วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ระบบข้อมูลเครื่องจักร MACHINE INFORMATION SYSTEM

Machine

Machine(เครื่องจักร) คือหัวใจสำคัญของระบบการผลิต หากเราต้องการผลกำไรที่มากขึ้น
เราต้องดูแลเครื่องจักรให้ดีที่สุด โดยการเพิ่มประสิทธิภาพ การซ่อมบำรุงที่เหมาะสม ระบบ spare part ที่ดี
และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ ข้อมูลอันมหาศาลของเครื่องจักร
Machine(เครื่องจักร) มีข้อมูล data มากมายที่เราสามารถนำมาใช้ในการวิเคราห์ปัญหา(Problem Analysis) และเพิ่มประสิทธิภาพ
การนำ Signal ต่างๆ หรือควาบคุมเครื่องจักร สามารถทำได้โดยการ interface ผ่านระบบ computer หรือ micro-controller
และนำข้อมูลมาวิเคราะห์
Interface ของ computer ต่างๆ เช่น RS-232, USB Port, LAN หรือ I/O Card เราสามารถใช้ได้
ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมนั้นๆว่า interface ไหนที่จะดีที่สุด

ในกรณีที่เราต้องการตรวจสอบการทำงานของ machine ผ่านทางระบบ internet
แม้กระทั่งสั่ง boot หรือ shutdown ผ่าน Internet หรือ โทรศัพท์ ก็สามารถทำได้
การวิเคราะห์ต่างๆก็จะง่ายขึ้น ทุกคนสามารถเข้าถึง report ได้
เพียงแค่ click ข้อมูลต่างๆ จะถูกวิเคราะห์ ลดขั้นตอนการ เก็บข้อมูล โดยใช้ manual process

การประยุกต์ใช้งานข้อมูล มีได้หลากหลาย ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับผู้บริหาร และ ผู้ดูแล ว่าเราจะใส่ใจกับมันมากแค่ไหน
แต่อย่างไรก็แล้วแต่ หากเราไม่สนใจ และเอาใจใส่เครื่องจักรได้อย่างดี
เรามีโอกาสพลาดในการลดต้นทุนการผลิต และ เพิ่มผลกำไรให้กับบริษัท

ที่มา 

วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การทำ seo ให้เว็บติดอันดับ google





การทำ seo ให้เว็บติดอันดับ google นั้นสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ

1. การปรับ SEO On Page
เป็นการปรับให้เว็บรองรับและช่วยเหลือการทำ SEO โดยเน้นที่การปรับแต่งภายในของเว็บที่จะทำ Ranking บน Google ซึ่งการปรับ SEOออนเพจมีความสำคัญ เพราะจะเป็นการบอกให้ Search Engine รู้ว่าเรากำลังออกแบบเว็บเกี่ยวกับอะไร และเว็บของเรานั้นอยู่ในหมวดใดของคำค้นหา ไม่เพียงแต่การปรับ On Page จะเป็นการทำให้เว็บค้นหารู้จักเว็บของเราว่าเป็นเว็บเกี่ยวกับอะไรแล้ว ยังเป็นส่วนประกอบละเลยไม่ได้ที่ทำให้เว็บติดลำดับ Google เพราะหากเราเขียนรายละเอียดที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อผู้อ่าน เมื่อมีคนเข้ามาเว็บเราและเห็นว่าเป็นเว็บที่มีบทความคุณภาพก็จะส่งต่อหรือนำไปเผยแพร่ ทำให้เว็บของเราเป็นที่ชอบของผู้ที่ประสงค์ค้นหาข้อมูลที่สันพันธ์กับรายละเอียดที่เรา Present ซึ่ง เราสามารถปรับ seo on page ได้ด้วยเหตุนี้

1.1 Title Tag ไตเติ้ลของบล็อกนั้นมีความสำคัญและเป็นตัวที่จะบอกให้ Search Engine รับรู้ว่าเว็บของเรามีบทความเกี่ยวกับอะไรและเน้นเรื่องไหนเป็นดีกว่าปกติ โดย Google จะให้ความชั้นขาดไม่ได้ของ Title จากซ้ายไปขวา หากประสงค์เน้นคำไหนก็สามารถเขียนคำนั้นอยู่ตอนต้นของประโยคในไตเติ้ลแท็ก อย่างไรก็ตามไม่ควรกำหนดให้ไตเติ้ลสั้นหรือยาวมากจนเกินไป และไม่ควรใช้คำซ้ำๆ กัน

1.2 Meta Description Tag ในการทำ SEO ด้วยตัวเอง สิ่งที่จะดำเนินการให้เว็บ Search รู้จักและเข้าใจว่าเว็บเรานั้นมีรายละเอียดเกี่ยวกับอะไร นอกจาก Title แล้ว ยังมีอีกแท็กหนึ่งที่เป็นการทำให้เข้าใจภาพรวมของเว็บว่ามี Content เกี่ยวกับอะไร นั่นคือ Meta Description นั่นเองครับ ในการทำให้เว็บรองรับการทำ SEO ด้วยตัวเอง เราควรใส่คำทำให้กระจ่างเว็บลงไปในส่วนนี้ ทั้งนี้จะเป็นการทำให้ Search Engine นำเว็บเราไปจัดลำอันดับอย่างถูกต้องตามกลุ่มคำค้นที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บ

1.3 Meta Keywords Tag หากเราต้องการให้ Google Search นำเว็บของเราไปปรากฏในหมวดใด สามารถกำหนด Keyword หลักของเว็บได้จากแท็กคำบังคับนี้ ซึ่งคุณสามารถเพิ่ม Keyword ได้มากกว่า 1 คำ โดยมีสัญลักษณ์ , (คอมม่า) คั่นกลางระหว่างคำหลัก หรือคีย์เวิร์ดที่อยากทำลำดับ เคล็ดลับการเพิ่ม Keyword คือ ไม่ควรใส่มากเกินไป และควรเพิ่มคำที่มีอยู่ในเนื้อหาของเว็บ

1.4 H1 H2 H3... Tag หากค้นปรารถนาให้เว็บเป็นที่ชอบของ Google มากขึ้น สามารถใช้แท็กคำบัญชา H1 H2 H3 ในการกำหนดสัดส่วนของหัวข้อหรือชื่อเรื่องของบทความ และควรมี Keyword หลักของเว็บรวมอยู่ในชื่อเรื่องด้วย

1.5 Strong Tag การใช้คำที่มอบหมายตัวหนา (Strong) ให้กับข้อความ หรือ Keywords ที่เราประสงค์เน้นนั้น มีขาดไม่ได้ต่อการทำ Ranking อยู่ไม่น้อยครับ เพราะฉะนั้นเราสามารถใช้คำบัญชาขีดเส้นใต้ ตัวเอียง หรือการเพิ่มสีให้กับตัวอักขระในคำหลักของเว็บ เป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อ Ranking และทำให้อันดับของเว็บดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ควรใช้มากเกินไป ควรทำอย่างถูกและเป็น Nature 

1.6 Text Link ในหน้าหลักของเว็บที่ประสงค์โปรโมทเว็บให้คนรู้จักให้ติดลำดับ Google นั้น ควรสร้าง Anchor Text Link คีย์เวิร์ดที่ปรารถนาทำ Ranking เข้าสู่หน้าหลัก ซึ่งในหน้าหลักนั้นหากมีลิงค์ไหนที่มีการ Link ไปยังเว็บข้างนอกควรตั้งค่าให้เป็นลิงค์ Link แบบ Nofollow เพื่อไม่ให้สูญเสียค่า Page Rank ไปให้กับเว็บอื่น ส่วนการ Link ลิงค์ภายในเว็บควรตั้งค่าเป็นลิงค์แบบ Dofollow ซึ่งโดยปกติแล้วหากเราไม่ได้กำหนดค่าอะไรให้กับลิงค์ Search Engine จะรู้ว่าเป็น Dofollow Automatic และควรเพิ่มค่า title เพื่อกล่าว Link ที่เชื่อมโยง

1.7 Image การสร้างเว็บนั้นไม่ได้มีเพียงแค่เนื้อหา Message เพียงอย่างเดียว การเพิ่มภาพให้กับเว็บโฮมเพจจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับผู้อ่านบทความมากยิ่งกว่า ซึ่ง การเพิ่มรูปให้กับ Webpage นั้น ควรใช้คำที่มอบหมาย alt เพื่อบรรยายให้เสิร์ทเอนจิ้นเข้าใจว่าภาพนั้นเกี่ยวกับอะไรและมีความสัมพันธ์กับ Content ในเว็บเช่นใด

1.8 Keyword In Content อีกวิธีหนึ่งที่สำคัญและหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างยิ่งในการเขียน Article และให้เว็บค้นหาเข้าใจว่าบทความของเรามี Content เกี่ยวกับเรื่องไหนเป็นพิเศษ คือ การใส่ keyword ที่บริเวณที่ตั้งของรายละเอียดในส่วนแรก (First Content) ให้ใส่ คำค้น ไว้ในสถานะ 20 - 30 คำแรกโดยประมาณ ให้ชัดเจน หรืออาจจะใช้ตัวตัวหนังสือลักษณะเอียงหรือขีดเส้นใต้ก็ได้ การใส่ keyword ที่บริเวณ Content ในส่วนสุดท้ายของเนื้อหา (The last content) เพื่อเน้นความสำคัญหรือใช้ในการเอาเป็นว่ารายละเอียด อาจจะใช้เป็นลักษณะขีดเส้นใต้ ตัวเอียงหรือหนา (อธิบายให้ใช้ tag แบบ < b>คีย์เวิร์ด< /b> หรือแบบ < strong> Keyword ก็ได้มีค่า Equal เนื่องจาก Search Engine มีการให้สกอร์การจัด Ranking มากกว่า 200 Factor ) ก็ได้ครับตามแต่จะ Convenience 

1.9 Keyword In File Name ใช้ Method เพิ่ม keyword ในการตั้งชื่อไฟล์และโฟลเดอร์ (Folder name, File name) Method นี้ได้ผลเป็นที่ดีมากครับ เพราะเป็น Search Engine จะให้น้ำหนักรวมของวัตถุกับชื่อ File หรือ Folder หรือที่เรียกว่า Keyword In File Name เคสที่เขียนเว็บเองไม่ได้ใช้ CMS สำเร็จรูปอย่าง Wordpress สามารถที่จะกำหนดค่า .htaccess ในการแสดงชื่อ File ภาษาไทย ตามด้วย Surname .php หรือ html แล้วแต่จะง่ายดาย แนะแนวใช้แบบ .php เพราะ .html มีจุดด้อยในการปรับปรุงให้ดีขึ้นเว็บ แบบอย่างเช่น ไม่สามารถ include คำบังคับจากที่อื่นมาได้ ส่วนตัวอย่างที่ใช้เว็บสำเร็จรูปก็อาจใช้สัญลักษณ์ - ในการแยกคำที่มีหลายพยางค์ เป็นต้น

1.9 Keyword In Domain หากท่านสามารถขึ้นทะเบียนใช้งานชื่อเว็บได้ตรงกับ Keyword เป็นเรื่องที่ดีมาก หากชื่อไม่ว่างแล้วท่านก็สามารถที่จะใช้ขั้นตอนนี้ได้เพียงแต่อาจเอาคำอื่นมารวมอยู่กับชื่อที่ตรง Keyword เรื่องของคำค้นในโดเมนนั้นสามารถใช้ประโยชน์ได้ทุกยุคทุกสมัย เพียงแต่ใน ณ ตอนนี้จะต้องทำให้คุณภาพมากยิ่งขึ้นครับ

2.0 Content อัพเดท การปรับให้เว็บช่วยเหลือการทำ SEO ด้วยตัวเอง ด้วย SEOออนเพจ นั้น นอกที่เราจะปรับให้โครงสร้างของเว็บถูกหลักตามมาตรฐานของเว็บแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การหมั่นพากเพียรอัพเดทเนื้อหาของเว็บอย่างเป็นประจำ สม่ำเสมอ เพื่อที่จะให้เว็บมีเนื้อหา ให้ผู้ที่สนใช เข้ามา Read และ Study หา Knowledge จากเว็บของเรา อีกทั้งเพื่อบอกให้ Google Bot เข้ามา Update Cache ของเว็บเราอย่างเป็นประจำ เราควรอัพเดทบทความของเว็บอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง เพื่อที่จะปฏิบัติให้เว็บของเราเป็นเว็บที่มีข้อมูลใหม่ สด และเป็นประโยชน์ต่อ User อยู่เป็นประจำ

