วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557

"งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า" แน่นอน

ค้นหา 50ข้อคิด สู่อิสรภาพแห่งชีวิตในหนังสือ งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า



อ่านเจอบทความดีดีจากเพจ Boy's Thought นำเรื่องราวที่น่าสนใจมาแบ่งปันกันค่ะ

ช่วงหลังๆ ผมมักจะถูกถามว่า
อยากออกมาทำงานไม่ประจำบ้าง ต้องทำยังไง?
ทำงานไม่ประจำอยู่ แต่ไม่ค่อยทำเงิน ทำไงดี?

เอาล่ะ! นี่คือเคล็ดลับ 10 ข้อที่ผมยินดีแบ่งปัน
ไม่ใช่ทฤษฎีในตำรา แต่กลั่นจากประสบการณ์ล้วนๆ
ถ้าทำตามนี้ได้ รับรอง "งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า" แน่นอน

10 เคล็ดลับทำอย่างไรให้ งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า
โดย บอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ
1. ทำงานประจำให้ดีเสียก่อน 
ถ้ามีคนอื่นควบคุมแล้วยังทำงานได้ไม่ดี
อย่าหวังจะออกมาควบคุมตัวเอง ทำงานประจำต่อไปน่ะดีแล้ว

2. รู้จักสร้าง Connection ตั้งแต่ยังทำงานประจำ 
ผูกมิตรกับลูกค้า สร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง
วันนึงเมื่อออกมาทำเอง ลูกค้าที่รักเราจะตามมาใช้บริการ

3. อย่าวู่วามด้วยการลาออกทันที 
แต่จงเอาเวลาว่างไปสร้างงานไม่ประจำ
จนวันที่ทำเงินกว่า จึงค่อยตัดสินใจอีกที
(แนะนำว่าควรทำเงินกว่า 3 เท่าขึ้นไป)

4. อย่าโลกสวย ชีวิตต้องมีส่วนเผื่อความปลอดภัยด้วย 
เช่น มีเงินออมที่อยู่ได้เป็นปี แม้ไม่มีงานทำ
เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ อิสรภาพกับความมั่นคงมันไม่ค่อยถูกกัน
และเวลาไม่มีเงิน สมองมันจะคิดอะไรไม่ค่อยออก

5. งานไม่ประจำที่เลือก ขอให้เป็นงานที่รักและทำเงินกว่าเท่านั้น
คนส่วนใหญ่หนีความน่าเบื่อจากงานประจำมา
แล้วจะหนีเสือปะจระเข้ทำไม
ที่สำคัญเราจะยอมแพ้ง่าย
ถ้าไปทำงานที่เราไม่รักแถมเงินน้อยกว่าอีก
จำไว้ว่า ไปทั้งทีต้องดีกว่าเดิม

6. ขอให้งานไม่ประจำที่เราเลือก ไม่ใช่งานที่เอาเวลาไปแลก
เราเอาเวลาไปแลกในงานประจำมาพอแล้ว
จะออกมาทำงานหนักกว่าเดิมแบบไม่มีหยุดไปทำไม?
จงสร้างงานที่ทำให้เรามีรายได้จากระบบ จากลิขสิทธิ์
จากการใช้เวลาของคนอื่น จากการใช้เงินของคนอื่น

7. หาลูกค้ารายแรกของเราให้เจอ 
ใครคือคนที่จะแจ้งเกิดเรา
แล้วทำงานชิ้นนั้นให้เกินความคาดหมาย
เพราะงานชิ้นแรกจะเป็นงานอ้างอิงของเราในงานถัดๆ มา

8. อย่าหน้ามืดตามัว รับมันทุกงาน
สำคัญคือการเลือก เลือกงานที่เสริมชื่อเสียงเราด้วย
อย่ารับงานราคาถูกเกิน เพราะเราจะขึ้นราคาไม่ได้

9. สร้างความแตกต่าง สร้างแบรนด์
อย่าเป็นแค่คนทำงานไม่ประจำที่หาที่ไหนก็ได้
ไม่อย่างนั้นจะต้องวิ่งหางานราคาถูกไปตลอดชีวิต

10. กลับไปขอบคุณที่ทำงานประจำ
ที่สร้างเสริมประสบการณ์ให้เรา
ไม่มีเค้าวันนั้น ไม่มีเราวันนี้

Credit : Boy's Thought
รวบรวมโดย : NenaDesign
www.NenaDesign.Net/article/งานไม่ประจำทำเงินกว่า

วันพุธที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557

หลักการเขียนเบอร์โทร ที่ถูกต้อง ตามหลักสากล




      ผมได้รับข้อมูลจากน้อง ที่ทำงานเดิม เกี่ยวกับการเขียน เบอร์โทร ซึ่ง
ก็ไม่ทราบหลักการ และก็เจอรูปแบบการเขียนที่หลากหลาย  อันที่จริง
หลักสากลเขามีอยู่ เวลาจะเปลี่ยนนามบัตรจะได้ Update ที่ถูกต้อง..

