วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

การใช้สีในเชิงสัญลักษณ์

สีในช่วงสเปกตรัมที่มองเห็น

สี ช่วงความยาวคลื่น ช่วงความถี่
สีแดง ~ 625-740 nm ~ 480-405 THz
สีส้ม ~ 590-625 nm ~ 510-480 THz
สีเหลือง ~ 565-590 nm ~ 530-510 THz
สีเขียว ~ 500-565 nm ~ 600-530 THz
สีน้ำเงิน ~ 485-500 nm ~ 620-600 THz
สีคราม ~ 440-485 nm ~ 680-620 THz
สีม่วง ~ 380-440 nm ~ 790-680 THz

สเปกตรัมแสงที่มองเห็น แบบต่อเนื่อง
Spectrum441pxWithnm.png
ออกแบบสำหรับจอภาพที่มีการปรับแกมมา]] 1.5.

สเปกตรัมคอมพิวเตอร์
Computerspectrum.png
แถบข้างล่างแสดงความเข้มสัมพัทธ์ของสีทั้งสาม เมื่อผสมกัน ทำให้เกิดสีข้างบน

สี, ความถี่, และพลังงานของแสง
Color \lambda \,\!/nm \nu \,\!/1014 Hz \nu_b \,\!/104 cm-1 E \,\!/eV E \,\!/kJ mol-1
อินฟราเรด >1000 <3.00 <1.00 <1.24 <120
แดง 700 4.28 1.43 1.77 171
ส้ม 620 4.84 1.61 2.00 193
เหลือง 580 5.17 1.72 2.14 206
เขียว 530 5.66 1.89 2.34 226
น้ำเงิน 470 6.38 2.13 2.64 254
ม่วง 420 7.14 2.38 2.95 285
Near ultraviolet 300 10.0 3.33 4.15 400
Far ultraviolet <200 >15.0 >5.00 >6.20 >598


สี แดง ให้ความรู้สึกร้อน รุนแรง กระตุ้น ท้าทาย เคลื่อนไหว ตื่นเต้น เร้าใจ มีพลัง ความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง ความรัก ความสำคัญ อันตราย
สี ส้ม ให้ความรู้สึก ร้อน ความอบอุ่น ความสดใส มีชีวิตชีวา วัยรุ่น ความคึกคะนอง การ ปลดปล่อย ความเปรี้ยว การระวัง
สี เหลือง ให้ความรู้สึกแจ่มใส ความสดใส ความร่าเริง ความเบิกบานสดชื่น ชีวิตใหม่ ความสด ใหม่ ความสุกสว่าง การแผ่กระจาย อำนาจบารมี
สี เขียว ให้ความรู้สึก สงบ เงียบ ร่มรื่น ร่มเย็น การพักผ่อน การผ่อนคลาย ธรรมชาติ ความปลอดภัย ปกติ ความสุข ความสุขุม เยือกเย็น
สี น้ำเงิน ให้ความรู้สึกสงบ สุขุม สุภาพ หนักแน่น เคร่งขรึม เอาการเอางาน ละเอียด รอบคอบ สง่างาม มีศักดิ์ศรี สูงศักดิ์ เป็นระเบียบถ่อมตน
สี ม่วง ให้ความรู้สึก มีเสน่ห์ น่าติดตาม เร้นลับ ซ่อนเร้น มีอำนาจ มีพลังแฝงอยู่ ความ รัก ความเศร้า ความผิดหวัง ความสงบ ความสูงศักดิ์
สี ฟ้า ให้ความรู้สึก ปลอดโปร่งโล่ง กว้าง เบา โปร่งใส สะอาด ปลอดภัย ความสว่าง ลมหายใจ ความเป็นอิสระเสรีภาพ การช่วยเหลือ แบ่งปัน
สีขาว ให้ความรู้สึก บริสุทธิ์ สะอาด สดใส เบาบาง อ่อนโยน เปิดเผย การเกิด ความรัก ความ หวัง ความจริง ความเมตตา ความศรัทธา ความดีงาม

สีดำ ให้ความรู้สึก มืด สกปรก ลึกลับ ความสิ้นหวัง จุดจบ ความตาย ความชั่ว ความลับ ทารุณ โหดร้าย ความเศร้า หนักแน่น เข้มเข็ง อดทน มีพ
ลัง
สี ชมพู ให้ความรู้สึก อบอุ่น อ่อนโยน นุ่มนวล อ่อนหวาน ความรัก เอาใจใส่ วัยรุ่น หนุ่มสาว ความน่ารัก ความสดใส
สี เทา ให้ความรู้สึก เศร้า อาลัย ท้อแท้ ความลึกลับ ความหดหู่ ความชรา ความสงบ ความเงียบ สุภาพ สุขุม ถ่อมตน
สี ทอง ให้ความรู้สึก ความหรูหรา โอ่อ่า มีราคา สูงค่า สิ่งสำคัญ ความเจริญรุ่งเรือง ความสุข ความมั่งคั่ง ความร่ำรวย การแผ่กระจาย


สี แดง
มีความอบอุ่น ร้อนแรง เปรียบดังดวงอาทิตย์ นอกจากนี้ยังแสดงถึง
ความ มีชีวิตชีวา ความรัก ความปรารถนา เช่นดอกกุหลาบแดงวัน
วาเลนไทน์ ในทางจราจรสีแดงเป็นเครื่องหมายประเภทห้าม แสดง
ถึงสิ่งที่อันตราย เป็นสีที่ต้องระวัง เป็นสีของเลือด ในสมัยโรมัน
สีของราชวงศ์เป็น สีแดง แสดงความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์และอำนาจ

สี เขียว
แสดงถึงธรรมชาติสี เขียว ร่มเย็น มักใช้สื่อความหมายเกี่ยวกับการ
อนุรักษ์ธรรมชาติ เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม การเกษตร การเพาะปลูก
การเกิด ใหม่ ฤดูใบไม้ผลิ การงอกงาม ในเครื่องหมายจราจร หมาย
ถึงความปลอดภัย ในขณะเดียวกัน อาจหมายถึงอันตราย ยาพิษ
เนื่องจากยาพิษ และสัตว์มีพิษ ก็มักจะมีสีเขียวเช่นกัน

สี เหลือง
แสดงถึง ความสดใส ความเบิกบาน โดยเรามักจะใช้ดอกไม้สีเหลือง
ในการไปเยี่ยมผู้ป่วย และแสดงความรุ่งเรืองความมั่งคั่ง และฐานันดร
ศักดิ์ ในทางตะวันออกเป็นสีของกษัตริย์ จักรพรรดิ์ของจีนใช้ฉลอง
พระองค์สีเหลือง ในทางศาสนาแสดงความเจิดจ้า ปัญญา พุทธศาสนา
และยังหมายถึงการเจ็บป่วย โรคระบาด ความริษยา ทรยศ หลอกลวง

สี น้ำเงิน
แสดงถึงความเป็นสุภาพบุรุษ มีความสุขุม หนักแน่น และยังหมายถึง
ความสูงศักดิ์ ในธงชาติไทย สีน้ำเงินหมายถึงพระมหากษัตริย์ ในศาสนา
คริตส์เป็นสี ประจำตัวแม่พระ โดยทั่วไป สีน้ำเงินหมายถึงโลก ซึ่งเราจะ
เรียกว่า โลกสีน้ำเงิน (Blue Planet) เนื่องจากเป็นดาวเคราะห์ที่มองเห็น
จากอวกาศโดยเห็นเป็นสีน้ำเงินสด ใส เนื่องจากมีพื้นน้ำที่กว้างใหญ่

สี ม่วง
แสดงถึงพลัง ความมีอำนาจ ในสมัยอียิปต์สีม่วงแดงเป็นสีของกษัติรย์
ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยโรมัน นอกจากนี้ สีม่วงแดงยังเป็นสีชุดของพระ
สังฆราช สีม่วงเป็นสีที่มีพลังหรือการมีพลังแอบแฝงอยู่ และเป็นสีแห่ง
ความ ผูกพัน องค์การลูกเสือโลกก็ใช้สีม่วง ส่วนสีม่วงอ่อนมักหมายถึง
ความเศร้า ความผิดหวังจากความรัก

สี ฟ้า
แสดงถึงความสว่าง ความปลอดโปร่ง เปรียบเหมือนท้องฟ้า เป็นอิสระ
เสรี เป็นสีขององค์การสหประชาชาติ เป็นสีของความสะอาด ปลอดภัย
สีขององค์การ อาหารและยา (อย.) แสดงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การ
ใช้พลังงานอย่างสะอาด แสดงถึงอิสรภาพ ที่สามารถโบยบินเป็นสีแห่ง
ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ ที่ไม่มีขอบเขต

สี ทอง
มัก ใช้แสดงถึง คุณค่า ราคา สิ่งของหายาก ความสำคัญ ความสูงส่ง
สูงศักดิ์ ความศรัทธาสูงสุด ในศาสนาพุทธ หรือ เป็นสีกายของพระ
พุทธรูป ในงานจิตรกรรมเป็นสีกายของพระพุทธเจ้า พระมหากษัติรย์
หรือเป็นส่วนประกอบของเครื่อง ทรง เจดีย์ต่าง ๆ มักเป็นสีทอง หรือ
ขาว และเป็นเครื่องประกอบยศศักดิ์ ของกษัตริย์และขุนนาง

สี ขาว
แสดงถึงความสะอาด บริสุทธิ์ เหมือเด็กแรกเกิด แสดงถึงความว่างเปล่า
ปราศจาก กิเลส ตัณหา เป็นสีอาภรณ์ของผู้ทรงศีล ความเชื่อถือ ความดีงาม
ความศรัทธา และหมายถึงการเกิดโดยที่แสงสีขาว เป็นที่กำเนิดของแสงสี
ต่าง ๆ เป็นความรักและความหวัง ความห่วงใยเอื้ออาทรและเสียสละของ
พ่อแม่ ความอ่อนโยน จริงใจ บางกรณีอาจหมายถึง ความอ่อนแอ ยอมแพ้

สีดำ
แสดงถึงความมืด ความลึกลับ สิ้นหวัง ความตายเป็นที่สิ้นสุดของทุกสิ่ง
โดยที่สีทุกสี เมื่ออยู่ในความมืด จะเห็นเป็นสีดำ นอกจากนี้ยังหมายถึง
ความ ชั่วร้าย ในคริสต์ศาสนาหมายถึง ซาตาน อาถรรพ์เวทมนต์ มนต์ดำ
ไสยศาสตร์ ความชิงชัง ความโหดร้าย ทำลายล้าง ความลุ่มหลงเมามัว
แต่ยังหมายถึงความอดทน กล้าหาญ เข้มแข็ง และเสียสละได้ด้วย

สี ชมพู
แสดงถึงความอบอุ่น อ่อนโยน ความอ่อนหวาน นุ่มนวล ความน่ารัก
แสดงถึงความรักของมนุษย์โดย เฉพาะรุ่นหนุ่มสาว เป็นสีของความ
เอื้ออาทร ปลอบประโลม เอาใจใส่ดูแล ความปรารถนาดี และอาจ
หมายถึงความเป็นมิตร เป็นสีของวัยรุ่น โดยเฉพาะผู้หญิง และนิยม
ใช้กับสิ่งของเครื่องใช้ของ เด็กวัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่