2.1 XML-Sitemap การที่จะทำให้เว็บของเรามีการ Update Cache ของ Search Engine อย่างต่อเนื่องนั้น นอกจากการรอให้ Google Bot วิ่งเข้าหาเว็บ เพื่อเก็บข้อมูลไป Index แล้ว การใช้ Google Webmaster Tools ในการ Update Sitemap นั้นมีขาดไม่ได้ เพราะว่า การเพิ่ม Sitemap ของเว็บเราเข้าไปในส่วนของเครื่องไม้เครื่องมือเว็บมาสเตอร์ จะช่วยให้หน้าเว็บที่สร้างใหม่มีการ Index เร็วขึ้น และสถิติหน้าของเว็บมีผลต่อลำดับบน Google Search ด้วย อย่างไรก็ตามหากเว็บนั้นมี Back Link คุณภาพ และมีการเพิ่มเนื้อเรื่องที่มีประโยชน์อย่างเป็นประจำรายวัน เว็บนั้นก็จะได้รับความสนใจจาก Google Bot เป็นดีกว่าปกติ และหน้าเว็บที่สร้างใหม่ก็จะถูกนำไปเก็บไว้ใน Search Engine อย่างรวดเร็ว

2.2 Web Structure and Web Layout การจะดำเนินงานให้เว็บช่วยเหลือระบบเสิร์ชของบริษัทกูเกิ้ลให้มีสมรรถนะนั้น Structure เว็บก็มีส่วนสำคัญในการให้คะแนนเพื่อจัดอันดับด้วยเช่นกัน เว็บที่มี Structure ที่ดีและส่งเสริม SEO คือเว็บที่เขียนด้วยภาษา HTML และ PHP หรือภาษาอื่นๆ ที่มีลักษณะการใช้แท็กคำสั่งที่ถูก รวมทั้งมีการจัดโครงสร้างเว็บให้รองรับ Operation ของ Tool Search โดยใช้เครื่องมือ W3C Validator ในการตรวจเช็คความถูกต้องของการเขียน Blog และการทำให้เว็บมี Structure ที่ง่ายกว่าที่คาดไว้ต่อการใช้งานและเข้าถึงข้อมูลนั้น ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยในเรื่องของการทำลำดับครับ

2.3 Keyword Density การอันจะทำให้เว็บเป็นที่ต้องการของระบบค้นหานั้น นอกจากการพิมพ์ด้วย Article คุณภาพแล้ว ควรมีการกำหนดความหนาแน่นของคีย์อย่างเป็น Nature ด้วย การกระจายคีย์ที่มีความหนาแน่นน้อยก็จะไม่ช่วยเรื่องของลำดับมากเท่าที่ควร แต่หากกำหนดความหนาแน่นของคำค้นมากเกินไป ก็อาจทำให้เว็บหายไปจาก Ranking ต้นๆ ได้ เพราะฉะนั้นการตั้งค่า Keyword Density ของเว็บให้ถูกต้องและเป็นธรรมชาติ จะช่วยจัดการให้เว็บติด Ranking ยาวนานและยั่งยืนครับ

2.4 High Traffic High Ranking การโปรโมทเว็บ โดยหวังเพียงแค่อันดับบน Search Engine เพียงอย่างเดียวนั้นไม่ยั่งยืนสถาพร เพราะปัจจุบันนี้กูเกิ้ลได้นำเอาคนมาเป็นตัวแปรหนึ่งในการวัดแต้มสำหรับจัดอันดับ หมายความว่า การปรับแค่เพียง SEO On Page และ SEO Off Page เพียงอย่างเดียวนั้น ไม่ได้สร้างความคงทนถาวรของ Ranking เจ้าของเว็บควรใส่ใจในส่วนของบทความ โดยปรับให้บทความข้างในเว็บมีคุณภาพเป็นมิตรกับ Reader และสร้าง Content ที่มีประโยชน์ เพื่อที่จะดำเนินการให้เว็บมีจำนวนผู้อ่าน หรือ Member ในการติดตาม Data ของเว็บอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเว็บมีเนื้อเรื่องที่ดี มีลิงค์ภายนอกคุณภาพในปริมาณที่คู่ควร และมีสถิติ UID Traffic ที่สมควรกับ Keyword หลักของเว็บ อันดับบนเว็บค้นหาก็ไม่ใช่เรื่องยากของเว็บที่ดี

2.5 Google Tools and API ณ ตอนนี้ทาง Google Inc.ได้ค้นคว้าพัฒนา Tool ของให้ยูสเซอร์เข้าลงทะเบียนใช้งานฟรีไม่จำกัด และหลากหลายประเภท เพราะเหตุนั้นนั้นก็เพื่อทำให้ User สามารถดึงเอาความสามารถของ Search Engine Ranking หนึ่งของโลกมาใช้งานอย่างมีสมรรถนะ อีกทั้งเพื่อสร้างการพบเห็นที่ดีในการใช้บริการของ Google Inc. และแน่นอนครับว่า การปรับ SEO-On Page ที่ดีนั้น ควรนำเอาระบบ Google Services มาติดภายในบล็อกหลัก หรือ Write คำบังคับเชื่อมโยงกับ Google API เพื่อทำให้เว็บมีการเชื่อมโยงของ Data และการมุ่งเสนอเว็บที่ดี อีกทั้งเป็นการทำให้เว็บรองรับการใช้งานของผู้ที่เข้ามาอ่านเว็บได้อย่างหลายหลาก ตลอดจนสามารถโต้ตอบและแชร์ Article ของเว็บได้

2.6 Use Local Language ในการทำ SEO ติดลำดับ Google ที่ถูกตามกฎและนโยบายของ Google แล้ว การเลือกใช้ Language ให้สอดคล้องกับกลุ่มจุดหมายปลายทางในการประชาสันพันธ์หรือการโปรโมท เป็นสิ่งที่สำคัญและมีความสำคัญอย่างยิ่ง เช่น หากเราปรารถนาอย่างแรงกล้าทำ Ranking บน Google.co.th ให้เราสร้างบล็อกที่ใช้ Thai Language เป็น Language หลักในการป้อนรายละเอียด หากเราต้องการทำลำดับบน Google.com ให้เราใช้ English (US) เป็นภาษาหลักในการเขียนบทความของ Blog อีกทั้งแล้วให้เราไปกำหนดจุดมุ่งหมายการทำลำดับกับ Webmaster Tools และควรใช้โฮสที่มีค่า IP Address ที่สมพันธ์กับท้องถิ่นที่ต้องการโปรโมทด้วย

2.7 Unique Content On Page การสร้าง Content ที่มี Quality และเป็นมิตรกับนักอ่านนั้น ควร Write ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด หรือสร้าง Content ที่ไม่ซ้ำใครและรายละเอียดเหล่านั้นมีประโยชน์ต่อผู้ที่เข้ามา Read การวิธีทำ SEO แท้จริงคือการชดเชยความปรารถนาด้าน Data ระหว่างผู้สร้างข้อมูล คือ Webmaster กับผู้ Check และรวมข้อมูล คือ Search Engine การมอบสิ่งที่เว็บค้นหาต้องการ เว็บค้นหาก็จะมอบอันดับที่เราปรารถนาอย่างแรงกล้าด้วยเช่นกัน สรุป เราควรขยันหมั่นเพียรในการเพิ่มเนื้อเรื่องที่มีประโยชน์ต่อผู้อ่านอย่างต่อเนื่อง และให้ขาดไม่ได้ในเรื่องของคนมากกว่า Ranking เพราะคนจะเป็นส่วนจำเป็นที่จะตัดสินว่าเว็บของเราควรอยู่ที่ Position ไหนของผลการค้นหา

2.8 Build Link In Site การ Link ลิงค์ภายในเว็บเป็นสิ่งที่ต้องสร้างให้มีความสันพันธ์กันของ Data พากเพียรนำทาง User ให้เข้าถึง Data ภายในเว็บอย่างถูกต้อง และจัดแสดง Content อันเป็นที่ต้องการของ User ตลอดจนปรับให้เว็บมีโครงสร้างที่ง่ายเพียงไม่กี่ขั้นตอนต่อการใช้งาน โดยกำหนดหน้าหลักเป็นตัวหลักในการนำทางไปยังหน้าย่อย และมี Anchor Text Link นำทางไปยังบทความต่างๆ ข้างในเว็บหน้าหลัก

2. การปรับ SEO Off Page
เป็นการปรับให้เว็บรองรับและช่วยเหลือการทำ SEO ด้วยตัวเอง โดยเน้นที่การปรับ Factor ภายนอกเป็นหลัก กล่าวคือ เป็นการกรอกเนื้อหาคุณภาพที่น่าชอบและเป็นมิตรกับ Reader และทำการ Link ลิงค์ไปยังเว็บหลัก หรือเรียกว่า การสร้าง Back Link ซึ่งการปรับ Search Engine Optimize ออฟเพจที่ถูกนั้น ควรให้จำเป็นของคุณภาพของ Content และความเป็นประโยชน์ต่อ Reader เป็นหลักครับ เพราะว่าหากเขียนเนื้อเรื่องที่น่าชอบก็จะมีผู้ที่เข้ามาอ่านนำหน้าเว็บดังกล่าวไปเผยแพร่ต่อ ซึ่งเป็นการสร้าง Back Link ที่ถูกต้องและเป็นธรรมชาติ การสร้าง Network ส่วนตัวไม่รวมคนอื่นก็เป็นการทำ SEO Off Page อีกแบบหนึ่งเช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าผู้ที่ทำ SEO มีการป้อนรายละเอียดให้มี Quality และมีประโยชน์มากน้อยเพียงใด หาก Write Content ที่ดีและเป็นมิตรกับคนอ่านแม่นยำว่าหน้าเว็บเหล่านั้นก็จะขึ้นสู่อันดับต้นๆ ของผล Search Google และส่งผลให้เว็บหลักมี Ranking ที่ดีขึ้นอีกด้วยครับ รวบยอด คือ การสร้างลิงค์เชื่อมโยงจากภายนอกเข้าสู่หน้าเว็บหลักที่ต้องการทำอันดับนั่นเองครับ

2.1 Link Building การสร้างลิงค์ที่ถูกและเป็นธรรมชาตินั้น ควรให้ขาดไม่ได้กับ Quality ของ Content เป็นอันแรก หากบทความไม่ได้ Quality และมีการ Link Anchor Text Link ไปหาเว็บหลักก็ไม่มีประสิทธิผล และอาจทำให้อันดับแย่ลงกว่าเดิม การสร้างบทความที่มีคุณค่าและมีวัฒนธรรมจะช่วยส่งเสริมให้ลิงค์เหล่านั้นสามารถดันอันดับเว็บหลักได้อย่างมีสมรรถภาพ

2.2 Keyword Diversify การทำ SEO ด้วยตัวเอง ในขณะนี้แตกต่างจากยุคที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง Google เน้นคุณภาพมากขึ้น การโปรโมทเว็บต้องให้ความหมายและรับผิดชอบต่อผู้ Search Data ผ่านทาง Search Engine มากขึ้น Content ที่นำไป Appear ต่อนักอ่านจึงควรเป็นเนื้อหาที่มีประโยชน์และเป็นที่ปรารถนาของผู้ Search อย่างแท้จริง การที่มุ่งหวังผลแต่เพียงลำดับอย่างเดียว โดยการใช้ Keyword ซ้ำๆ ในการทำลำดับนั้นไม่เป็นคุณประโยชน์ต่อการโปรโมทเว็บสร้างแบรนด์ให้คนรู้จักในยุคที่อัลกอลิทึมเน้น Quality หากอยากที่จะทำอันดับบน Google Search คุณควรเปลี่ยน Keyword Link ตามความถูกต้องของรายละเอียดเพื่อ Link ไปหาเว็บหลักอย่างสันพันธ์กัน การสร้างลิงค์คุณภาพจึงควรมีการปรับ Keyword Diversify อย่างเหมาะสมและมี Quality ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงรายละเอียดที่ผู้เสิร์ชข้อมูลอยากอย่าง Creative 

2.3 Page Rank ในการทำ SEO ด้วยตัวเองในยุคนี้ก็ยังไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ว่าค่า PR ไม่มีความสำคัญ อันที่จริงแล้ว Google ใช้ส่วนประกอบเยอะแยะในการจัดอันดับและค่า PR เป็นหนึ่งในส่วนประกอบหนึ่งที่มีผลต่ออันดับของ Blog ในขณะที่เว็บเพจปริมาณของ Back Link และคุณภาพของเนื้อหาอยู่ในระดับเดียวกัน เว็บที่มีค่า PR สูงกว่าจะมีอันดับที่เลิศกว่า เพราะเหตุนั้นค่าดังกล่าวนี้จะเป็นการกำหนดให้เข้าใจว่าเว็บนั้นมีคุณภาพมากน้อยเท่าใด ซึ่งมีค่าตั้งแต่ 0 - 10 การจะดำเนินงานให้เว็บของเรามีค่า PR ที่สูงขึ้นนั้น เราสามารถไปเขียนเนื้อหาที่น่าชอบในเว็บที่มีค่า PR สูงๆ และทำสร้าง Link กลับไปยังเว็บหลัก