       ตั้งแต่นี้ไป ถ้าพิมพ์นามบัตรใหม่ หรือพิมพ์หัวกระดาษจดหมายใหม่
ต้องพิมพ์หมายเลขโทรศัพท์ตามหลักสากลดังข้างล่างนี้ คือ


เบอร์โทรศัพท์บ้าน  
0  2 123 4567   ถ้าแจ้งชาวต่างชาติ ต้องเพิ่มรหัสประเทศ +66   2 123 4567

เบอร์มือถือ           
08 1123 4567   ถ้าแจ้งชาวต่างชาติ ต้องเพิ่มรหัสประเทศ +668 1123 4567

เบอร์บ้านเชียงใหม่  
0   53 12 3456   ถ้าแจ้งชาวต่างชาติ ต้องเพิ่มรหัสประเทศ  +66   53 12 3456

คำอธิบายโปรดอ่านข้างล่างนี้ 


คำแนะนำในการเขียนเลขหมายโทรศัพท์
 ให้ถูกต้องตามมาตรฐานสากล
 
อ้างถึง
จากคำถามที่ว่า
 ควรจะเขียนเลขหมายโทรศัพท์บนนามบัตรหรือโบชัวร์อย่างไร ให้ตรงตามมาตรฐาน 
ซึ่งถ้าคุณยังเขียนเป็น 
02-xxx-xxxx หรือ (02) xxx xxxx ก็ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้ว
 

การ เพิ่มเลขหมายโทรศัพท์พื้นฐานทั่วประเทศจาก 7 หลักเป็น 8 หลัก ในปี พ.ศ. 2544 นั้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการเขียนเลขหมายโทรศัพท์ เพื่อใช้ในนามบัตร โบรชัวร์ หรือสิ่งพิมพ์ต่างๆ


ทีโอทีได้แนะนำรูปแบบการเขียนเลขหมายโทรศัพท์ ให้เป็นไปตามมาตรฐานของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union: ITU) เพื่อให้เป็นที่เข้าใจได้ง่าย ตรงตามมาตรฐานสากล โดยมีแนวทาง ดังต่อไปนี้
แบ่งกลุ่มตัวเลขให้ถูก
 

