปัจจัยดังกล่าวนี้ครอบคลุมกว่ากล้องราคาถูกแน่นอน

2.เลือกเครื่องกันขโมย (Alarm panel) ระบบ สัญญาณกันขโมยจะประกอบด้วยอุปกรณ์ 2 ส่วนหลัก คือ เครื่องสัญญาณกันขโมย (Alarm panel) และ อุปกรณ์ตรวจจับ (Alarm sensor) หลักในการทำงานของระบบสัญญาณกันขโมยนั้นง่ายมากคือ เมื่ออุปกรณ์ตรวจจับทำงาน จะทำการส่งสัญญาณไปที่เครื่องสัญญาณกันขโมย และเครื่องสัญญาณกันขโมย ก็จะทำการแจ้งเตือน

ควรเลือกระบบรุ่นที่ ไฟสำรอง (battery backup) หมดแล้ว keycode ที่ได้ register ไว้กับตัวเครื่องแล้วไม่หาย บ่อยครั้งที่ไฟสำรองหมดทำให้เราต้องเรียกหาช่างเพื่อ register ใหม่ อาจจะเสียเวลาและเสียเงินโดยใช่เหตุ จึงควรพิจารณาเรื่องนี้ด้วยเพราะหากเกิดไม่งั้นพอมีปัญหาที เรื่องใหญ่เลยครับ

3. เลือกอุปกรณ์กันขโมย เช่น PIR, Magnetic Sensor ที่ใช้ Lithium battery อย่าไปหลงคำโม้ยี่ห้อที่ใช้ถ่านอัลคาไลน์ (Alkaline battery) แล้วบอกว่า ระบบประหยัดพลังงานชนิดพิเศษ……ทำให้มีอายุแบตยาวนานถึง…เด็ดขาด ซึ่งเอาเข้าจริงๆ จาก 1-2 ปี ที่โม้ไว้ ใช้ได้น้อยกว่า 1 ปีทุกที

4. สำหรับบ้าน 2 ชั้น หรือมีคนอยู่เยอะ ให้เลือกยี่ห้อที่มี wireless keypad ไว้ด้วย เพราะไม่อย่างงั้น remote หายขึ้นมาที เป็นเรื่องแน่ๆ สำหรับคนที่ไม่รู้ keypad อะไร
keypad หมายถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงเครื่องกันขโมย(ทำหน้าที่เหมือนเป็น remote control ปกติ แต่จะติดกับผนัง) ทำหน้าที่สำหรับเปิด-ปิด ระบบ ส่วนใหญ่ในตลาดบ้านเราถ้ามี ก็จะเป็นแบบ one way คือใช้ส่งข้อมูลอย่างเดียว สำหรับรุ่นที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาหน่อยก็จะเป็นชนิด two ways คือเป็นทั้งเครื่องรับ-ส่ง สัญญาณ โดยเราจะสามารถตรวจสถานะภาพของเครื่องกันขโมย ผ่าน keypad ได้

5. บ้านที่เลี้ยงน้องหมา ก็ให้เลือก PIR รุ่นที่สามารถ bypass สัญญาณสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ได้ หรือเรียกง่ายๆว่าไม่จับสัตว์เลี้ยงนั่นเอง (pet immune PIR) แต่ก็ไม่ควรเลือก pet immune PIR รุ่นที่ไม่ตรวจจับสัตว์ที่มีน้ำหนักมากๆ เพราะคนไทยตัวค่อนข้างเล็กและเบากว่าฝรั่งมาก ไม่เช่นนั้นหากมีโจรที่ผอมแห้งแรงน้อยคลานเข้ามาขโมยของละก็..หึหึเอาล่ะ ครับ นี่เป็นเพียงแค่เรื่องการติดตั้งหรือเลือกซื้อกล้องวงจรปิด หรือสัญญาณกันขโมย ไว้ว่างๆ แล้วจะมารีวิวกันขโมยยี่ห้อ


ที่มา http://www.cctvbangkok.com/cctvbangkok-ipcamera-dome-dvr-ccd-infared-camera-dvr-card-quad-page19.html

7 คำถามที่เกี่ยวกับกล้องวงจรปิด CCTV ที่หลายคนอยากรู้


กล้องวงจรปิด บ.มีเดียเสิร์ซ จำกัด 081-700-4715

วันนี้มีคำถามของผู้ที่สงสัยเกี่ยวกับกล้องวงจร ปิดมาฝาก โดยเฉพาะผู้ที่สนใจจะติดตั้งกล้องวงจรปิด คำถามที่ว่าเป็นคำถามที่ให้ความรู้น่าสนใจ ก็เลยหยิบยกมานำเสนอให้หลายๆ ที่เสริมความรู้ ซึ่งหลายๆ คนอาจจะเคยทราบหรือรู้มาบ้างแล้ว แต่ก็เชื่อว่ามีอีกหลายคนที่ยังไม่ทราบมาเรียนรู้และทำความเข้าใจกล้องวงจร ปิด ด้วย 7 คำตอบที่เป็นประโยชน์
1. กล้องวงจรปิด
CCTV มีแบบใดบ้าง ?
ปัจจุบันนี้ กล้องวงจรปิด cctv มีหลายชนิดด้วยกัน เช่น กล้องวงจรปิดมาตราฐาน กล้องโดมกล้องอินฟาเรด กล้องวงจรปิดแบบซูมได้ กล้องวงจรปิดแบบแอบซ่อน ฯลฯ

2. อยากติดตั้งกล้องวงจรปิด จะเลือกใช้กล้องรุ่นไหนดี ?

การเลือกซื้อกล้องวงจรปิด ควรจะพิจารณาจากหน้างาน ถ้าคุณต้องการติดตั้งเพื่อดูทรัพย์สินมีค่าเช่น ตู้เซฟ โต๊ะเงิน ประตูทางเข้าออก โรงจอดรถ ฯลฯ ก็ต้องเลือกใช้ กล้องวงจรปิดมตราฐาน แต่ถ้าต้องติดตั้งใน ตำแหน่ง หรือ สถานที่ที่ค่อยข้างมืด เช่น ในห้องเก็บของ ริมกำแพง หรือ หลังอาคารที่ไม่มีแสงไฟ อันนี้ก็ต้องเลือกใช้ กล้องวงจรปิดอินฟาเรด แทนครับ ขอแนะนำว่า ก่อนจะซื้อหรือ ติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV ทุกครั้งควรจะเรียก เจ้าหน้าที่ของบริษัทไปดูหน้างาน เพื่อสำรวจหน้างาน และ เลือกตัวกล้องวงจรปิดได้ตรง กับวัตถุประสงค์และ สภาพหน้างานของท่านสนใจให้ทางบริษัทไปสำรวจหน้างาน เพื่อออกแบบ และติดตั้งกล้องวงจรปิด


3. กล้องวงจรปิด ที่ใช้เลนส์ CCD กับเลนส์ CMOS อันไหนดีกว่ากัน ?

กล้องวงจรปิดที่ใช้ เลนส์ CCD จะมีคุณภาพดีกว่า กล้องวงจรปิดที่ใช้เลนส์ CMOS กล้องวงจรปิดที่ใช้เลนส์ CMOS ส่วนใหญ่จะมีคุณภาพต่ำ อายุการใช้งานจะน้อย ใช้งานได้ไม่เกิน 1-2 ปี เลนส์จะเสื่อมคุณภาพ ส่วนใหญ่กล้องวงจรปิดที่ใช้เลนส์ CMOS จะราคาถูก ราคาไม่เกิน 3000.- บาท ส่วนกล้องวงจรปิดที่ใช้เลนส์ CCD จะมีคุณภาพของภาพดีกว่า แต่ราคาจะสูงกว่า อายุการใช้งานกล้องวงจรปิดที่ใช้เลนส์ CCD จะอยู่ที่ 7 ปีขึ้นไป

4. กล้องวงจรปิดติดตั้งยากไหม ควรซื้อกล้องวงจรปิดไปติดตั้งเองดี หรือไม่ ?

การติดตั้งกล้องวงจรปิด ไม่ควรซื้อไปติดตั้งเอง ควรจะให้เจ้าหน้า หรือ ช่างผู้ชำนาญเฉพาะทางเป็นเป็นคนติดตั้งให้จะดีกว่า การซื้อกล้องวงจรปิดไปติดตั้งเอง ถ้าขาดความรู้เทคนิคในการติดตั้ง อาจจะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร ไฟไหม้ หรือ เกิดความผิดพลาดต่างๆ ในการติดตั้งได้ การแก้ไขปัญหาของอุปกรณ์กล้องวงจรปิดก็ทำได้ยาก เพราะขาดความรู้ความชำนาญเฉพาะทาง
อยากจะแนะนำว่าให้ใช้บริการกับบริษัทที่จำหน่ายการติดตั้งกล้องวงจรปิด โดยเฉพาะจะดีกว่า เพราะบริษัทที่รับติดตั้งมีประสบการณ์ในการติดตั้งกล้องวงจรปิด ถ้าคุณคิดว่าแค่ ช่างไฟ ช่าง UBC หรือ ช่างเดินสายโทรศัพท์ก็สามารถติดตั้งได้ คุณอาจเข้าใจผิดแล้ว!!! เพราะถึงแม้บุคคลเหล่านั้นจะติดตั้งได้จริง ก็อาจติดตั้งแบบผิดวิธี ผู้ที่ขาดประสบการณ์ในการติดตั้งกล้องวงจรปิดมา ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดควรให้ บริษัทจำหน่าย ติดตั้งกล้องวงจรปิด เป็นคนติดตั้งให้ดีกว่า
นอกจากนี้บริษัทที่ให้บริการยังมีบริการหลังการขาย เซอร์วิสฟรี ถึงสถานที่ตลอด 1 ปีเต็มอีกด้วย ขอแนะนำว่า ถ้าซื้อ กล้องวงจรปิดจากบริษัทไหนมา ก็ควรจะให้บริษัทนั้นเป็นคนติดตั้งให้จะดีที่สุด จะได้บริการได้อย่างเต็มที่ทั้งตัวอุปกรณ์
อะไหล่ต่างๆ

5. ระบบ 380 เส้น 420 เส้น หรือ 380 TV Line หมายถึงอะไร ?

คำว่า 380 เส้น หรือ 380 TV Line นั้นก็คือค่าความคมชัดของตัวกล้องวงจรปิด ยิ่งมีค่ายิ่งมากภาพก็จะยิ่งชัดขึ้นละเอียดขึ้น เช่น กล้องวงจรปิด ความคมชัด 480 เส้น จะให้ภาพที่ชัดกว่า กล้องวงจรปิด ความคมชัด 420 เส้น เป็นต้น กล้องวงจรปิดที่มีความคมชัดสูงๆ ราคาก็จะสูงตามไปด้วย

6. การกินแสงสว่าง 1 LUX , 0.8 LUX , 0.2 LUX หมายถึงอะไร ?

คำว่ากินแสงสว่าง 1 LUX คือค่าการมองเห็นภาพในตอนกลางคืน หรือ ในที่มีสว่างน้อยของกล้องวงจรปิด ว่าต้องมีแสงสว่างอย่างน้อย 1 LUX ถึงจะมองเห็นภาพได้ดี ยิ่งค่า LUX ยิ่งต่ำ ก็ยิ่งดีเช่น 0.2 LUX , 0.1 LUX จะให้ที่มีแสงไฟสลัวๆ หรือ ในที่ค่อนข้างมืดได้ดีมาก ส่วนกล้องวงจรปิดแบบอินฟาเรด สามารถมองเห็นภาพในที่มืดสนิทได้ ( 0 LUX ) แต่ภาพจะออกมาเป็นภาพขาว-ดำ

7. สำหรับจุดสำคัญของบ้านควรติดกล้องวงจรปิดแบบใด ?

การติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV
ที่ตัวกล้องควรใช้เลนส์คุณภาพสูงและสามารถหมุนได้เป็นวงกลมอิสระรอบทิศ มีอินฟาเรด ถ่ายกลางคืนได้ แบบเดียวกับที่ยุโรปใช้อยู่ในค่ายทหารและจุดสำคัญๆ ของประเทศ

ที่มา http://www.cctvbangkok.com/cctvbangkok-ipcamera-dome-dvr-ccd-infared-camera-dvr-card-quad-page18.html

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

30 ทิปเล็กน้อย ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

1. ในขณะที่คุณกำลังจะ Restart เครื่องใหม่ ก่อนที่จะกดปุ่ม OK ให้คุณกด Shift ค้างไว้ จะทำให้คุณ Restart ได้เร็วขึ้น

2. ในบาง Web Site หากคุณกด Ctrl ค้างไว้ และเลื่อน Scroll ที่ Mouse จะทำให้ตัวอักษรของ Web Site นั้นใหญ่ขึ้น

3. หากกดปุ่ม Refresh หรือ F5 แล้วยังเป็นข้อมูลเดิม ลองกด Ctrl + F5 รับรองจะได้ข้อมูลที่ใหม่ล่าสุดแน่ๆ

4. คุณสามารถเปิดไฟล์ Tips.txt ขึ้นมาเพื่ออ่านเทคนิคต่างๆ ได้ ซึ่งไฟล์นี้จะอยู่ใน c:windows ของคุณ

5. ในระหว่างที่คุณกำหลังใช้งาน IE อยู่นั้น สามารถกดปุ่ม F4 เพื่อเป็นการเปิดดู URL List ในช่อง Address ได้เลย

6. การกดปุ่ม Esc ระหว่างการใช้ IE จะทำให้ IE ของคุณนั้นหยุดโหลดได้ โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม Stop

7. ระหว่างการใช้ IE สามารถกดปุ่ม Alt + D หรือ Ctrl + Tab เพื่อเข้า Address bar อย่างเร็วได้

8. คุณสามารถเพิ่มความเร็วให้กับ Internet ได้โดยทำการถอดสายเครื่องโทรศัพท์ ที่มีการต่อพ่วงอยู่กับสายที่ใช้ต่อ Internet ออก

9. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า welcome กด Enter เพื่อเปิดหน้าต่างต้อนรับของ Windows ได้

10. ที่ Notepad หรือ ICQ หากคุณลืมเปลี่ยน Mode ภาษา ให้กดปุ่ม Ctrl + Back Space เพื่อแก้คำที่พิมพ์ผิดไปแล้ว

11. คุณสามารถ เปิด Folder Desktop อย่างรวดเร็ว โดย Start -> Run พิมพ์จุด (.) ลงไปแล้วกด Enter

12. ใน IE สามารถกด Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้า Page ลงได้ ส่วนเลื่อนขึ้นคือ Shift + Space Bar

13. ใน Windows คุณไม่สามารถ สร้าง Folder ที่ชื่อ "con" ได้

14. ใน IE ที่ช่อง Address ปุ่ม Ctrl+Enter สามารถช่วยคุณ
ในการพิมพ์ URL ได้เร็วยิ่งขึ้น

15. การกด Ctrl ค้างเอาไว้ ตอนเวลา BOOT เครื่อง จะทำให้คุณไม่พลาด Startup Menu

16. คุณสามารถปิดนาฬิกาที่ Taskbar ได้ โดยคลิกขวาที่ Task bar > Properties > เอาเครื่องหมาย Show Click ออก

17. หากคุณกด F11 ใน Windows Explorer จะช่วยให้มีการทำงานที่สะดวกขึ้น

18. ใน ICQ การส่ง Message หากคุณกด Ctrl+Enter จะสะดวก กว่าการ Click Mouse ที่ปุ่ม send

19. คุณสามารถกด F2 เพื่อ ใช้ในการเปลี่ยนชื่อ Icon ต่างๆ ได้

20. การกด F5 ใน NotePad จะเป็นการแทรก เวลา และวันที่ ปัจจุบัน

21. การกด Windows + E จะเป็นเปิด Windows Explorer ขึ้นมา

22. เปิด System Properties อย่างรวดเร็วคือการกด Window + Pause Break

23. การย่อยทุกๆ หน้าต่างที่เปิดใช้งาน ให้ยุบไปให้หมด คือการกด Window + D ถ้าจะขยายคืนมาอีก ให้กดซ้ำ

24. การเคาะวรรคในโปรแกรม Dreamweaver คือ Shift + Ctrl + Space Bar ส่วนการเว้นบรรทัดคือ Shift + Enter

25. การลบไฟล์แบบ ไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin คือการกด Shift + Delete

26. การกด Shift ค้างไว้ เวลาใส่แผ่น CD-Rom จะเป็นการไม่ให้มันเปิด Autorun ของแผ่น CD-Rom นั้นขึ้นมา

27. การ Restart เครื่องอย่างเร็ว คือไปที่ Start -> Shut Down... -> Restart จากนั้น ก่อนที่จะ OK ให้กด Shift ค้างเอาไว้

28. ในระหว่างใช้ Browser คุณสามารถกดปุ่ม Space Bar เพื่อเลื่อนหน้าลง และ Shift + Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้าขึ้นได้

29. กด Shift + คลิก จะเป็นการเปิดหน้าต่างขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้อง back กลับ

30. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า hwinfo /ui กด Enter เพื่อดูรายงานต่างๆ ของ HardWare

ที่มา http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=tarnlife&month=06-09-2010&group=10&gblog=1

3G ประเทศไทยในปัจจุบัน


*จาก entry ที่แล้ว ... ทีนี้มีคนมาถามว่า แล้วตกลงไอ้ 3G ในไทยที่ค่ายโน้นค่ายนี้เค้าโฆษณากันใหญ่โตนั่น ตกลงตอนนี้เป็นยังไงกันบ้าง งงไปหมดแล้ว (ผมด้วย) ก็เลยลองมารวบรวมสรุปสถานการณ์ให้ดูคร่าวๆ ครับ ไล่ลำดับกันทีละค่ายเลยละกันนะครับ

*ข้อมูลหาอ้างอิงไม่เจอ หากมีความผิดพลาดต้องขออภัยด้วยครับ * ข้อมูลเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2553

(เขียนดักไว้ก่อนเผื่อวันหลังย้อนมาอ่าน)

AIS

● คลื่นความถี่ย่าน 900 MHz จากคู่สัมปทาน TOT
● มีการใช้งานในระบบ 2G ปัจจุบันของ AIS หนาแน่นมาก ทำให้ติดตั้งมากไม่ได้
● ใช้ติดตั้งระบบ 3G UMTS/WCDMA ได้สบาย เป็นคลื่นในย่าน low band สากล
● ปัจจุบันมีเปิดใช้ในระบบ 3G พื้นที่เล็กๆ ในเขต อำเภอเมืองเชียงใหม่,หัวหิน ประจวบฯ, นครราชสีมาบางส่วน, ชลบุรี
● ในกรุงเทพฯ มีใช้ได้สองจุดคือ สยามพารากอน และดิจิตอลเกตเวย์
● ความเร็วปัจจุบัน 7.2/5.76mbps HSUPA (ยกเว้นหัวหินได้ถึง 21mbps)
● ให้บริการเชิงพาณิชย์ได้เต็มรูปแบบ คือจะใช้ก็ต้องจ่ายตังค์ว่างั้น
● ตอนนี้ถ้าอยู่พื้นที่ 3G และมือถือรับสัญญาณ 3G AIS ได้ จะสามารถใช้สัญญาณ 3G แทน EDGE ได้โดยไม่เสียค่าบริการเพิ่ม แต่จำกัดความเร็วที่ WCDMA 384kbps

DTAC

● คลื่นความถี่ย่าน 850 MHz ขนาด 10MHz (2 ช่องสัญญาณ) จากคู่สัมปทาน CAT
● เกิดมาได้พักนึงแล้ว แต่ไม่ได้มีการนำมาใช้งานจริงจัง *เนื่องจากติดข้อกำหนดด้านกฎหมาย*
● ไม่ได้ซิกแซกแบบ True ที่เกือบโดน CAT ยึดความถี่คืนด้วย
● เปิดให้ใช้บริการเฉพาะผู้ที่ได้รับคัดเลือก พื้นที่กรุงเทพมหานครบางส่วน เช่นสยาม, จุฬา, ...

TrueMove

● คลื่นความถี่ย่าน 850 MHz ขนาด 5MHz (1 ช่องสัญญาณ) จากคู่สัมปทาน CAT ที่เกลี่ยมาจาก DTAC อีกที
● ช่วงแรก ซิมเติมเงินใช้ได้ฟรีพักใหญ่ๆ จำกัดความเร็วที่ 2mbps พื้นที่ประมาณ 50% ของกรุงเทพ
● ช่วงหลังๆ (จริงๆ ก็ตั้งแต่เริ่มขาย iphone) ขายพ่วงโปรโมชั่นกับ iPhone ,BlackBerry และ Moto Milestone เท่านั้นถึงจะใช้ได้
● ถ้าไม่มีโปรโมชั่นพวกนั้น จะเจอค่าบริการมหาโหดเท่ากับ GPRS/EDGE ที่ KB ละ 12 สต. (ราวๆ MB ละร้อยกว่าบาท)
● ปัจจุบันพื้นที่ให้บริการ ครอบคลุมถือว่าค่อนข้างทั่วกรุงเทพและปริมณฑล
● ต่างจังหวัด ใช้ได้ที่พัทยาหย่อมนึง ชายฝั่งด้านตะวันตกของภูเก็ตเกือบทั้งหมด และอำเภอเมืองเชียงใหม่อีกหย่อมนึง

TOT Mobile (และ MVNO สารพัดชื่อ)

● เป็นรายเดียวในปัจจุบันที่เปิดให้บริการ 3G ที่คลื่นมาตรฐาน (ย่าน 2100 MHz) ที่ความถี่ 2155-2170 MHz ขนาด 3 ช่องสัญญาณ
● ได้มาจากการซื้อหุ้น ThaiMobile มาจาก CAT แล้วเอามาทำใหม่อีกที
● โครงการเฟสแรก ติดตั้งประมาณ 500 site ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ใช้งานจริงอยู่ ที่ความเร็ว 7.2 - 14.4mbps แล้วแต่เสา
● จุดอับสัญญาณค่อนข้างเยอะ เนื่องจาก site ยังค่อนข้างห่างกันและความถี่สูงมากทำให้ส่งได้ระยะทางใกล้ๆ
● เปิดให้รายย่อยเปิดให้บริการในนาม MVNO หลายรายในปัจจุบัน
● สาเหตุที่ขยายบริการต่อไม่ได้ เนื่องจากครม.ตีกลับแผนการขยายสัญญาณไปหลายรอบแล้ว (เซ็ง)

Hutch

● ให้บริการในระบบ CDMA ย่าน 800MHz (ถ้าดูช่วงความถี่ จะเป็นช่วงใกล้ๆกันกับ 850MHz ที่ให้ True/DTAC ใช้)
● มีพื้นที่ที่เป็น 3G คือ EV-DO Rel.0 ความเร็ว 2.4mbps/153.6kbps อยู่บ้างบางส่วน
● ให้บริการในเขต 25 จังหวัดภาคกลาง ตะวันออก ตะวันตก
● ทำท่าจะโดน CAT ซื้อคืน แต่ก็โดนตีกลับไปหลายรอบแล้วเหมือนกัน

CAT CDMA

● ให้บริการในระบบ CDMA ย่าน 800MHz เหมือน Hutch
● พื้นที่ให้บริการ*ทั้งหมด*เป็น 3G แล้วในระบบ EV-DO Rev.A ที่ความเร็ว 3.1/1.8mbps
● ให้บริการในเขต 51 จังหวัดภาคเหนือ อีสาน ใต้
● พื้นที่ครอบคลุมมากที่สุดในประเทศไทย และใช้งานได้จริงในราคาไม่แพงเกิน (net unlimit 790 บาทต่อเดือน)
● ร่ำๆ จะ take over Hutch เพื่อให้พื้นที่ครอบคลุมทั่วไทย 100% หลายรอบแล้วแต่ติดอะไรซักทีก็ไม่รู้

ที่มา :
www.icez.net
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sanamluang&month=18-09-2010&group=19&gblog=111
Pic : www.tlcthai.com

การจัดการความทุกข์และความสุข.....



เคยไหม...ที่มีความรู้สึกแย่ๆ.....อยากหนีหายไปจากตรงนี้.....
เคยไหม...ที่มีความรู้สึกน้อยเนื้อ ต่ำใจ ....กับเรื่องราวต่างๆที่เข้ามาในชีวิต
เคยไหม...ที่มีรู้สึกว่ามีชีวิตที่ไม่เท่าคนอื่น...
เคยไหม...ที่มีความรู้สึกว่าโชคชะตาไม่เข้าข้างเอาซะเลย....ถึงแม้จะพยายามแค่ไหนก็ตาม....
เคยไหม...ที่ถ้อแท้...หมดหวัง และกำลังเสียศรัทธาจากบางสิ่งที่มีเพียงน้อยนิด....
เคยไหม....ที่คิดว่าทำไมทำดีแล้ว.....ไม่ดีอย่างที่ใจคิด......หรือไม่ก็ไม่มีใครเห็นความดีที่ทำ......



ถ้าเคยเป็นเช่นนั้น......ลองคิดใหม่.....

มองในมุมกลับกัน

ลองดูไหม.... ที่จะแบ่งปันความรู้สึก ความรู้ และศรัทธาที่ดีให้กับผู้อื่น.....
ลองดูไหม.....ที่จะรับฟังและเป็นที่ปรึกษาให้กับคนที่เป็นเหมือนข้อความด้านบน....และเลือกที่ปรึกษาเรื่องราวกับคนที่ไว้ใจได้.....เท่านั้น....
ลองดูไหม.....ที่จะเลือกรู้สึกกับเรื่องดีๆ และทิ้งเรื่องแย่ๆไปจากชีวิต....อย่าลืมนะ พื้นที่ความจำในชีวิตมีจำกัด...และ Upgrade ไม่ได้......
ลองดูไหม.....ที่จะไม่หวังพึ่งโชคชะตา แต่หวังที่จะสร้างมันด้วยสองมือ หนึ่งสมอง และทั้งหัวใจ.....
ลองดูไหม.....ที่จะเป็นผู้ให้ มากกว่าที่จะเป็นผู้รับ.....เลือกที่จะเข้าใจความรู้สึกคนรอบข้างเท่าๆกับที่เข้าใจตัวเอง......
ลองดูไหม.....ทำ ในสิ่งที่ไม่เคยทำ.....ทำดีไม่หวังผลตอบแทน....ทำโดยไม่ต้องให้ใครเห็น ...แต่เรารู้เพียงว่า...สิ่งที่เราทำนั้นดี....และไม่สร้างความเดือดร้อนให้ ใคร....
และอย่าลืมว่า อย่าทิ้งตัวตนของตัวเอง....เพราะนั่นคือเราทั้งชีวิต....และไม่มีใครจะมาเปลี่ยนเราไปเป็นอย่างอื่นได้......