2.4 Social Network กรรมวิธีการโปรโมทเว็บให้คนรู้จักเพื่อทำอันดับบน Google อีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญต่ออันดับอย่างมาก คือ Link จากเว็บโซเชียลเน็ตเวิร์ค ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Google Plus, Twitter และ Youtube เป็นส่วนสำคัญในการทำอันดับอย่างมาก การแชร์ Article คุณภาพผ่านสังคมออนไลน์และการสร้างวีดีโอเผยแพร่บน Youtube เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่จะช่วยให้ลำดับเว็บของคุณดียิ่งขึ้น

2.5 Unique Content Off Page ในการโปรโมทเว็บให้คนรู้จักติดลำดับ Google นั้น สิ่งละเลยไม่ได้ที่สุด ก็คือ การสร้าง Content Quality ไม่ซ้ำใคร หรือที่เรียกว่า Unique Content หรือ อาจเรียกอีกอย่างว่า Quality Content โดยที่ Article Quality จะต้องเป็นการก่อตั้งขึ้นมาใหม่เบ็ดเสร็จ และมีบทความที่ครอบคลุม ภาษา Write ได้ถูกต้องตามหลักไวยกรณ์ และข้อความที่เขียนเป็นมิตรกับคนอ่าน Article นั้นจะต้องให้สาระประโยชน์แก่คนอ่าน ตลอดจนชี้แจงรายละเอียดเรื่องนั้นๆ ได้อย่างลึกซึ้ง ผู้ที่เข้ามา Read บทความแล้วได้รับ Knowledge โดยที่รู้ Detail ได้ในระดับที่ดี การสร้าง Back Link ด้วยเนื้อหา Unique Content จึงเป็นการทำลำดับที่มีประสิทธิผล ทำให้เว็บที่ทำ SEO ด้วย Method Quality สามารถติดลำดับได้อย่างนานมาก ยาวนาน ไม่ได้รับอันตราย

2.6 High Authority Page Back Link การสร้าง Back Link นอกจากจะอาศัยบทความที่เป็น Unique Content ที่มีประโยชน์ต่อคนอ่านแล้ว การสร้างแบ็คลิงค์จากเว็บที่มีความสามารถไว้ใจได้ หรือเว็บที่มีปริมาณคนเข้าเว็บมากๆ นั้น มีความสำคัญ สาเหตุเพราะ External Link ดังกล่าวจะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บหลัก และได้รับค่า PR ไปด้วย โดยปกติเว็บที่มีคุณภาพจะมีปริมาณหน้าที่ Index ยอดรวมมาก มี Member หรือผู้คนที่เข้ามา Read Content ข้างในเว็บยอดรวมมาก และค่า Page Rank ของเว็บก็จะมีค่ามากด้วย

2.7 Difference IPs Class and Difference Country การปรับ SEO Off Page นอกจากต้องอาศัย Content คุณภาพ Quality Content ในมุมมอง Google Inc.แล้ว การเลือกใช้เว็บที่มีความแตกต่างของค่า IPs Address นั้นมีจำเป็นอยู่ไม่น้อย และช่วยในเรื่องของลำดับได้จริง เพราะ Google มองว่าการสร้างลิงค์จากไอทีที่แตกต่างกัน และ Server ไม่ซ้ำกันนั้น เป็นลิงค์ที่เชื่อมโยงเข้าสู่เว็บหลักอย่างเป็น Nature อย่างไรก็ดี Google มีอุปกรณ์และระบบ Google Algorithm Check ความถูกต้องของ Link และ Content เหล่านั้นได้ ว่าเป็นการสร้างอย่างเป็นธรรมชาติและมีคุณภาพมากน้อยแค่ไหน เพื่อที่จะคำนวณคะแนนและจัดลำดับตามเลขหมายของผล Search Search Engine Result Pages (SERPs) รวมไปถึงตำแหน่งที่ตั้งของเซิร์ฟเวอร์ ว่ามีความผูกพันกันกับการทำอันดับในแต่ละท้องถิ่นหรือไม่

Summary การทำ seo มี 2 ประเภท คือการปรับให้เว็บอุปการะ search engine ด้วยการปรับ seo on page และการปรับให้เว็บรองรับเสิร์ทเอนจิ้นด้วยการปรับ seo off page ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือการเน้นคุณภาพของรายละเอียดและปฏิบัติตามกฎและโนโยบายของ google ทั้งนี้สิ่งที่ละเลยไม่ได้ของการโปรโมทเว็บให้ติดลำดับ google คือ การป้อน Content คุณภาพ หรือที่เรียกว่า unique content ที่เป็นมิตรกับนักอ่าน บทความนอกจากจะไม่ซ้ำกับเว็บใดๆ แล้ว จะต้องมีสาระและประโยชน์กับ Reader อีกด้วย การทำลำดับในยุคยุคสมัยนี้จะต้องคำนึงถึงการพิมพ์ Content เพื่อให้อะไรกับผู้ที่เข้ามาอ่านเนื้อหา ตลอดจนปฏิบัติตามข้อบังคับและ Policy ของ google อย่างเคร่งครัด และไม่ควรใช้เคล็ดลับและ Method การใดๆ เพื่อได้มาซึ่งอันดับที่ผิด Method หรือไม่ถูก ผู้ที่โปรโมทเว็บไซต์ควรมองถึงเรื่องความคงทนถาวรของ Ranking มากกว่าความรวดเร็วในการติด Ranking เอาเป็นว่า การโปรโมทเว็บสร้างแบรนด์ให้คนรู้จักให้ติดอันดับ google สิ่งที่จำเป็นลำดับหนึ่งก็คือ เนื้อหาคุณภาพ

สิ่งที่ควรรู้ในการทำ SEO

Google Panda Algorithm
ธุรกิจ Google ได้วิจัยพัฒนาระบบเสิร์ช Search Engien ของตัวเองมาโดยตลอด และไม่คอยอยุดนิ่งอยู่กับที่ และ Google Panda ก็เป็น Algorithm อีกตัวหนึ่ง ที่ทางกูเกิ้ลเสิร์ซได้พัฒนาขึ้น เพื่อที่จะตรวจเช็คคุณภาพของ Content ของแต่ละเว็บ โดยมุ่งเน้นไปที่การเช็คความถูกต้องของเนื้อหา ว่าเว็บไหนมี Quality และมีเนื้อหาที่ต้องกับความต้องการของผู้ค้นหาสูงสุด และยังตรวจสอบเว็บบทความขยะ หรือ Spam Content หากตรวจพบก็จะถูกทำโทษโดยการ ลดอันดับผลการค้นหา ลดจำนวนการอินเด็กซ์ในผลการค้นหา Search Engine Result Pages ( S E R Ps) และหากพบว่าเว็บหรือบล็อกดังกล่าว ผิดกฎอย่างร้ายแรงก็จะถูกแบน ดังนั้นหากเว็บใดเขียน Content คุณภาพแล้วก็จะส่งผลให้ลำดับดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ที่จำเป็น การทำ SEO ดัน Ranking เว็บ Quality ก็จะทำได้ง่ายดายกว่าเว็บที่ไม่มี Quality 

Google Penguin 2.1 Algorithm
มาทำให้สนิทสนมกับอัลกอริทึมที่ Update ของ google ซึ่งในที่นี้ส่วนตัวข้าพเจ้าจะพูดถึง google penguin 2.1 สิ่งที่เปลี่ยนเพื่อการ Update penguin 2.1 คือ เว็บที่มีคุณภาพในสายตาของบริษัทกูเกิ้ลจะขึ้นมาแทนที่เว็บที่ไม่มีคุณภาพ อีกทั้งแล้วเว็บไหนก็ตามที่มีการสร้างลิงค์อย่างผิดกระบวนการและมีการเพิ่มปริมาณของลิงค์มากกว่าปกติใน Time ที่รวดเร็ว และเว็บที่ไม่ได้ Quality และมีการสร้าง Link ที่ผิดขั้นตอน ก็จะถูก Google Inc.ทำโทษ Google Pennalty นอกจากนี้แล้วการพากเพียรทำ SEO ที่ผิดข้อบังคับ ไม่ว่าจะเป็นการ Purchase Link เพื่อปรารถนาเพิ่มค่า PR การสร้าง Article คุณภาพและทำอย่างถูกต้องจึงเป็น Method ที่สุดยอดในการทำ Ranking บน search engine ยุคนี้ ซึ่งอาจรวบยอดได้ว่าอัลกอริทึมตัวใหม่ท้ายสุดนี้ออกมา เพื่อกำจัด Spam Link ที่ด้อยคุณภาพทั้งหลาย กำจัดลิงค์ที่สร้างจาก Network ที่ไม่มีคุณภาพไม่เป็นผลดีต่อผู้อ่าน นอกจากนั้นแล้วยังกำจัดลิงค์ผิดธรรมชาติในสาย Google การทำลำดับในในขณะนี้ควรกระจาย Keyword ให้มีความหลายอย่างต่างๆ กัน สร้างบทความคุณภาพอย่างลึกซึ้งและมี Content ที่ Link กับบทความประเภทเดียวกันเพื่อทำให้ search engine รู้ว่าเรากำลัง Write เนื้อเรื่องเกี่ยวกับอะไร แนวทางการทำให้เว็บกลับมาคือให้พยายามโฟกัสไปที่ Quality ของเว็บเป็นสิ่งที่เป็นอันดับแรกว่ามี Quality มากน้อย Size ไหน โครงสร้างของเว็บเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ มุ่งมั่น Check ลิงค์เสียภายในเว็บและ tag คำสั่งต่างๆ ว่ามีจุดผิดพลาดตรงไหนบ้าง แล้วดัดแปลงแก้ไขให้ถูกต้อง ต่อจากนั้นให้ไปดูในส่วนของลิงค์ภายนอกที่ Link เข้ามาหาเว็บหลักว่ามีลิงค์ไหนบ้างที่ด้อย Quality หรือมีบทความที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับเว็บหลัก โดยให้ดัดแปลงแก้ไขให้มีเพียงลิงค์ที่มี Quality กลับเข้าหาเว็บหลัก หลังจากนั้นก็ทำ Ranking ตามยุทธวิธีที่ถูกโดยเน้นคุณภาพของ Content เพื่อ Reader ให้สูงสุด โดยที่อัลกอริทึมเพนกวิน 2.1 ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ Check ลิงค์แปลกปลอม หรือลิงค์ที่มีการสร้างแบบไม่เป็น Nature Unnatural Link ดังนั้นบริษัทกูเกิ้ลมุ่งมั่นพัฒนาระบบค้นหาของตัวเองให้มี Quality เพราะเหตุนั้นเพื่อชดเชยอุปสงค์ของผู้ค้นหา Data ให้สามารถค้นหาข้อมูลได้ตรงอุปสงค์ และมีความถูกต้องสูง สรุปการทำ SEO ในยุค ณ เวลานี้นั้น จะต้องเน้น Article Quality เป็นหลัก Unique Content คำว่า คุณภาพ ในทรรศนะ Google คือ จะต้องเขียนเนื้อเรื่องที่เป็นผลดีต่อผู้อ่าน นักอ่านเข้ามาอ่านแล้วได้รับประโยชน์ ตลอดจนเนื้อเรื่องนั้นจะต้องเป็นมิตรกับผู้อ่าน อ่านง่ายแบบสบายมือเลย และถูกหลักไวยกรณ์ของ Language รวบยอดคือ Google Penguin 2.1 ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบ Back Link ที่เข้าหาเว็บหลักว่ามีรายละเอียด Quality หรือไม่ และมีการเพิ่มปริมาณของลิงค์อย่างเป็น Nature หรือไม่ หากทำตามกฎของ Google Inc.แล้ว ไม่ว่าระบบอัลกอริทึมจะวิจัยพัฒนาไปทิศทางใด เราก็สามารถอยู่กับระบบที่เปลี่ยนแปลงได้ เพื่อระบบที่ปรับปรุงพัฒนาขึ้นจะมุ่งเน้นไปที่ Quality เสมอ