1.        เลขหมายโทรศัพท์ในประเทศ 
2.        ให้เขียนเลขศูนย์นำหน้า ตามด้วยเลขหมาย 8 หลัก ซึ่งเป็นไปตามหลักของการเขียน Trunk prefix + Subscriber numbers 
3.        เช่น 0 2345 6789 หรือ 0 5345 6789 
4.        เลขหมายโทรศัพท์สำหรับติดต่อกับ ต่างประเทศ 
5.        ให้เขียนรหัสประเทศตามด้วยเลขหมายโทรศัพท์ ซึ่งเป็นไปตามหลักของการเขียน Country code + Subscriber numbers 
6.        เช่น +66 2345 6789 หรือ +66 5345 6789 
7.        หลายคนอาจจะมีปัญหากับการเขียนเลขหมายระบบใหม่ เพราะเคยชินกับระบบเดิมอยู่ แต่ก่อนเราเขียน (02) 345 6789 เพื่อแยกรหัสพื้นที่ ออกจากเลขหมายโทรศัพท์ 
8.        ในเมื่อระบบเลขหมาย 8 หลัก ไม่มีรหัสพื้นที่แล้ว การที่เรายังคงเขียนเป็น (02) 345 6789 นั้นก็อาจทำให้เข้าใจผิดไปได้บ้าง แม้ว่าผลลัพธ์ของการโทรนั้นไม่แตกต่างกัน แต่ในการพูด คุณสามารถที่จะบอกเบอร์โทรของคุณเป็น “ศูนย์สอง สามสี่ห้า หกเจ็ดแปดเก้า” ได้เหมือนเดิม ก็ไม่มีใครว่าอะไร 
9.        ที่จริงแล้ว บ้านเราก็ไม่ได้ทำตามคำแนะนำของ ITU เสียทั้งหมด 
10.        รูปแบบบางอย่างเราก็ยังคงใช้ตามนิยมที่ทุกคนเข้าใจ เช่น การเขียนเบอร์โทรที่ประกอบด้วยหลายเลขหมาย (Multiple numbers) นั้น มาตรฐาน ITU-T Recommendation E.123 แนะนำให้ใช้เครื่องหมายทับ (/) ระหว่างตัวเลข เช่น 
11.        * เลขหมายที่ไม่ติดกัน 0 2123 4567 / 3456 7890 / 4567 8901 
12.        * เลขหมายที่ติดกัน สามารถย่อเป็น 0 2123 4567 / 8 / 9 
13.        แต่ เราแทบจะไม่เคยเห็นรูปแบบนี้ในประเทศไทยเลย ที่นิยมใช้และเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไป จะใช้เครื่องหมายขีด “-” ระหว่าง เลขหมายที่ติดกัน หรือคั่นด้วย “,” สำหรับเลขหมายที่ไม่ติดกัน เช่น 
14.        * เลขหมายติดกัน 0 2123 4567-9 หรือ 0 2123 4567-71 
15.        * เลขหมายที่ไม่ติดกัน 0 2134 4567, 0 2345 6789 
16.        การเขียนเลขโทรศัพท์ตามแบบใหม่นี้ยังมีข้อดีคือ เลขหมายของคนกรุงเทพฯและต่างจังหวัด จะมีรูปแบบเหมือนกันทั้งประเทศ 
17.        เช่น เลขหมายของชาวกรุงเทพฯ 0 2345 6789 
18.        กับเลขหมายของชาวเชียงใหม่ 0 5345 6789 
19.        ถือเป็นการลดช่องว่างระหว่างเมืองกรุงกับภูมิภาคได้อีกระดับหนึ่ง 
20.        แบ่งกลุ่มตัวเลขด้วยช่องว่าง 
21.        มาตรฐาน ITU E.123 แนะนำให้มีการแบ่งกลุ่มตัวเลขของหมายเลขโทรศัพท์ โดยใช้ สัญลักษณ์ช่องว่าง (Spacing symbols) เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำและความสะดวกในการบอกกล่าว สัญลักษณ์ที่ควรใช้ที่สุดก็คือ ช่องว่าง (space) หรือการเว้นวรรค
22.        ไม่ควรใช้เครื่องหมายอื่นอย่างเช่น เครื่องหมายขีด “-” โดยเฉพาะเลขหมายระหว่างประเทศ เพราะอาจสร้างความสับสนได้โดยเฉพาะเมื่อนำไปใช้รวมกับเลขหมายที่ต่อเนื่องกัน เช่น 0-2123-4567-8 หรือ 0-2123-4567-70 
23.        ด้วยเหตุนี้ เราควรใช้ “ช่องว่าง” ในการแบ่งกลุ่มตัวเลขเท่านั้น 
24.        ใครที่เคยเขียนเบอร์โทรเป็น 02-123-456 นั้น 
25.        ก็ควรเปลี่ยนมาเขียนเป็น 0 2123 4567 ซึ่งถูกต้องกว่า 
26.        เลิกใช้เครื่องหมายวงเล็บ ( ) กับเบอร์โทร
27.        เครื่องหมายวงเล็บ ( ) นั้นใช้แสดงว่า ตัวเลขที่อยู่ในวงเล็บนั้นอาจไม่จำเป็นต้องใช้ในการโทร 
28.        เช่น รหัสพื้นที่ (02) สำหรับกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งแต่ก่อนสามารถโทรถึงกันได้โดยไม่จำเป็นต้องกดรหัส 02 ก่อน เราจึงสามารถเขียนเลขหมายเป็น (02) 123 4567 หรือ (053) 123 456 ได้ เพื่อแสดงให้ทราบว่าถ้าอยู่ในพื้นที่เดียวกันไม่ต้องกดรหัสพื้นที่ แต่หลังจากการเปลี่ยนระบบเลขหมายโทรศัพท์จาก 7 หลักมาเป็น 8 หลัก ทำให้ในปัจจุบัน เราต้องกดรหัสพื้นที่ก่อนเสมอ 
29.        ด้วยเหตุนี้ 
เราจึงไม่ควรใช้เครื่องหมายวงเล็บ ( ) ในเลขหมายโทรศัพท์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกต่อไป 
30.        คำแนะนำในการเขียนเลขหมายโทรศัพท์ ให้ถูกต้องตามมาตรฐานสากล Part 2/6 ใช้ +66 สำหรับเลขหมายระหว่างประเทศ (International number) 
31.        เครื่องหมายบวก “+” เป็น International prefix symbol ที่ใช้นำหน้ารหัสประเทศ และแสดงให้ทราบว่าเลขหมายโทรศัพท์ที่ตามมานั้นเป็นเบอร์โทรระหว่างประเทศ สำหรับตัวเลข “66” นั้นก็คือ รหัสประเทศ(Country code) ของไทยนั่นเอง 
32.        ในการกดเบอร์โทรไปต่างประเทศด้วยเครื่องโทรศัพท์ธรรมดา เราไม่ต้องกดเครื่องหมายบวก “+” 
33.        แต่ถ้าโทรออกด้วยโทรศัพท์มือถือ เราถึงจะสามารถกดเครื่องหมายบวก “+” ได้จริงๆ 
34.        แต่ถ้าเป็นการโทรระหว่างประเทศ เลข 0 ซึ่งเป็น Trunk prefix นี้จะถูกละเว้นไป นั่นเป็นเหตุผลที่เราสามารถเขียนเลขหมายโทรศัพท์สำหรับการโทรระหว่างประเทศ เป็น +66 2345 6789 และ
ไม่ควรใช้เครื่องหมายวงเล็บ ( ) และเครื่องหมายขีด (-) ในเลขหมายโทรศัพท์ระหว่างประเทศ ซึ่งจะสร้างความสับสนได้ง่าย 
35.        หมายเลขต่อ (ext.) 
36.        สำหรับ เบอร์ต่อนั้น ITU แนะนำให้เขียนโดยใช้คำว่า “ext.” ซึ่งย่อมาจาก extension ตามด้วยเลขหมาย เช่น 0 2345 6789 ext. 1234 
37.        แต่ของไทยเรานั้นใช้คำว่า “ต่อ” แทน จึงเขียนได้เป็น 0 2345 6789 ต่อ 1234 บางทีก็เห็นใช้เครื่องหมายชาร์ป (#) แทนอย่าง 0 2345 6789 # 1234 ก็เป็นที่เข้าใจได้เช่นกัน 
สรุปแนวทางการเขียนเลขหมายโทรศัพท์
จาก หลักการเขียนเลขหมายโทรศัพท์สำหรับสิ่งพิมพ์และสื่อต่างๆ ซึ่งได้แก่ การแบ่งกลุ่มตัวเลขให้ถูกต้อง การใช้ช่องว่างแยกกลุ่มตัวเลข, การเลิกใช้เครื่องหมายวงเล็บ และการใช้ “+66” สำหรับเลขหมายระหว่างประเทศ เราจึงมีแนวทางการเขียนเบอร์โทรศัพท์ดังนี้


เลขหมายโทรศัพท์ สำหรับโทรในประเทศ


เลิกใช้วงเล็บ                                              ไม่ควรเขียนว่า (02) 345 6789
เลิกใช้เครื่องหมายขีด (-)                                  ไม่ควรเขียนว่า 02-345-6789
เลิกใช้ช่องว่างรวมกับเครื่องหมายขีด (-)        ไม่ควรเขียนว่า 02 345-6789            
ใช้ช่องว่างแยกกลุ่มตัวเลข                                เขียนได้เป็น 02 345 6789
แยกกลุ่มตัวเลขให้ถูกต้อง                            เขียนได้เป็น 0 2345 6789

การ เขียนเลขหมายโทรศัพท์อย่างถูกต้องนั้น อาจจะดูแปลกในตอนแรก หากเราลองฝืนใจทำตามคำแนะนำไปสักระยะหนึ่ง ไม่นานก็จะรู้สึกดีขึ้น ที่เราเขียนเบอร์โทรได้ตรงตามมาตรฐาน ไม่ทำให้คนอื่นสับสน