ที่มา

http://www.prc.ac.th/newart/webart/colour04.html

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B5

สุริยุปราคา (Solar Eclipse) และ จันทรุปราคา (Lunar Eclipse)

สุริยุปราคา (Solar Eclipse) และ จันทรุปราคา (Lunar Eclipse)

Eclipse หรือ อุปราคา มาจากภาษากรีกแปลว่า อันตรธานหายไป แต่ในทางดาราศาสตร์มีความหมายว่า บังกันด้วยเงา เกิดจากการสร้างเงาของวัตถุหนึ่งไปบังอีกวัตถุหนึ่ง เช่นเงาของโลกไปบังดวงจันทร์ หรือ เงาของดวงจันทร์ที่ทอดมาบังบนโลก ที่เราเรียกว่า จันทรุปราคาและสุริยุปราคา ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีการบังกันด้วยดาวบริวารของดาวเอง เช่น ดาวบริวารของดาวพฤหัส

ยังมีอีกคำหนึ่งที่มีความหมายว่า บังกัน ก็คือ Occultation แต่เป็นการบังกันของวัตถุที่อยู่ใกล้ในแนวสาย ตา และมักจะใช้คำนี้กับกรณีวัตถุขนาดใหญ่บังวัตถุขนาดเล็ก เช่นดวงจันทร์บังดาวเคราะห์ หรือ ดวงจันทร์บังดาวฤกษ์ หรือ ดาวเคราะห์บังดาวฤกษ์ เป็นต้น

Transit ก็เป็นการบังกันอีกแบบหนึ่ง ของวัตถุที่มีขนาดเล็กกว่าเคลื่อนที่ผ่านวัตถุที่มีขนาดใหญ่กว่า เช่น ดาวพุธทรานซิตดวงอาทิตย์ หรือ ดาวศุกร์ทรานซิตดวงอาทิตย์

แต่ทั้งหมดนี้สิ่งที่น่าสนใจคือ ทั้ง Eclipse และ Occultation รวมทั้ง Transit นั้นจะเกิดขึ้นบนแนวเส้นสุริยะวิถี หรือ เส้นอิคลิปติคทั้งสิ้น และเกิดขึ้นได้อย่างไร ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะอุปราคาที่เกิดขึ้นระหว่าง โลก ดวงอาทิตย์ และ ดวงจันทร์ ก่อนเท่านั้น

สุริยุปราคา (Solar Eclipse) เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์อยู่ด้านหน้าดวงอาทิตย์ทำให้เกิดเงามืดทอดมายังโลก ซึ่งจะตรงกับช่วงเดือนมืด หรือตรงกับ แรม 14-15 ค่ำ หรือ อาจจะเป็นขึ้น 1 ค่ำ ตามปฏิทินจันทรคติ ก็ได้
แต่ดวงจันทร์ไม่ได้บังดวงอาทิตย์ทุกครั้งที่อยู่ด้านหน้า เนื่องจากวงโคจรของดวงจันทร์นั้นเอียงทำมุม 5 องศากับเส้นอิคลิปติด ในขณะที่ดวงอาทิตย์นั้นมีความกว้างเชิงมุมเพียงครึ่งองศา ทำให้บางครั้งดวงจันทร์ก็อยู่สูงกว่าดวงอาทิตย์ และ บางครั้งก็อยู่ต่ำกว่าดวงอาทิตย์ ตำแหน่งที่จะทำให้ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ได้ก็คือตำแหน่งที่ดวงจันทร์อยู่บน โหนด (node)
โหนด(node)
ก็คือจุดตัดที่เกิดขึ้นจากวงโคจร 2 วงที่เอียงไม่เท่ากัน จะเกิดขึ้น 2 จุด (เช่นเดียวกับระนาบอิคลิปติคกับระนาบเส้นศูนย์สูตรฟ้าที่เอียงทำมุม 23.5 องศาและตัดกันที่จุด 2 จุด ที่เรียกว่า Vernal Equinox และ Autumnal Equinox ) ซึ่งสองจุดนั้นได้แก่

Ascending Node คือจุดตัดที่วัตถุกำลังเคลื่อนที่ขึ้นจากทิศใต้ไปทิศเหนือ
Descending Node
คือจุดตัดที่วัตถุกำลังเคลื่อนที่ลงจากทิศเหนือไปทิศใต้

แต่โหนดของดวงจันทร์นี้ไม่ได้คงที่ มีการเปลี่ยนตำแหน่งไปทางทิศตะวันตกเรื่อยๆ เนื่องจากแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์ โหนดของดวงจันทร์จะเลื่อนครบ 1 รอบกินเวลานาน 18.6 ปี หรือจุดโหนดเลื่อนไปทางทิศตะวันตกปีล่ะ 19.35 องศา


ตำแหน่ง
A และ B เป็นตำแหน่งที่ระนาบของดวงจันทร์อยู่เหนือและใต้เส้นอิคลิปติคตามลำดับ ทำให้ไม่เกิดอุปราคา ส่วนตำแหน่ง C และ D ดวงจันทร์อยู่บนตำแหน่งโหนดพอดี ทำให้เกิดอุปราคา



เมื่อดวงจันทร์อยู่ในตำแหน่งโหนดด้านหน้าดวงอาทิตย์จะทำให้เกิดอุปราคาขึ้น ได้ ซึ่งเงาที่เกิดจากดวงจันทร์นั้นมี 2 แบบคือ เงามืด (Umbra) และ เงามัว (Penumbra) แต่ ด้วยวงโคจรของดวงจันทร์ และ โลก ไม่ได้เป็นวงกลม แต่เป็นวงรี ทำให้มีระยะใกล้และไกลต่างกัน เกิดความแตกต่างของความกว้างเชิงมุมขึ้น จึงเกิดการบังกันได้ไม่สนิท ทำให้สุริยุปราคามีหลายแบบ

การเกิดสุริยุปราคามีหลายแบบตามลักษณะเงาที่เราเห็นคือ

1) สุริยุปราคาเต็มดวง (Total Eclipse) เป็นการเกิดการบังกันที่สมบูรณ์แบบ คือดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ได้เต็มดวงพอดี หรือขนาดความกว้างเชิงมุมของดวงจันทร์เท่ากันหรือใหญ่กว่าดวงอาทิตย์เล็ก น้อย นักดาราศาสตร์ให้ความสนใจกับสุริยุปราคาแบบเต็มดวงนี้มากที่สุด เพราะมีปรากฏการณ์หลายตามมาด้วย เช่น ปรากฏการณ์แหวนเพชร (Diamond Ring) และ ลูกบัดของเบรี่ (Baily's Beads)


ลูกปัดของเบรี่ (Baily's Beads) เกิดขึ้นหลังจากที่ดวงจันทร์ เคลื่อนมาบังดวงอาทิตย์เกือบหมด หรือระหว่างที่กำลังบังกันสนิท จะเกิดแสงสว่างบริเวณขอบของดวงจันทร์ คล้ายสร้อยลูกปัด ซึ่งได้ชื่อจาก ฟรานซิส เบรี่ นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้ซึ่งอธิบายได้ถึงปรากฏการณ์ดังกล่าว ว่าเกิดจากแสงของดวงอาทิตย์ที่ยังลอดผ่านช่องเขาที่อยู่ตามบริเวณขอบของดวง จันทร์


แหวนเพชร (Diamond Ring) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนการบังกันสนิท และก่อนจะออกจากคราส ซึ่งจะเกิดแสงวาบจากดวงอาทิตย์เพียงช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น ลักษณะคล้ายแหวน

โคโรน่า(Corona) มีเพียงสุริยุปราคาเต็ม ดวงเท่านั้นที่จะทำให้เราสามารถสังเกตเห็น ชั้นบรรยากาศโคโรน่าของดวงอาทิตย์ได้

โพรมิเน้นท์ (Prominance) คือ พวยก๊าซที่พุ่งออกมาจากผิวของดวงอาทิตย์ชั้นโฟโตสเซีย ซึ่งปกติเราจะสังเกตเห็นได้จากคลื่นแสงย่านไฮโดรเจนอัลฟ่า เท่านั้น แต่ระหว่างที่เกิดสุริยุปราคาเต็มดวง เราสามารถเห็นพวยก๊าซนี้ได้จากกล้องโทรทรรศน์โดยตรงโดยไม่มีอันตราย

ปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงนั้นจัดว่าเป็นปรากฏการณ์ที่หาดูได้ยาก เพราะโอกาสที่ขนาดของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะเท่ากันพอดีนั้นมีน้อยครั้ง ความจริงแล้วขนาดของดวงจันทร์นั้นเล็กกว่าดวงอาทิตย์มากๆ แต่ว่าระยะทางระหว่างโลกถึงดวงอาทิตย์นั้นมีค่าประมาณ 400 เท่าของระยะทางระหว่างโลกถึงดวงจันทร์ ประกอบขนาดของดวงอาทิตย์นั้นใหญ่กว่าดวงจันทร์ 400 เท่าด้วยเช่นกัน ทำให้ขนาดกว้างเชิงมุมของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ใกล้เคียงกันพอดีคือ ½ องศา แต่ในอนาคตอีกราวล้านปีข้างหน้าดวงจันทร์จะถอยห่างจากโลกเราขึ้นไปทุกที เพื่อรักษาโมเมนตัมเชิงมุมเอาไว้ ทำให้ขนาดปรากฏของดวงจันทร์เล็กกว่าดวงอาทิตย์ เราคงไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงอีก
ปรากฏการณ์สุริยุปราคา เต็มดวงสามารถเกิดขึ้นได้นานที่สุด 7 นาที 31 วินาที และเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน คศ.1973 ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นนานที่สุดเมื่อวันที่ 11 กรกฏาคม 1991 กินเวลา 6 นาที 54 วินาที และครั้งต่อไปที่จะเกิดในอนาคตในวันที่ 22 กรกฏาคม คศ.2009 จะกินเวลานาน 6 นาที 40 วินาที



หมายเหตุ
: การสังเกตสุริยุปราคาเต็มดวงนั้น ช่วงแรกก่อนที่ดวงจันทร์จะบังสนิท จะต้องมองดูปรากฏการณ์ด้วยผ่านฟิลเตอร์กรองแสงที่ได้มาตรฐานด้วย เพราะแสงอาทิตย์ยังมีความสว่างมากอยู่

2) สุริยุปราคาบางส่วน
(partial Eclipse) เป็นการเกิดสุริยุปราคาที่ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ไม่หมด ซึ่งบางครั้งเกิดขึ้นจากดวงจันทร์ไม่ได้อยู่บนโหนดพอดีทุกส่วน ทำให้มีบางส่วนที่บังดวงอาทิตย์ไม่หมด หรือเป็นกรณีของผู้สังเกตที่อยู่ใกล้แนวการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงแต่เงา ส่วนมืด (Umbra) ไม่ได้ผ่านส่วนนั้นของผู้สังเกต จะเป็นส่วน penumbra
หรือเงามัวแทน ซึ่งจะสังเกตเห็นเป็นสุริยุปราคาบางส่วนทั้งผู้สังเกตที่อยู่ตอนบนและตอน ล่างของแนวผ่านอุปราคา