Google Hummingbird Algorithm เรียกได้ว่าเป็น Algorithm ท้ายสุดอย่างเป็นทางการที่ Google ได้วิจัยพัฒนาขึ้น เพื่อตรวจเช็คคุณภาพของเว็บ Structure เว็บ การเชื่อมโยงลิงค์ภายในเว็บ ซึ่งหน้าที่หลักคือสำรวจการ Link เนื้อหาข้างในเว็บ ว่า Content แต่ละหน้ามีความผูกพันกันกันหรือไม่ และ Content เหล่านั้นตรงกับความประสงค์ของยูสเซอร์หรือไม่

Create Back Link from Free Blog
หากท่านผู้อ่านกำลังวิจัยเกี่ยวกับ Search Engine Optimize และต้องการมี Blog หรือเว็บของตัวเอง ข้าพเจ้าขอบอกให้ลองใช้ blogger ในการกรอก Blog ของตัวเองครับ เพราะสามารถใช้งานได้ง่ายยิ่งกว่าอะไรและมีประสิทธิผล อีกทั้งสามารถ Link ไปยัง google plus และ youtube เนื่องจากทั้งหมดเป็นสินค้าของบริษัทกูเกิ้ล การใช้งานนั้นง่ายกว่าที่คาดไว้มากครับ เพียงแค่เรายื่นใช้งาน gmail เสร็จเรียบร้อย ก็สามารถนำอีเมล์ log in เข้าใช้งานได้ฉับพลัน นอกจากนี้ท่านยังสามารถสร้างรายรับจาก Blog ด้วยการลงทะเบียน google adsense จากข้อมูลขั้นต้นที่ตัวกระผมเองแจกแจงนั้น จะเห็นว่า blogger มีความสามารถที่หลากหลายและเหมาะสำหรับ Write เนื้อหา Quality และโปรโมทให้เป็นที่รู้จักของคนหมู่มาก นอกจากการที่เราสามารถใช้ Blog เกอร์ในการเขียน Article แล้ว เรายังสามารถที่จะนำมาสร้างเป็น back link กลับไปยังเว็บหลัก ซึ่งมีส่วนช่วยในเรื่องของลำดับได้มากในอันดับหนึ่งครับ นอกจากนั้น "Wordpress" เป็นอีก Blog ที่สนับนสนุนการทำ SEO โดยมีโครงสร้างและฟังกชั่นอุปการะวิธีทำ SEO Ranking หนึ่งของโลก เพราะมีโครงสร้างที่ดีสามารถปรับเปลี่ยนได้จากทุกส่วน รวมทั้งสามารถติดตั้ง Plugins เพิ่มได้ให้ใช้ฟรีไม่จำกัด รวมทั้งลักษณะของ Blog หรือที่เรียกว่า Themes และมีการตั้งค่าต่างๆได้อย่างหลายอย่างต่างๆ กัน แต่นักทำ SEO ด้วยตัวเอง หลายรายที่รู้ผิดว่า wordpress โดนเว็บค้นหากูเกิ้ลแบนง่ายยิ่งกว่าอะไร ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย เพราะว่าเว็บดังๆทั่วโลกส่วนมากก็ใช้ cms ตัวนี้ในการสร้างบล็อกครับ เรื่องจริงแล้วการจะโดน google แบนหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ " Quality ของรายละเอียด" มากกว่าครับ ต่อให้เป็นเว็บสำเร็จประเภทใด หรือแม้กระทั้งเขียนเว็บด้วยตัวเอง ก็มีโอกาสโดยแบนได้หากทำผิดกฎหรือไม่ Write Article Quality ด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้สิ่งจำเป็นไม่ใช่ Flatform แต่ Content ต่างหากเป็นตัวกำหนดคุณภาพของเว็บ แต่การมีเว็บที่มีโครงสร้างที่ดีก็จะได้เปรียบมากกว่า ซึ่งเราสามารถใช้ Service ของเวิร์ดเพลสรุ่นฟรี ที่ wordpress.com ส่วนตัวไม่รวมคนอื่นติดตั้งของเวิร์ดเพลส สามารถ Download ได้ที่ wordpress.org ครับ

Create Back Link from Webboard
เว็บบอร์ดเป็น Web Platform ประเภทหนึ่ง ที่สามารถนำมาใช้ทำอันดับบน Google Search ได้เป็นอย่างดี และ Google Bot ก็ชอบที่จะมาเก็บ Data ตามเว็บบอร์ด เพราะเว็บบอร์ดจะมีความถี่ต่อเนื่องในการ Update Content ที่รวดเร็ว ยิ่งเป็นเว็บที่มี Member จำนวนมาก ยิ่งทำให้บทความข้างใน Webboard มีการอัพเดท Content อย่างบ่อยๆนั่นเองครับ อย่างไรก็ตาม Web Forum แต่ละเว็บนั้น จะมีความแตกต่างในเรื่องของ Quality ของ Article บางเว็บอาจจะมีการโพสเว็บบอร์ดด้วย Content ซ้ำๆ หรือที่เรียกว่า Duplicate Content แต่อย่างไรก็ดี Google Inc.สามารถแยกแยะได้ว่า Content อันไหนมี Quality หรือ Content อันไหนด้อย Quality การที่จะเลือกโพสเว็บบอร์ดนั้น ควรเลือกเว็บที่มี IP Address อยู่ในประเทศหลักชัยที่เราต้องการทำลำดับ Search Engine ครับ และให้เน้นโพส Article Quality ไม่ซ้ำกับเว็บไหน Content ที่โพสต้องเป็น Unique Content ทุกโพส เพื่อจะทำให้เราสามารถทำอันดับได้อย่างมีความสามารถ Webboard ที่ส่วนตัวกระผมกล่าว คือ SMF Forum, PHPWind, phpBB, Discuz, myBB และ Vbulletin การโพสเว็บบอร์ดจะมีข้อเลิศกว่าการโพส Blog Network ตรงที่เมื่อโปรโมทเว็บติด Ranking Google แล้ว จะติดอันดับเนิ่นนานและอยู่ได้นานๆกว่า

Social Network and Google Rank
หากท่านมีเว็บและปรารถนาโปรโมทเว็บสร้างแบรนด์ให้คนรู้จักไซต์ให้ติดอันดับ Google ไม่ว่าจะด้วยวิธีการจ้างธุรกิจทำ SEO ด้วยตัวเอง หรือทำ SEO ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะถึงจะอย่างไรครับ สิ่งจำเป็นและขาดไม่ได้อย่างยิ่งสำหรับการทำ SEO ในยุคสมัยนี้ รวมไปถึงการทำ Marketing ยุคใหม่ ล้วนต้องมีเรื่องของ Social Network เข้ามาข้องเกี่ยวครับ โซเชียลเน็ตเวิร์ดที่ได้รับความโปรดปรานมีอะไรบ้าง มาดูกันเลยครับ อาทิเช่น Facebook ตัวนี้ Ranking หนึ่งของวงการสื่อ Social Online ก็ว่าได้ครับ Google Plus Products ของกูเกิ้ล Twitter เว็บ Social ออนไลน์ที่ส่ง Data ภาพระหว่างกัน Youtube เว็บไซต์แชร์ไฟล์วีดีโอลำดับหนึ่งของโลก และมีอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งคุณสามารถเข้าไป Register และทำ Landing Page ของตัวเองขึ้นมา จากนั้นก็นำ Link ของเว็บคุณและรายละเอียดต่างๆมา Post เข้าไป จากนั้นก็แชร์ ซึ่งมีผลต่อลำดับบล็อกของคุณที่จะช่วยให้เว็บมีความเคลื่อนไหวและมี Link มาจากเว็บ Quality ที่มีค่า PR สูงครับ สิ่งละเลยไม่ได้ที่ควรคำนึงและไตร่ตรองเป็นอันดับแรกก็คือ Quality ของเนื้อหา เราต้อง Write Content ที่ Quality ในมุมมอง Google โดยสร้างรายละเอียดที่มีประโยชน์ต่อนักอ่าน หากเราเขียนเนื้อเรื่องที่ดีคนที่เข้ามาอ่านรายละเอียดก็จะนำ Content และที่อยู่ของเว็บเราไปโพสต์ต่อ และนี่เป็นการสร้าง Back Link อย่างเป็นธรรมชาติ Summary คือ การทำ SEO ที่ถูกและมีสมรรถภาพในสมัยนี้จะต้องใช้ระบบ Social Network มาเป็นส่วนหนึ่งของการโปรโมทและทำ Marketing ผ่านระบบออนไลน์ครับ

Build Difference IPs Back Link
การทำ Ranking Google นอกจะอาศัยการสร้าง Article ที่มี Quality ที่เรียกว่า Unique Content แล้ว การเลือกโฮสที่ต่างไอพีนั้นมีขาดไม่ได้ในการทำอันดับด้วยเช่นกันครับ เป็นที่ทราบกันในวงการ SEO ว่า ควรเลือกใช้โฮสที่มีค่า IPs Class C ที่แตกต่างกัน เพราะ Google จะมองว่าลิงค์ภายนอกดังกล่าวมาจากเว็บที่มีเจ้าของแตกต่างกัน และไม่เป็นการจงใจทำ SEO มากเกินไป แบบอย่างเช่น IP 223.204.80.196 ที่ตั้งเลข 196 คือ Class D ตำแหน่งเลข 80 คือ Class C Position เลข 204 คือ Class B และตำแหน่งเลข 223 คือ Class A เอาเป็นว่าได้ว่า เราสามารถเลือกใช้ Hosting ที่มีค่า IPs ตั้งแต่ Class C, Class B และ Class A ในการทำ Ranking โดยการเช่าโฮสและจดโดมเมนเพื่อโพสเนื้อเรื่องด้วยตัวเองนั้น ให้ระมัดระวังอย่าให้เว็บเชื่อมโยงเข้าหากัน และ Article ที่โพสจะต้องมีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านด้วยครับ

Quality Blog Network
การสร้างเน็ตเวิร์ดส่วนตัวไม่รวมคนอื่น หรือ Blog Network นั้น เป็นการทำ Ranking บน Search Engine ที่ต้องลงทุนในการเช่า Host และขึ้นทะเบียนจด Domain Name ของทำเป็น Back Link ดันลำดับเว็บไซต์ ถ้าหากทำ SEO Network ไม่มี Quality ก็จะถูกทำโทษหรือที่เรียกว่า Google Penalty หากเน็ตเวิร์ดส่วนตัวไม่มี Quality รายละเอียดเข้าขายสแปม ก็จะถูกแบนจากระบบเสิร์ช โดยที่ไม่สามารถ Search Domain Name นั้นได้ และการ Index ของเว็บนั้นจะเท่ากับศูนย์ และเว็บที่ถูกเน็ตเวิร์ดส่วนตัวไม่เกี่ยวกับใครด้อยคุณภาพทำลิงค์กลับเข้ามา จะถูกส่งไปอยู่หน้าท้ายๆ หรือระดับมืออาชีพสุดคือ แบนทั้งเว็บที่เป็นเน็ตเวิร์ดและเว็บหลัก การสร้าง Network ส่วนตัวไม่เกี่ยวกับใคร จึงเป็นอะไรที่ต้อง Quality มากๆ Web Platform ที่ google จับตามองเป็นเหนือกว่าในการสร้างบทความ ได้แก่ Wordpress, Pligg, SMF เว็บเหล่านี้มี Structure ที่ช่วยเหลือ SEO รอบด้าน แต่หากนำบทความที่ด้อยคุณภาพก็จะถูกทำโทษได้ง่ายเพียงไม่กี่ขั้นตอน อย่างไรก็ตามเราสามารถปรับปรุงและ Write ให้มี Structure ที่แตกต่างได้ และมุ่งมั่นอย่าให้มีลิงค์ออก Outbound Link มากเกินไป อีกทั้งควรสร้าง Back Link คุณภาพกลับเข้าหาเน็ตเวิร์ดส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องใครด้วย หากปรารถนาอย่างแรงกล้าใช้ Network ส่วนตัวดันอันดับนั้น ส่วนตัวผมอธิบายให้เช่าโฮส IPs Class C ตั้งแต่ 100 ไอพีขึ้นไปครับ