สำหรับเลขหมายโทรศัพท์สำหรับติดต่อกับต่างประเทศ

ไม่ควร
 เขียน (662) 3456789 เพราะไม่ควรใช้วงเล็บ และขาดเครื่องหมาย +
ไม่ควรเขียน +66 23 456789 เพราะแบ่งกลุ่มตัวเลขไม่เหมาะสม
ไม่ควรเขียน +66(0)

ที่มา http://www.oknation.net/blog/Pasakorn/2010/11/04/entry-1

วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557

จงปรับตัวให้เป็นเหมือน "แมลงสาบ"

เชื่อหรือไม่ ? แมลงสาป อยู่ได้ทุกที่ กินได้ทุกอย่าง แม้กระทั้ง แมลงสาบ ด้วยกันเอง ! (ไม่งั้นคงสูญพันธ์ไปตั้งแต่ 250 ล้านปี ที่แล้วนู่น) หรือ?ในกล่องกระดาษที่บรรจุเครื่องดื่มประเภทเบียร์ ที่มีตัวอ่อนของ แมลงสาบ อยู่ในขวดเบียร์เพียงขวดเดียวมากถึง 200 ตัว และยังสามารถพบตามเครื่องไฟฟ้า เป็นจำนวนพัน ๆ ตัว !!!!!?(ที่จริงเราเป็นคนกลัวแมลงสาบมาก และตอนทำต้องนั้งดูรูปประกอบไปด้วยคิดดูสิว่า มันทรมาขนาดไหน T-T) แต่ในความกลัวก็มีความสงสัยอยู่ว่า แมลงสาบมาจากไหน? เกิดขึ้นมาได้ยังไง? ทำไมไม่ตายหายไปจากโลกนี้ เหมือนไดโนเสาร์ 

10 เรื่องจริง แมลงสาบสัตว์ที่อึดที่สุดในโลก มาเฉลยคะ !!!!!