บางครั้ง......สิ่งต่างๆเหล่านี้ก็ช่วยได้นะ......
......เวลา...จะช่วยเราได้ในหลายๆเรื่อง...เป็นทั้งเพื่อน, เป็นทั้งคนปลอบใจ และเป็นทั้งผู้แก้ปัญหาต่างๆ.....
......สมุดบันทึก....จะ ช่วยให้เราผ่อนคลาย....เก็บเรื่องดีเรื่องร้ายแยกออกจากกัน.....วันที่ต้อง การความสุขก็หยิบความสุขมาอ่าน....วันที่ต้องเศร้าหมอง...ก็หยิบเล่มนี้มา เขียน และ ณ วันนึงที่ผ่านพ้นเรื่องราวร้ายๆไปได้...เล่มความทุกข์นี่แหละ...จะเป็น บันทึกประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา....และผ่านไปอย่างชิลๆแต่มีแง่คิดเตือนใจตน เอง.....
.....เพื่อนที่ดี.....จะเป็นผู้รับฟัง ผู้ช่วยคิด...และเป็นกำลังใจให้เสมอ ไม่ว่าจะเหนื่อยยาก ไม่ว่าจะลำบาก หรือกำลังจะเสียศรัทธา....
.....มิตรภาพ.....จะเป็นสิ่งที่สร้างความสุขและสร้างศรัทธาได้เป็นอย่างดี.....
และที่สำคัญ.....คนที่เรารัก และคนที่รักเรา......เป็นทุกๆอย่าง และเป็นแรงผลักดันให้เราก้าวต่อไป....

ชีวิตเรายังมีอะไรให้ค้นหา...ค้นคว้า....อีกมากมาย....

เก็บประสบการณ์ต่างๆไว้เตือนใจตัวเอง......

เส้น ทางมีสองทางเลือก...เลือกที่จะสุขและเลือกที่จะทุกข์....อย่างนั้น....เลือก ที่จะมีความสุขให้มากที่สุดดีกว่าไหมคะ....เพราะ ความสุข มักเป็นเหมือน สายไหม....หอมหวานแต่ละลายเร็ว.....แต่ความทุกข์เป็นเหมือนแร่....ขมขื่นและ ละลายได้ช้า.....แต่ก็ยังละลายได้ถ้าอยากจะทำให้มันละลาย......เลือกจะเป็น อย่างไร...อยู่ที่ตัวเอง......



จบและ...........คมไหมเนี่ย....คิดเองเลยนะ.....อิๆๆๆๆ....มอบให้กับทุกคนที่คิดว่ามีความทุกข์และต้องการความสุขในชีวิตนะคะ....

ที่มา http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=auau-py&date=25-08-2009&group=1&gblog=3

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

ต่อเติมบ้านอย่างไรให้ถูกกฎหมาย


บ้าน ที่เราซื้อมาใหม่ หรืออยู่อาศัยมาพักหนึ่งแล้ว เรามักต้องการต่อเติมเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานหรือเปลี่ยนบรรยากาศของบ้าน หากปรับเปลี่ยนสุ่มสี่สุ่มห้าอาจมีความผิดตั้งแต่ถูกปรับจนถึงจำคุก ได้ เพราะกฎหมายกำหนดไว้ว่าการดัดแปลงอาคารโดยมิได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ดัง นั้น การก่อสร้างดัดแปลงใดๆ เราควรมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายไว้บ้าง ซึ่งตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร กฎหมายหลักในการควบคุมการก่อสร้างอาคารกำหนดให้ผู้ที่จะก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคารต้องได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นก่อน หรือให้แจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นพร้อมทั้งดำเนินการตามมาตรา 39 ทวิ ก็เป็นอันใช้ได้

ลองตรวจดูรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงต่อเติมบ้านของ เรากันก่อนดีกว่าครับ ว่าเข้าข่ายเป็นการดัดแปลงอาคารหรือไม่ ซึ่งกฎหมายบอกว่าการกระทำดังต่อไปนี้ (ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 11) ไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคาร คือ

การเปลี่ยนโครงสร้างของอาคารโดย ใช้วัสดุขนาด จำนวน และชนิดเดียวกับของเดิม เว้นแต่การเปลี่ยนโครงสร้างของอาคารที่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก คอนกรีตอัดแรง หรือเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ

ข้อนี้หมายถึงสิ่งที่เราเรียกกันว่า โครงสร้างของอาคาร อาทิ เสา คาน ตงที่เป็นไม้ เป็นต้น หากโครงสร้างอาคารเหล่านี้มีอาการชำรุด เช่นปลวกขึ้น ทำให้ไม้ผุ เราจำเป็นต้องเปลี่ยนโครงสร้างเหล่านั้นใหม่ การใช้ไม้เช่นเดิม จำนวนและขนาดเท่าเดิมก็ไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคาร

แต่หากโครงสร้าง เหล่านี้เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก คอนกรีตอัดแรง หรือเหล็กโครงสร้างรูปพรรณเกิดเป็นสนิมผุกร่อน ถ้าต้องเปลี่ยนใหม่ก็ต้องขออนุญาตก่อนครับ แม้จะใช้วัสดุอุปกรณ์ ขนาด จำนวนเท่ากันก็ตาม

การเปลี่ยนส่วนต่างๆของอาคารที่ไม่เป็นโครง สร้างของอาคาร โดยใช้วัสดุชนิดเดียวกับของเดิมหรือวัสดุชนิดอื่น ซึ่งเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้แก่โครงสร้างของอาคารเดิมส่วนหนึ่งส่วนใดเกิน ร้อยละสิบ

ข้อนี้หมายถึงส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้างอาคาร เช่น พื้น ผนัง เป็นต้น ที่เคยเป็นพื้นปาร์เก้ อยากเปลี่ยนเป็นพื้นหินอ่อน หินแกรนิต อย่างนี้ก็ต้องคำนวณน้ำหนักดูด้วยว่าเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเกินร้อยละสิบหรือไม่ ไม่เกินก็ไม่เป็นไร แต่หากเกินก็ต้องยื่นขออนุญาต ปัญหาอยู่ที่ว่าถ้าคำนวณน้ำหนักด้วยตนเองไม่เป็น ก็ควรให้วิศวกรเป็นผู้คำนวณให้ เพราะหากน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากก็จะทำให้โครงสร้างอาคารต้องรับน้ำหนักเพิ่มมาก ขึ้นตามไปด้วย อย่างนี้อันตรายครับ

การเปลี่ยนแปลง การต่อเติม การเพิ่ม การลด หรือการขยายซึ่งลักษณะขอบเขต แบบ รูปทรง ***ส่วน น้ำหนัก เนื้อที่ส่วนต่างๆของอาคารที่ไม่เป็นโครงสร้างของอาคาร ซึ่งไม่เป็นการเพิ่มน้ำหนักให้กับโครงสร้างของอาคารเดิมส่วนหนึ่งส่วนใดเกิน ร้อยละสิบ

ข้อนี้ไม่แตกต่างจากข้อสองมากนัก เพราะเป็นการเปลี่ยนแบบ เปลี่ยนสไตล์ของพื้นที่เล็กๆน้อยๆภายในบ้านและไม่ก่อให้เกิดน้ำหนักเพิ่มแต่ ประการใด อาทิ การเปลี่ยนแบบประตู หน้าต่าง เปลี่ยนลายกระเบื้อง ฝ้า เพดาน กรณีนี้ไม่ต้องยื่นขออนุญาต หรือหากการเปลี่ยนอุปกรณ์ชิ้นนั้นๆ มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาบ้าง แต่ไม่เกินร้อยละสิบของน้ำหนักเดิมก็ไม่จำเป็นต้องยื่นขออนุญาตแต่อย่างใด เปลี่ยนอย่างนี้ไม่ผิดกฎหมายครับ

การลดหรือขยายเนื้อที่ของ พื้นที่ชั้นใดชั้นหนึ่งให้มีเนื้อที่น้อยลงหรือมากขึ้นรวมกันไม่เกิน 5 ตารางเมตร โดยไม่ลดหรือเพิ่มจำนวนเสาหรือคาน

ยกตัวอย่างเช่น เดิมพื้นบ้านเป็นพื้นเรียบๆอยู่แล้ว เราไปเจาะเป็นช่องเพื่อระบายอากาศหรืออะไรก็แล้วแต่ อย่างนี้ไม่ต้องยื่นขออนุญาตครับ

การลดหรือการขยายเนื้อที่ของหลังคาให้มีเนื้อที่มากขึ้นรวมกันไม่เกิน 5 ตารางเมตร โดยไม่ลดหรือเพิ่มจำนวนเสาหรือคาน

ยก ตัวอย่างเช่น การทำหลังคาคลุมดาดฟ้าโดยยื่นจากเดิมออกไปโดยรวมแล้วเป็นการเพิ่มเนื้อที่ ออกไปไม่เกิน 5 ตารางเมตร และไม่ทำให้คานและเสาเดิมต้องรับน้ำหนักเพิ่มเกินกว่าร้อยละสิบจากเดิม อย่างนี้ก็ไม่ต้องยื่นขออนุญาตครับ

มีข้อแนะนำอื่นๆอีกที่ต้องดู ประกอบเพิ่มเติม อาทิ การเปลี่ยนแปลงแก้ไขบ้านจากแบบเดิมเป็นแบบใหม่ เช่น การเปลี่ยนผนังบ้านตามข้อ 2 นั้น จะต้องไม่ขัดกับกฎกระทรวงหรือข้อบัญญัติอื่นๆด้วย กล่าวคือ หากของเดิมที่กฎกระทรวงกำหนดไว้ให้ต้องสร้างเป็นผนังกันไฟ แต่ไปเปลี่ยนเป็นผนังธรรมดา อย่างนี้ผิด

หรือตามข้อที่ 3 ด้านที่เป็นผนังทึบของอาคารชั้น 3 ห่างจากเขตที่ดินของผู้อื่นไม่ถึงสามเมตร แต่กลับไปเจาะทำประตูหน้าต่าง หรือที่ระบายลมด้านนั้นก็ไม่ได้ เพราะผิดข้อบัญญัติ หรือในกรณีข้อที่ 5 จะทำหลังคาคลุมพื้นชั้นล่าง แม้ว่าเนื้อที่จะเพิ่มขึ้นไม่ถึง 5 ตารางเมตร แต่ถ้าหลังคานั้นทำให้ที่ดินที่เป็นที่ว่างปราศจากสิ่งปกคลุมลดน้อยลงไปกว่า ร้อยละ 30 ก็ถือเป็นการขัดข้อบัญญัติ ทำไม่ได้

ท้ายที่สุด คงต้องตอบคำถามจากหัวเรื่องอีกครั้งหนึ่งที่ว่า ต่อเติมบ้านอย่างไรให้ถูกกฎหมาย ก็คือว่า พิจารณาว่าเข้าองค์ประกอบข้างต้นหรือไม่ อย่างน้อยหากเข้าข่ายกับหลักเกณฑ์ดังกล่าว แล้วต้องยื่นขออนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น ก็ถือว่าได้ทำถูกต้องตามกฎหมายเบื้องต้นแล้วครับ ส่วนรายละเอียดการดัดแปลง ก่อสร้างอื่นๆ คงต้องพิจารณากันเป็นกรณีๆไป

และถ้าถามต่อกันอีกสัก ข้อว่า ที่ต่อเติมครัวด้านหลังทาวน์เฮ้าส์ที่นิยมทำกันอยู่ทุกบ้านเข้าข่ายดัดแปลง ไหม ต้องตอบว่าเข้าข่ายแน่นอน ฉะนั้น ปฏิบัติตามกฎหมายไว้ก่อนเป็นดีที่สุด


ที่มา
homedd
http://www.nsplusengineering.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=1&Category=nsplusengineeringcom&thispage=1&No=1290940

สายดินและหลักดิน

เครื่องคอมพิวเตอร์


ประโยชน์ของสายดิน

ป้องกันไม่ให้มีผู้ถูกไฟฟ้าดูดกรณีมีกระแสไฟฟ้ารั่วจากเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากกระแสไฟฟ้ารั่วจากเครื่องใช้ไฟฟ้าจะไหลลงดินทางสายดิน โดยไม่ผ่านร่างกายผู้สัมผัสเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น เป็นผลทำให้อุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร และ/หรือไฟฟ้ารั่วจะตัดกระแสไฟฟ้าออกทันที
เครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภท เช่น คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์สื่อสารอาจทำงานได้ไม่สมบูรณ์หรือชำรุดได้ง่ายหากไม่มีสายดิน


เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องมี/ไม่มีสายดิน

*
เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทที่ต้องมีสายดิน
เครื่อง ใช้ไฟฟ้ารวมทั้งอุปกรณ์ติดตั้งทางไฟฟ้าที่มีโครงหรือเปลือกหุ้มเป็นโลหะ ซึ่งบุคคลมีโอกาสสัมผัสได้ ต้องมีสายดิน เช่น ตู้เย็น, เตารีด, เครื่องซักผ้า, หม้อหุงข้าว, เครื่องปรับอากาศ, เตาไมโครเวฟ, กระทะไฟฟ้า, กระติกน้ำร้อน, เครื่องทำน้ำร้อนหรือน้ำอุ่น, เครื่องปิ้งขนมปัง เป็นต้น เราเรียกครื่องใช้ฯ เหล่านี้ว่าเป็น เครื่องใช้ไฟฟ้า ประเภท 1


เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทที่ไม่ต้องมีสายดิน
- เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภท 2 ซึ่งมีสัญลักษณ์ หรือมีเครื่องหมาย (ควรใช้ไขควงลองไฟทดสอบ ถ้ามีสัญลักษณ์ประเภท 2 แต่ยังมีไฟรั่วก็แสดงว่าผู้ผลิตนั้นผลิตไม่ได้มาตรฐาน และจำเป็นต้องมีสายดิน) ตัวอย่างของเครื่องใช้ฯ ประเภท 2 เช่น วิทยุ, โทรทัศน์, พัดลม เป็นต้น
เครื่องเสียง
สัญลักษณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภท 2

- เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้กับแรงดันไฟฟ้าไม่เกิน 50 โวลต์ โดยต่อจากหม้อแปลงชนิดพิเศษที่ได้ออกแบบไว้เพื่อความปลอดภัย เช่น เครื่องโกนหนวด, โทรศัพท์ เป็นต้น

สัญลักษณ์และสีของสายดิน
ตู้เย็น

- เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีเครื่องหมาย แสดงว่าต้องมีสายดิน โดยมักจะแสดงไว้ในตำแหน่งหรือจุดที่จะต้องต่อสายดิน
- สีของสายไฟฟ้าเส้นที่แสดงว่าเป็นสายดิน คือ สีเขียว หรือ สีเขียวสลับเหลือง


วิธีติดตั้งระบบสายดินที่ถูกต้อง

1.จุดต่อลงดินของระบบไฟฟ้า (จุดต่อลงดินของเส้นศูนย์หรือนิวทรัล) ต้องอยู่ด้านไฟเข้าของเครื่องตัดวงจรตัวแรกของตู้เมนสวิตช์
2.ภายในอาคารหลังเดียวกันไม่ควรมีจุดต่อลงดินมากกว่า 1 จุด
3.สาย ดินและสายเส้นศูนย์สามารถต่อร่วมกันได้เพียงแห่งเดียวที่จุดต่อลงดินภายใน ตู้เมนสวิตช์ ห้ามต่อร่วมกันในที่อื่น ๆ อีก เช่น ในแผงสวิตช์ย่อยจะต้องมีขั้วสายดินแยกจากขั้วต่อสายศูนย์ และห้ามต่อถึงกันโดยมีฉนวนคั่นระหว่างขั้วต่อสายเส้นศูนย์กับตัวตู้ซึ่งต่อ กับขั้วต่อสายดิน
4.ตู้ เมนสวิตช์สำหรับห้องชุดของอาคารชุดและตู้แผงสวิตช์ประจำชั้นของอาคารชุดให้ ถือว่าเป็นแผงสวิตช์ย่อย ห้ามต่อสายเส้นศูนย์และสายดินร่วมกัน
5.ไม่ควรต่อโครงโลหะของเครื่องใช้ไฟฟ้าลงดินโดยตรง แต่ถ้าได้ดำเนินการไปแล้วให้แก้ไขโดยมีการต่อลงดินที่
เมนสวิตย์อย่างถูกต้องแล้วเดินสายดินจากเมนสวิตช์มาต่อร่วมกับสายดินที่ใช้อยู่เดิม
6.ไม่ควรใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์ชนิด 120/240 V กับระบบไฟ 220 V เพราะพิกัด IC จะลดลงประมาณครึ่งหนึ่ง
7.การ ติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่ว จะเสริมการป้องกันให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เช่น กรณีที่มักจะมีน้ำท่วมขัง หรือกรณีสายดินขาด เป็นต้น และจุดต่อลงดินต้องอยู่ด้านไฟเข้าของเครื่องตัดไฟรั่วเสมอ
8.ถ้า ตู้เมนสวิตช์ไม่มีขั้วต่อสายดินและขั้วต่อสายเส้นศูนย์แยกออกจากกัน เครื่องตัดไฟรั่วจะต่อใช้ได้เฉพาะวงจรย่อยเท่านั้น จะใช้ตัวเดียวป้องกันทั้งระบบไม่ได้
9.วงจรสายดินที่ถูกต้องในสภาวะปกติจะต้องไม่มีกระแสไฟฟ้าไหล
10.ถ้าเดินสายไฟในท่อโลหะ จะต้องเดินสายดินในท่อโลหะนั้นด้วย
11.ดวง โคมไฟฟ้าและอุปกรณ์ติดตั้งที่เป็นโลหะควรต่อลงดิน มิฉะนั้นต้องอยู่เกินระยะที่บุคคลทั่วไปสัมผัสไม่ถึง (สูง 2.40 เมตร หรือห่าง 1.50 เมตร ในแนวราบ)
12.ขนาดและชนิดของอุปกรณ์ระบบสายดิน ต้องเป็นไปตามมาตรฐานกฎการเดินสายและติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง

วิธีติดตั้งระบบสายดิน

ผังแสดงการต่อลงดินและการต่อสายดินของอุปกรณ์ไฟฟ้า

ผังการต่อลงดิน


1 = Protective conductor (P.E.) หรือ equipment grounding conductor (EGC) สายดินอุปกรณ์ ไฟฟ้า
2 = main equipotential bonding conductor (สายต่อฝากหลักหรือสายต่อประสานหลัก)
3 = earthing conductor, grounding electrode conductor (สายต่อหลักดิน)
4 = supplementary equipotential bonding conductors, bonding jumper (สายต่อฝาก หรือสายต่อประสาน)
B = main earthing terminal, main earthing bar, ground bus (ขั้วต่อลงดินหลัก)
M = exposed-conductive-part (โลหะเปลือกนอกของเครื่องใช้ไฟฟ้า)
C = extraneous-conductive-part (ตัวนำหรือโลหะส่วนที่ไม่เกี่ยวกับการใช้ไฟฟ้า)
P = main metallic water pipe (ท่อน้ำโลหะ)
T = earth electrode (หลักดิน)


เครื่องตัดไฟรั่วคืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร
เครื่อง ตัดไฟรั่วหรือที่รู้จักกันว่า “เครื่องกันไฟดูด” นั้น คือเครื่องตัดไฟฟ้าอัตโนมัติที่ทำหน้าที่ตัดไฟเมื่อมีกระแสไฟฟ้าบางส่วนรั่ว หายไปคือไมไหลกลับไปตามสายไฟฟ้า แต่มีไฟรั่วลงไปในดิน โดยผ่านร่างกายมนุษย์ หรือผ่านฉนวนของอุปกรณ์ไฟฟ้า

เครื่องตัดไฟรั่ว


ประโยชน์ของเครื่องตัดไฟรั่ว

- ป้องกันอันตรายจากไฟดูด (ตัดไฟรั่วที่ไหลผ่านร่างกาย)
- ป้องกันอัคคีภัย (ตัดไฟรั่วที่ไหลลงดินที่อุปกรณ์ไฟฟ้า หรือสายไฟฟ้าในกรณีที่เครื่องป้องกันกระแสเกิน เช่น ฟิวส์ หรือเบรกเกอร์ไม่ทำงาน หรือทำงานช้า เนื่องจากปริมาณกระแสไฟรั่วมีค่าต่ำ แต่อาจทำให้เกิดอัคคีภัยได้)
สายไฟฟ้าชำรุด


ประเภทเครื่องตัดไฟรั่ว

เครื่องตัดไฟรั่วจะมีอยู่หลายประเภท ในที่นี้ขอแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- เครื่องตัดไฟรั่วที่ตัดกระแสลัดวงจรได้ (RCBO) สามารถใช้ตัดได้ทั้งไฟรั่วและกระแสลัดวงจร
- เครื่องตัดไฟรั่วที่ไม่สามารถตัดกระแสลัดวงจร (RCCB) จึงต้องใช้ร่วมกับฟิวส์หรือเบรกเกอร์ด้วยทุกครั้ง


เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีสายดินต้องใช้ปลั๊กไฟที่มีเฉพาะ 3 ขา เท่านั้นหรือ

ไม่ จำเป็นต้องใช้ปลั๊กไฟ 3 ขา ปลั๊กไฟที่มีสายดินของเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนใหญ่ในท้องตลาดจะมีเพียง 2 ขา โดยมีขั้วสายดิน 2 แถบ อยู่ด้านข้างของตัวปลั๊ก ดังนั้นการติดตั้งเต้ารับที่มี 3 รู จึงไม่เกิดประโยชน์ต่อการต่อ ลงดิน และยังเป็นการส่งเสริมให้มีการผลิตและใช้อุปกรณ์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล อีกด้วย

เต้าเสียบ หรือปลั๊กไฟ


เครื่องตัดไฟรั่วกับสายดินอย่างไหนจะดีกว่ากัน

สายดิน เป็นความจำเป็นอันดับแรกที่ผู้ใช้ไฟฟ้าจะต้องมีสำหรับ ป้องกันไฟฟ้าดูด เพื่อให้กระแสไฟฟ้ารั่วไหลลงสายดินได้โดยสะดวก โดยไม่ผ่านร่างกาย (ไฟไม่ดูด) และทำให้เครื่องตัดไฟ อัตโนมัติตัดไฟออกได้ทันที
เครื่องตัดไฟรั่ว เมื่อใช้กับระบบไฟที่มีสายดินจะเป็นมาตรการ เสริมความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้มีการตัดไฟรั่วก่อนที่จะเป็น อันตรายกับระบบไฟฟ้า (ไฟไหม้) หรือกับมนุษย์ (ไฟดูด)
เครื่องตัดไฟรั่วในระบบไฟทีไม่มีสายดิน เครื่อง ตัดไฟรั่วจะทำงานก็ต่อเมื่อมีไฟรั่วไหลผ่านร่างกายแล้ว (ต้องถูกไฟดูดก่อน) ดังนั้นความปลอดภัยจึงขึ้นอยู่กับความไวในการตัดกระแสไฟฟ้า
ระบบไฟฟ้าที่ดีจึงควรมีทั้งระบบสายดินและเครื่องตัดไฟรั่ว เพื่อเสริมการทำงานซึ่งกันและกันให้เกิดความปลอดภัยทั้งจากอัคคีภัยและการถูกไฟฟ้าดูด


เครื่องตัดไฟรั่ว กับสายดิน



เครื่องตัดไฟรั่วที่ใช้ป้องกันไฟดูดต้องมีคุณสมบัติและการใช้งานอย่างไร

พิกัดขนาดกระแสไฟฟ้ารั่วต้องไม่เกิน 30 mA และตัดไฟได้ภายในระยะเวลา 0.04 วินาที เมื่อมีไฟรั่วขนาด 5 เท่าของพิกัด (=150 mA)
ควร ติดตั้งใช้งานเฉพาะจุด เช่น วงจรเต้ารับในห้องครัว, ห้องน้ำ, ห้องเด็ก ๆ หรือวงจรเต้ารับ/สายไฟที่ต่อไปใช้งานนอกอาคารทั้งชั่วคราวและถาวร
ถ้า จะติดตั้งรวมที่เมนสวิตช์จะต้องแยกวงจรที่มีค่าไฟรั่วตามธรรมชาติมากออกไป เช่น อุปกรณ์ป้องกันฟ้าผ่า,เครื่องปรับอากาศ, อุปกรณ์ที่มีโอกาสเปียกชื้น
เมื่อ ต้องการให้เครื่องตัดไฟรั่วสามารถป้องกันทุกวงจรที่เมนสวิตช์ (ใช้ได้เฉพาะระบบที่มีสายดิน เป็นมาตรการเสริมป้องกันอัคคีภัย และไฟฟ้าดูด) ให้ใช้ขนาดตั้งแต่ 100 mA เป็นต้นไป โดยอาจเป็น 300 mA หรือ 500 mA ก็ได้ ขึ้นอยู่กับปริมาณของกระแสไฟรั่วตามธรรมชาติ สำหรับขนาด 30 mA นั้นก็ยังคงใช้ร่วมกันในวงจรย่อยซึ่งอาจใช้หลายตัวก็ได้ และหากมีปัญหาการทำงานพร้อมกันให้เลือกชนิดที่มีการหน่วงเวลา (Type S) สำหรับเครื่องตัดไฟรั่วที่เมนสวิตช์

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเครื่องตัดไฟรั่วที่มีอยู่ปลอดภัย
เรา สามารถตรวจสอบการทำงานของเครื่องตัดไฟรั่วได้ด้วยเครื่องตรวจสอบการทำงานของ เครื่องตัดไฟรั่ว การกดปุ่มทดสอบเป็นประจำเป็นเพียงการบอกว่าการรับสัญญาณและกลไกสามารถทำงาน ได้เท่านั้นอย่างไรก็ตามความปลอดภัยยังขึ้นอยู่กับการติดตั้งว่าถูกต้องหรือ ไม่ด้วย