Unique IP Traffic and SEO Rank
การทำ SEO ในยุคนี้ การสร้างเนื้อหาคุณภาพ จากเว็บที่มีค่า Page Authority สูง แล้วชี้ Anchor Text Link ที่หลายหลากกลับไปหาเว็บหลักเป็น Factor สำคัญในการทำ Ranking บน Search Engine แล้ว ตัวแปรจำเป็นอีกส่วนประกอบหนึ่งคือ Human ที่มีค่า UIP ที่แตกต่างกัน ปัจจุบันทันด่วน google ได้นำเอาคนมาเป็นส่วนหนึ่งของการให้สกอร์และจัด Ranking Blog เช่น หากเว็บไหนมีคนคลิกเข้าไป Read รายละเอียดแล้วอยู่หน้านั้นๆ นานๆ ปรากฏว่า Article ในหน้านั้นมี Quality เป็นประโยชน์ต่อยูสเซอร์ แต่หากเว็บไหนมีคนคลิกเข้าไป Read แล้วรีบปิดหน้าเว็บดังกล่าวฉับพลัน เท่ากับว่าเว็บนั้นมี Content ที่ด้อย Quality อีกทั้งปริมาณคนเข้าชมเว็บเป็นส่วนเสริมในการทำอันดับ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยสนับสนุนให้เว็บมีความมีสัจจะเพิ่มขึ้น การตั้งใจวิ่งของ Google Bot และการ Index ที่เร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นการทำ SEO ในยุคนี้ต้องให้ความหมายที่คนด้วย ว่าจะทำยังไงให้บล็อกของเรามี UIP Traffic ที่ดี และมีคน Search จาก Search Engine เข้าเว็บของเราอย่างบ่อยๆ

หาก Reader ทำตามรายละเอียดชั้นต้นที่ตัวกระผมเองเขียนไว้ เชื่อว่าอันดับบน Google Search ง่ายนิดเดียวเกินไปสำหรับท่านอย่างถูกต้องครับ เพราะหากเราทำ SEO ถูกต้องตามกฎและนโยบายของกูเกิ้ลทุกสิ่งอย่าง และโปรโมทเว็บสร้างแบรนด์ให้คนรู้จักด้วย Unique Content สร้าง Back Link จากเว็บที่มีบทความเกี่ยวเนื่องกัน เว็บของเราก็จะติดอันดับ Google ตาม Keyword ที่เราตั้งใจทำลำดับครับ

แนวทางการทำ SEO โปรโมทเว็บติดอันดับ Google
ในการทำลำดับบน Search Engine นั้น ควรโปรโมทเว็บให้คนรู้จักให้ถูกต้องตั้งแต่แนวปฏิบัติแรก เนื่องจากสิ่งที่เราเริ่มงานไปนั้นจะมีผลต่อลำดับทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว ดังนั้นเราต้องทำรายงานก่อนที่จะเริ่มต้นทำ SEO ให้ติด Ranking ตาม Keyword ที่เราตั้งเป้าไว้

1. Business and Target Goal สิ่งแรกก่อนเริ่มลงมือปฏิบัติในการทำการประชาสัมพันธ์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต หรือที่เรียกว่า Internet Marketing นั้น เราต้องคิดก่อนว่าเราต้องการที่จะสร้างเว็บขึ้นมาเพื่อดำเนินกิจการเกี่ยวกับอะไร กลุ่มจุดหมายปลายทางเราคือใคร และ Keyword ที่เราต้องการโปรโมทเว็บให้คนรู้จักให้ติด Ranking นั้น มี Keyword ใดบ้าง

2. Hosting and Domain Name เมื่อเราทราบแล้วว่าเราประสงค์ทำการซื้อขายเกี่ยวกับอะไร สินค้าของเรามีอะไรบ้าง และกลุ่มเป้าประสงค์ของเราคือใคร ต่อมาจะเป็นการเช่า Hosting และจดชื่อเว็บไซต์ เพื่อทำเว็บขึ้นมาสำหรับจำหนายของค้าขายหรือบริการของเราครับ เทคนิคในการจดชื่อ Website นั้น มุ่งมั่นตั้งชื่อเว็บให้สั้นและมีความหมาย เพื่อให้ง่ายและสะดวกต่อการจดจำ และอย่าพยายามตั้งชื่อคล้ายคลึงกับเว็บดังๆ เพราะว่าจะทำให้การ Index ของเว็บเราช้ากว่าปกติ วิธีง่ายแบบไม่ยากในการตรวจสอบว่าชื่อเว็บเราเป็น Unique หรือไม่นั้น ให้ Copy เฉพาะชื่อเว็บ เช่น เว็บเราชื่อdomainname.com เราก็ Copy คำว่า domainname ไปค้นหาใน google search หากผลการค้นหาน้อยๆ แสดงว่าเหมาะเจาะในการใช้งานครับ นอกจากนั้นคุณต้องถามตัวเองก่อนครับว่า ปรารถนาอย่างแรงกล้าทำเว็บให้เป็นแบรนที่มีคนจดจำหรือไม่ ถ้าหากประสงค์โปรโมทเว็บและสร้าง Brand ให้ตั้งชื่อเป็น Language อังกฤษ แต่หากอยากแค่ลำดับ ก็สามารถตั้งชื่อภาษาไทยตรงกับ Keyword หลักได้ เรียกว่า Keyword In Domain นั่นเองครับ และควรเช็ค IP Address ของโฮสว่าไอพีอยู่ในท้องถิ่นวัตถุประสงค์ในการอันดับหรือไม่ และระยะ Time การจด Domain Name นั้น ควรอยู่ที่ 3 ปี ขึ้นไป

2.1 Hosting ควรเลือกโฮสที่มีค่า IP Address ตรงกับท้องถิ่นจุดมุ่งหมายที่เราประสงค์ทำ Ranking 

2.2 Domain Name ควรใช้ชื่อที่สั้นแต่มีความหมาย จดจำได้ง่ายแบบสบายมือเลย หากเน้นสร้างแบรนให้ใช้ชื่อ England หากเน้นทำลำดับเร็วๆ ให้ใช้ชื่อไทยตรงคำค้นหลัก

2.3 Server Speed ควรเลือกใช้ Service กับโฮสที่สามารถ Download หน้าเว็บของเราเร็วๆ ตลอด 24 Hour 

3. Web Design and Layout ในการสร้างเว็บขึ้นมาเพื่อใช้งานนั้น ข้าพเจ้ากล่าวว่าไม่ควรใช้เว็บสำเร็จรูป หรือ CMS ที่ Free ทั่วไป เนื่องจากไม่มีความยืดหยุ่นในการปรับให้เว็บสนับสนุน SEO หากท่านเขียนเว็บไม่ได้ ก็ให้ไปจ้าง Web Design สร้างเว็บตามความคิดดีๆและความอยากของเรา แต่หากท่าน Write เว็บได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี เพราะเราสามารถเขียนและเพิ่ม Function และ Web Structure ได้อย่างสม่ำเสมอ ในการออกแบบเว็บให้ส่งเสริม SEO นั้น ควรให้เว็บปรับตามนี้ คือ

3.1 Div Layout การดีไซน์บล็อก ควรใช้ DIV และ CSS ในการทำเว็บ โดยเขียน php ให้แบ่งส่วนของเว็บอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ง่ายยิ่งกว่าอะไรต่อการใช้งานและ Edit code พากเพียรเขียนให้เว็บมีโครงสร้างที่ดี สามารถเข้าถึงหน้าย่อยทุกหน้าโดยไม่ยุ่งยาก

3.2Title ควรกำหนดไตเติ้ลของเว็บให้ตรงกับธุรกิจ หรืองานที่เราปรารถนาทำ Ranking โดยไม่ซ้ำกับ title ของเว็บอื่น อาจจะเพิ่มชื่อร้านค้า เบอร์โทร และข้อความที่แตกต่างจากเว็บ Competitor และ Keyword หลัก ควรอยู่ด้านซ้ายมือสุด และให้เรียงระดับชั้นความสำคัญของ Keyword จากซ้ายไปขวา

3.3 Meta Description ควรแจกแจงให้ได้ใจความ โดยแทรก Keyword หลักของเว็บเข้าไปในประโยค พร้อมกับใส่ Phone Number สำหรับ Contact Write แจกแจงภาพรวมของเว็บด้วยข้อความที่สื่อความหมายที่ชัดเจน

3.4 Meta Keyword ควรเลือก Keyword ที่มี Feedback ที่ดี สามารถใช้อุปกรณ์ Google Keyword Planner หรือเรียกว่า Adwords Keyword Planner ในการตรวจสอบคีย์ที่เราจะใช้ว่า ในแต่ละเดือนมีการค้นหาเท่าไหร่ หากติดลำดับคำค้นเหล่านี้แล้วจะได้รับ Feedback จำนวนเท่าไหร่

3.5 Unique Content ในการสร้างเว็บให้ Google ชอบนั้น จิตใจละเลยไม่ได้คือ เนื้อเรื่อง Quality หรือที่เรียกว่า Unique Content ครับ เขียนบทความภายในเว็บให้มีประโยชน์ต่อนักอ่านและพากเพียร Update บทความอย่างต่อเนื่อง

3.6 Image and Video เว็บที่ดีจะต้องมีภาพและวีดีโอ ที่สามารถช่วยบรรยายเนื้อหาที่ปรารถนาสื่อสารกับ Reader และควรแทรกคำแจกแจงภาพและวีดีโอด้วย

3.7 Social Network ให้ยื่นเว็บโซเชียลเน็ตเวิร์ด Write Content ที่มีประโยชน์ จากนั้น นำ Widget หรือ Gadget เข้ามาติดที่เว็บของเรา ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Google Plus, Blogger, Wordpress, Twitter และ Youtube เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาอ่านสามารถแชร์หรือกดไลค์ได้ อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการทำอันดับด้วยครับ

3.8 URL SEO Friendly ในการออกแบบเว็บให้ช่วยเหลือ SEO ส่วนที่ละเลยไม่ได้ไม่น้อยกว่าข้ออื่นคือ URL ที่สนับสนุน SEO เช่นหากเราประสงค์โปรโมทเว็บให้คนรู้จักติดอันดับในไทย ก็ให้เว็บสามารถรองรับ URL ที่เป็นภาษาไทยได้

4. Submit Unique Content Web High Page Rank เมื่อเราสร้างเว็บหน้าหลักเสร็จแล้ว ให้ไปซับมิทกับเว็บที่มีค่า PR สูงๆ ซึ่งเว็บเหล่านี้จะมีคนเข้าเยอะและ Google Bot ชุกชุม เมื่อเราไปเขียนเนื้อหาที่เกี่ยวกับเว็บของเรา แล้วทำการเชื่อมโยงลิงค์กลับเข้าหาเว็บหลัก ก็จะมีบอทวิ่งเข้ามาหาเว็บของเราเพื่อเก็บ Data และนำเว็บของเราไป Index ใน Search Engine อีกทั้งเราก็จะได้คะแนน Back Link และค่าของ PR จากเว็บเหล่านี้ด้วย และเราจะต้องอัพเดทบทความที่เว็บหลักอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง

5. สร้าง External Link จาก Free Blog หลังจากที่เราได้เริ่มสร้างลิงค์คุณภาพกลับเข้าหาเว็บหลักแล้ว ต่อไป ให้เราเริ่มหา Free Blog ที่มีค่า PR สูงๆ มาดันอันดับเว็บด้วย Quality Content อาทิเช่น Blogger, Wordpress.com, Blog.com, Tumblr.com , Flickr.com, Livejournal.com, Linkedin.com, Edublogs.org, Weebly.com ทำ Link กลับหาเว็บหลัก โดยกระจาย Keyword อย่างเป็น Nature สัดส่วนเน้น Keyword หลักมากกว่า Keyword ย่อย 60:40 ครับ

6. สร้าง External Link จาก Social Bookmark จากนั้นให้ทำ Search เว็บโซเชียลบุ๊คมาร์ค อย่างเช่น Pligg มาอย่างน้อย 100 เว็บ เพื่อโพส Content สร้าง Back Link ดัน Ranking ให้เว็บหลัก และควรเลือกเว็บ Pligg ที่มีค่า PR สูง มีการโพสด้วยบทความที่มีคุณภาพ

7. สร้างแบ็คลิงค์จาก Webboard เมื่อทำการสร้าง Back Link จากข้อที่ผ่านมาแล้ว ให้หาเว็บบอร์ดที่มีไอพีเดียวกับท้องถิ่นที่เราปรารถนาอย่างแรงกล้าทำอันดับ ให้เลือกเว็บบอร์ดด้วยเหตุนี้ กล่าวคือ SMF Forum, PHPWind, phpBB, Discuz, myBB และ Vbulletin มาอย่างละ 1,000 - 2,000 เว็บ แล้วโพสให้บทความ Quality ให้ครบ

8. สร้างแบ็คลิงค์จาก Classified Web เพื่อเพิ่มความแรงให้กับ BL ของเราขึ้นไปอีก ให้ Search เว็บประชาสัมพันธ์ฟรี ปริมาณ 1,000 เว็บ แล้วโพส Unique Content สร้างลิงค์กลับไปหาเว็บหลักของเรา เท่านี้ก็จะเป็นการเพิ่มความแรง และ Page Authority ของเว็บเรามากยิ่งยวดครับ