แมลงสาบ คืออะไร
  • แมลงชนิดหนึ่ง โดยชื่อภาษาอังกฤษนั้นมีที่มาจากภาษาละติน?ส่วนชื่อไทยนั้นคำว่า สาบ หมายถึง กลิ่นเหม็นสาบ เหม็นอับนั่นเอง
  • แมลงสาบนั้น โดยทั่วไปที่รู้จักกันดีจะเป็นสายพันธุ์ Periplaneta americana ซึ่งสายพันธุ์นี้มีลำตัวยาวประมาณ 3 เซนติเมตร แมลงสาบอยู่ในวงศ์ Blattidae
  • ส่วน แมลงสาบไทย หรือ แมลงสาบ ในสายพันธุ์เอเชียจะอยู่ในวงศ์ Blattella asahinai ซึ่งมีความยาวลำตัวประมาณ 2 เซนติเมตรขึ้นไป
  • ความแตกต่างของ?แมลงสาบโบราณ กับ แมลงสาบในปัจจุบัน?คือช่องออกไข่ที่ปลายช่องท้องของมัน
  • มีการค้นพบ?ฟอสซิลแมลงสาบที่เป็นยุคปัจจุบัน คือ ” มีรังไข่เหมือนกับปัจจุบันในยุคที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์จากโลกไปแล้ว หรือที่เรียกว่ายุค Mesozoic “
  • แมลงสาบกิน?ทุกอย่างเป็นอาหาร บางสายพันธุ์สามารถกินไม้ ได้ด้วย
  • แมลงสาบ จะปรากฏตัวให้เห็นอยู่ในประเทศที่เป็นเขตเมืองร้อน
เรื่องจริงแมลงสาบ
เรื่องจริงแมลงสาบ
10. แมลงสาบสัตว์ที่อึดที่สุดในโลก :?ไข่แมลงสาบ
แมลงสาบ วางไข่เป็นกลุ่ม กลุ่มละหลายฟอง และจะเชื่อมติดกันเป็นกลุ่มด้วยสารเหนียวมีลักษณะเป็นแคปซูล หรือกระเปาะ รูปร่างเหมือนเมล็ดถั่ว ( ootheca ) รูปร่างลักษณะของแคปซูลจะแตกต่างกับไปไม่แน่นอนแล้วแต่ชนิดของแมลงสาบ?แมลงสาบบางชนิดจะนำกระเปาะไข่ติดตัวไปด้วยจนไข่ใกล้จะฟักจึงปล่อยออกจากลำตัว?แต่บางชนิดอาจมีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ (parthenogenesis) ก็ได้
ลักษณะ การวางไข่ของ แมลงสาบ แตกต่างกัน บางชนิดจะวางไข่ตามซอกมุมหรือในดิน หรืออาจจะวางติดกับฝาผนังบ้าน หรือเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ แมลงสาบหนึ่งตัว สามารถวางไข่กี่ฟองในชั่วชีวิตของมัน โดยเฉลี่ยแล้วแมลงสาบมีอายุ 180 วัน มันวางไข่เป็นกระเปาะ กระเปาะละ 30-40 ฟอง โดยชั่วชีวิตของมันจะออกได้ 6-8 ล็อก เมื่อคำนวณดูพบว่าแมลงสาบตัวเมียหนึ่งตัวสามารถกำเนิดลูกถึง 180 ? 320 ตลอดชั่วชีวิตของมัน นับว่าเป็น แมลงที่ลูกดกจริงๆ
เรื่องจริงแมลงสาบ
เรื่องจริงแมลงสาบ
9. แมลงสาบสัตว์ที่อึดที่สุดในโลก :?แมลงสาบต้นเหตุทำให้โลกร้อน
ข้อมูลนี้เป็นเรื่องจริง! จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า แมลงสาบ ผายลมออกมาเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เฉลี่ยทุก 15 นาที (ง่ายๆคือตดทุก15นาที) หลังจากมันตายมันก็ปล่อยก๊าซมีเทนถึง 18 ชั่วโมง และจากสถิติพบว่า การผายลมของแมลง มีมากถึง 20 % ของการปล่อยก๊าซมีเทนทั้งหมดในโลก อั๊ยย่ะ
ด้วยเหตุนี้ทำให้ แมลงสาบจึงถูกขึ้นบัญชีดำว่า “เป็นตัวการใหญ่ที่ทำให้เกิดโลกร้อน อย่างแท้จริง ” (นอกจากนี้ยังมีตัวการอีกชนิดคือปลวก ซึ่งปลวกทุกตัวจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ออกมา เพราะการกัดกินไม้ทำให้เกิดก๊าซขึ้นในกระเพาะ มันจึง ผายลมออกมา)
เรื่องจริงแมลงสาบ
เรื่องจริงแมลงสาบ
8. แมลงสาบสัตว์ที่อึดที่สุดในโลก :?ทำไมแมลงสาบตายมันจึงหงายท้อง?
แมลงสาบป่า เป็นอาหารชั้นดีสำหรับนกและสัตว์ตัวเล็กๆ อื่นๆ แต่เมื่อแมลงสาบมาอาศัยบ้านเรานั้น แน่นอนเรากินมันไม่ได้ ดังนั้นการกำจัดแมลงสาบคือการใช้เท้ากระทืบหรือเอาอะ ไรสักอย่างทับให้ไส้แตก และวิธีที่ฮิตที่สุดคือการใช้สารฆ่าแมลงฉีดพ่น?แต่คุณเคยสังเกตไหมว่าทำไมเมื่อแมลงสาปโดนสารฆ่าแมลง นี้เข้าไป ทำไมมันจึงหงายท้องก่อนตาย
ความจริงแล้ว แมลงสาบ ในธรรมชาติส่วนน้อยเท่านั้นที่หงายหลังตาย เพราะโดยทั่วไปแมลงสาบมักเป็นอาหารแก่สัตว์ต่างๆ ก่อนที่มันจะตายนั้นเอง แต่ เมื่อแมลงสาบมาอยู่บ้านมนุษย์ แมลงสาบไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออาศัยอยู่บนพื้นผิว เรียบๆลื่นๆ และโล่งๆ โครงสร้างร่างกายของมันส่วนใหญ่สร้างมาเพื่ออาศัยอยู่ในพื้นที่ขรุขระ มีเศษวัสดุอย่าง เช่น ใบไม้กิ่งไม้ กระจัดกระจายไปทั่ว เมื่อมันมาอาศัยอยู่ในบ้าน ซึ่งมีแต่พื้นเรียบๆลื่นๆ และโล่งๆ ก็จะทำให้มันมีโอกาสมากที่จะพลิกกลับลำตัวไม่ได้ เมื่อเผอิญหงายท้องไป บ้านใครที่สะอาดๆ แมลงสาบมีโอกาสจะตายเองมากกว่า