3) สุริยุปราคาวงแหวน (Annular Eclipse) คล้ายกับสุริยุปราคาเต็มดวงตรงที่ดวงจันทร์มาอยู่ในตำแหน่งโหนดพอดี แต่ว่าขนาดเชิงมุมของดวงจันทร์นั้นเล็กกว่าดวงอาทิตย์ไปเล็กน้อย เนื่องจากวงโคจรของดวงจันทร์รอบโลกที่เป็นวงรีจึงมีบางช่วงที่ดวงจันทร์อยู่ ใกล้ และอยู่ไกลจากโลก ขนาดเชิงมุมจึงเปลี่ยนไป และขณะเกิดปรากฏการณ์เป็นช่วงที่ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกทำให้ขนาดความกว้าง เชิงมุมของดวงจันทร์เล็กกว่าดวงอาทิตย์

4) สุริยปราคาแบบผสม (Hybrid Eclipse) เป็นสุริยุปราคาที่เกิดขึ้นกึ่งกลางระหว่างแบบเต็มดวงและแบบวงแหวน ตามแนวที่เงามืดผาดผ่านเช่นเริ่มเห็นแบบเต็มดวงแต่จบท้ายด้วยแบบวงแหวนหรือ เริ่มต้นแบบวงแหวนแต่จบท้ายด้วยแบบเต็มดวง เป็นสุริยุปราคาที่ค่อนข้างหายากและเกิดขึ้นน้อยมาก

เราจะกำหนดความสว่าง (magnitude) ของสุริยุปราคาได้ตามขนาดการบังกันของดวงจันทร์ด้วย ได้แก่ สุริยปราคาเต็มดวงจะมีค่าแมกนิจูดมากกว่า 1 ในขณะที่สุริยุปราคาแบบวงแหวน หรือ บางส่วนจะมีค่าแมกนิจูดน้อยกว่า 1

ตารางปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงในประเทศไทย
1) วันที่ 11 ธันวาคม พศ.2228 สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
2) วันที่ 18 สิงหาคม พศ.2411 สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.4 ที่ต.หว้ากอ
3) วันที่ 6 เมษายน พศ.2418 สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.5 จ.เพชรบุรี
4) วันที่ 9 พฤษภาคม พศ.2472 สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.7 จ.ปัตตานี
5) วันที่ 20 มิถุนายน พศ.2498 สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ร.9 จ.พระนครศรีอยุธยา
6) วันที่ 24 ตุลาคม พศ.2538 สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ร.9 ครั้งสุด
และครั้งต่อไปที่เกิดขึ้นในประเทศไทยคือ วันที่ 11 เมษายน พศ.2613

ซารอส (Saros) การหวนกลับของอุปราคา
ใน 1 รอบปีที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์นั้น จะเกิดอุปราคาขึ้น 2 ครั้งทิ้งระยะห่างกันนานประมาณ 6 เดือนซึ่งส่วนมากจะเกิดขึ้นช่วนต้นปีกับปลายปี แต่ใน 1 รอบปีนั้น โหนดของดวงจันทร์จะเคลื่อนสวนทิศกับวงโคจรของโลกอีก 19 องศา ทำให้จุดโหนดของดวงจันทร์มาถึงจุดบังดวงอาทิตย์เร็วกว่าเดิมและเกิดอุปราคา เร็วขึ้นอีก 18.6 วัน เราเรียกว่า 1 รอบปีอุปราคา
(Eclipse Year) หรือปีราหู ซึ่งกินเวลาเพียง 346.6 วัน (ปีสุริยคตินาน 365.24 วัน) ทำให้ 1 รอบปีอุปราคาสั้นกว่าปีสุริยคติเมื่อนานวันขึ้นจะทำให้บางปีมีอุปราคา มากกว่าค่าเฉลี่ยปีละ 2 ครั้ง เช่นในปี พศ.2479 เกิดสุริยุปราคา 5 ครั้ง และ ปีพศ.2525 เกิดสุริยุปราคาขึ้น 4 ครั้ง

แต่คนในสมัยโบราณตั้งแต่ยุคบาบิโรเนียน สังเกตว่าอุปราคามีการเกิดซ้ำรอยเดิม ที่เรียกว่า การ หวนกลับมาของอุปราคา บางคนเรียก อุปราคาสายพันธ์เดียวกัน การที่จะเกิดเป็นอุปราคาสายพันธ์เดียวกันได้นั้นจะต้องเป็นตำแหน่งที่ดวง จันทร์ดับเหมือนเดิมและอยู่จุดโหนดเดิมด้วย ซึ่งจะต้องกินเวลาประมาณ 223 เดือนอุปราคา หรือ 6,585 วัน หรือประมาณ 18 ปี 11 วัน เรียกว่า 1 รอบซารอส (Saros Cycle) แต่การเกิดอุปราคาแบบเดิมนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นสถานที่เดิมบนโลกเสมอไป และในช่วง 1 รอบซารอสก็จะมีซารอสอื่นๆอีกมากมายหลายชุด

คำแนะนำในการสังเกตสุริยุปราคา
เนื่องจากสุริยุปราคาที่เห็นในประเทศไทยครั้งนี้ เป็นสุริยุปราคาบางส่วน ทำให้ยังมีส่วนที่สว่างของดวงอาทิตย์อยู่ด้วย การสังเกตโดยตรงจะทำอันตรายกับดวงตาของเราจนสามารถทำให้ตาบอดได้ จึงควรทำด้วยความระมัดระวัง
1) การสังเกตด้วยตา ควรมองผ่านแผ่นกรองแสงที่ได้คุณภาพ เช่น แว่นดูสุริยคราส ที่ผลิตเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ไม่ควรใช้วัสดุกรองแสงอื่นๆ เช่น ฟิล์มถ่ายรูปเสียๆ หรือ กระจกรมควัน เพราะวัสดุเหล่านี้กรองได้เพียงความเข้มแสง แต่รังสีอันตรายอื่นๆจากดวงอาทิตย์ยังผ่านได้อยู่ และที่สำคัญไม่ควรจ้องมองดวงอาทิตย์เป็นเวลานานๆ แม้จะมีแว่นป้องกันแล้วก็ตาม




2) การสังเกตด้วยกล้องโทรทรรศน์ ซึ่งปกติแล้วจะเป็นการห้ามโดยเด็ดขาดที่จะใช้กล้องส่องดูดวงอาทิตย์โดยตรง ควรจะติดแผ่นกรองแสงด้านหน้ากล้องด้วยฟิล์มหรือวัสดุที่ได้คุณภาพ และไม่ควรใช้ฟิลเตอร์ดวงอาทิตย์ที่ติดเลนซ์ตา เพราะจะทำให้เสี่ยงมากกับอันตรายมากกว่า




3) การใช้วิธีโปรเจคชั่นดวงอาทิตย์ กรณีที่เรามีโทรทรรศน์แต่ไม่มีแผ่นกรองแสงที่ได้คุณภาพ ควรใช้วิธีโปรเจ็คชั่นภาพจากดวงอาทิตย์ลงบนฉากสีขาวตามวิธีดังรูป จะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด

จันทรุปราคา (Lunar Eclipse)


เป็น อุปราคาที่เกิดขึ้นจากเงาของโลกไปบังดวงจันทร์ และเป็นกรณีตรงข้ามกับสุริยุปราคาด้วย ปกติแล้วเมื่อมีการเกิดสุริยุปราคาขึ้นในคืนเดือนมืดซึ่งตรงกับ แรม 14 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ อีก 15 วันต่อมาเมื่อดวงจันทร์กลับมาอยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ในคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ จะมีจันทรุปราคาเกิดขึ้นตามมาด้วย แต่ก็ไม่ทุกครั้งเสมอไป

ประเภทของเงาจันทรุปราคา ก็เช่นเดียวกับสุริยุปราคาคือ มีทั้งเงามืด (Umbra) และเงามัว (Penumbra) แต่เงามืดจะสังเกตการเปลี่ยนแปลงได้ชัดกว่า ในขณะที่เงามัวนั้นจะสังเกตเห็นความแตกต่างของความสว่างของแสงจันทร์นั้น น้อยมาก

ประเภทของจันทรุปราคา
1) จันทรุปราคาเต็มดวง
(Total Lunar Eclipse) เกิดจากดวงจันทร์ผ่านเข้าไปอยู่ในเงามืดของโลกเต็มตัว ระยะเวลานานจะแตกต่างกันตามตำแหน่งที่ดวงจันทร์เข้าไปเงามืด


2) จันทรุปราคาบางส่วน (
Partial Lunar Eclipse) เกิดจากดวงจันทร์ผ่านเข้าไปในเงามืดของโลกเพียงบางส่วนเท่านั้น

3) จันทรุปราคาเงามัว
(Penumbra Lunar Eclipse)
เกิดจากดวงจันทร์ผ่านเข้าไปในเงามัวของโลก ซึ่งไม่ค่อยเห็นการเปลี่ยนแปลงมากนัก

ตารางการเกิดจันทรุปราคาที่เห็นได้ในประเทศไทย 2549-2553
15 มีนาคม พศ.2549 จันทรุปราคาในเงามัว เวลา 04.21 จนถึงรุ่งเช้า
8 กันยายน พศ.2549 จันทรุปราคาบางส่วน เวลา 01.02 ถึง 02.37 น.
3 มีนาคม พศ.2550 จันทรุปราคาเต็มดวง เวลา 04.30 จนถึงรุ่งเช้า
28 สิงหาคม พศ.2550 จันทรุปราคาเต็มดวง เวลา 15.50 ถึง 19.23 น.
17 สิงหาคม พศ.2551 จันทรุปราคาบางส่วน เวลา 02.35 ถึง 05.44 น.
9 กุมภาพันธ์ พศ.2552 จันทรุปราคาในเงามัว เวลา 19.42 ถึง 23.35 น.
1 มกราคม พศ.2553 จันทรุปราคาบางส่วน เวลา 01.51 ถึง 02.53 น.
26 มิถุนายน พศ.2553 จันทรุปราคาบางส่วน เวลา 17.16 ถึง 20.00 น.
21 ธันวาคม พศ.2553 จันทรุปราคาเต็มดวง เวลา 17.00 น. ดวงจันทร์เริ่มคายแล้ว


ที่มา http://www.darasart.com/solarsystem/eclipse/main.htm

วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

ปรุง อาหารด้วยไมโครเวฟอันตรายจริงหรือ

รศ.พญ.สุพัตรา แสงรุจิ
ภาค วิชารังสีวิทยา
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล



ถาม. คลื่นไมโครเวฟที่ใช้ในการปรุงอาหาร คือคลื่นชนิดใด
ตอบ. คลื่น Microwave ที่ใช้ปรุงอาหารคือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหมือนคลื่นวิทยุ คลื่นทีวี คลื่นแสง infrared คลื่นแสงธรรมดา แสง Ultra Violet คลื่นรังสีเอ๊กซ์และคลื่นรังสีแกมม่า มีความยาวคลื่นสั้นกว่า คลื่นวิทยุ คลื่นทีวีแต่ยาวกว่าคลื่นแสง infrared และอื่น ๆ ที่กล่าวแล้ว คลื่น Microwave ที่ใช้ปรุงอาหารจะมีความถี่คลื่น 2,450 ล้านรอบต่อวินาที (หรือ 2,150 Megahertz) เมื่อคลื่นพุ่งไปกระทบอาหารจะถ่ายทอดพลังงานของมันให้โมเลกุลของน้ำทั้งใน และนอกอาหารเกิดการสั่นสะเทือนเสียดสีกันเป็นความร้อน จึงทำให้อาหารสุกอย่างรวดเร็ว เมื่อคลื่น Microwave มอบพลังงานให้ Molecule ของน้ำหมดแล้ว มันก็จะสลายตัวไป ไม่สะสมอยู่ในอาหารอีก คงเหลือไว้แต่สภาพอาหารที่เปลี่ยนจากอาหารเดิมเป็นอาหารสุกเท่านั้น คลื่น Microwave จึงไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์

ถาม. ในทางการแพทย์มีการนำคลื่นชนิดนี้มาใช้ในการรักษาบ้างหรือไม่
ตอบ. ทางการแพทย์นำคลื่น Microwave มาใช้ในการรักษาบ้างเหมือนกัน แต่เป็นคลื่น Microwave ที่มีความถี่คลื่นน้อยกว่า Microwave ที่ใช้ปรุงอาหารเพราะต้องการเพียงความร้อนขนาดอุ่น ๆ สบาย ๆ หรือความร้อนสูงขึ้นอีกเล็กน้อยขนาดพอทนได้ ไม่ใช่ร้อนมากขนาดจะทำให้เนื้อสุกไหม้ เช่น ทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูใช้ Microwave ความถี่ต่ำเพื่อใช้คลายการปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อมีความร้อนขนาดอุ่น ๆ กำลังสบาย ๆ ทางด้านรังสีรักษาและทางระบบทางเดินปัสสาวะใช้ Microwave ความถี่สูงขึ้นกว่าทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูประมาณ 915 MZ ให้ความร้อนสูงขึ้น แต่ไม่ถึงจุดเดือด ใช้รักษาทำลายเซลล์มะเร็งเฉพาะที่ตื้น ๆ ร่วมกับการรักษาด้วยรังสีและยารักษามะเร็ง เครื่องเดียวกันนี้ยังสามารถใช้รักษาโรคต่อมลูกหมากโตในชายผู้สูงอายุบางราย ได้ด้วย

ถาม. คลื่นที่ใช้ในไมโครเวฟมีอันตรายต่อสุขภาพด้านใดหรือไม่
ตอบ. คลื่น Microwave ที่ใช้ในการปรุงอาหารไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ เพราะคลื่นจะสลายตัวไปไม่สะสมในอาหาร เมื่อรับประทานอาหารที่ทำให้สุกด้วย Microwave จึงไม่เกิดอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น

ถาม. การจ้องมองแสงในขณะที่กำลังทำงานมีอันตรายต่อดวงตา จริงหรือไม่
ตอบ. ไม่จริง เพราะคลื่น Microwave ไม่สามารถจะทะลุทะลวงผ่านผนังตู้และฝาตู้ออกมาได้ เพราะมีแรงทะลุทะลวงต่ำกว่า infrared แสงธรรมดา และ Ultraviolet และรังสีเอ๊กซ์หรือรังสีแกมมา และแสงที่เรามองเห็นในตู้ไม่ใช่แสงของคลื่น Microwave แต่เป็นแสงของดวงไฟฟ้าที่เขาติดตั้งไว้ให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในตู้ขณะ เครื่องทำงานเท่านั้นเอง

ถาม. อาหารที่ผ่านการปรุงด้วยไมโครเวฟจะมีรังสีตกค้างหรือปะปนมาในอาหารหรือไม่
ตอบ. อาหารที่ผ่านการปรุงด้วย Microwave จะไม่มีรังสีตกค้าง หรือปะปนมาในอาหารเพราะรังสีเป็นคลื่นพุ่งผ่าน แล้วมอบพลังงานของมันให้กับสิ่งที่มันพุ่งผ่านไป เมื่อพลังงานของมันหมดมันก็สลายตัวไป คงเหลือแต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังมันวิ่งผ่านไปคือเกิดความร้อนทำให้อาหารสุก นั่นเอง

ถาม. ในการใช้เครื่องไมโครเวฟมีข้อควรระมัดระวังอะไรบ้าง
ตอบ.1. เลือกซื้อเครื่องจากบริษัทที่เชื่อถือได้ มีมาตรฐาน มีการรับรองคุณภาพการผลิต ฝาตู้ต้องปิดได้ แน่นสนิท ไม่มีรอยรั่ว
2. ก่อนใช้ต้องอ่านคู่มือการใช้ให้ละเอียด ทำให้ถูกต้องตามขั้นตอน
3. ไม่ควรวางของหนักหรือเหนี่ยวโหนประตูตู้ ในขณะที่ประตูเปิดอยู่ เพราะจะทำให้ฝาตู้ปิดไม่สนิท มีคลื่น Microwave รั่วออกมาได้ระหว่างใช้
4. เมื่อตู้ชำรุด ไม่ควรแก้ไขเอง ควรติดต่อช่างที่ชำนาญมาแก้ไข
5. ไม่ควรใช้ดวงตาแนบกับฝาตู้ขณะเครื่องทำงาน เพื่อความไม่ประมาท
6. การจะวัดว่ามีคลื่น Microwave รั่วไหลออกมาจากเครื่องทำได้ โดยใช้เครื่อง Survey Meter ให้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่กองรังสี กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข หรือบริษัทใหญ่ ๆ ที่ขายเครื่องไมโครเวฟ จะมีบริการการวัดคลื่น Microwave ที่รั่วออกมานอกตู้ให้ได้

ถาม. อายุการใช้งานของเครื่องและการดูแลมีส่วนสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยอย่าง ไร
ตอบ. อายุการใช้งานของเครื่อง หากใช้ทะนุถนอมไม่ทำรุนแรงก็จะใช้เครื่องได้นานมาก บอกไม่ได้แน่นอนขึ้นอยู่กับผู้ใช้ และวัสดุโครงสร้างของเครื่อง การดูแลมีส่วนสำคัญมากในเรื่องของความปลอดภัย เมื่อใช้ตู้ไปแล้วต้องเช็ดทำความสะอาดตู้สม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้เศษอาหารกระเด็นค้างอยู่ในตู้เป็นระยะเวลานาน ๆ เพราะความเค็มของอาหารจะทำให้เหล็กตู้เป็นสนิมและเกิดเป็นรอยทะลุ ทำให้คลื่น Microwave รั่วออกมาเกิดอันตรายกับผู้ใช้ได้ ห้ามใช้ของมีคมขูดหรือขัดตู้

ถาม. ข้อแนะนำทั่วไปสำหรับการใช้ Microwave ที่ถูกต้องและปลอดภัย
ตอบ.

1. เลือกภาชนะที่ใช้กับตู้ Microwave ให้เหมาะสม เช่น ชามแก้วทนไฟ ชามกระเบื้อง พลาสติกทนความร้อน ภาชนะไม้ จานกระดาษ หลีกการเลี่ยงการใช้ภาชนะ พลาสติกแม้จะระบุว่าปลอดภัยในการใช้กับไมโครเวฟ ไม่ใช้พลาสติกห่ออาหารในการปรุงหรืออุ่นอาหารในตู้อบไมโครเวฟ

2. ห้ามใช้ภาชนะโลหะทุกชนิดกับตู้ Microwave หรือภาชนะกระเบื้องที่มีขอบเงินขอบทอง
เป็นส่วนผสมของโลหะ เพราะคลื่นไม่สามารถจะพุ่งผ่านไปได้ เมื่อชนโลหะแล้วคลื่นจะสะท้อนกลับ เกิดการ spark เป็นดวงไฟเล็ก ๆ เกิดเสียงดัง และอาจจะทำให้เกิดไฟลุกไหม้ในตู้ได้ หากในตู้นั้นไม่สะอาดมีน้ำมันกระเด็นไปรอบตู้เป็นต้น

3. เวลาปรุงอาหารที่เป็นน้ำหรือน้ำมันเมื่อเดือดมีโอกาสกระเด็นไปไกลไปติดรอบ ตู้ สกปรกเป็น
มันเลอะเทอะ ทำให้ต้องทำความสะอาดตู้ยุ่งยาก อาจจะใช้ฝาชี พลาสติกทนความร้อน ครอบอาหาร
เสียก่อนเริ่มเปิดใช้เครื่อง Microwave ทำให้ประหยัดเวลาในการทำความสะอาดตู้

4. ไม่ควรนำอาหารที่มีผิวมันหรือมีเปลือกแข็ง เข้าไปทำให้สุกในตู้ เพราะความร้อนทำให้อากาศภายในอาหารขยายตัว ประกอบกับไอน้ำที่เกิดขึ้นมีแรงดันสูง จะทำให้เกิดระเบิดเสียงดังได้ ควรใช้ส้อมจิ้มผิวอาหารหรือเปลือกอาหารให้เป็นรูเสียก่อน เพื่อป้องกันการปะทุที่เกิดจากความร้อนภายในอาหารขยายตัว

5.การปรุงอาหารด้วยภาชนะที่มีฝาปิดในตัวควรเผยอฝาปิดเล็กน้อย เพื่อให้ไอน้ำพุ่งออกได้หรือพลิกฝาปิดเพียงวางไว้เฉย ๆ ไม่ปิดแน่น

ถาม. ข้อแนะนำท้ายรายการ
ตอบ. ตู้ Microwave ถ้ารู้จักใช้ให้ถูกวิธีจะมีประโยชน์มาก เพราะสะดวก รวดเร็ว ประหยัด เหมาะสำหรับชีวิตปัจจุบันซึ่งต้องเร่งรีบไปหมดทุกอย่าง
อย่าลืมซื้อเครื่องที่มีมาตรฐาน มีการรับรองคุณภาพ อ่านคู่มือก่อนใช้ และเลือกภาชนะที่ใช้ให้เหมาะสม หากเครื่องดีไม่มีรอยรั่ว อันตรายจาก Microwave จะไม่เกิดขึ้นเลย 100%

เพิ่มเติม

มีผลการสำรวจระบุว่า ผู้ใช้เตาไมโครเวฟร้อยละ 68 ไม่ทราบมาก่อนว่าปกติแล้วจะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารั่วออกจากเตาอบไมโครเวฟ ผู้ใช้ร้อยละ 57 ไม่ทราบว่าขณะใช้งานควรอยู่ห่างจากเตา ผู้ใช้ร้อยละ 12 ไม่ทราบเกี่ยวกับภาชนะที่เหมาะสมที่จะใช้กับเตาอบไมโครเวฟ และผู้ใช้ร้อยละ 23 ไม่เคยอ่านคู่มือการใช้งานที่มากับเตา

เตือนภัย "ไมโครเวฟ" ใช้ผิดวิธีโดยไม่ระมัดระวัง อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง

นายอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้อง กันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า "เตาไมโครเวฟ" เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการปรุงและอุ่นอาหาร แต่หากใช้อย่างไม่ถูกวิธีอาจได้รับอันตรายจากคลื่นไมโครเวฟ หรือถูกไฟฟ้าดูด ไฟฟ้าชอร์ต ระเบิด หรือเพลิงไหม้ได้ จึงขอแนะนำวิธีใช้เตาไมโครเวฟอย่างถูกต้องและปลอดภัย เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้