9. สร้างลิงค์ภายนอกจาก Quality Blog Network อันนี้จะต้องใช้ต้นทุนสักนิดในการโปรโมทเว็บสร้างแบรนด์ให้คนรู้จักให้ติดอันดับต้นๆ ของผลการค้นหา Search Engine Result Pages (SERPs) โดยใช้ Wordpress CMS, Pligg CMS, SMF Form เป็นตัวขับเคลื่อนเน็ตเวิร์ดส่วนตัว เคสที่ท่านสามารถเขียนเว็บเชื่อมกับ MySQL Database หรือเขียนเว็บให้โพสผ่าน XML-RPC Protocol ได้ ก็อาจใช้ Script ที่ Write ขึ้นเองได้ครับ โดยเริ่มต้นสร้าง Blog Network ยอดรวม 100 IPs Class C ขึ้นไป หากมีงบราวๆมากหน่อย ก็จะเช่า SEO Hosting ตั่งแต่ 500 - 1,000 IPs Class C ยิ่งดีครับ ส่วนท่านใดที่สามารถหา SEO Hosting ที่เป็น IPs Class A หรือ IPs Class B ยิ่งช่วยเรื่องของลำดับได้มากครับ 

ที่มา http://www.seolotus.com

8 กลยุทธ์การทำ SEO



หลายๆท่านคงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า Today การทำอันดับต้นๆบน Search Engine อย่าง Google นั้นยากลำบากเพียงใด หลังจากอัลกอลึทึมต่างๆที่ Google ปล่อยออกมาเพื่อกำจัดเว็บไร้คุณภาพที่ทุกคนเชื่อมั่น และนักทำ SEO ที่เล่นเกมส์ที่ช่วยฝึกทักษะนี้กับ Google กรรมวิธีและขั้นตอนที่เคยได้ผลเมื่อก่อน วันนี้ (Today) กลับไร้ผล ไม่เป็นอย่างเคย ด้วยเหตุนั้น Today ผู้เขียน (Author) เลยมาแชร์ว่า Backlinks ที่ดีในทรรศนะ Google ในยุคนี้ 2014 นั้นควรจะมาจากลักษณะใด มาลองดูกันนะครับ 

8 ปัจจัยทั่วไปที่ควรจะมีของเว็บต่างๆที่จะมาดันเว็บเราและทีมงานครับ หากได้ตามนี้ ตัวกระผมเองเชื่อว่า Ranking เราทุกคนดีดั่งใจแน่นอนรับประกันได้ครับ   

1.แน่นอนรับประกันได้ครับ เพื่อนที่คบกันด้วยมิตรภาพที่ดีทราบกันดี การได้ backlink จากเว็บที่มี PR สูงๆย่อมส่งเป็นคุณประโยชน์ครับ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องตัวนี้ควรจะมีอย่างมากครับ เพราะนี้ถือว่าเป็นตัวชูโรงเลยครับ หากจะมาทำ SEO ให้กับเว็บตนเอง ยิ่งได้ PR 5 ขึ้นไป มาจากหลาย Location ยิ่งดีครับ แต่ต้องเกี่ยวตรงกับเนื้อหาที่อ่านแล้วมีประโยชน์เราและทีมงานทุกคนด้วยนะครับ   

2.ค่าของ Moz นี่เริ่มมามีบทบาทชัดๆ ในยุคที่ Google เริ่มไล่เก็บเว็บขยะเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา คำว่าคุณภาพที่ได้รับการยืนยันจึงกำเนิดขึ้น ค่านี้กล่าวรวบยอดใจความคือค่าที่คำนวณความ Quality (ส่วนตัวข้าพเจ้าคิดว่าในเชิงปริมาณมากกว่า ) ของโดเมน DA Domain Authority และ คุณภาพของหน้าเพจนั้น PA Page Authority เลขอารบิกจะอยู่ในระหว่าง 1-100 นะครับ เว็บระดับ TOP ของโลก จะอยู่ราวๆ 95 ขึ้นไปครับ ของ DA PA ระดับ 20-30 คือระดับปกติครับ   

3.ตัวนี้พระเอกของเราทุกคน ให้พิจารณาอย่างมีเหตุผล Trust Flow และ Citation Flow โดย Citation Flow นี่คือคะแนน (Score) ความคุณภาพที่ดีของโดเมนนั้นมีลักษณะไม่ต่างกันๆ DA โดยสรุปใจความสำคัญ และ Trust Flow นั้นจะบอกเลยว่าเจ้าลิ้งค์ที่มีนั้นมันมาจากแหล่งที่มีคุณภาพสูงหรือไม่ กราฟที่ดีผู้เขียนเข้าใจและสามารถถ่ายทอดความรู้ได้ว่าจะเฉียงเป็นเส้นตรง 45 องศาไปทางขวานะครับ นั้นคือเว็บที่มีสุขภาพดี ที่ควรคบหาดูใจ นะครับ   

4.SEMrush นี่มีมานานแล้วนะครับ เราและทีมงานรู้จักมันจาก keyword research แต่ค่า Score นี้แนวคิดที่สร้างสรรค์ของมัน มันเป็นการประเมินตามหลักเกณฑ์มาตรฐานคุณค่าของเว็บครับ โดย Score ที่มันคำนวณมาจากทราฟฟิค มาจากคำค้นที่ติด ถ้าพูดสรุปเนื้อหามันก็คือวัดค่าความมีมูลค่า (Value) ของเว็บนั้นๆครับ ซึ่งเบื้องต้นก็มาจากความโด่งดัง ความเกี่ยวเนื่องกับคำค้น ส่วนตัวข้าพเจ้าคิดว่ามันนิชในคำค้นที่มีการแข่งขันกันสูงนั้นจนมันมีคุณภาพที่ดีในมุมมอง Google ครับ เช่นหากจะเช็ค backlink จะต้องเป็น backlinkwatch.com เป็นต้นครับ   

5.Alexa เป็นค่าบอกเฉลี่ยการเข้ามาของทราฟฟิคครับ ยิ่งทราฟฟิคดี Alexa ยิ่งดีครับ ตัวเลขที่ไม่ใช่ตัวอักษรยิ่งน้อยลง นั้นหมายความว่าเว็บนั้นเริ่มเป็นที่รู้จักและ Authority ในทรรศนะ Google ครับ ต่ำกว่า 100,000 นี่ก็เริ่มเป็นดาราแล้วครับ เอาไปหารายได้ที่เกิดจากการทำอาชีพสุจริตนอกบ้าน ได้แล้วครับ   

6.ทำให้สำเร็จจนได้หา backlink จากเว็บที่มีการ Index จาก Google ในปริมาณมากๆครับ มากเท่าไร คาดหมาย 10,000 ขึ้นไปยิ่งดีครับ นั้นหมายความว่าเว็บนั้นๆเป็นที่ชื่นชอบจาก Google และเราทุกคนก็จะเป็นที่รู้จักของ Google ด้วย ในระยะเวลาเดียวกัน   

7.โดเมนอายุมากๆ ยิ่ง 10 ปีขึ้นไป ยิ่งดีครับ ยิ่งเราและคุณทุกคนได้ backlink จากเว็บประเภท (Category) นี้มากเท่าไร ยิ่งทำให้ดูดี มีชาติตะกูลขึ้นมากเลยครับในสายตา Google นี่ถือว่าเป็น factor หลักๆเลยนะครับที่จะสร้างสิ่งที่ทำให้เชื่อถือย่างแท้จริงให้กับเว็บเราและทีมงาน เพราะอายุโดเมนมันหลอกกันไม่ได้ครับ   

8.ตัวนี้เราและเพื่อนรับวิชาชีพไม่พูดถึง backlink ขยะ นะครับ เราและเพื่อนรับวิชาชีพจะพูดกันในส่วนของ Backlink คุณภาพที่ได้รับการยืนยัน ยิ่งเราและผู้อ่านทุกคนได้ backlink จากเว็บที่มี backlink คุณภาพ (Quality) มากเท่าไร มันอันจะทำให้เราและผู้อ่านทุกคนทวีคูณความสำคัญอันดับต้นๆขึ้นมาบน Search Engine เลยครับ เว็บ Friend ๆจะปรากฎตัวแทบจะทันที (เมื่อวันก่อนเว็บผมได้ backlink จาก IMDB โดยบังเอิญทำให้ keyword ที่เกี่ยวเนื่องทะยอยติดอันดับต้นๆหลายคีย์เวิร์ดตลาดเลยครับ) ในส่วนนี้มันจะไปเกี่ยวเนื่องกับ Trust Flow ของ Majestic ด้วยนะครับ 

ที่มา http://www.thaiseoboard.com

วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

มาดู SOFTWARE ว่าเขา TEST กันอย่างไร

manual-testing-software-testing-types
การทดสอบไม่สามารถขจัดข้อบกพร่องภายในซอฟต์แวร์ได้ทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ ต้องจัดให้มี การประเมินผล หรือการเปรียบเทียบสถานะและ พฤติกรรมของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีโอราเคล หรือกลไก โดยบางชนิดที่สามารถยอมรับปัญหา โอราเคลสามารถรวมอยู่(แต่ไม่มีข้อจำกัด) คุณสมบัติ, ข้อตกลง, ข้อเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ ส่วนของเวอร์ชันของผลิตภัณฑ์เดียวกัน, ข้อสรุปเรื่องการวางแผน หรือตามวัตถุประสงค์ที่คาดหวัง มาตรฐานที่คาดหวังจากผู้ใช้คนสุดท้ายหรือลูกค้า, เข้าใจประเด็น, สามารถปรับใช้กับกฎหมาย, หรือกฎเกรณ์อื่นๆ ทุกๆ ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์มีผู้เข้าร่วมประชุมเพื่อหาจุดมุ้งหมายรวมกัน ตัวอย่างเช่น ประชุมร่วมสำหรับ ระบบวิดีโอเกม ความสมบูรณ์ต่างจาก ระบบธุรกรรมผ่านธนาคาร เพราะฉะนั้น เมื่อการพัฒนาองค์กรหรือมิฉะนั้น การลงทุนผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ สามารถประเมินมูลค่า หรือผู้ใช้สามารถยอมรับได้ในผลิตภัณฑ์ที่ซอฟต์แวร์ กลุ่มผู้ฟังที่เป็นเป้าหมาย, ผู้ซื้อ และผู้มีส่วนร่วมอื่นๆ การทดสอบซอฟต์แวร์ คือกระบวนการ การพยายามทำการประเมินราคา การจัดการศึกษาโดยหน่วยงานด้านมาตรฐาน และกฎระเบียบทางเทคนิคของสหรัฐฯ ในปี 2002 รายงานว่า ซอฟต์แวร์การหาข้อบกพร่องมีต้นทุน ในสหรัฐฯ สามารถทำรายได้ถึง 59.5 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ในทุกๆปี มากกว่าอันดับสามของต้นทุนถ้าสามารถหลีกเลี่ยง ถ้าทำการทดสอบซอฟต์แวร์
ประวัติ
ในการแยกของการหาข้อบกพร่องจากการทดสอบ ในขั้นต้น แนะนำโดย Glenford J. Myers ในปี 1979 ถึงแม้นว่าเป็นการตัดสินใจมีการทดสอบน่าเสียหาย (การทดสอบเป็นหนึ่งในการค้นหาข้อบกพร่อง) มีภาพประกอบการออกแบบจากสมาคมวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เป็นพื้นฐานการพัฒนากิจกรรม เช่น การหาข้อบกพร่อง, จากการทวนสอบ, ของการตรวจสอบความถูกต้องตามที่ออกแบบไว้ Dave Gelperin และ William C. Hetzel กำหนดใน ปี 1988 และเป้าหมายในการทดสอบซอฟต์แวร์ ตามลำดับต่อไปนี้
แนวทางการทดสอบ
แนวทางการทดสอบ มีหลายวิธีการ แนวทางหนึ่งที่สามารถทำได้ดีคือ กระบวนการตั้งคำถามต่อซอฟต์แวร์ เพื่อดำเนินการทดสอบและประเมินตัวซอฟต์แวร์ ว่าสามารถตอบคำถามที่ตั้งไว้ได้อย่างถูกต้องหรือไม่
คำถาม มักหมายถึง เหตุการณ์หรือวิธีการที่จะกระทำกับตัวซอฟต์แวร์
คำตอบ มักหมายถึง ผลลัพธ์ที่พฤติกรรมของซอฟต์แวร์ต่อคำถามที่เกิดขึ้น
คุณภาพของซอฟต์แวร์ที่สามารถทดสอบได้ ได้แก่
reliability – ความน่าเชื่อถือ
efficiency – ประสิทธิภาพ
portability – ความสามารถในการเคลื่อนย้าย
maintainability – ความสามารถในการดูแลรักษา
compatibility – ความสามารถเข้ากันได้
usability – สามารถใช้ได้ง่ายเข้าใจได้ง่าย
รูปแบบการทดสอบ
Unit test – เป็นการทดสอบในระดับ function call เพื่อเป็นการยืนยันการทำงานระดับย่อยที่สุดว่าทำงานได้ถูกต้อง เป็นการทดสอบโดยนักเขียนโปรแกรมผู้เขียนโค๊ด
Integration test – เป็นการทดสอบการเชื่อมต่อส่วนย่อยๆ(Component หรือ Module)ที่นำมาประกอบกัน ให้ได้ซอฟต์แวร์ที่สมบูรณ์
System test – เป็นการทดสอบการเชื่อมต่อหรือติดต่อสื่อสารกันระหว่างซอฟต์แวร์ หรือระบบอื่นๆ
Acceptant test – เป็นการทดสอบโดยผู้ใช้ (End user) หรือโดยลูกค้า เพื่อดูว่าซอฟต์แวร์ทำงานถูกต้องตามต้องการหรือไม่
Usability test – เป็นการทดสอบการใช้งานซอฟต์แวร์โดยผู้เชียวชาญส่วนติดต่อผู้ใช้ ว่าใช้งานได้ง่าย เข้าใจได้ง่าย หรือไม่
ขั้นตอนการทดสอบ
ขึ้น ตอนการทดสอบซอฟต์แวร์นั้นส่วนใหญ่แล้วขึ้นอยู่กับระเบียบวิธีการทำงานของ แต่ละองค์กรหรือทีมงานในแต่ละแห่ง ไม่ได้มีรูปแบบตายตัวแน่นอน แต่สามารถระบุอย่างคร่าวๆได้ดังนี้
-วิเคราะห์ความต้องการ
-จัดทำแผนงานการทดสอบ
-จัดทำแนวทางการทดสอบ
-ทดสอบจริง
-รายงานผลการทดสอบ
-ทดสอบผลจากการแก้ไข
ที่มา

วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

วิธีการกลั่นและสกัดน้ำมันหอมระเหย


การสกัดกลิ่นหอมออกจากพืชหอมแต่ละชนิดนั้น ได้มีการทำมาเป็นเวลานานแล้ว โดยในสมัยโบราณจะนิยมนำดอกไม้หอมมาแช่น้ำทิ้งไว้ และนำน้ำที่มีกลิ่นหอมนั้นไปใช้ดื่มหรืออาบ ต่อมาได้มีการพัฒนาวิธีการสกัดกลิ่นหอมเพื่อให้ได้กลิ่นหอม หรือ น้ำมันหอมระเหยที่มีคุณภาพและปริมาณสูงสุด วิธีการดังกล่าวมีหลายวิธี การที่จะเลือกใช้วิธีใดนั้น ต้องพิจารณาลักษณะของพืชที่จะนำมาสกัดด้วย วิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหยสามารถแบ่งออกได้ดังนี้


1. การกลั่นโดยใช้น้ำ (Steam Distillation)
การกลั่นน้ำมันหอมระเหยด้วยวิธีการกลั่นด้วยไอน้ำ หรือ Steam Distillation เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุดและใช้ในการกลั่นน้ำมันหอมระเหยเกือบทั้งหมดที่มีการผลิตขึ้น วิธีการกลั่นจะเป็นการผ่านไอน้ำจากเครื่องกำเนิดไอน้ำเข้าไปในหม้อควบคุมความดันที่บรรจุวัตถุดิบของพืชที่นำมากลั่นน้ำมันหอมระเหย เมื่อความร้อนจากไอน้ำกระทบกับวัตถุดิบ ไอน้ำก็จะนำพาน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในพืชชนิดนั้น ๆ ออกมาผ่านท่อเกลียวที่หล่อเลี้ยงด้วยน้ำเย็นเพื่อให้เกิดการลดอุณหภูมิและควบแน่นกลายเป็นของเหลว หลังจากนั้นของเหลวจากการควบแ่น่นที่ได้ก็จะไหลผ่านท่อควบแน่นเข้าสู่หลอดแก้ว ได้น้ำมันหอมระเหยที่แยกชั้นออกจากน้ำ แล้วจึงนำน้ำมันหอมระเหย (Pure Essential Oil) และน้ำสกัดน้ำมันหอมระเหย (Floral Water หรือ Hydrosol) ที่ได้ เก็บใส่ภาชนะเพื่อตรวจสอบคุณภาพต่อไป

วิธีการกลั่นน้ำมันหอมระเหยด้วยไอน้ำนี้มีข้อดีคือ วิธีการกลั่นและอุปกรณ์ไม่ยุ่งยากซับซ้อน สามารถใช้ได้กับพืชแทบทุกชนิด และน้ำมันหอมระเหยที่ได้มีคุณภาพดี มีความบริสุทธิ์ 100% หรือแม้แต่ สารสำคัญบางชนิดในน้ำมันหอมระเหยบางชนิด จริง ๆ แล้วไม่ได้มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่จะเกิดขึ้นภายใต้กระบวนการกลั่นด้วยไอน้ำ เช่น สาร Chamazulene ซึ่งเป็นสารมีสีน้ำเงินที่เป็นสารสำคัญในน้ำมันหอมระเหย German Chamomile โดยปกติจะไม่ได้มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่จะเกิดขึ้นในกระบวนการกลั่นน้ำมันหอมระเหยด้วยไอน้ำเท่านั้น อย่างไรก็ดี การกลั่นด้วยไอน้ำก็มีข้อเสียอยู่บ้างคือกระบวนการนี้จะต้องใช้ไอน้ำที่มีความร้อน จึงไม่เหมาะกับวัตถุดิบที่มีสารธรรมชาติสำคัญที่ถูกทำลายได้ง่ายเมื่อเจอกับความร้อน เช่น สารสำคัญบางชนิดในดอกมะลิ (Jasmine) จะสลายไปเมื่อเจอกับความร้อน จึงทำให้ไม่สามารถใช้กระบวนการกลั่นด้วยไอน้ำในการผลิตน้ำมันหอมระเหยจากดอกมะลิได้ ในอนาคต ปัญหานี้อาจถูกแก้ไขได้ด้วยการใช้ระบบการกลั่นภายใต้แรงดันสูงเพื่อลดอุณภูมิของไอน้ำให้น้อยลง แต่ก็จะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นด้วย ดังนั้น การสกัดกลิ่นหอมจากดอกมะลิหรือพืชชนิดอื่น ๆ ที่มีปัญหาข้างต้นจึงมีการนำกระบวนสกัดด้วยวิธีการอื่นมาใช้แทน เช่น การสกัดด้วยตัวทำละลาย หรือสกัดด้วยคาร์บอนไดออกไซด์

น้ำมันหอมที่ได้จากการสกัดด้วยวิธีการกลั่นด้วยไอน้ำ จะถูกเรียกว่า "น้ำมันหอมระเหย" หรือ "Pure Essential Oil"


2. การสกัดด้วยวิธีการบีบเย็น (Expression หรือ Cold Pressed หรือ Mechanically Pressed)
การน้ำมันหอมระเหยหรือน้ำมันหอมด้วยวิธี Cold Pressed หรือ Mechanically Pressed เกือบทั้งหมดใช้ในการสกัดน้ำมันหอมระเหยจากผิวของพืชตระกูลส้ม เช่นส้ม มะนาว เลมอน มะกรูด เบอร์กามอท แมนดาริน และอื่น ๆ วิธีการสกัดคือการนำผิวของผลจากพืชแต่ละชนิดมาใส่ในหม้อขนาดใหญ่ แล้วกดด้วยแท่นไฮดรอลิกโดยใช้แรงกดสูง เมื่อแท่นไฮดรอลิกบีบลงบนวัตถุดิบ ทำให้เซลล์ผิวของพืชเกิดการแตกตัวให้น้ำมันออกมาลงในภาชนะที่รองรับเอาไว้ วิธีการใช้ไฮดรอลิกแบบนี้มีข้อดีคือไม่มีความร้อนเกิดขึ้นในกระบวนการบีบ ซึ่งแตกต่างกับการใช้การบีบแบบเครื่องบีบเกลียวหมุน หรือ Screw Pressed ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนและอาจทำลายคุณภาพของน้ำมันที่สกัดได้ จริง ๆ แล้วน้ำมันสกัดด้วยวิธีนี้จะไม่เรียกว่าน้ำมันหอมระเหย เพราะว่าน้ำมันที่ได้จากการสกัด จะมีสารประกอบอื่น ๆ ที่ไม่ละลายในน้ำมันหรือระเหยไม่ได้อยู่ด้วย หากเรียกให้ถูกต้องตามหลักสากลแล้ว น้ำมันสกัดจากพืชทุกชนิดด้วยวิธีนี้ จะต้องเรียกว่า "Essence" ไม่ใช่ "Essential Oil"แต่ว่าเพื่อให้เข้าใจไม่สับสนมากไปนัก หลาย ๆ ที่จึงมักใช้คำว่า "น้ำมันหอมระเหย" หรือ "Pure Essential Oil" ก็ไม่ผิดอะไรมากนัก (เราก็ด้วย)

สำหรับวัตถุดิบบางชนิด อย่างเช่นเบอร์กามอท เมื่อมีการสกัดน้ำมันหอมออกมาแล้ว น้ำมันหอมที่ได้อาจมีสารบางชนิดที่ไม่ต้องการเจือปนอยู่ด้วย เช่น สาร bergaptene ซึ่งเป็นสารที่อยู่ในกลุ่ม Furanocoumarins ที่มีอยู่ประมาณ 1-4% ในน้ำมันสกัดจากเบอร์กามอท สารในกลุ่มนี้เป็นตัวเร่งให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวเมื่อสัมผัสกับแสงแดด (Phototoxicity) จึงทำให้น้ำมันหอมระเหยหลาย ๆ ชนิดที่มีสารในกลุ่มนี้เป็นส่วนประกอบ ถูกแนะนำให้ระมัดระวังโดยต้องหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดเป็นเวลา 3-5 ชั่วโมงหลังจากการใช้ หรือใช้ในเวลากลางคืนเท่านั้น จึงทำให้มีการนำน้ำมันหอมระเหยเบอร์กามอทไปผ่านกระบวนการกลั่นด้วยไอน้ำซ้ำ (Rectification หรือ re-Distillation) เพื่อดึงเอาเฉพาะน้ำมันหอมระเหยออกจากน้ำมันสกัด ทำให้ผลผลิตที่ได้จากกระบวนการนี้ สามารถเรียกได้ว่าเป็นน้ำมันหอมระเหยเบอร์กามอท หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกคือ Bergamot FCF (FuranoCoumarins Free)