ส่วนกรณีที่ว่าทำไม แมลงสาป โดนสารฆ่าแมลงนี้เข้าไป ทำไมมันจึงหงายท้องก่อนตาย เนื่องด้วยสารฆ่าแมลงส่งผลผลต่อระบบประสาทของแมลงสาบ โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Cholinesterase เอนไซม์ชนิดนี้เป็นเอนไซม์ที่มีหน้าที่สลาย Acetylcholine (ACh) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาท เมื่อเอนไซม์ไม่ทำงาน มี ACh มากเกินไป จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการอัมพาต ขาของแมลงสาบจะงอเข้าหากัน เกิดเป็นความไม่สมดุล และทำให้แมลงสาบหงายท้องตายนั้นเอง
เรื่องจริงแมลงสาบ
เรื่องจริงแมลงสาบ
7. แมลงสาบสัตว์ที่อึดที่สุดในโลก :?แมลงสาบอินเตอร์
คำว่า แมลงสาบ มาจากภาษาสเปนคำว่า Cucaracha ส่วนภาษาอังกฤษแรกเริ่ม(ปี 1624) เขียนว่า Cacarootch แต่กระนั้นแมลงสาปนั้นมีอยู่ทั่วโลก ทุกทวีป ทั่วประเทศ จึงไม่น่าแปลกที่มันมีคำเรียกหลายภาษา เช่น ภาษาดัตซ์: kakkerlak m ,ฮิบรู:(jook) , ญี่ปุ่น: (gokiburi), มองโกเลีย: (joom), รัสเซีย: (tarakan), สวีเดน: kackerlacka, ตุรกี: hamam , อูดุ(Urdu)เป็นภาษาของชาวปากีสถานและอินเดียเหนือ:
เรื่องจริงแมลงสาบ
เรื่องจริงแมลงสาบ
6. แมลงสาบสัตว์ที่อึดที่สุดในโลก :?เสียงของ แมลงสาบมาดากัสการ์
แมลงสาบ ไม่ใช่ทุกพันธุ์ที่จะบินได้ เช่น แมลงสาบมาดากัสการ์ เป็นแมลงสาบที่ใหญ่ที่สุด ในบรรดาแมลงสาบด้วยกัน ชื่อสามัญว่า ? Madagascan Giant Hissing Cockroach ? ที่มาของชื่อเนื่องจากมันชอบร้องเสียงดังในระหว่างการผสมพันธุ์ และเมื่อมันถูกรบกวน หรือต้องการสื่อสารกับพวกให้รู้ถึงอันตราย อย่าง ที่บอกคือความสามารถพิเศษ แมลงสาบมาดากัสการ์ คือเสียง โดยตัวเต็มวัยของทั้งสองเพศและตัวอ่อนในระยะหลังสามา รถทำเสียงได้ เสียงนั้นคล้ายเสียงขู่ของงู (hissing sound) อวัยวะที่ให้กำเนิดเสียงของแมลงสาบชนิดนี้อยู่ที่รูหายใจ (spiracle) จากด้านข้างของท้องปล้องที่ 4 ทั้งสองข้าง แมลงสาบยักษ์ทำเสียงเพื่อใช้ในการเกี้ยวพาราสีก่อนผสมพันธุ์ แมลงสาบ เพศผู้อาจใช้เสียงขู่เพื่อไล่ตัวผู้อื่นๆเพื่อแย่งตัวเมีย นอกจากนี้เสียงขู่ยังใช้สำหรับป้องกันตัวเองจากศัตรูธรรมชาติ
เรื่องจริงแมลงสาบ
เรื่องจริงแมลงสาบ
ด้วย ลักษณะโครงสร้างของแมลงสาบ ทำให้มันค่อนข้างทนทานกับแรงกระแทกและอื่นๆอีกมากมาย บางครั้งก็เอาของหนักวางทับมัน มันก็ไม่ตาย และที่อึดยิ่งกว่านั้น คือ หัวขาดแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้เป็นอาทิตย์ ซึ่งน่าแปลกมากทำไมแมลงสาปโดนตัดหัวแล้วไม่ตาย แต่ในขณะที่มนุษย์โดนตัดหัวถึงตาย
นักวิทยาศาสตร์ได้ให้คำอธิบายเปรียบเทียบระหว่างคนและแมลงสาปโดนตัดหัวว่า “คนเรานั้นเมื่อโดนตัดหัวจะเสียชีวิตทุกรายเพราะเสียเลือดแรงดันเลือดต่ำลง ทำให้ไม่สามารถส่งออกซิเจนและสารอาหารเดินทางไปเลี้ยงเนื้อเยื่อในส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ อีกประการหนึ่ง คนหายใจทางปากและจมูก มีสมองทำหน้าที่ควบคุมการทำงานที่สำคัญ เมื่อไม่มีศีรษะระบบหายใจก็หยุดทำงาน และไม่มีช่องทางสำหรับอาหารเข้าสู่ร่างกาย แต่ระบบร่างกายของแมลงสาบ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
  • แมลงสาบไม่มีแรงดันโลหิตเหมือนคน มันไม่มีเครือข่ายเส้นเลือด หรือเส้นเลือดฝอยเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียน
  • แมลงสาบใช้ระบบเส้นเลือดไหลเวียนแบบเปิด ซึ่งใช้มีแรงดันโลหิตน้อยมาก
  • หลังจากแมลงสาบถูกตัดหัวขาดแล้ว แผลที่คอจะสมานอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดไม่ไหลทะลักออกจนตาย
  • แมลงสาบยังหายใจผ่านทางท่อหายใจขนาดเล็กที่อยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไม่จำเป็นต้องใช้สมองควบคุมการหายใจ และเลือดไม่ได้เป็นตัวลำเลียงออกซิเจนไปทั่วร่างกายแต่เนื้อเยื่อต่อตรงเข้ากับท่อหายใจโดยตรง
  • แมลงสาบ ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า สัตว์เลือดเย็น หมายความว่า กินอาหารน้อยกว่ามนุษย์ ดังนั้น ถ้ามันได้กินอาหารสักมื้อ มันสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้หลายสัปดาห์ ตราบใดที่มันไม่ถูกสัตว์นักล่าสวาปาม แค่มันทำตัวนิ่งเฉย ไม่เดินเพ่นพ่านให้ติดเชื้อรา แบคทีเรีย หรือไวรัส มาปลิดชีพ