1. นำอาหารที่จะปรุงหรืออุ่นใส่เตาไมโครเวฟ และปิดประตูให้สนิท ตั้งอุณหภูมิและเวลาให้เหมาะสมกับลักษณะของอาหาร แล้วปล่อยให้เครื่องทำงานไปจนครบกำหนดเวลาที่เตาจะปิดเครื่องเองโดย อัตโนมัติ อย่าเปิดประตูก่อนที่เครื่องจะตัดการทำงาน


2. ไม่ยืนใกล้ๆ หรือแนบหน้าดูอาหารในเตาไมโครเวฟ เพราะอาจได้รับอันตรายจากคลื่นไมโครเวฟที่รั่วไหลออกมา รวมถึงไม่นำอาหารที่อุ่นในเตาไมโคร เวฟบรรจุไว้ในภาชนะที่ติดไฟง่าย เช่น จานกระดาษ กระดาษฟอยล์ ภาชนะโลหะมีขอบเคลือบเป็นโลหะมันวาว แก้วคริสตัล และห้ามนำวัตถุเคมี กระดาษ ดอกไม้แห้ง ผ้าหรือวัสดุติดไฟง่าย สมุนไพรแห้ง ไข่ดิบทั้งฟอง อาหารที่บรรจุในภาชนะสุญญากาศมาอบหรืออุ่นในเตาไมโครเวฟ เพราะอาจเกิดการระเบิดจนติดประกายไฟและเกิดเพลิงไหม้ได้


3. ขณะอุ่นอาหารในเตาไมโครเวฟ ควรเจาะรูอาหารที่บรรจุในภาชนะที่ปิดมิดชิด เพื่อให้ไอน้ำในอาหารระเหยได้ง่าย จะ ช่วยป้องกันการพองตัวและการระเบิดของอาหาร
สำหรับวิธีการต้มน้ำ ห้ามต้มน้ำในภาชนะผิวเรียบ เซรามิกหรือแก้วด้วยเตาไมโครเวฟ เพราะน้ำที่ต้มอาจระเบิดได้ เนื่องจากน้ำที่ต้มด้วยเตาไมโครเวฟมีอุณหภูมิสูงกว่าจุดเดือดของน้ำปกติโดย ไม่มีอาการเดือดแสดงให้เห็นแต่อย่างใด เมื่อยกน้ำที่ต้มเดือดออกจากเตาไมโครเวฟ ให้ปล่อยทิ้งไว้สักประมาณ 30 วินาที - 1 นาที จึงค่อยเปิดฝาภาชนะ เติมชา กาแฟ หรือใช้ช้อนคนน้ำ เพราะหากน้ำถูกรบกวนในทันทีที่ยกน้ำออกจากเตาไมโครเวฟจะทำให้น้ำเดือดอย่าง ฉับพลัน จนเกิดเป็นระเบิดน้ำเดือดขนาดย่อมพุ่งกระเด็นใส่ร่างกาย ทำให้ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นบางส่วน เกิดแผลพุพองตามใบหน้าและร่างกาย

ภาชนะเมลา มีนกับไมโครเวฟ อันตราย!...ที่ไม่ควรมองข้าม

จากงานวิจัยที่ผ่านมาพบว่า ภาชนะเมลามีนสามารถทนความร้อน ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 100 องศาเซลเซียสได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ
แต่ถ้าเมลามีนสัมผัสกับอุณหภูมิที่สูงกว่า 100 องศาสเซลเซียสแล้วจะก่อให้เกิดอันตรายได้
ดังนั้น เมื่อนำเมลามีนมาใช้กับไมโครเวฟ จึงทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้
อันตรายที่ว่านี้ก็คือ เมลามีนเมื่อโดนอุณหภูมิสูงๆ เช่น อุณหภูมิในไมโครเวฟจะทำให้มีการซึมของสารฟอร์มาลดีไฮด์ออกมา ในปริมาณที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค

ซึ่งสารฟอร์มาลดีไฮด์นี้เป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินหายใจ


ที่มา

หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.ocpb.go.th/show_news.asp?id=261

http://onknow.blogspot.com/2005/04/blog-post_8346.html

มาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ งานกันเถอะ – ภาค 2

ใช้ Bookmark ให้เป็นประโยชน์

เหตุการณ์ คล้ายๆเก็บอีเมล์ไว้เต็ม Inbox หละครับ วันนึงผมเข้าเวปไซต์เป็นสิบๆด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป บางทีเข้าไปเพื่อหาข้อมูลที่ต้องการจริงๆ บางทีเข้าไปหาอะไรอ่านเล่นๆ ซึ่งแน่นอนมีเวปจำนวนนึงที่ถูกใจผม แต่น้อยครั้งที่ผมจะอ่านจนจบหรือดูข้อมูลได้ทั้งเวปเพราะว่าเวลาไม่พอ เมื่อต้องเปลี่ยนไปทำงานอื่นแล้ว ผมก็จะปิด Browser ไป วันรุ่งขึ้นถ้าผมนึกได้ว่ายังอ่านบทความในเวปนั้นไม่จบแล้วอยากอ่านต่อ ทำยังไงดีครับ … ทางเลือกของผมคือ

  1. ลอง Search Google อีกรอบ อันนี้เดา keyword มั่วเลย ฮ่าๆ ก็จำไม่ได้ว่าครั้งที่แล้วใช้ keyword อะไรนี่ … หาไม่เจอ
  2. งั้นมาเปิดดูที่ History ของ Browser ละกัน … เอ่อ มีเป็นร้อยเวปเลย แถมจำไม่ได้ด้วยว่าเข้าเวปนี้ไปวันไหน Today? … Last 7 Days? … This month? เยอะจริงๆ … สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ตามระเบียบ

เสียเวลามั้ย? ชัวร์!!! หาข้อมูลเจอมั้ย? ไม่แน่!!! แต่ตอนนี้ผมไม่ค่อยเจอปัญหานี้แล้วครับ เพราะว่าผมพยายามใช้ Bookmark ให้เป็นประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิม พอผมเจอเวปหรือบทความอะไรดีๆ (อ่านผ่านๆซัก 1 ย่อหน้าแล้วโดนใจ) ผมจะรีบ Bookmark ไว้เลยครับ แรกๆก็ Bookmark ด้วย Browser นะ แต่หลังๆหันมาใช้พวก Social Bookmarking แล้วหละครับ เพราะว่าไม่ว่าเราจะเปิดคอมพ์เครื่องไหนก็สามารถเข้าถึงเวปที่เราสนใจได้ ตลอดฮะ


ตอนแรกๆก็ใช้งานได้ดีนะครับ แต่พอเริ่มมันมือเก็บ Bookmark ไว้เพียบเลย กลายเป็นว่าตอนนี้ของยากซะอีก (ลองดูได้ครับ kannique@delicious) … เฮ้อ รู้แบบนี้ผมใส่ Tag ให้กับ Bookmark ตั้งแต่แรกก็หมดเรื่องล่ะ ด้วยความขี้เกียจแท้ๆเลย ที่บอกไว้เพราะไม่อยากให้เพื่อนๆพลาดเหมือนผม สรุปว่ากรณีนี้ Social Bookmarking
+ Tag จะช่วยเพื่อนๆได้ครับ


เตรียม To-Do-List ทุกๆวัน

ง่ายๆเลย ครับ ถ้าเราไม่รู้ว่าแต่ละวันเราควรทำอะไรบ้างแล้วเราจะบริหารเวลาให้เกิด ประโยชน์สูงสุดได้ยังไง นี่คือความสำคัญของการที่เรามี To-Do-List ครับ วิธีทำจะว่าไปก็มีหลายวิธีนะ บางคนเลือกที่จะเขียนด้วยมือเพื่อสร้างความรู้สึกเอาจริงเอาจังให้กับตัวเอง และจะเขียนซ้ำๆไปทุกวันจนกว่างานจะเสร็จ บางคนก็ถนัดที่จะใช้ Software สำเร็จรูปที่สะดวกในการจัดการและตรวจสอบ (ตัว นี้ก็ใช้ดีนะครับ) … ตรงนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่าไหรในความคิดผมนะ ที่สำคัญคือเราจะเขียน To-Do-List ที่ดีได้อย่างไรมากกว่า ผมอ่านหนังสือและบทความมานิดหน่อย ขออนุญาตแนะนำครับ


จำได้มั้ยครับว่าเราควร “ทำงานที่สำคัญที่สุดก่อน” ใช่เลยครับ ถ้าเราจะสร้าง To-Do-List ที่ดี เราควรวางงานที่สำคัญที่สุดอันดับหนึ่งลงในช่วงเวลาที่เรามีก่อน (อย่าลืมพิจารณาวงจรชีวิตตัวเองด้วยนะ) แล้วค่อยหยิบงานที่สำคัญอันดับรองลงไปมาใส่ในช่วงเวลาที่เหลือครับ ตรงนี้ได้ประโยชน์สองส่วน อย่างแรกคือเราจะมีเวลาได้ทำงานที่สำคัญที่สุดแน่ๆ และสองคือเราจะเหลือเวลาให้กับเรื่องไม่เป็นเรื่องน้อยลง ตามสูตรเป๊ะเลย เราควรเตรียม To-Do-List ทุกๆเย็นสำหรับวันพรุ่งนี้ หรือว่าเตรียมตอนเช้าของวันก็ได้ครับ พยายามทำให้ได้เป็นประจำมันจะช่วยเราเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเวลา ของเราด้วย


ข้อควรระวังครับ อย่าคิดว่าเราเป็นซูปเปอร์แมนที่จะทำได้หลายๆอย่างในหนึ่งวัน กฎคือให้เราใส่งานลงใน To-Do-List แค่ครึ่งเดียวของสิ่งที่เราคิดว่าจะทำได้ในหนึ่งวัน … ผมลองแล้ว มันเป็นงี้จริงๆ ฮ่าๆ หลังๆถ้าเราเริ่มมีการบริหารเวลาที่ลงตัวขึ้น เราค่อยเพิ่มงานที่จะทำต่อวันขึ้นมาก็ได้ครับ


ตัดสินใจให้เร็ว

ใครเคยอยู่ ในสถานการณ์แบบนี้บ้างครับ?