ระบบปัจจุบัน
ข้อแนะนำเพื่อความปลอดภัย
ถ้าไม่มีระบบสายดินหรือเครื่องตัดไฟรั่ว
ต้องมีระบบสายดิน
ถ้ามีเครื่องตัดไฟรั่วอยู่แล้ว
ต้องมีระบบสายดิน
ถ้ามีระบบสายดินอยู่แล้ว
ควรมีเครื่องตัดไฟรั่ว


หลักดิน

หลักดินต้องทำด้วยวัสดุที่ทนต่อการผุกร่อน และไม่เป็นสนิม เช่น แท่งทองแดง แท่งเหล็กชุบหรือหุ้มด้วยทองแดงโดยต้องมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 16 มม. (5/8 นิ้ว) และยาวไม่น้อยกว่า 2.40 เมตร

ถ้า เป็นเหล็กหุ้มด้วยทองแดง ต้องมีความหนาของทองแดงไม่ต่ำกว่า 0.25 มม. และต้องหุ้มอย่างแนบสนิทไม่หลุดออกจากกัน และไม่มีปลายเหล็กโผล่ออกมาสัมผัสกับเนื้อดิน เพื่อไม่ให้เหล็กเป็นสนิม และต้องไม่มีการเจาะรูเพื่อยึดทองแดงกับเหล็กให้ติดกัน มิฉะนั้นแท่งเหล็กจะเป็นสนิมตามรูที่เจาะนั้น
ห้ามใช้อะลูมิเนียมหรือโลหะผสมของอะลูมิเนียมเป็นหลักดิน
หลักดินที่ดีควรผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน UL- 467

การ ต่อสายดินเข้ากับหลักดินนั้น อุปกรณ์ต่อหลักดิน และสายต่อหลักดิน ควรใช้วัสดุชนิดเดียวกันเพื่อไม่ให้มีปัญหาการกัดกร่อน เช่นหลักดินทองแดงต่อกับสายต่อหลักดินทำด้วยทองแดง ควรใช้วิธีเชื่อมต่อด้วยผงทองแดงโดยเผาให้หลอมละลาย (ต้องเทผงชนวนให้อยู่ผิวบนและจุดด้วยปืนจุดชนวนเท่านั้น) ถ้าใช้วิธียึดด้วยแรงกลก็ต้องใช้หัวต่อที่มีส่วนผสมของทองแดง และ ต้องมีความมั่นคงแข็งแรงและทนต่อการกัดกร่อนได้เป็นอย่างดี (มีการทดสอบตามมาตรฐาน)


หลักดินที่ดีเมื่อตอกลงดินแล้วต้องมีความต้านทานการต่อลงดินไม่เกิน 5 โอห์ม ตามมาตรฐานของการไฟฟ้านครหลวง
การต่อสายดินกับหลักดิน เนื้อ ดินบริเวณที่ตอกหลักดินที่ดีควรเป็นดินแท้ ๆ และต้องไม่ถูกกั้นหรือล้อมรอบด้วยหิน, กรวด, ทราย หรือแผ่นคอนกรีต เพราะเป็นอุปสรรคต่อการแพร่กระจายของประจุไฟฟ้าลงสู่ดิน ทำให้ความต้านทานการต่อลงดินมีค่าสูงเกินกว่ามาตรฐาน (ในกรณีที่ใช้หลักดินตามมาตรฐานการไฟฟ้านครหลวงและสภาพพื้นที่และเนื้อดิน ไม่มีอุปสรรคในดินแล้ว ความต้านทานการต่อลงดินในเขตบริการของการไฟฟ้านครหลวงจะไม่เกิน 5 โอห์มเสมอ
ห้ามใช้ตะปูคอนกรีตตอกเข้าไปในผนังหรือพื้นคอนกรีต เพราะตะปูคอนกรีตไม่สามารถทำหน้าที่แทนหลักดิน เพื่อการต่อลงดินได้
ตำแหน่งของหลักดินควรอยู่ใกล้จากตู้เมนสวิตซ์
ห้าม แช่หลักดินในน้ำเพราะเมื่อมีไฟรั่วจะแพร่กระจายไปกับน้ำและเกิดอันตรายกับ ผู้ที่อยู่ในน้ำ ถ้าจำเป็นต้องตอกหลักดินในน้ำต้องตอกให้มิดดิน
ขนาดของสายต่อหลักดินจะขึ้นอยู่กับขนาดสายเมน และต้องไม่เล็กกว่า 10 ตร.มม. โดยควรมีท่อหรือฉนวนหุ้มอยู่ด้วย
การ ตอกหลักดินควรตอกให้ลึกที่สุดถ้าเป็นหัวต่อหลักดินชนิดยึดด้วยแรงกลคควรให้ หัวต่อโผล่พ้นดิน หรือระดับน้ำท่วมเพื่อหลีกเลี่ยงการผุกร่อน หัวต่อชนิดหลอมละลายสามารถตอกให้จมดินได ้แต่ต้องใช้สายต่อเส้นใหญ่ และหุ้มฉนวนมิดชิดเพื่อไม่ให้สายผุกร่อน

ที่มา:

การไฟฟ้านครหลวง
http://www.nsplusengineering.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538802051&Ntype=3

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

Subtitle ของหนัง Hi-Def


ผมเข้าใจว่าชาวไฮเดฟทั้งหลาย ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องซับมาเยอะไม่ใช่น้อย เช่น ซับนอก ซับฝัง ซับแบบ ssa /srt / idx+sub สำหรับมือใหม่แล้วคงงงไม่น้อยเลยครับ

ในบทความนี้ผมจะขออธิบายเท่าที่ผมเข้าใจนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

(เหตุผลจริงๆ ที่ผมเขียนบทความนี้เพราะกำลังทำ review เรื่องซับอยู่ เขียนไปเขียนมา คิดว่าต้องอธิบายเรื่องซับให้เข้าใจก่อนไม่งั้นอ่าน review ไม่รู้เรื่องแน่เลย)

(ขอออกตัวก่อน บางอย่างผมก็รู้มาแบบงูๆปลาๆ อาจเข้าใจผิดพลาดก็ขอให้ผู้รู้ทั้งหลายช่วยเมลล์มาบอกสิ่งที่ถูกต้องด้วยนะ ครับ จะได้แก้ไขข้อความให้ถูกต้องนะครับ)

ก่อนอื่นเริ่มที่ format ของ subtitle ก่อน

Subtitle format:

  • MicroDVD [.sub],
  • SubRip [.srt],
  • Sub Station Alpha [.ssa],
  • Sami [.smi]
  • idx+sub
  • PGS subtitle

หลักๆ ที่ผมเจอ ก็มี idx+sub /.ssa / .srt และ PGS ส่วนตัวอื่นไม่ค่อยได้เล่น เลยไม่มีความรู้นะครับ

PGS –> เป็นซับที่มากับ Full Rip หรือ แผ่น Blue Ray ครับ (ยังไม่เคยเจอในไฟล์ .mkv นะครับ) ซับประเภทนี้ผู้ผลิตแผ่นเป็นผู้ทำ ทำมาดีครับ อ่านได้สบายตาและคมชัด ไม่เสียอารมณ์ดูหนังเพราะซับประเภทนี้อย่างแน่นอน

idx+sub –> ซับประเภทนี้จะมาพร้อมกัน 2 ไฟล์เสมอ ไฟล์หนึ่ง format เป็น .idx อีกไฟล์เป็น .sub เวลาใช้งานต้องมาคู่กัน หากขาดไปไฟล์ใดไฟล์หนึ่งแล้วจะใช้ไม่ได้เลยครับ เข้าใจว่าซับนี้เป็นแบบ image คือซับทุกตัวเป็น(คล้ายๆ) รูปภาพ ดังนั้นซับประเภทนี้ไม่สามารถปรับแต่งอะไรได้เลยครับ

.ssa และ .srt –> คงไม่เข้าไปศึกษารายละเอียดนะครับ แค่จะบอกว่าเป็นซับประเภท “Text” ซึ่งทำให้สามารถปรับแต่งได้ (เช่น เปลี่ยนสี ขนาด)

เอาล่ะ ที่นี้มาทำความเข้าใจกับคำว่า ซับฝัง และ ซับนอก

ซับฝังคือ ซับที่มันฝังมากับไฟล์หนัง (ตอนนี้ถึงหมายถึงแค่ไฟล์ .mkv นะครับ ไม่เกี่ยวกับไฟล์ .m2ts สำหรับไฟล์ .m2ts นั้นซับฝังคือ PGS ครับ)

ซับนอกคือ ซับที่ไม่ได้อยู่ในไฟล์หนัง เป็นอีกไฟล์หนึ่งตะหาก ซึ่งจะเป็น format อะไรก็ได้ (เช่น .srt / .ssa /.idx+sub ได้หมด) ส่วนใหญ่จะต้องทำให้ชื่อซับนั้นตรงกับชื่อไฟล์หนังแล้วโปรแกรมอย่าง KMplayer หรือเครื่องเล่นไฮเดฟถึงจะอ่านได้นะครับ

แล้วถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ซับฝังทั้งหลายของ .mkv มันก็คือพวก .srt /.ssa /idx+sub นั้นเองครับ

ที่มา http://hideflism.wordpress.com/2010/01/07/subtitle-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87-hi-def/

มาเล่น HD Player กันเถอะ


ตอนนี้ Blue Rays Discs ยังราคาแพง มาเปลี่ยนมาใช้ HD player กันดีกว่า

-ระดับราคา 3,950-5,000
ก็มี Playon HD Mini, Playon!HD, Xtreamer Sidewinder แต่ Vivo Cute สดกว่า เป็นตัวเดียวในราคานี้ที่มี E-Sata มี feature เยอะกว่าครับ เช่น สามารถเข้า youtube, Internet Radio, Bittorrent, THAI RSS ขนาดเล็กกว่า

-ระดับราคา 6000-8000
ก็จะเป็น POPCORN A-200, Vivo Time Machine, XtreamerPRO, Playon!DVR HD ถ้าจะให้แนะนำก็มีสองตัวที่น่าสนใจคือ Playon DVR HD กับ Vivo Time Machine ที่สามารถตั้งอัดลง HDD ได้เลย

-ระดับราคา 10,000-16,000
ก็มีตั้งแต่ ฺำBevix, Dvico, Popcorn C200, Dune Base, Dune Prime (มี drive เล่น Blu-ray/ DVD ได้เลย สามารถถอด Drive Blu-ray ไปใช้กับ com) ก็ใช้ได้ดีแทบทุกตัว ยกเว้น Bevix ถ้าใช้กับ Projector จอใหญ่ๆ 90 นิ้วขึ้นไป ก็ลองดู Dune กับ Dvico ได้เลยครับ สามารถโมได้เยอะมาก

Dvico M6500A ปล่อย 1080P ได้ครับ ผมมีอยู่ครับ รุ่นนี้คนใช้เยอะ firmware มีอย่างต่อเนื่อง เสถียร แต่เริ่มเก่าไปแล้ว เปิดเครื่องค่อนข้างช้า และถ้าไม่โมภาคจ่ายไฟ จะมี hang บ้าง โมภาคจ่ายไฟแล้วเสถียรขึ้น เทียบกับ Dune Prime แบบไม่โมทั้งคู่ Dune สีอิ่มกว่าครับ movement ดีกว่า


เท่า ที่ผมได้ลองใช้มา Dune Prime, Dvico, Vivo Cute, Playon HD, Bevix ก็เรียงตามลำดับเลยครับ เรือ่งเสียงก็ Dune decode TrueHD ได้เลยมี analog output 7.1 ch เท่ากับว่าใครที่มี AV Reciever รุ่นเก่าๆก็ไม่ต้องเปลี่ยนรุ่นเลย เปลืองสายหน่อยเท่านั้นครับ

Value for money ก็ Vivo Cute/Playon HD
ถ้า โมดีๆก็เทียบกับตัวที่แพงกว่าได้เยอะก็ Dune Prime ผมลองโมเต็มที่ล่าสุดกิน Oppo 83SE ไปไกลเลยครับ ใกล้เคียง Pioneer 91 ตัวท็อปที่ราคาแสนนิดๆได้เลย

ส่วนการต่อผ่าน dock หรือ Sata ในเครื่อง ถ้าจาก dock ผ่านทาง port e-sata ก็ไม่แตกต่างนะครับกับ sata ในเครื่อง ส่งข้อมูลได้เร็วทั้งคู่และไม่กระตุกเวลาดู Blu-ray full rip

หากต้องการเปรียบเทียบ spec

http://www.iboum.com/sort/media-player-comparison-table.php

ส่วนราคาดูได้จาก web ต่างๆ
http://www.lcdtvthailand.com/webboard/index.php?topic=1830.0
http://forum.thaidvd.net/index.php?showtopic=108336


ที่มา http://www.pantown.com/board.php?id=44538&area=4&name=board8&topic=8&action=view

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

ถอดรหัสบัตรประชาชน


ความหมายของเลขประจำตัวประชาชนทั้ง 13 หลัก

หลักที่ 1 หมายถึงประเภทบุคคลซึ่งมี 8 ประเภท คือ

ประเภทที่ 1 ได้แก่ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2527)
ประเภทที่ 2 ได้แก่ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลา (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2527)
ประเภทที่ 3 ได้แก่ คนไทยและคนต่างด้าวที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีที่อยู่ในทะเบียนบ้าน ในสมัยเริ่มแรก (1 มกราคม - 31 พฤษภาคม 2527)
ประเภทที่ 4 ได้แก่ คนไทยและคนต่างด้าวที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้า โดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชนในสมัยเริ่มแรก (1 มกราคม - 31 พฤษภาคม 2527)
ประเภทที่ 5 ได้แก่ คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อเข้าในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจหรือกรณีอื่น ๆ
ประเภทที่ 6 ได้แก่ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฏหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฏหมาย แต่จะอยู่ในลักษณะชั่วคราว
ประเภทที่ 7 ได้แก่ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย
ประเภทที่ 8 ได้แก่ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฏหมาย คือ ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว คนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย

หลักที่ 2 ถึงหลักที่ 5 หมายถึงรหัสของสำนักทะเบียนที่ท่านมีชื่อในทะเบียนบ้านในขณะให้เลข สำหรับเด็กเกิดใหม่จะหมายถึงถิ่นที่เกิดเลยทีเดียว โดยหลักที่ 2 และ 3 หมายถึงจังหวัด หลักที่ 4 และ 5 หมายถึงอำเภอ หรือเทศบาล

หลักที่ 6 ถึงหลักที่ 10 หมายถึงกลุ่มที่ของบุคคลแต่ละประเภทตามหลักแรก หรือหมายถึงเล่มที่ ของสูติบัตร แล้วแต่กรณี

หลักที่ 11 และ 12 หมายถึงลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภท หรือหมายถึงใบที่ของสูติบัตรแต่ละเล่ม แล้วแต่กรณี

หลักที่ 13 คือ ตัวเลขตรวจสอบความถูกต้องของเลข 12 หลักแรก

-----------------------------------------------------
Check Digit คืออะไรหนอ?