  • นอกจากนี้ อวัยวะแต่ละส่วนของแมลงสาบยังมีกลุ่มเนื้อเยื่อประสาทเฉพาะของตัวเอง คอยตอบสนองระบบประสาทพื้นฐาน ถึงจะไม่มีสมองร่างกายของมันยังทำงานพื้นๆ ได้ เช่น ยืน และขยับตัวได้เมื่อถูกแตะ และไม่ใช่แต่ลำตัวเท่านั้นที่แสดงปฏิกิริยาตอบสนองได้แม้แต่หัวที่ขาดกระเด็นออกมาจากร่างกาย ยังสามารถขยับหนวดไปมาได้หลายชั่วโมงจนกว่าพลังงานหมด
  • หรือถ้าเอาสารอาหารป้อนแล้วไปเลี้ยงในตู้เย็น หัวแมลงสาบยังขยับได้อีกนาน
เรื่องจริงแมลงสาบ
เรื่องจริงแมลงสาบ
4. แมลงสาบสัตว์ที่อึดที่สุดในโลก :?แมลงสาบ ตัวการโรคภูมิแพ้
แมลงสาบ เป็นตัวก่อโรคสำคัญหนึ่งของมนุษย์ คือโรคภูมิแพ้ โดยแมลงสาบจะปล่อยสาร คัดหลั่งจากตัว ไม่ว่าจะเป็นอึ หรือ อะไรก็ตามที่อยู่บนตัวมัน เป็น Allergen(สารก่อภูมิแพ้)ชั้นดี ดังนั้น เด็กที่อยู่บ้านสกปรกก็อาจจะเป็นภูมิแพ้ได้ง่าย ซึ่งภูมิแพ้นี้ถ้าเป็นเรื้อรัง จะมีโอกาสพัฒนาไปสู่การเป็นโรคหอบหืดได้ แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าปัจจุบันมี ผู้ป่วยโรคแพ้แมลงสาบ (Cockroach allery) มากขึ้นเรื่อยๆ โดยพบอัตราการเกิดโรคสูงเป็นอันดับสองรองจากโรคแพ้ไร ฝุ่น (แพ้ไรฝุ่นประมาณ 60% , แมลงสาบ 40%)
อาการที่พบในผู้แพ้แมลงสาบ คือ หายใจไม่สะดวกหรือจับหืด (asthma) อันเนื่องมาจากการสูดดมสารแพ้ (cockroach allergens) เข้าไป ปัจจุบันนักวิจัยให้การยอมรับว่าแมลงสาบสามารถก่อให้ เกิดโรคภูมิแพ้ เช่น โรคหอบหืด และโรคแพ้อากาศ (rhinitis)
เรื่องจริงแมลงสาบ
เรื่องจริงแมลงสาบ
3. แมลงสาปเจ้าแห่งความเร็ว
มี การวิจัยแสดงให้เห็นว่าความเร็วที่สุดของแมลงสาบพันธุ์อเมริกันมีความเร็ว เฉลี่ย 2.0 ไมล์ต่อชั่วโมง(75 เซนติเมตรต่อวินาที) ซึ่งหากเปลี่ยนเทียบกับสัตว์ใหญ่สักตัวละก็ มีวิ่งเร็วพอๆ กับเสือชีตาห์!! ( 110-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ด้วยโครงสร้างที่เบา อีกทั้งสรีระที่แบนๆ ทำให้มันกระจายน้ำหนักได้ดี
ดังนั้นเราจึงเห็นมันวิ่งเร็วมากจนตบแทบไม่ทัน แต่กระนั้นมันก็ชอบหลงทิศหลงทาง ต้องใช้หนวดและตาในการคลำหาเส้นทาง และมันจะปล่อยสารไว้ตามทางที่มันเดินเพื่อจะได้กลับไปที่เดิมได้เร็ว ดังนั้นจึงไม่แปลกใจแต่อย่างใดหากเราจะเหยียบแมลงสาบ แล้วพบว่าแมลงสาบจะวิ่ง สะเปะสะปะ
เรื่องจริงแมลงสาบ
เรื่องจริงแมลงสาบ
2. แมลงสาบสัตว์ที่อึดที่สุดในโลก :?แมลงสาบผู้รอดชีวิตจากสงครามนิวเคลียร์
แมลงสาบ มีชื่อเสียงมานานแล้วว่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทนทายาด และมีการยืนกรานแล้วว่าแมลงสาบเป็นสิ่งมีชีวิตที่รอด ชีวิตจากระเบิด นิวเคลียร์แน่นอน แต่กระนั้นเราก็ไม่สามารถหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้ เลยว่าทำไมถึงเป็นเช่น นั้น บางทีอาจเป็นเพราะเซลล์ของแมลงสาบอาจสามารถฆ่ารังสีที่เป็นตัวก่อมะเร็ง, หรืออาจเป็นเพราะมันสามารถทนอยู่กับสภาพกัมมันตรังสี ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งได้
เรื่องจริงแมลงสาบเรื่องจริงแมลงสาบ
เรื่องจริงแมลงสาบ
Emerald roach wasp มีชื่อไทยว่า ต่อสาบมรกต หรือ ต่อมณีรัตน์ เป็นต่อชนิดหนึ่งพบได้ในแถบ แอฟริกา อินเดียและหมู่เกาะแปซิฟิก มันจะแสวงหาแมลงซักตัวเพื่อเป็นที่พักตัวอ่อนให้กับมัน โดยเหยื่อที่มันชอบคือ แมลงสาบ?แม้แมลงสาบมันจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวมันหลายช่วงตัวก็ตาม
  • แต่มันก็จะเข้าไปโจมตีโดยการต่อยแล้วปล่อยสารพิษประสาทที่ชื่อOctopamine ให้แมลงสาบ ส่งผลให้แมลงสาบเป็นอัมพาตแต่ไม่สามารถจะเดินได้ด้วยตัวเอง
  • จากนั้นต่อจะสามารถบังคับหนวดของแมลงสาบให้เดินตามมันไปยังรังของมันได้ตามต้องการอย่างว่าง่าย(คล้ายจูงหมากลับบ้าน)
  • เมื่อเข้ารังแล้วปล่อยไข่ไว้ในตัวมันแล้วมันก็จะเด็ดกินหนวดของเหยื่อของมัน (อ๊ะ! เหยื่อยังไม่ตายนะ)
  • จากนั้นมันก็จะฝัง แมลงสาบ ไว้เพื่อเป็นอาหารให้ลูกมัน
  • เมื่อลูกฟักจากไข่ ก็จะเริ่มกินอาหารก็คือเนื้อแมลงสาบ
  • ซึ่งขณะนั้น แมลงสาบ ไม่ สามารถทำอะไรได้(แต่ดิ้นได้) ก็จะทรมานกับการถูกกินทั้งเป็นและเป็นอาหารจนตัวอ่อนโตขึ้น
  • แมลงสาบ ก็จะเหลือแต่ซากแล้วล่ะ แล้วตัวเต็มวัยก็จะไปหาแหล่งผสมพันธุ์ แล้วมาปล่อยไข่ไว้ต่อไป


วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2557

microSD Card

881898_10151404588967739_1786314892_o

อันว่าสมาร์ทโฟนทุกวันนี้ก็แสนแพง ยิ่งหน่วยความจำภายในเครื่องเยอะก็ยิ่งแพงขึ้นไปอีก หลายคนจึงจำเป็นต้องซื้อเครื่องที่ถูกกว่า แต่คุ้มค่าและเพิ่มหน่วยความจำภายนอกได้ ซึ่งเจ้าหน่วยความจำภายนอกนี้ สำหรับสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่แล้วจะเลือกใช้ microSD Card เราจึงขอหยิบเอาบทความน่ารู้เกี่ยวกับ microSD Card มาฝากเพื่อนๆ นะครับ

MicroSD Card คืออะไร?

SD Card หรือเรียกชื่อเต็มๆ ว่า Secure Digital Card มีหลากหลายขนาดและรูปร่าง ทั้ง microSD และ miniSD มันคืออุปกรณ์ในการจัดเก็บข้อมูล แบบ nand Flash Memory ที่มีการนำไปใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์หลายอย่าง เช่น กล้องดิจิตอล โทรศัพท์มือถือ หรือแม้กระทั่งแท็บเล็ต สาเหตุสำคัญที่ทำให้มันเป็นที่นิยม คือ ราคาที่ค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับหน่วยความจำอื่นๆ ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนจึงเลือกใช้ microSD Card เป็นส่วนใหญ่ และปัจจุบันมีการพัฒนา microSD ให้ดีมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของความเร็วในการบันทึก ซึ่งมีการแบ่งออกเป็น Class ต่างๆ ดังต่อไปนี้

Class ของ microSD Card คืออะไร? สัมพันธ์กับความเร็วในการบันทึกข้อมูลอย่างไร?

  • Class 2 โอนถ่ายข้อมูลขั้นต่ำได้ที่ความเร็ว 2 MB / วินาที
  • Class 4 โอนถ่ายข้อมูลขั้นต่ำได้ที่ความเร็ว 4 MB / วินาที
  • Class 6 โอนถ่ายข้อมูลขั้นต่ำได้ที่ความเร็ว 6 MB / วินาที
  • Class 10 โอนถ่ายข้อมูลขั้นต่ำได้ที่ความเร็ว 10 MB / วินาที

ในปัจจุบัน SD Card ขนาดต่างๆ รวมทั้ง microSD Card ส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยความจำแบบ MLC (Multi-level Cell) ซึ่งจะสามารถเขียนข้อมูลลงได้เพียง 5,000 – 10,000 ครั้งเท่านั้น หลังจากนั้นจะไม่สามารถเขียนข้อมูลลงในนั้นได้ นั้นหมายความว่า จะไม่สามารถเซฟอะไรได้เลย

รูปตัวอย่างการอ่านข้อมูลบน microSD Card (U คืออะไร?)

เลข10 ที่อยู่ในตัว C นั่นคือ Class10 ก็จะมีการถ่ายข้อมูลขั้นต่ำที่ 10 MB/s ส่วนเลข 1 ที่อยู่ในตัว U คือ Class UHS-1 (ย่อมาจาก Ultra-High Speed Bus 1 ทำให้ความเร็วของอัตราการถ่ายโอนข้อมูลสูงสุดที่ ระดับ 104MB/วินาที และ 300MB/วินาที)ง่ายๆก็คือ มันอ่านได้เร็วกว่า Class 10 นั่นเอง
544528_10151404597052739_916907518_n

หลักการเลือกซื้อ microSD Card

1.  เลือกความจุที่เหมาะสมกับการใช้งานของเรา เอาไว้เก็บเอกสาร เก็บรูป เก็บวีดีโอ หรือเอาไว้ลงแอพพลิเคชั่น มากน้อยแค่ไหน? เราต้องเลือกให้เหมาะสม อย่าซื้อเผื่อ!! ถ้าไม่พอค่อยซื้อใหม่ได้ เพราะราคาในท้องตลาดมันลดลงเรื่อยๆ อยู่แล้วครับ
  • หากเอาไว้สำหรับจดชื่อที่อยู่ บันทึกอะไรเล็กๆ น้อยๆ แค่ 2GB Class 2-4 ก็เพียงพอ
  • หากเอาไว้สำหรับบันทึกรูปและเพลง แนะนำที่ 4GB – 8GB Class 6
  • หากเอาไว้สำหรับบันทึกรูป, เพลง และ วีดีโอ แนะนำ 16GB – 32GB Class 6-10 ถ้าเป็นวีดีโอแบบ FULL HD แนะนำอย่างยิ่งที่ class 10
2.  ตรวจสอบดูว่า ยี่ห้อสินค้า หรือ ผู้ผลิต มีรายชื่ออยู่ใน List รึเปล่า โดยเช็คได้ที่เว็บนี้  SDcard.org ถ้าสินค้าที่คุณกำลังเลือกซื้อ ไม่มีรายชื่ออยู่ใน List ห้ามซื้อ เด็ดขาด” เนื่องจากการผลิตในคุณภาพต่ำ, ลดระดับหน่วยความจำลง หรือความเร็วในการรับ – ส่ง ข้อมูลทำได้ช้า บางทีอาจจะทำความเสียหายให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกของคุณได้
3. เช็คให้ดีว่าเป็นของใหม่ เลือกร้านที่น่าเชื่อถือ ไม่ควรซื้อ microSD Card มือสอง อย่างที่บอกไปข้างต้น ว่าการเขียนข้อมูลมันมีได้จำกัด เผื่อซื้อๆ มาแล้วใช้ไปได้ไม่กี่ครั้งก็ใช้ต่อไม่ได้ มันจะไม่คุ้มเอา
4.ตรวจสอบกล่องหรือการหีบห่อให้ดี ว่าไม่มีการแกะพลาสติกที่หุ้มหรือกล่องที่เปิดมาแล้ว หากมีเครื่องหมายการันตีว่ารับประกันสินค้าด้วยยิ่งดีมาก ส่วนมากเดี๋ยวนี้มักจะรับประกันแบบตลอดอายุการใช้งานเลยครับ

เพียงเท่านี้เราก็สามารถกรอง microSD Card ไม่ได้มาตรฐาน หรือพวกของปลอมได้บ้างแล้ว ที่สำคัญเราควรสำรองข้อมูลในการ์ดเอาไว้ที่อื่นบ้าง เพราะเราก็อาจจะเจอเหตุการณ์ที่ว่า เมมเสีย เซฟไม่เข้า มีปัญหา เข้ามาได้เหมือนกัน อย่างที่บอกไปว่าความสามารถในการเขียนข้อมูลของมันจะลงได้เพียง 5,000 – 10,000 ครั้งเท่านั้น แม้ประกันจะเป็นแบบตลอดอายุการใช้งาน หากข้อมูลสำคัญสูญหายไปก็ไม่มีความหมาย

ที่มาและแหล่งข้อมูล