หลังจากที่ release software ไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว คุณเอกในฐานะ Software Development Manager ก็เรียกประชุมทีมงานเพื่อวางแผนสำหรับ software version หน้า ซึ่งในการประชุมนี้นอกจากคุณเอกแล้วก็มีคุณโท Product Manager และคุณตรี Quality Assurance Manager ร่วมด้วย


คุณเอก:
เอาล่ะ เราต้องตัดสินใจแล้วว่าใน version หน้า software เราจะมีอะไรบ้าง? ตอนนี้ตัวเลือกก็จะมี (1) Defect ทั้งหมดที่ยังไม่ได้แก้จาก version เ่ก่าๆ (2) Feature ใหม่ที่ลูกค้าขอมา (3) Issue ที่สำคัญจาก Product Support และ (4) Feature หลักๆที่ software คู่แข่งมี เรามาดูในรายละเอียดแต่ละตัวกัน


ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง มีข้อมูลมากมายอยู่บนกระดานในห้องประชุม แต่ยังไม่การตัดสินใจว่าทีมควรทำอะไรต่อไป แล้วคุณโท (Product Manager) ก็เริ่มพูดขึ้นก่อนว่า


คุณโท:
เราต้องการ Feature ใหม่ๆในปีนี้ไม่งั้นเราจะเสียส่วนแบ่งการตลาดไปให้กับคู่แข่งนะ

คุณตรี: มี Feature ใหม่มันก็ดีนะคะ แต่เรามีบั๊กที่เก็บมานานต้องแก้ก่อนนะไม่งั้นจะยิ่งทำให้ชีวิตเรายุ่งยาก มากขึ้นในอนาคต

คุณโท: (สวนทันทีว่า) คุณเคยได้ยินด้วยหรอ software ที่ไม่มีบั๊กหนะครับ ผมขอยืนยันอีกครั้งว่าเราต้องการ Feature ใหม่!!!

คุณตรี: แต่เราเคยตั้งใจไว้ว่าจบงานแล้ว เราจะแก้บั๊กที่เหลือให้หมดเพื่อคุณภาพที่ดีขึ้นของ software นะคะ เราควรจะทำตามที่พูดไว้ไม่ใช่หรอ?


ทั้งสองคนมองมาทางคุณเอก คล้ายๆกับว่าอยากได้การตัดสินใจที่เด็ดขาด


คุณเอก:
เอาล่ะๆ เรามีโอกาสได้คุยกันแบบนี้แล้ว มันน่าจะมีทางออกที่ดีต่อทุกฝ่ายซิ …


การประชุมดำเนินไปจนครบสองชั่วโมง ท้ายที่สุดก็ไม่มีการตัดสินใจในเรื่องอะไรออกมาเลย … แม้แต่เรื่องเดียว

เหตุการณ์นี้บอกอะไรเราบ้างครับ?

  1. อย่าคาดหวังที่จะหาจุดลงตัวกับทุกฝ่าย (consensus) สำหรับการตัดสินใจแต่ละครั้ง มันดีแน่ๆอยู่แล้วถ้าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นผลดีกับทุกฝ่าย แต่ความเป็นจริงมันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก ในฐานะผู้นำ เราต้องเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จากทุกๆฝ่าย จัดลำดับความสำคัญให้เหมาะสม แล้วตัดสินใจให้เด็ดขาดเพื่อเลือกทางออกที่ดีที่สุดต่อส่วนรวมครับ
  2. No Decision, No Action!!! แน่นอนครับ ในเมื่อหัวหน้าไม่มีการตัดสินใจหรือคำสั่งที่ชัดเจนออกมา เด็กๆจะรู้ได้ยังไงว่าควรทำอะไรต่อไป? สุดท้ายแล้วทั้งทีมก็จับต้นชนปลายไม่ถูก ปล่อยให้เวลาเสียไปวันๆเพราะความไม่ชัดเจนของนโยบาย
  3. เมื่อรู้สึกว่ามีข้อมูลเพียงพอแล้วเรา ควรตัดสินใจให้เร็วครับ อาจารย์ที่ผมนับถือมากบอกว่า “ถ้าคุณมีข้อมูลเพียงพอแล้ว อย่าใช้เวลาเกิน 20 นาทีในการตัดสินใจ” ซึ่งผมใช้เป็นหนึ่งในหลักการทำงานของตัวเอง แล้วถ้าเรารู้สึกว่ายังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมอีกหละ? อันนี้ขึ้นอยู่กับความเร่งด่วน ถ้ารอได้เราเลื่อนการตัดสินใจออกไปก่อนเพื่อหาข้อมูลหรือเจรจาต่อรองเพิ่ม เติม แต่สำคัญมากที่เราต้องกำหนดวันสุดท้ายที่เราต้องตัดสินใจเรื่องนี้ไว้ให้ ชัดเจน เมื่อถึงวันนั้นไม่ว่ายังไงก็ตามเราต้องตัดสินใจด้วยข้อมูลที่มีครับ จำไว้การตัดสินใจช้ามีผลทำให้งานไม่ก้าวหน้า

เทคนิคเล็กๆน้อยๆเมื่อต้องตัดสินใจ อย่างรวดเร็วคือขอให้เรามีความมั่นใจในตัวเอง มั่นใจในสัญชาตญาณของตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกผิดแต่ให้บอกตัวเองว่าเรากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องครับ เชื่อมั่นในตัวเองครับ!!!


อย่าหยุดสร้างกำลังใจ

สำหรับตัวผม เองกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในทุกๆเรื่องได้ครับ นั่นรวมถึงความพยายามที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของตัวเองด้วย กำลังใจหาได้จากที่ไหน? ง่ายที่สุดก็ตัวเราเองครับ เราต้องมีทัศนคติที่ดีต่อตัวเองอยู่ตลอดเวลา ผมพยายามให้กำลังใจตัวเอง สร้างความเชื่อมั่นให้ตัวเอง คิดว่าเราต้องทำสำเร็จตามที่ตั้งใจ นอกจากนี้ผมชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับความสำเร็จของคนอื่นๆ ศึกษาและปรับใช้วิธีการของคนเหล่านั้น และในบางครั้งก็ฟังเพลงที่มีความหมายดีๆ (ออกแนวเพื่อชีวิต) อย่างตอนนี้ผมชอบเพลง The Climb – Miley Cyrus ครับ ฟังเกือบทุกเช้า เป็นเพลงที่ให้กำลังใจดีมากจริงๆ โดยเฉพาะท่อนนี้

There’s always gonna be another mountain

I’m always gonna make it move

Always gonna be a uphill battle

Sometimes I’m gonna have to lose


Ain’t about how fast I get there

Ain’t about what’s waiting on the other side

It’s the climb

~ Song by Miley Cyrus

ยังมีวิธีอื่นๆอีกมากที่จะสร้างกำลังใจ ให้เราได้ เช่น ขอกำลังใจจากครอบครัวและคนที่เรารัก ดูหนังฟังเพลง หยุดงานไปพักผ่อนตามสถานที่โปรด หวังว่าเพื่อนๆจะมีแนวทางที่ชอบของตัวเองนะครับ ถ้าทำข้อนี้ได้ประโยชน์มันมหาศาลมากกว่าแค่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเลย หละ


หยุดผลัดวันประกันพรุ่ง

ข้อแนะนำทุก ข้อจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าเราไม่เริ่มทำมันอย่างจริงจังซักที อาการชอบผลัดวันประกันพรุ่งนั้นอาจจะเกิดเพราะว่างานที่ต้องทำเป็นสิ่งที่ เราไม่ชอบหรือไม่เต็มใจจะทำครับ


ถ้าเราชอบดูฟุตบอลจะมีสักวันมั้ยที่เราบอกตัวเองว่า “ไม่เป็นไร ไม่ดูเกมส์นี้ดีกว่า รอไปดูเกมส์หน้าละกัน” … ผมว่าคงไม่มีหรอกครับเพราะว่าถ้าเราชอบงานหรือกิจกรรมนั้นเรื่องอะไรเลยจะ ไม่ทำมันหละ? กลับกันเราไม่ชอบทำเอกสารเลย เราก็คงจะพูดกับตัวเองว่า “ไม่เป็นไร ไม่ทำเอกสารก่อนดีกว่า ไว้ทำจันทร์หน้าละกัน ยังไม่ใกล้วันส่งซะหน่อย” … ผมคิดว่าเป็นธรรมชาติของทุกคนที่ไม่อยากทำอะไรที่ไม่ชอบ แต่เมื่อมันเป็นหน้าที่เป็นความรับผิดชอบเราก็คงเลี่ยงยาก ดังนั้นเพื่อเป็นการกำจัดอาการนี้และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของ เราเอง อย่าผลัดวันประกันพรุ่งอีกต่อไปครับเลยครับ แล้วทำยังไงดี?

  • ถ้าเราอยู่ในฐานะที่จะมอบหมายงานที่ เราไม่ชอบให้คนอื่นทำ ก็ทำเลยครับ งานที่เราไม่ชอบอาจจะเป็นของโปรดสำหรับคนอื่นก็ได้
  • ถ้าเราไม่อยู่ในฐานะที่จะมอบหมายงาน ได้ ก็ทำใจแล้วบอกตัวเองว่า “เออ ใช่ งานนี้เป็นงานที่เราไม่ชอบ แต่เราต้องกัดฟันทำให้เสร็จให้ได้” ยากครับ แต่ได้ผลจริงๆ
  • การผลัดวันประกันพรุ่งมีผลทำให้เรา รู้สึกผิดและรู้สึกไม่ดีกับตัวเองครับ (ผมคนนึงหละ) ถ้าเป็นแบบนั้นลองคิดว่าการที่เราทำงานที่ไม่ชอบจนเสร็จได้น่าจะเป็นทางที่ ทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น คิดแบบนี้น่าจะเป็นแรงจูงใจที่ดีนะครับ


ถ้าเพื่อนๆยังคงมีปัญหากับการเริ่มต้นทำ งานอะไรซักอย่างอยู่หละก็ Anne-Marie Ronsen แนะนำว่าลองสัญญากับตัวเองว่าเราจะเริ่มต้นและใช้เวลาอยู่กับงานนั้นแค่ห้า นาที … ขอแค่ห้านาที บอกตัวเองว่าเราสามารถอดทนทำอะไรซักอย่างในเวลาห้านาทีได้แล้วเริ่มงานเลย ครับ ถ้าเรารู้แล้วว่าเราจะใช้เวลาอยู่กับงานนี้แค่ห้านาที เราจะรู้สึกว่างานนั้นไม่หนักเกินไปหรือน่ากลัวเกินไปจนทำให้เราไม่กล้า เริ่มงาน หลังจากห้านาทีผ่านไป อนุญาตให้ตัวเองหยุดทำงานนั้นได้ถ้าเราอยากหยุดครับ แต่ส่วนใหญ่แล้วเราจะลุยต่อครับ เพราะว่าส่วนที่ยากที่สุดคือการเริ่มต้นงานนั้นผ่านไปแล้วนั่นเอง


ตั้งแต่ เขียนมาจากข้อ 1-10 ผมมีความรู้สึกตลอดว่าอย่างเดียวที่จะขัดขวางไม่ให้เราทำสำเร็จคือตัวเอง ทั้ง 10 ข้อเป็นเรื่องง่ายๆที่ใครก็ทำได้ถ้าความมุ่งมั่นและตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะ พัฒนาตัวเองครับ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีปัญหากับเรื่องพวกนี้ซึ่งตอนนี้กำลังพยายามปรับตัว อยู่ ผมหวังว่าตัวผมจะทำได้ดีขึ้น และเพื่อนๆก็จะทำได้ดีขึ้นเช่นกันครับ


ถ้าใครมีแนวทางปฏิบัติอื่นๆนอกเหนือ 10 ข้อนี้จะแบ่งปันก็ขอบคุณล่วงหน้าครับ :D

ที่มา http://www.chapterpiece.com/project-management/2010/02/18/increase-productivity-2/

มาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ งานกันเถอะ – ภาค 1

ผมรู้สึกว่า “กับเวลาที่มีแต่ละวัน เราน่าจะทำอะไรให้ได้มากกว่านี้นะ” เพื่อนๆหละครับ รู้สึกเหมือนกันมั้ย? ในฐานะที่ผมเองเป็นคนดูแลรับผิดชอบงานในทีมและ Project โดยรวม ผมคิดว่าเป็นหน้าที่ของผมเหมือนกันที่จะหาวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ งานของทั้งตัวผมเองและเพื่อนๆน้องๆในทีมครับ นี่คือจุดเริ่มต้นของบทความนี้ครับ


ผมเชื่อว่าประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้นเป็นผลผลิตจากการบริหารจัดการ เวลาที่ดีครับ ซึ่งผมได้นำเสนอตัวการที่ทำให้เราเสียเวลาไปแล้วในบท ความก่อนหน้า วันนี้เรามาดูกันว่ามีวิธีการอะไรที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้เรา ได้บ้าง


ขอสารภาพก่อนว่าผมเองก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นคนที่มีวินัยหรือใช้เวลาทุกนาทีอย่างคุ้มค่าอะไรมากมายนะครับ ฮ่าๆ ผมเพียงแค่อยากทำให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ฮะ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆทุกคนครับ


อย่าปล่อยให้อีเมล์อยู่ใน Inbox

ตอนเช้าเปิด Outlook (Lotus Note หรือ App อื่นๆ) มาเจออีเมล์ใหม่ 10 อีเมล์ แล้วเพื่อนๆทำยังไงต่อไปครับ?