Check Digit เป็นตัวเลข 1 หลัก ที่เกิดจากการนำเลขหลักอื่นๆ มา บวก ลบ คูณ หาร กัน และ Check Digit นี่หละครับ จะช่วยให้เราตรวจสอบในเบื้องต้นได้ว่า ข้อมูลที่กรอกมาถูกต้องรึเปล่า

เวลาเราจะตรวจสอบว่าข้อมูลที่กรอกมาถูกต้องรึเปล่า เราจะคำนวณ Check Digit จากเลขหลักอื่นๆ เพื่อเปรียบเทียบกับ Check Digit ที่เขากรอกมาว่าตรงกันมั้ย ถ้าตรงกันก็แสดงว่าข้อมูลถูกต้องไม่ผิด ไม่มั่ว แต่ถ้าไม่ตรงกัน ก็แปลว่า ข้อมูลที่กรอกมามีข้อมูลซักหลัก หรือ สองหลักที่ผิด เราก็สามารถเตือนให้ผู้ใช้ทราบและกรอกใหม่ อีกครั้งได้
เอ้า มาลองคำนวณ Check Digit ของรหัสประชาชนเรากันดีกว่า

ขอยกตัวอย่างรหัสประชาชนนี้ละกันครับ

1-2015-41462-23-4

ไหน ตอบหน่อยซิ ว่า Check Digit ของรหัสประชาชนนี้คือเลขอะไรคร้าบ.......
เอ้า ถามเองตอบเองก็ได้ Check Digit ของรหัสประชาชนนี้คือเลข 4 (เลขตัวสุดท้ายนั่นเอง)
เรามาดูกันว่า เลข 4 เกิดจากอะไรหว่า? คำนวณมาได้ไง? มั่วอ๊ะเปล่า?

* ขั้นตอนที่ 1 - เอาเลข 12 หลักมา เขียนแยกหลักกันก่อน (หลักที่ 13 ไม่ต้องเอามานะคร้าบ)

120154146223

* ขั้นตอนที่ 2 - เอาเลข 12 หลักนั้นมา คูณเข้ากับเลขประจำหลักของมัน

รหัสบัตร120154146223
ตัวคูณ1312111098765432

ผลคูณ1324010453272430866

* ขั้นตอนที่ 3 - เอาผลคูณทั้ง 12 ตัวมา บวกกันทั้งหมด จะได้ 13+24+0+10+45+32+7+24+30+8+6+6=205
* ขั้นตอนที่ 4 - เอาเลขที่ได้จากขั้นตอนที่ 3 มา mod 11 (หารเอาเศษ) จะได้ 205 mod 11 = 7
* ขั้นตอนที่ 5 - เอา 11 ตั้ง ลบออกด้วย เลขที่ได้จากขั้นตอนที่ 4 จะได้ 11-7 = 4 (เราจะได้ 4 เป็นเลขในหลัก Check Digit)
ถ้าเกิด ลบแล้วได้ออกมาเป็นเลข 2 หลัก ให้เอาเลขในหลักหน่วยมาเป็น Check Digit (เช่น 11 ให้เอา 1 มา, 10 ให้เอา 0 มา เป็นต้น)

โอ้โห....มหัศจรรย์มาก ยอดเยี่ยมกระเทียมดอง เลขที่ได้ตรงกับเลขหลักที่ 13 ด้วยแหละ...ถ้าไม่เชื่อก็เอาเลขบัตรประชาชนตัวเองมาคำนวณดูสิครับ

ผมคิดว่าหลายๆ คนคงมีคำถามในใจแล้วหละว่า ทำไมต้องเอามาคูณ 13 ทำไมต้องเอามา บวกกัน ทำไมต้องเอามา mod 11 คำตอบที่ผมให้ได้ก็คือ มันคือวิธีที่ถูกเลือกใช้ในการคำนวณ Check Digit ให้กับรหัสประชาชนครับ แต่ถ้าเราจะคำนวณ Check Digit ให้กับรหัสสินค้า หรือ ISBN ของหนังสือ เราก็ต้องใช้วิธีการคำนวณ ที่แตกต่างกันออกไปครับ

ที่มา http://siamdev.net/main.php?engine=article&action=browse&id=81

การติดตั้งและ การใช้งาน CVS (Control Version System) บน window


CVS คือระบบการควบคุม version ของ source code ใน project ของเราให้มีระเบียบแบบแผน ซึ่งจะเหมาะกับการพัฒนาที่เป็นทีมมากหรือว่ามีคนพัฒนาเพียงแค่คนเดียวก็ดี cvs ทำให้เราไม่ต้องกังวลว่า code เราจะหายไปไหน หรือแม้แต่การ rollback กลับมาใช้ใน version ก่อนหน้าก็ยังสามารถทำได้

แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ เราจะใช้งานอย่างไร จะติดตั้งอย่างไร แล้วต้องใช้ software อะไรบ้าง ที่นี่มีคำตอบ

เมื่อต้องการจะใช้ cvs นั้นจะต้องเตรียม software ดังนี้

1. CVS Server คือ CVS NT สามารถ download ได้ที่ http://www.cvsnt.org

2. CVS client หรือตัวจัดการ CVS ซึ่งจะมีหน้าตาเป็น UI หรือ web ก็มี โดยทั่วไปแล้วเราจะใช้ WINCVS สำหรับ run บน windows platform ซึ่งสามารถ downlad ได้ที่ http://www.cvshome.org

การ config cvsnt

หลังจากที่ download และติดตั้ง cvsnt แล้ว ให้ทำการ config ดังนี้

1. ไป set CVSHOME และ PATH ใน environment variable ดังนี้

set CVSHOME=

set PATH=.;%CVSHOME% in;%PATH%
2. ทำการสร้าง user ในระบบของ windows เช่นสร้าง cvsuser

3. ทำการสร้าง repository โดยไปที่ Program -> CVSNT แล้วเลือก Service control panel แล้วไปที่ tab Repository หลังจากนั้นกำหนดดังนี้

Prefix : d:Repo (ตัวอย่าง)
Add : /Test (ตัวอย่าง)

ต่อมาก็มาที่ tab Service status เพื่อมา restart cvs server คือ stop แล้วก็ start

แล้วเราลองมาตรวจสอบที่ d:/repo/Test จะมี floder CVSROOT ครับ แสดงว่าเราทำถูกต้องแล้วครับ

4. สร้าง user ใน cvs ให้ทำดังนี้

ไปที่ cmd ครับแล้วพิมพ์ดังนี้

set cvsroot=:sspi:localhost:/Test
cvs passwd -r cvsuser -a userincvs


แล้วจะให้ใส่ password 2 ครั้งครับ หลังจากใส่ password ทั้ง 2 ครั้งแล้วไม่มี message อะไรขึ้นมาแสดงว่าเราสามารถ add user เข้าไปใน cvs เรียบร้อยแล้ว

ซึ่งสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ใน file d: epoTestpasswd

5. ทดสอบ connect ไปยัง cvs โดยผ่าน pserver protocol

set cvsroot=:pserver:userincvs@localhost:/Test

cvs login

แล้วเราจะต้องใส่ password 1 ครั้ง ถ้าหลังจากที่ใส่ password แล้วไม่มี message อะไรขึ้นมาแสดงว่าเราสามารถ login เข้าไปได้

เป็นอันว่าตอนนี้เราสามารถ config CVS Server สำหรับเก็บ source ของ project เราแล้ว

ต่อมาก็จะมีคำถามว่าเราจะสามารถนำ project ที่เรามีเข้าไปยัง CVS Server ได้อย่างไร

ที่นี่มีคำตอบ

เพื่อความง่ายเราจะใช้ WINCVS เป็นตัวจัดการแทนการใช้ command

หลังจากที่ download และ install cvs แล้วก้ให้เปิด program ขึ้นมาแล้วทำตามดังนี้

1. ไปที่ Admin -> Preferences

2. ไปที่ tab CVS เลือก Alternate CVS และเลือก program cvs.exe เช่น C:Program Filescvsntcvs.exe

คำถามที่เกิดขึ้นมาทำไมเราถึงเลือก alternate cvs ก็เพราะว่าเราใช้ cvs ตัวที่ไม่ได้มากับ wincvs ดังนั้นเมื่อทำการติดตั้ง wincvs เราก็ไม่ต้องติดตั้ง cvsnt ที่มากับ wincvs

3. กดปุ่ม ok

4. ไปที่ Admin -> Login

5. เลือก CVSROOT แล้วใส่ข้อความดังนี้ใน textbox

:pserver:userincvs@localhost:/Test

6. กดปุ่ม ok

7. ให้ดู status ด้านล่าง ถ้าผ่านจะมีลักษณะดังนี้

***** CVS exited normally with code 0 *****

ถ้าไม่ผ่านจะเป็นดังน หรือว่าแบบอื่นก้เป็นไปได้

***** CVS exited normally with code 1 *****

หลังจากที่ผ่านการ login แล้วเราก็จะทำการ add project mเรามีไว้แล้ว add เข้าไปยัง cvs server ครับ ทำได้ดังนี้

1. ไปเลือก directory ที่อยู่ของ source project ครับ ซึ่งจะเป็น hotkey ซึ่งอยู่กลางบน เป็นรูป) floder เช่นเลือก d:project1

2. ไปที่ explorer ด้านซ้ายของ wincvs เราก็ไป right click ที่ file หรือ directory ที่ต้องการจะ add เข้า cvs server แล้วเลือก import module หลังจากนั้นเราก็สามารถที่จะเลือก filter ได้ว่าจะเอา file อะไรบ้าง

3. กดปุ่ม ok

4. ทำการตรวจสอบโดยไปที่ d: epoTest จะมี floder ของ project ที่เรา add เข้าไป

และแล้วเราก้สามารถใช้งาน cvs ได้แล้ว
ที่มา: http://ultramodza.exteen.com


ขนาดของสกรู

วิธีการเรียกขนาดสกรู
การเรียกขนาดของสกรูแบบสากลนั้น จะเรียกความโตของลำตัวมาก่อน แล้วจึงตามด้วยความยาวของลำตัว (จะไม่นิยมเรียกความโตของหัว)

ตัวอย่าง:

รูปอ้างอิง 1
จากรูปอ้างอิง 1 การเรียกความโตนั้นก็คือขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของ D และความยาวนั้นจะเป็นความยาวของ L
สมมติว่า สกรูตัวนี้มีความโต 16 มิลลิเมตร และยาว 80 มิลลิเมตร ก็จะเรียกว่า M16 X 80
และถ้าจะเรียกให้เต็มยศก็คือ สกรูหัวหกเหลี่ยมเกลียวครึ่ง M16 X 80

หน่วยการวัดขนาด:
หน่วยของการวัดขนาดสกรูนั้นแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ มิล (Metrics) กับ หุน หรือ นิ้ว (Unified)
การเรียกหน่วยมิล:
การเรียกเป็นมิลนั้น เป็นอะไรที่เข้าใจง่ายที่สุด เพราะแค่เอาไม้บรรทัดทาบดูก็รู้แล้วว่า สกรูตัวนี้อ้วนกี่มิล แล้วก็ยาวกี่มิล
แต่ที่เป็นปัญหาสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยนั้น มักจะเกิดกับสกรูเกลียวหุน หรือเกลียวนิ้ว

มารู้จักกับหน่วยหุนกันเถอะ:
Q: 1 นิ้วมีกี่หุน?
A: 1 นิ้วมี 8 หุนครับ

Q: งั้น 1/8" ก็คือ 1 หุนใช่มั๊ย?
A: ใช่ครับ

Q: แล้วทำไม 2 หุนถึงเขียนว่า 1/4" ไม่เขียน 2/8" ล่ะ?
A: เพราะตามหลักคณิตศาสตร์แล้ว ถ้าเศษส่วนทอนกันได้ ก็จะทอนกันออกครับ จาก 2/8" หารด้วย 2 ทั้งเศษและส่วน ก็จะกลายเป็น 1/4" โดยสามารถแจงรายละเอียดออกได้ดังนี้
  • 1/8" = 1 หุน
  • 3/16" = หุนครึ่ง
  • 1/4" = 2 หุน
  • 5/16" = 2 หุนครึ่ง
  • 3/8" = 3 หุน
  • 7/16" = 3 หุนครึ่ง
  • 1/2" = 4 หุน
  • 9/16" = 4 หุนครึ่ง
  • 5/8" = 5 หุน
  • 11/16" = 5 หุนครึ่ง
  • 3/4" = 6 หุน
  • 13/16" = 6 หุนครึ่ง
  • 7/8" = 7 หุน
  • 15/16" 7 หุนครึ่ง
  • 1" = 1 นิ้ว
Q: งงตรงพวกครึ่งๆ อะ ทำไมถึงต้องมีส่วนเป็น 16 ด้วย?
A: อย่างเช่น 1 หุนครึ่ง ถ้าเขียนแบบทื่อๆเลยก็จะเป็น 1.5/8" ซึ่งอาจทำให้ดูไม่สวย หรือถ้าเขียนติดๆกันจะดูยาก เค้าเลยคูณ 2 เข้าไปทั้งเศษและส่วน กลายเป็น 3/16"

Q: 1 นิ้วเท่ากับกี่มิล?
A: 1 นิ้วเท่ากับ 25.4 มิล

Q: งั้น 1 หุนจะเท่ากับกี่มิลกันล่ะ?
A: ก็เอา 25.4 หารด้วย 8 ก็จะได้ 3.175 มิลครับ

Q: เวลาเรียกขนาดก็เหมือนกับมิลใช่มั๊ย ที่ต้องเอาความอ้วน X ความยาว
A: ใช่ครับ เช่น 1/4" X 2-1/2" ก็คือ เกลียวอ้วน 2 หุน ความยาวใต้หัว 2 นิ้วครึ่ง นั่นเอง

Q: ถ้าเราวัดออกมาเป็นมิล แล้วเราจะซื้อสกรูที่เค้าระบุเป็นหุนมาใช้ได้หรือไม่?
A: ไม่ได้ครับ เพราะเกลียวของสกรูมาตรฐานหุนกับมิลนั้น ขันกันไม่ได้

Q: อ้าว!? แล้วจะรู้ได้ยังงัยว่าที่วัดมาม้นเป็นหุนหรือมิล
A: รออ่านบทที่ 3 ครับ ^^;
Q: -*-

สนับสนุนโดย: L.S.T. Group - ผู้ค้าปลีกและส่ง สกรูน็อตและสินค้าสลักภัณฑ์ทุกชนิด


ที่มา http://grouplst.blogspot.com/2010/06/2.html

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ยางรถยนต์

การคำนวนขนาดยางรถยนต์

การคำนวนเรื่องขนาดยาง

มี คำถาม บ่อยครั้ง ที่ท่านเจ้าของ รถยนต์ อยากที่จะเปลี่ยนล้อให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งในการเปลี่ยนล้อ สิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือ ขนาดของยาง จะใช้ขนาดไหนดี ? อันนี้เราขอแนะนำให้พยายามเลือก ขนาดยางใหม่ ให้มีความสูง หรือ จะเรียกแบบเป็นทางการว่า เส้นผ่าศูนย์กลาง ให้มีขนาดหลังเปลี่ยนแล้ว ใกล้เคียงของเดิม ( Standard ) มากที่สุด เพราะจะได้ไม่เกิดผลข้างเคียง เช่น วิ่งไม่ออก , กินน้ำมัน , ติดซุ้ม , ติดโช๊ค เป็นต้น

ดัง นั้น เราลองมาหาขนาด ยางใหม่ โดยใช้วิธีการคำนวนง่ายๆ แต่ทั้งนี้ เราต้องหาตัวเลขที่ยาง เพื่อนำมาเป็นข้อมูลด้วยนะครับ ลองดูตามนี้ได้เลยครับ...

สูตรคำนวน D = ( W x S% x 2 ) + d

D = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของยาง (หน่วยเป็น มม. )
W = ความกว้างของยาง
S = ซีรี่ย์ยาง คิดเป็น % แต่ต้อง คูณ 2 เพราะต้องคิดทั้ง 2 ข้าง บนและล่าง
d = เส้นผ่าศูนย์กลางของล้อ

ตัวอย่างที่ 1 ขนาดยาง 195 / 55 / R15
W = 195
S = 55% ของ 195 ( 195 x 55% ) x 2 ได้ผลลัพธ์ เท่ากับ 214.5 มม.
d = 15 นิ้ว ( ทำเป็น มม. จะได้ 15 x 25.4 ได้ผลลัพธ์ เท่ากับ 381 มม. )
ดังนั้น ขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลาง ได้เท่ากับ 214.5 + 381 = 595.5 มม.


ตัวอย่างที่ 2 ขนาดยาง 205 / 45 / R16
W = 205
S = 45% ของ 205 ( 205 x 45% ) x 2 ได้ผลลัพธ์ เท่ากับ 184.5 มม.
d = 16 นิ้ว ( ทำเป็น มม. จะได้ 16 x 25.4 ได้ผลลัพธ์ เท่ากับ 406.4 มม. )
ดังนั้น ขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลาง ได้เท่ากับ 184.5 + 406.4 = 590.9 มม.

ดังนั้น หากท่านใดที่จะเปลี่ยนขนาดล้อและยาง ก็ต้องคำนวน ขนาดความสูงออกมาให้ใกล้เคียงกับขนาดยางเดิม มากที่สุด ถึงจะไม่มีผลข้างเคียงต่อการขับขี่

ดอกยางรถยนต์


ลักษณะของ ดอกยางรถยนต์

โดยทั่วไป แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะคือ

1.) ดอกยาง แบบ 2 ทิศทาง Dual
ดอกยาง ประเภทนี้ จะสามารถ ทำการ สลับยาง ได้ทุกตำแหน่ง ลักษณะมี ดอกยาง สวนทางกัน จึงไม่เน้นในเรื่องของ ความเร็วสูงมากนัก แต่ก็ใช้ได้อย่าง สะดวกสบาย

2.) ดอกยาง แบบทิศทางเดียว Rotation
ดอกยางจะมีลักษณะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งยังมีสัญญาลักษณ์ลูกศรแสดงไว้ที่บริเวณแก้มยาง เพื่อบ่งบอกถึงตำแหน่งของการหมุนของล้อให้เราสามารถใส่ได้อย่างถูกต้อง ดอกยางประเภทนี้ ถูกออกแบบมาให้สามารถรีดน้ำได้ดีกว่าประเภทแรก เพื่อประโยขน์ในการควบคุมการทรงตัวในขณะใช้ความเร็วได้ดี

3. ดอกยางแบบไม่สมมาตรกัน Asysimatic
ดอกยางจะมีลักษณะเป็นดอกยางที่ไม่เท่ากัน ด้านหนึ่งจะหนากว่าอีกด้านหนึ่ง เหมาะสำหรับการขับขี่แบบเข้าโค้ง หรือ เหมาะสำหรับในรถยนต์บางยี่ห้อ ที่ออกแบบให้การขับขี่มีการเข้าโค้งในความเร็วสูง แต่สำหรับบ้านเราก็อาจมีไม่มากนัก


การเลือกใช้ยาง ให้เหมาะสมกับรถ


ขนาดยางที่เหมาะสมกับรถของคุณ
หากคุณคือผู้หนึ่ง ที่กำลังคิดจะเปลี่ยนยางชุดใหม่ให้กับรถยนต์คันโปรด ซึ่งรับใช้คุณมานานจนกระทั่ง ดอกยางสึกหรอใกล้หมดแล้ว การเลือกขนาดยางชุดใหม่นั้น ก็ควรเลือกใช้ขนาดเดิมที่ติดรถออกมาจากโรงงานประกอบรถยนต์ เพราะได้ผ่านการทดสอบในทุกสภาวะการใช้งานมาแล้วจากโรงงานประกอบว่า ปลอดภัย คุ้มค่า และให้ความสะดวกสบายในการขับขี่ นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึง นั่นก็คือ ความสามารถในการรับน้ำหนักของยาง ละขีดจำกัดความเร็วสูงสุดของยางเส้นนั้น ซึ่งจะถูกกำหนดมากับยางรถยนต์ทุกเส้น เพื่อเป็นข้อกำหนดควบคุมการใช้งาน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยอย่างเต็มที่ ซึ่งหาก ต้องการทราบถึงข้อมูลเพิ่มเติม
ก็สามารถติดต่อ สอบถามได้จากบริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์ยี่ห้อต่างๆ ที่คุณใช้งานอยู่

เปลี่ยนยางเส้นเดียวควรไว้ที่ตำแหน่งใด
ตามมาตรฐานแล้ว ยางที่อยู่บนเพลาเดียวกัน ควรจะมีขนาดดอกยาง และอัตราการสึกหรอเท่ากัน เพื่อที่เวลาเบรกกระทันหันแล้วจะไม่เกิดอาการรถปัด หรือเสียการทรงตัว ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ หากยางในตำแหน่งล้อหน้า และล้อหลังแตกต่างกันแล้ว ให้เอายางที่มีความสามารถในการยึดเกาะถนน น้อยกว่าไว้ในตำแหน่งล้อหน้า โดยพิจารณาจากขนาดดอกยาง และอัตราการสึกหรอ ดังนั้น การเปลี่ยนยางใหม่ครั้งละ 2 เส้น จึงควรนำยางใหม่ไว้ในตำแหน่งล้อหน้าเสมอ เพื่อให้การควบคุมพวงมาลัยทำได้อย่างแม่นยำ

แต่ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนยางเพียงเส้นเดียว เนื่องจากการเปลี่ยนยางเพียงเส้นเดียวนั้นไม่สามารถ จับคู่เข้ากับยางเดิม ในตำแหน่งล้อหน้าหรือล้อหลังได้เลย ก็ควรนำไปเป็นยางอะไหล่ แล้วรอจนกว่าจะซื้อยางเส้นใหม่เพิ่มขึ้นอีก 1 เส้น ที่มีขนาดและดอกยางเดียวกันกับยางอะไหล่เดิม จึงจะสามารถจับคู่กันได้

ข้อควรรู้ในการเปลี่ยนยางใหม่
เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนยางเส้นใหม่หรือชุดใหม่สำหรับรถคุณ สิ่งที่คุณควรรู้และตรวจสอบทุกครั้งก็คือ

1.
ควรเลือกใช้ยางที่มีขนาด ชนิดโครงสร้างของยาง ลักษณะดอกยาง และความลึกร่องดอกยางที่
เหมาะสมกับประเภทการใช้งาน

2.
ควรเลือกใช้ยางยี่ห้อและรุ่นเดียวกันทั้งชุด หากจำเป็นหรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ควรใส่ยางยี่ห้อและ
รุ่นเดียวกันในเพลาหรือล้อคู่เดียวกัน

3.
ควรเปลี่ยนยางทั้งชุดในคราวเดียวกัน เพื่อให้ประสิทธิภาพการใช้งานของยางทุกเส้นใกล้เคียงกัน
หรือเปลี่ยนครั้งละ 2 เส้นในเพลาเดียวกัน

4.
หากจำเป็นต้องเปลี่ยนคราวละ 2 เส้น ยางเส้นใหม่ควรติดตั้งที่ตำแหน่งล้อขับเคลื่อน

5.
กรณีที่เลือกใช้ยางแบบทิศทางเดียว (uni-direction) ต้องตรวจดูทิศทางการหมุนของยางว่าถูกต้อง
ไปตามทิศทางที่กำหนดหรือไม่ โดยสังเกตจากเครื่องหมายลูกศรที่ระบุไว้บนแก้มยาง เพราะการใส่ยาง
กลับทิศทาง จะทำให้ประสิทธิภาพของยางในการรีดน้ำลดลง


ในการเปลี่ยนยางเส้นใหม่หรือชุดใหม่นั้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งาน ยังมีข้อแนะนำอื่นๆ เพิ่มเติมอีก ดังนี้

1. ควรเลือกขนาดความกว้างของกระทะล้อ ที่เหมาะสมกับยางขนาดนั้นๆ (ประมาณ 70-75%
ของความกว้างยาง)
2. ต้องทำการถ่วงล้อทุกครั้งที่เปลี่ยนยาง เพื่อให้การหมุนของยางเกิดความสมดุล และไม่เกิดอาการ
สั่นที่พวงมาลัยและตัวรถเมื่อขับขี่ใช้งานจริง
3. เมื่อเปลี่ยนยางใหม่ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเปลี่ยนทั้ง 4 เส้น หรือ 2 เส้นด้านหน้า ควรต้องทำการตรวจเช็ค
ศูนย์ล้อเสมอ เพื่อป้องกันการสึกหรอผิดปกติเกิดขึ้น

แค่นี้ ก็ช่วยให้คุณเกิดความมั่นใจมากขึ้น จากการเปลี่ยนยางเส้นใหม่สำหรับรถของคุณ และได้รับประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งาน