  • Scan ชื่ออีเมล์ อันไหนไม่น่าสนใจก็ข้ามไป อันไหนเป็นอีเมล์ที่รออยู่ก็เปิดขึ้นมาอ่าน แล้วไงต่อครับ?
  • มีเพื่อนส่งอีเมล์มาตามงานที่ฝากให้ทำ ไว้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ยุ่งล่ะ .. ยังไม่ได้ทำเลย ลองหาดูก่อนว่างานที่เค้าให้ช่วยมีรายละเอียดอะไรบ้าง ว่าแล้วก็ Scan / Sort / Search /Advance Search … กับอีเมล์ทั้งหมด 1285 อีเมล์ใน Inbox หาไม่เจอ ทำไงต่อไปครับ?
  • ส่งเมล์ไปขอเลื่อนวันส่งงานแล้วก็ขอ รายละเอียดมาใหม่ แล้วไงต่อครับ?
  • Minimize Outlook แล้วก็ทำอย่างอื่นต่อไป ใช่รึเปล่า?

ตอนสายหัวหน้าเดินมาตามงานที่โต๊ะ … วงจรเดิมก็เริ่มต้นอีกครั้ง แต่ที่่ต่างคือพยายามหนักขึ้นในการหาอีเมล์เก่าให้เจอ เพราะว่าไม่กล้าขอให้หัวหน้าส่งมาให้อีกรอบ ฮ่าๆๆ ลองคิดดูถ้าเราต้องทำแบบนี้ซักวันละ 3 ครั้งทุกๆวัน มันเสียเวลามากนะครับ ผมว่าเป็นชั่วโมงได้เลย แถมงานเก่าก็ไม่ได้ทำ งานใหม่ก็ไม่เดินหน้า ปัญหานี้เป็นตัวดูดเวลาอันมีค่าของเราอย่างชัดเจนครับ แล้วเราควรจะทำยังไงดี?


จัดการกับอีเมล์ของคุณทันทีที่คุณอ่านมันจบ!!! เริ่มที่จัดเก็บอีเมล์ให้เป็นหมวดหมู่โดยสร้าง File Folder ใน Outlook (หรือ app อื่นๆ) ซิครับ ถ้าเรื่องไหนไม่สำคัญ ลบทิ้งซะ ถ้าเรื่องไหนต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตอบกลับ เอาไปใส่ใน To-Do-List ไว้พร้อมทั้งเขียนคำตอบคร่าวๆเตรียมไว้เลยแล้ว save เป็น Draft ไว้ เดี๋ยวกลับมาเขียนต่อบ่ายๆก็ได้ ถ้าอีเมล์ไหนเป็นข้อมูลที่ต้องใช้ในการประชุม สั่ง print ทันทีจะได้ไม่ลืมตอนเข้าประชุม ถ้าอีเมล์ไหนเป็นการนัดประชุม เอาไปใส่ไว้ใน Calendar พร้อมทั้งตั้ง Reminder ไว้เลยครับ อ้อ… อย่าลืมใช้ Mail Filter ให้เป็นประโยชน์ด้วยนะครับ


เช็คอีเมล์ให้เป็นเวลา

Dan Markovitz กล่าวไว้ว่า “การตอบอีเมล์ทันทีที่ได้รับไม่ได้เป็นการบ่งบอกว่าเรามีประสิทธิภาพในการทำ งานดีเสมอไป แน่นอนเป็นการดีที่คนอื่นติดต่อคุณได้ตลอดเวลาแต่ก็ไม่จำเป็นที่เราต้องตอบ สนองสิ่งที่เค้าต้องการแบบทันทีทันใด คนส่วนมากต้องการการตอบสนองที่คาดเดาได้มากกว่าการตอบสนองแบบทันทีทันใด” ถ้าคนอื่นรู้ว่าเค้าต้องรอนานเท่าไรก่อนที่จะได้คำตอบ เราก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งเช็คอีเมล์ ตอบอีเมล์บ่อยๆในแต่ละวัน ตรงนี้จะช่วยให้เรามีสมาธิในการทำงานหลักของเราได้มากขึ้นด้วยครับ เทคนิคที่จะช่วยได้ก็มีดังนี้

  • เราไม่จำเป็นต้องรับรู้ทุกๆอีเมล์ที่ เข้ามาแบบทันทีทันใดครับ ถ้าเพื่อนๆตั้งระบบ New Mail Alert ไว้ เอาออกซะครับ (ผมเพิ่งเอาออกเมื่อกี้เอง) เพราะส่วนใหญ่เวลาเห็นว่ามีอีเมล์ใหม่เข้ามา เราก็ต้องเปิดอ่าน … สมาธิของเราหายไปแล้วครับ การเช็คอีเมล์ระหว่างทำงานหลักอยู่เป็นมีผลทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของ เราลดลงครับ
  • บางคนได้รับอีเมล์เป็น 10 เป็น 100 ฉบับต่อวัน (สุดๆไปเลย) อย่างที่บอกครับ เราไม่จำเป็นต้องตอบทุกอีเมล์ในทันที แต่เราควรจะจัดสรรเวลาไว้สำหรับการอ่านและตอบอีเมล์โดยเฉพาะ จะวันละกี่นาที กี่ชั่วโมงก็แล้วแต่หน้าที่การงานของแต่ละคน พยายามทำแบบนี้ให้ได้เป็นประจำ เราจะได้ทำงานหลักอย่างมีสมาธิโดยไม่มีเรื่องอีเมล์มารบกวนแล้วครับ


หลีกเลี่ยงการทำงานหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน

สำหรับใคร ที่เป็น Programmer คงรู้ดีว่า Context-Switching ใน Multi-Threaded Systemนั้นไม่ใช่กระบวนการที่ได้มาฟรีๆแบบ 100% แต่มันมี Overhead ที่ต้องเสียเวลาไปในแต่ละครั้งของการเปลี่ยน Thread ที่ได้เข้าใช้ CPU ก็เหมือนกับสมองของเราครับ ต่างกันที่ช้ากว่ากันมากเท่านั้น


สมองของคนเราไม่สามารถที่จะทำงานสองอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกันพร้อมๆกันได้ ถ้าจุดประสงค์ต่างกันไปยิ่งแ่ย่ไปกันใหญ่ครับ Sue Shellenbarger กล่าวในรายงานของเธอว่า “การทำงานสองอย่างในเวลาเดียวกัน (Multitasking) เป็นการกัดกร่อนมากกว่าเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเรา” เพราะว่าเราต้องแบ่งสมองและความสนใจไปให้กับงานสองอย่างพร้อมๆกันถึงแม้ว่า จะเป็นงาน(ที่เราคิดว่า)ง่ายๆก็ตาม เช่น อ่านอีเมล์ไปพร้อมๆกับคุยโทรศัพท์ นั่นเป็นการทำให้ความสามารถในการจดจำระยะสั้นของสมองเราทำงานได้ไม่เต็มที่ สุดท้ายแล้ว เราก็จะจำอะไรที่อ่านจากอีเมล์ไม่ได้ (ต้องเสียเวลาอ่านอีกรอบ) และจับใจความสำคัญของเรื่องที่คุยโทรศัพท์ไม่ได้ทั้งหมด (ต้องเสียเวลาคุยอีกรอบ) ซึ่งผลวิจัยกล่าวไว้ชัดเจนว่าการทำแบบนี้เสียเวลามากกว่าทำทีละงานให้เสร็จ ไปเป็นลำดับครับ


ถ้าเพื่อนๆอยากได้เวลาเพิ่มในแต่ละวัน พยายามฝึกทำงานทีละอย่างครับ ถามว่าง่ายมั้ย? อืมมม จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะว่าอะไรหรอ? ก็เพราะว่ามันยากที่จะบังคับสมองและใจให้ไม่ไปสนใจกับงานที่สองที่สามที่ เข้ามา เช่น เราตั้งใจมาอย่างดีว่าเอาล่ะฉันจะเขียนโค๊ดล่ะ ลงมือเขียนไปได้ 10 นาที MSN เด้งขึ้นมา … ผมว่า 90% ต้องหยุดเขียนโค๊ดแล้วไปอ่าน message แน่ๆ (ผมก็เป็นเหมือนกัน 555) แบบนี้ทำยังไงดี ลองถามตัวเองว่าเป็นไปได้มั้ยที่จะปิด MSN หรือในกรณีอื่นๆ เป็นไปได้มั้ยที่จะปิดโทรทัศน์ ปิดโทรศัพท์ หยุดคุยเล่น หยุดอ่านเวบบอร์ดก่อน ถ้าทำได้มันจะเป็นการปิดโอกาสให้งานที่สองที่สามเข้ามาขัดจังหวะเราแล้วครับ นี่คือหลักการ “Do More With Less” ที่ใช้ได้ผลแน่ๆ


ทำงานที่สำคัญที่สุดก่อน

ถ้าผมจะ เครียดเรื่องทำงานอะไรซักอย่างเสร็จไม่ทันหรือไม่ก้าวหน้าอย่างที่หวังไว้ ผมจะเครียดกับงานที่สำคัญจริงๆครับ เช่น เขียนโค๊ดไม่เสร็จ ทำ Test ไม่ทัน ลืมทำ Progress Report (อันนี้แย่จัง) รวมไปถึงเขียนบทความไม่คืบหน้า เป็นต้น แต่ผมจะไม่ค่อยคิดมากกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่น ว้าาา วันนี้ยังไม่ได้อ่านข่าว เฮ้อ ไม่มีเวลาทักทายเพื่อนใน MSN เลย อะไรแบบนี้ครับ เรื่องจริงที่เกิดคืออะไรรู้ปะ? ผมแทบไม่เคยบ่นกับตัวเองเลยว่า “ว้าาา วันนี้ยังไม่ได้อ่านข่าว เฮ้อ ไม่มีเวลาทักทายเพื่อนใน MSN เลย” 555


เรามี 24 ชั่วโมงต่อวันเท่ากันทุกคน ถ้าเราเสียเวลาแบ่งเวลาส่วนหนึ่งไปทำงานที่ไม่สำคัญก่อนจะยิ่งทำให้เวลาของ เราที่จะทำงานสำคัญเหมือนว่าเหลือน้อยลงครับ จากที่สำรวจตัวเองดู ก็เพราะผมมัวแต่ไปอ่านข่าว อ่านเวป เข้า MSN ก่อนที่จะทำงานสำคัญจริงๆ นี่แหละเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมต้องมาเครียดตอนหมดวัน ถ้าเพื่อนๆคนอื่นเจอสถานการณ์เดียวกับผมแบบนี้ทำยังไงดีครับ?