การปรับตัวของยางใหม่
ยางรถยนต์เส้นใหม่ก็เช่นเดียวกับเครื่องยนต์ใหม่ เมื่อเริ่มนำไปใช้งานจริงก็ต้องมีการปรับสภาพตัวเองไปกับการใช้งาน หรือที่เรียกกันว่า ระยะรันอิน (run in) ดังนั้น
ในระยะ 100-200 กิโลเมตรแรกของการใช้งาน จึงไม่ควรใช้ความเร็วสูงเกินไป ควรขับขี่อยู่ที่ความเร็วไม่เกิน 80-100 กม./ชม. เพื่อให้โครงยาง แก้มยาง
และหน้ายางปรับสภาพไปกับการใช้งานบนพื้นผิวถนน เนื่องจากมุมล้อของรถแต่ละคันนั้น ไม่ว่าจะเป็น มุมโท (toe) มุมแคมเบอร์ (camber) หรือ มุมคาสเตอร์ (caster)
ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ยังเป็น การถนอมช่วงล่างของรถอีกด้วย

นอกจากนี้ สำหรับยางใหม่ที่ได้รับการเติมลมยางครั้งแรกแล้ว ควรเพิ่มความถี่ในการตรวจเช็คความดันลมยางด้วย เพราะโครงยางจะมีการยืดขยายออกอีกเล็กน้อย สืบเนื่องจากการปรับสภาพในการใช้งานจริง ซึ่งอาจเป็นผลให้ความดันลมยางลดต่ำลงเล็กน้อย ดังนั้น จึงควรตรวจเช็คความดันลมยางทุกๆ สัปดาห์ หรืออย่างน้อยเดือนละครั้ง

เลือกยางอย่างไรให้เหมาะสมกับการใช้งาน
โดยปกติแล้ว บริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์ได้ออกแบบยางเพื่อให้ผู้ขับขี่เลือกใช้ให้เหมาะสมกับ สภาพการใช้งานที่แตกต่างกันไป ซึ่งมีดอกยางในลักษณะต่างๆ กัน เช่น

ดอกบล็อก
จะมีลวดลายของดอกยาง แยกเป็นอิสระต่อกัน เพื่อเพิ่มการยึดเกาะถนนและรีดน้ำได้ดี ทำให้ควบคุมพวงมาลัยได้ง่าย และช่วยในการทรงตัวของรถ อีกทั้งดอกยางยังสามารถระบายความร้อนได้ดีอีกด้วย ดอกยางที่มีลักษณะเป็นบล็อกเล็กๆ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเงียบและนุ่มนวลในการขับขี่ แต่หากต้องการ
เพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะถนน ก็ต้องเลือกดอกยางที่เป็นบล็อกใหญ่ขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีลักษณะดอกยาง ที่เป็นดอกบล็อกเช่นกัน ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะเรียกว่า...

ยูนิ-ไดเร็กชั่น
ซึ่งลายดอกยางนั้น จะเป็นร่องยางขนานกันไปทั้งซ้ายและขวาในทิศทางเดียวกัน โดยจะมีลูกศรที่แก้มยางกำหนดทิศทางการหมุนของยาง เพิ่มประสิทธิภาพในการรีดน้ำ ทำให้รถทรงตัวได้ดีในสภาพน้ำขัง ยางชนิดนี้เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูงโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม หากใส่ยางกลับทิศ
จากที่กำหนด ประสิทธิภาพการรีดน้ำของยางก็จะลดลง

สำหรับผู้ที่นิยมรถขับเคลื่อน 4 ล้อ มีอีกทางเลือกหนึ่งในการเลือกยางให้เหมาะสมกับการใช้งาน ซึ่งเป็นยางที่มีลักษณะเป็นดอกยางที่ถูกออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้ เหมาะสมกับทุกสภาพถนนในทุกฤดูกาล นั่นก็คือ

ดอก ออล เทอร์เรน
ซึ่งเป็นลักษณะดอกบล็อกอีกแบบหนึ่ง แต่หากเป็นผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยในลักษณะ off-road ลุยเข้าไปในป่าแต่เพียงอย่างเดียว การเลือกใช้ยางที่เป็นแบบ mud terrain อาจมีความเหมาะสมมากกว่า

ข้อดีข้อเสียของการเปลี่ยนขนาดขอบกระทะล้อและยาง
การเปลี่ยนขนาดของขอบกระทะล้อและยางนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนให้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากขึ้น หรือน้อยลงก็ตาม มีทั้งข้อดีและข้อเสียด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้

การเปลี่ยนกระทะล้อให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ใหญ่ขึ้น แต่ใช้ยางที่มีขนาดความสูงของแก้มยางต่ำลง หรือ มีซีรี่ส์ต่ำลง มีข้อดีก็คือ ช่วยเพิ่มการทรงตัวและยึดเกาะถนน ขณะที่ใช้ความเร็วบนทางตรงและทางโค้งได้ดียิ่งขึ้น การเบรกก็ทำได้ดีกว่าเดิม แต่ข้อเสียก็คือ การต้องใช้แก้มยางที่ต่ำลง ทำให้ช่วงล่างสึกหรอเร็ว และความนุ่มนวล ในการขับขี่ลดลง

ส่วนการเปลี่ยนขนาดกระทะล้อให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ใหญ่ขึ้น และใช้ยางที่มีขนาดความสูงของแก้มยางเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น ข้อดีคือ มีความนุ่มนวลเพิ่มขึ้น แต่อัตราเร่งอาจลดต่ำลงกว่าเดิม การทรงตัวในขณะขับขี่ ด้วยความเร็วสูงก็จะไม่ดีเท่าที่ควร


ที่มา http://www.zabzaa.com/car/view.asp?GID=18

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

หินและวัฏจักรของหิน

Sone&Cycle-Stone_01.gif

กระบวนการแทรกดันของหินหนืด แล้วเย็นตัวลงได้เป็นหินอัคนี เมื่อเกิดกระบวนการผุพังทำลายพาไปทับถมได้เป็นหินชั้น
และเมื่อผ่านกระบวนการของความร้อนและความดันจะกลายเป็นหินแปร

หิน (Rock) หมายถึง มวลของแข็งที่ประกอบขึ้นด้วยแร่ชนิดเดียวกันหรือหลายชนิดรวมตัวกันอยู่ตามธรรมชาติ แบ่งตามลักษณะการเกิดได้ 3 ชนิดใหญ่

1. หินอัคนี (Igneous Rock)
เกิดจากหินหนืดที่อยู่ใต้เปลือกโลกแทรกดันขึ้นมาแล้วตกผลึกเป็นแร่ต่างๆ และเย็นตัวลงจับตัวแน่นเป็นหินที่ผิวโลก แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ

  • หินอัคนีแทรกซอน (Intrusive Igneous Rock) เกิดจากการเย็นตัวลงอย่างช้า ๆ ของหินหนืดใต้เปลือกโลก มีผลึกแร่ขนาดใหญ่ (>1 มิลลิเมตร) เช่นหินแกรนิต (Granite) หินไดออไรต์ (Diorite) หินแกบโบร (Gabbro)
  • หินอัคนีพุ (Extruisive Igneous Rock) หรือหินภูเขาไฟ (Volcanic Rock) เกิดจากการเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วของหินหนืดที่ดันตัวพุออกมานอกผิวโลกเป็นลาวา (Lava) ผลึกแร่มีขนาดเล็กหรือไม่เกิดผลึกเลยเช่น หินบะซอลต์ (Basalt) หินแอนดีไซต์ (Andesite) หินไรโอไลต์ (Rhyolite)

Sone&Cycle-Stone_02.gif

หินแกรนิต แสดงลักษณะทั่วไป และผลึกแร่ในเนื้อหิน

2. หินชั้นหรือหินตะกอน (Sedimentary Rock)
เกิด จากการทับถม และสะสมตัวของตะกอนต่างๆ ได้แก่ เศษหิน แร่ กรวด ทราย ดินที่ผุพังหรือสึกกร่อนถูกชะละลายมาจากหินเดิม โดยตัวการธรรมชาติ คือ ธารน้ำ ลม ธารน้ำแข็งหรือคลื่นในทะเล พัดพาไปทับถมและแข็งตัวเป็นหินในแอ่งสะสมตัวหินชนิดนี้แบ่งตามลักษณะเนื้อ หินได้ 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ

Sone&Cycle-Stone_03.gif

Sone&Cycle-Stone_04.gif

หินทรายแสดงชั้นเฉียงระดับ

ชั้นหินทรายสลับชั้นหินดินดาน

Sone&Cycle-Stone_05.gif

Sone&Cycle-Stone_06.gif

หินกรวดมน

ชั้นหินปูน

Sone&Cycle-Stone_07.gif

ชั้นหินเชิร์ต

  • หินชั้นเนื้อประสม (Clastic Sedimentary Rock) เป็นหินชั้นที่เนื้อเดิมของตะกอน พวกกรวด ทราย เศษหินและดิน ยังคงสภาพอยู่ให้พิสูจน์ได้ เช่น หินทราย (Sandstone) หินดินดาน (Shale) หินกรวดมน (Conglomerate) เป็นต้น
  • หินเนื้อประสาน (Nonclastic Sedimentary Rock) เป็นหินที่เกิดจากการตกผลึกทางเคมี หรือจากสิ่งมีชีวิต มีเนื้อประสานกันแน่นไม่สามารถพิสูจน์สภาพเดิมได้ เช่น หินปูน (Limestone) หินเชิร์ต (Chert) เกลือหิน (Rock Salte) ถ่านหิน (Coal) เป็นต้น

3. หินแปร (Metamorphic Rock)
เกิด จากการแปรสภาพโดยการกระทำของความร้อน ความดันและปฏิกิริยาทางเคมี ทำให้เนื้อหิน แร่ประกอบหินและโครงสร้างเปลี่ยนไปจากเดิม การแปรสภาพของหินจะอยู่ในสถานะของของแข็ง ซึ่งจัดแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ

  • การแปรสภาพบริเวณไพศาล (Regional metamorphism) เกิดเป็นบริเวณกว้างโดยมีความร้อนและความดันทำให้เกิดแร่ใหม่หรือผลึกใหม่เกิดขึ้น มีการจัดเรียงตัวของแร่ใหม่ และแสดงริ้วขนาน (Foliation) อันเนื่องมาจากแร่เดิมถูกบีบอัดจนเรียงตัวเป็นแนวหรือแถบขนานกัน เช่น หินไนส์ (Gneiss) หินชีสต์ (Schist) และหินชนวน (Slate) เป็นต้น
  • การแปรสภาพสัมผัส (Contact metamorphism) เกิด จากการแปรสภาพโดยความร้อนและปฏิกิริยาทางเคมีของสารละลายที่ขึ้นมากับหิน หนืดมาสัมผัสกับหินท้องที่ ไม่มีอิทธิพลของความดันมากนัก ปฏิกิริยาทางเคมีอาจทำให้ได้แร่ใหม่บางส่วนหรือเกิดแร่ใหม่แทนที่แร่ในหิน เดิม หินแปรที่เกิดขึ้นจะมีการจัดเรียงตัวของแร่ใหม่ ไม่แสดงริ้วขนาน (Nonfoliation) เช่น หินอ่อน (Marble) หินควอตไซต์ (Quartzite)

Sone&Cycle-Stone_08.gif

Sone&Cycle-Stone_09.gif

หินชนวน (Slate)

หินไนส์ (Gneiss)

Sone&Cycle-Stone_10.gif

Sone&Cycle-Stone_11.gif

หินควอตไซต์ (Quartzite)

หินอ่อน (Marble)

วัฏจักรของหิน

Sone&Cycle-Stone_12.gif

วัฏจักรของหิน (Rock cycle) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของหินทั้ง 3 ชนิด จากหินชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่งหรืออาจเปลี่ยนกลับไปเป็นหินชนิดเดิมอีก ก็ได้ กล่าวคือ เมื่อ หินหนืด เย็นตัวลงจะตกผลึกได้เป็น หินอัคนี เมื่อหินอัคนีผ่านกระบวนการผุพังอยู่กับที่และการกร่อนจนกลายเป็นตะกอนมี กระแสน้ำ ลม ธารน้ำแข็ง หรือคลื่นในทะเล พัดพาไปสะสมตัวและเกิดการแข็งตัวกลายเป็นหิน อันเนื่องมาจากแรงบีบอัดหรือมีสารละลายเข้าไปประสานตะกอนเกิดเป็น หินชั้นขึ้น เมื่อหินชั้นได้รับความร้อนและแรงกดอัดสูงจะเกิดการแปรสภาพกลายเป็นหินแปร และหินแปรเมื่อได้รับความร้อนสูงมากจนหลอมละลาย ก็จะกลายสภาพเป็นหินหนืด ซึ่งเมื่อเย็นตัวลงก็จะตกผลึกเป็นหินอัคนีอีกครั้งหนึ่งวนเวียนเช่นนี้ เรื่อยไปเป็นวัฏจักรของหิน กระบวนการเหล่านี้อาจข้ามขั้นตอนดังกล่าวได้ เช่น จากหินอัคนีไปเป็นหินแปร หรือจากหินแปรไปเป็นหินชั้น

ที่มา :

http://58.137.128.181/ewtadmin/ewt/dmr_web/main.php?filename=rocks

http://www.thaigreenagro.com/aticle.aspx?id=4298