เรามาพยายามทำงานที่สำคัญที่สุด ยากที่สุด กินเวลาที่สุดก่อนเลยดีกว่าครับ ก่อนเช็คอีเมล์ เราบังคับตัวเองให้ทำ Progress Report ที่ต้องใช้ในการประชุมบ่ายนี้ให้เสร็จก่อนจะดีกว่ามั้ย? ก่อนเปิดเวป เราบังคับตัวเองให้ทำ Code Review ให้เพื่อนก่อนดีกว่ามั้ย? ที่ผมพยายามจะบอกก็คือ “ทำงานที่สำคัญที่สุดก่อน” ครับ เทคนิคนี้จะช่วยให้เราทำงานเสร็จได้เร็วขึ้นเพราะ

  • Penelope Trunk บอกไว้ว่า “คนเราไม่มีปัญหาในการทำงาน แต่มีปัญหากับการเริ่มงานต่างหาก” ถ้าเรากัดฟันเริ่มทำงานที่สำคัญๆแล้ว มันเป็นเรื่องง่ายที่จะบอกตัวเองให้ทำต่อให้เสร็จมากกว่าบอกตัวเองว่าให้ เริ่มครับ นั่นคือถึงแม้ว่างานนั้นจะไม่เสร็จภายในเวลาชั่วโมงสองชั่วโมงหรือหนึ่งวัน แต่มันก็จะง่ายที่เราจะบังคับตัวเองให้มาทำงานนั้นต่อในวันหลังฮะ
  • พอเราทุ่มเทกำลังและเวลาไปกับงานที่ สำคัญที่สุด ยากที่สุด และกินเวลาที่สุด เราก็จะเหลือเวลาให้กับกิจกรรมที่กินเวลาเราน้อยลงเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าเราจะใช้เวลาอย่างมีคุณค่ามากขึ้นครับ (น่าภูมิใจจริงๆ) ในขณะเดียวกันมันก็เป็นการลดความกดดันที่จะเกิดขึ้นตอนรู้สึกว่าจะทำงานไม่ ทันให้เราได้อีก


รู้จักวงจรชีวิตตัวเอง

ก่อนที่เรา จะเริ่มทำงานอะไรเราควรจะรู้จักตัวเองว่าเราทำงานในช่วงไหนได้ดีที่สุดด้วย ครับ สำหรับบางคนช่วงเวลาบ่ายโดยเฉพาะหลังกินข้าวกลางวันจะเป็นช่วงเวลาที่พลัง ชีวิตต่ำมาก (ใครไม่เป็นบ้าง?) ถ้าเพื่อนๆมีอาการเดียวกันก็ควรจะวางแผนทำงานที่สำคัญ งานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์หรือพลังงานมากๆช่วงเช้าซึ่งเป็นเวลาที่เรา กำลังฟิตและไฟแรง แล้วโยนงานประจำวันพวกจัดการอีเมล์ และอ่านรายงานต่างๆ มาไว้ช่วงบ่าย (หวังว่าจะไม่หลับกันไปซะก่อนนะ)


นอกเหนือจากช่วงเวลาในแต่ละวันแล้ว เราใช้แนวคิดนี้กับช่วงเวลาที่ดีในแต่ละสัปดาห์ได้ด้วย บางคนไฟแรงตั้งแต่วันจันทร์แล้วก็ค่อยๆมอดหายไป วันพุธอาจจะเป็นวันที่ขี้เกียจที่สุด … แล้วก็กลับมาฟิตเปรี๊ยะอีกครั้งตอนเช้าวันศุกร์ (ก็จะได้หยุดสองวันแล้วนี่) การวางแผนทำงานในแต่ละสัปดาห์ให้เป็นไปตามความเหมาะสมจะเป็นการใช้ศักยภาพ ของเราให้เกิดประโยชน์สูงสุดครับ เช่น วันจันทร์สมองกำลังแล่นฉิว นัดพบลูกค้าดีกว่า … วันพุธเริ่มขี้เกียจ เอา Progress Report มาทำละกัน … เย้ วันศุกร์ล่ะ ฟิตๆ นั่งคิดเรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานในทีมดีกว่า เป็นต้นครับ


เพื่อนๆมีวิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานยังไงกันบ้างครับ?

ปล. ภาคสองจะตามมาเร็วนี้ฮะ :D

ที่มา http://www.chapterpiece.com/project-management/2010/02/13/increase-productivity-1/

10 ขั้นตอนง่ายๆ ไกด์ไลน์ให้คนที่จะทำเว็บไซต์ Portfolio ของตัวเอง

เป็นไกด์ไลน์ง่ายๆ ยกตัวอย่างให้ดูครับ คิดว่าเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ก็แล้วกันครับส่วนใครจะมีขั้นตอนนอกเหนือจากนี้ ก็ใส่ได้เต็มที่ครับ แต่หลักๆ อย่าให้ขาด 10 อย่างนี้ครับ


1. Logo : โลโก้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเป็นอันดับแรกของผมที่จะนึกถึงเวลาทำเว็บไซต์ Portfolio มันสำคัญยังไง มันสิ่งแรกที่คนเช้าชมเว็บของเรามองเห็น

2. Tagline : Tagline คือข้อความต่างๆ ที่นิยามเว็บของเรา เราทำอะไรอยู่ เราเป็นใคร สิ่งสำคัญของ Tagline คือ “สั้น และได้ใจความ” เช่น

  • คุณเป็นใคร: นักออกแบบ, นักเขียน, หรือนักพัฒนาระบบ
  • คุณทำอะไร: รับออกแบบเว็บไซต์, ออกแบบนิตยสาร, เขียนหนังสือ, โปรแกรมเมอร์
  • คุณมาจากไหน: ประเทศไทย จังหวัดไหน
  • คุณเป็นอะไร: ฟรีแลนซ์ หรือ ทำงานประจำแล้วรับงานพิเศษ


3. ผลงาน: ส่วนนี้มีอิทธิพลมากกว่าทุกๆ ส่วนของ Port เราเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจของผู้สนใจในงานเราหรือผู้ใช้บริการที่เข้ามา ชมผลงานเรา ภาพต่างๆ ต้องเป็นภาพที่ใหญ่และคมชัด ผู้เข้าชมต้องเช้าถึงได้ง่ายไม่ซับซ้อน ถ้าเป็นเว็บไซต์ต้องมี Link ไปยังผลงาน ถึงแม้ว่างานชิ้นนั้นจะถูกลบออกไปแล้วก็ตาม


4. บริการของคุณ : บริการต่างๆของคุณ ส่วนนี้สำคัญมากเช่นกัน เราจะกับผู้เข้าชมว่าเรารับทำอะไรบ้างหรือมีบริการอะไรบ้างให้เค้า


5. About : อย่ากลัวว่าจะต้องโชว์ประวัติผลงาน ประสบการณ์ต่างๆ ของคุณเพราะคนที่เข้ามาชมหรือผู้ว่าจ้าง เค้าต้องการรู้ว่าคุณเป็นใคร ทำอะไรมาบ้าง รายละเอียดต่างๆ ที่ดีที่สุดของคุณเสนอเขียนออกไปให้ผู้เข้าชมได้เห็น ว่าคุณทำอะไรมาบ้าง ประสบการณ์ทำงาน ไลฟ์สไตล์ของคุณ งานอดิเรก ความสนใจพิเศษ ใส่ลงไปให้หมดอย่ากลัวที่จะบอกกล่าวคนอื่น


6. Contact : ส่วนนี้ต้องมี ไม่มีมีไม่ได้เพราะผู้เข้าชมหรือผู้ว่างจ้างจะได้ติดต่อคุณได้ ใส่ให้ชัดเจน ถูกต้อง ยิ่งมีช่องทางสื่อสารมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งได้เปรียบคู่แข่งเราเท่านั้น เบอร์โทร, อีเมล, Skype, Social Network, Messenger และ information ต่างๆ ใส่ให้ครบอย่างได้ขาด


7. บล๊อค : ยุคนี้สมัยนี้แค่เว็บโชว์ผลงานอย่างเดียวคงจะน้อยไปแล้วครับ มันต้องมีบางสิ่งที่สามารถบอกตัวตนของคุณได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งปัจจุบัน Blog กำลังเป็นที่นิยม และจะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน ซึ่ง Blog ของคุณจะบอกว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่คิดอะไรอยู่ พูดถึงเรื่องอะไร ไลฟ์สไตล์ แต่ละวันคุณทำอะไรบ้าง เป็นการเพิ่มจุดสนใจอย่างหนึ่ง และทรงพลังเป็นอย่างมาก


8. ลิงค์ที่ไปยังบริการและผลงานของคุณ : ทำส่วนนี้ให้ชัดเจน เพื่อเป็นทางลัดไปทางให้ผู้เข้าชมไปชมผลงานและบริการของคุณ ง่ายๆ ชัดเจน เด่นชัด เช่น “สั่งทำเว็บไซต์” “เสนอราคาทำเว็บ” “ดูผลงานเรา” เพื่อให้รวดเร็วในการสั่งการ


9. ใช้ Social Network ให้เป็นประโยชน์: พูดถึง Social Network อาจจะพูดได้ว่ากลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้คนไปแล้วก็ได้ หนุ่มสาววัยรุ่น วัยกลางคน วัยดึก วัยดื่น ต่างติดกันงอมแงมตั้งแต่ Hi5 มากลายเป็น My Space เรื่อยมาถึง Twitter ที่พูดได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งให้คุณโอบาม่า ที่ใช้เรียกคะแนนเสียงจากวัยรุ่นไซเบอร์ มาแล้ว และมาจนถึงปัจจุบันก็เป็น Facebook ที่กำลังระบายไปทั่วโลก ใช้สื่อพวกนี้ให้เป็นประโยชน์ในการโปรโมทเว็บไซต์ของคุณครับเพราะมีผู้คนล้น หลามมากมาย ที่กำลังเล่นมันอยู่

10. ภาษา การสะกด และการติดต่อสื่อสารต่างๆ : ทุกอย่างๆ ทุกๆ ตัวอักษรในเว็บไซต์ของคุณ ต้องเคลียร์และแม่นยำ พิถีพิถัน ต้องถูกต้องที่สุดผิดพลาดไม่ได้ และที่สำคัญห้ามออกทะเลไปไกลเด็ดขาด ต้องชัดเจน

ที่มา http://www.itimdesign.com/10-step-portfolio-professional/