3. การสกัดโดยใช้ตัวทำละลาย (Solvent Extraction)
วัตถุดิบจากพืชหรือดอกไม้หลาย ๆ ชนิด ไม่สามารถสกัดด้วยวิธีการกลั่นด้วยไอน้ำได้เนื่องจากหลากหลายเหตุผล เช่น สารสำคัญอาจถูกทำลายเพื่อถูกความร้อน ทำให้สูญเสียกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของวัตถุดิบ หรือเมื่อกลั่นด้วยไอน้ำแล้ว คุณสมบัติของน้ำมันหอมระเหยที่ได้มีกลิ่นหอมที่ไม่ติดทนนาน หรือมีกลิ่นหอมเพี้ยนไปจากกลิ่นที่สูดดมจากวัตถุดิบจริง ๆ จึงทำให้ต้องมีกระบวนการสกัดน้ำมันหอมอีกกระบวนการหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้อง นั่นคือการสกัดน้ำมันหอมด้วยวิธีการใช้ตัวทำละลาย หรือ Solvent Extraction วัตถุดิบจากพืชและดอกไม้ที่นิยมใช้กระบวนการนี้ในการสกัดสารหอมคือ มะลิ กุหลาบ ซ่อนกลิ่น ดอกบัว เป็นต้น
กระบวนการสกัดเริ่มจากการนำวัตถุดิบไว้ในหม้อความดันขนาดใหญ่ที่เป็นระบบปิด โดยวัตถุดิบจะถูกผสมด้วยสารที่ใช้เป็นตัวทำละลายที่เป็น organic solvent เช่น acetone, benzene หรือ hexane โดยที่ตัวทำละลายจะดึงเอาสารทุกชนิดที่สามารถเข้ากันได้กับตัวทำละลายออกมาจากวัตถุดิบพืช ไม่ว่าจะเป็น แวกซ์ สี รวมถึงสารหอมที่ต้องการด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการนี้เรียกว่า "Extract" และจะถูกกลั่นกรองแยกออกจากวัตถุดิบเข้าสู่อีกหม้อกลั่นหนึ่งโดยการเพิ่มความร้อนและความดันในปริมาณน้อยที่เพียงพอจะให้สารละลายที่มีทั้งตัวทำละลาย แวกซ์ สี และกลิ่นหอมนี้ ระเหยออกมาสู่อีกหม้อกลั่นหนึ่งเพื่อให้ได้สารละลายที่เรียกว่า "Concrete" หลังจากนั้นจะนำ Concrete ที่ได้มาผสมกับแอลกอฮอล์ เพื่อสกัดแยกแวกซ์ออกจาก concrete แล้วจึงนำไปผ่านกระบวนการแยกแอลกอฮอล์ออกอีกครั้งหนึ่งด้วยกระบวนการ Vacumn Extraction จึงได้ผลิตภัณฑ์สุดท้ายเป็นสารหอมบริสุทธิ์จากพืช หรือที่เรียกว่า "Absolute"
อย่างที่อธิบายไปแล้วข้างต้น ข้อดีของกระบวนการสกัดนี้คือน้ำมันหอมที่ได้จะมีกลิ่นหอมที่ใกล้เคียงกับกลิ่นหอมจากวัตถุดิบจริง ๆ มากกว่าน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากการกลั่นด้วยไอน้ำและมีกลิ่นหอมติดทนนานกว่า จึงได้รับความนิยมในการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอมซะเป็นส่วนใหญ่ แม้แต่พืชบางชนิดที่ปกติจะสกัดน้ำมันหอมระเหยด้วยการกลั่นด้วยไอน้ำเท่านั้น เช่น ลาเวนเดอร์ ก็ยังมีการนำมาสกัดด้วยวิธี Solvent Extraction เพื่อให้ได้น้ำมันหอมสกัดจากดอกลาเวนเดอร์ที่มีกลิ่นหอมติดทนนาน เป็น Base Note ซึ่งแตกต่างกับน้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์ที่กลั่นด้วยไอน้ำซึ่งปกติจะมีคุณสมบัติเป็น Top Note แต่ว่าข้อเสียของการสกัดด้วยวิีธีตัวทำละลายนี้คือ ความบริสุทธิ์ของน้ำมันหอมสกัดจะไม่ได้ดีเท่าการสกัดด้วยวิธีการกลั่นด้วยไอน้ำ ดังนั้นน้ำมันหอมสกัดด้วยวิธีนี้ จึงไม่ค่อยได้รับความนิยม หรือไม่ถูกแนะนำให้นำไปใช้ในเชิงสุคนธบำบัดเท่าไหร่นัก เช่น Rose Oil จะใช้ในเรื่อง Aromatherapy แต่ Rose Absolute จะใช้ทำน้ำหอม

4. การสกัดโดยใช้คาร์บอนไดออกไซค์เหลว (SFE-CO2)
การสกัดด้วยคาร์บอนไดออกไซค์เหลว เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สกัดน้ำมันหอมระเหยให้ได้คุณภาพและความบริสุทธิ์ที่ดีที่สุด เป็นการรวมข้อดีของการกลั่นด้วยไอน้ำและการสกัดด้วยตัวทำละลายเข้าไว้ด้วยกัน คือ การสกัดด้วยวิธีนี้จะทำให้ได้น้ำมันหอมระเหยที่มีความบริสุทธิ์เทียบเท่ากับการกลั่นด้วยไอน้ำ ในขณะที่รักษาคุณภาพของกลิ่นหอมได้ใกล้เคียงกับกลิ่นหอมจากธรรมชาติมากที่สุดเช่นเดียวกับการกลั่นด้วยวิธีตัวทำละลาย เพียงแต่ข้อจำกัดคือปริมาณของวัตถุดิบที่ใช้ในการกลั่นในแต่ละครั้งทำได้ในปริมาณน้อย และเทคโนโลยีที่ใช้ รวมถึงวัสดุอุปกรณ์และสารที่จำเป็นในกระบวนการทำให้กระบวนการกลั่นด้วยวิธี SFE-CO2 มีราคาค่อนข้างสูง จึงมีการนำมาใช้กับวัตถุดิบบางชนิดที่จำเป็นเท่านั้น เช่น ดอกมะลิ จำปี เมลิซซา ที่มีราคาสูง แต่จริง ๆ แล้วก็สามารถนำมาใช้กับวัตถุดิบหลาย ๆ ชนิดได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าราคาที่ออกมานั้นตลาดยังพอรองรับได้

กระบวนการสกัดเริ่มจากการผสมคาร์บอนไดออกไซค์เหลวเข้ากับวัตถุดิบที่ใช้สกัดในระบบปิดที่มีความดันสูง (เนื่องจากคาร์บอนไดออกไซค์จะมีสภาวะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิต่ำมากหรือต้องมีความดันสูงมาก) เมื่อคาร์บอนไดออกไซค์เหลวสามารถละลายสารหอมออกจากวัตถุดิบพืชที่นำมาสกัดได้แล้ว จึงแยกสารละลายออกจากตัววัตถุดิบ จะได้สารละลายที่มีเฉพาะคาร์บอนไดออกไซค์เหลวและสารหอมที่สกัดได้ทั้งหมด หลังจากนั้นจึงทำการลดความดันลงเพื่อให้คาร์บอนไดออกไซค์ระเหย เหลือแต่น้ำมันหอมที่สกัดได้ที่มีความสะอาดและมีความบริสุทธิ์สูง

5. อื่น ๆ
นอกจากวิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหยที่เป็นกระบวนการที่ใช้ทั่วไปข้างต้น ยังมีกระบวนการสกัดอีกหลายแบบ เพียงแต่ยังไม่เป็นที่นิยมด้วยเหตุผลต่าง ๆ เช่น มีราคาสูง ยังไม่ดีพอที่จะแทนที่วิธีการเดิม หรือเป็นกระบวนการสกัดที่ล้าสมัยแล้ว หากสนใจสามารถหาข้อมูลได้โดยใช้ Keywords ดังต่อไปนี้
  • Hydro Distillation
  • Enfleurage
  • Maceration
  • Phytonic

ที่มา http://www.botanicessence.com/essential-oil/home/knowledge.jsp

วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

วิธีการล้างผักผลไม้ให้ปลอดภัย

วิธีการล้างผักผลไม้ให้ปลอดภัย/ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล
ขอบคุณภาพจาก idreamofeden.com
       ในขณะที่มีการรณรงค์ให้ผู้คนรับประทานผักและผลไม้เพื่อสุขภาพ และในขณะเดียวกัน ที่มีข่าวของสารตกค้างที่มีอยู่ในผักและผลไม้ไม่ว่าจะเป็นสารเคมีจากยาฆ่าแมลง เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส หรือสารโลหะหนักอื่นๆ ที่ปะปนมากับผักและผลไม้ ซึ่งสารเหล่านี้จะสามารถก่ออันตรายต่อสุขภาพมากกว่าที่จะได้รับประโยชน์เสียด้วยซ้ำไป
      
       โรคที่มากับผักและผลไม้ที่มีสารพิษปะปนอยู่มีได้ทั้งโรคชนิดเฉียบพลันและโรคเรื้อรัง อาการเฉียบพลัน เช่น อาเจียน คลื่นไส้ ปวดหัว หน้ามืด หายใจไม่ออก ปวดท้อง เป็นไข้ ชา หรือแม้แต่หมดสติไป เช่นบางคนไปกินราดหน้าที่มีผักคะน้าเป็นส่วนประกอบจะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือเรียกว่าอาหารเป็นพิษเป็นต้น ส่วนโรคเรื้อรังของการได้รับสารพิษที่มาจากผักและผลไม้ ส่วนมากจะมาจากการได้รับสารจากยากำจัดศัตรูพืช เช่น การเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร การเกิดโรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ การเจริญเติบโตผิดปกติในเด็กและการเกิดความเครียด
      
       จากข้อมูลการสำรวจของเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN : Thailand Pesticide Alert Network) ร่วมกับนิตยสารฉลาดซื้อทำการสุ่มตรวจผัก 7 ชนิด ประกอบด้วย กะหล่ำปลี คะน้า ถั่วฝักยาว ผักกาดขาว ผักบุ้งจีน ผักชี และพริกจินดา ที่ขายในตลาดสดทั่วไปและรถเร่ พบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างเกินมาตรฐาน 38.1% และผัก 3 ชนิดที่มีสารพิษตกค้างมากที่สุด คือ ผักชี ถั่วฝักยาว พริกจินดา และจากการสุ่มตัวอย่างตรวจของคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พบว่าผักสดที่สุ่มเก็บจากตลาดสดที่มีสารพิษตกค้างมากที่สุด ได้แก่ คะน้า กะหล่ำดอก และ ต้นหอม ส่วนตัวอย่างที่สุ่มเก็บจากซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีสารพิษตกค้างมากที่สุด ได้แก่ คะน้า มะเขือพวง และพริกไทย เมื่อพิจารณาดูแล้วจะเห็นว่าผักเหล่านี้เป็นผักที่เราคุ้นเคยและกินอยู่เป็นประจำ ดังนั้น เราจึงเสี่ยงต่อการที่จะได้รับสารพิษตกค้างที่มีอยู่ในผักได้
      
        ดังนั้น เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการรับประทานผักให้ปลอดภัย ก่อนนำไปรับประทานหรือปรุงประกอบอาหาร ต้องล้างผักให้สะอาดเสียก่อน ในปัจจุบันมีวิธีการล้างผักอยู่หลายวิธีเพื่อลดปริมาณสารพิษที่ตกค้างมากับผักให้ลดน้อยลง แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดอยู่ซึ่งจะใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับความเหมาะสม
      
       การใช้น้ำส้มสายชูที่มีกรดน้ำส้มความเข้มข้น 5%ของกรดน้ำส้ม ผสมน้ำในอัตราส่วน 1:10 แช่นาน 10-15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด สามารถลดปริมาณสารพิษลงร้อยละ 60-84 ข้อจำกัดคือ ผักอาจมีกลิ่นของน้ำส้มสายชูติดมา และผักบางอย่างเช่นผักกาดขาว ผักกาดเขียว อาจมีการดูดรสเปรี้ยวจากน้ำส้มสายชูทำให้รสชาติเปลี่ยนไป และภาชนะที่ใส่ผักล้างไม่ควรเป็นพลาสติก
      
       การใช้ด่างทับทิม (Potassium Permanganate) มีลักษณะเป็นเกล็ดแข็ง สีม่วง สามารถละลายได้ในน้ำ ให้สีชมพู หรือม่วงเข้ม เป็นสารประกอบประเภทเกลือ โดยใช้ปริมาณ 20-30 เกล็ด ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดสามารถลดสารพิษลงได้ร้อยละ 35-43 ข้อจำกัดคือการใช้ด่างทับทิมในปริมาณที่มากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินอาหาร และหากสูดดมไอระเหยของด่างทับทิมเข้าไปมากก็จะทำให้ระบบทางเดินหายใจมีปัญหาได้ รวมถึงหากเข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้
      
       ล้างผักโดยน้ำไหลผ่าน โดยเด็ดผักเป็นใบๆ ใส่ตะแกรงโปร่งเปิดน้ำให้แรงพอประมาณ ใช้มือช่วยคลี่ใบผักและถูไปมาบนผิวใบของผักผลไม้นานประมาณ 2 นาที สามารถลดสารพิษลงได้ร้อยละ 25-63วิธีนี้เป็นวิธีที่เรียกได้ว่าดีมากวิธีหนึ่งแต่มีข้อเสียอยู่ว่าใช้เวลานานในการล้างและใช้น้ำปริมาณมาก
      
       ใช้เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่นาน 10 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดสามารถลดสารพิษลงได้ร้อยละ 27-38 วิธีการนี้ลดปริมาณได้ไม่มากและอาจมีเกลือและรสเค็มไปอยู่ในผักหรือผลไม้
      
       ใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต (เบกกิ้งโซดา) 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำอุ่น 1 กะละมัง (20 ลิตร) แช่นาน 15 นาที แล้วนำไปล้างด้วยน้ำสะอาด ลดปริมาณสารพิษลงได้ถึงร้อยละ 90-95 ข้อจำกัดของการใช้เบกกิ้งโซดาคือมีส่วนผสมของโซเดียมอยู่และอาจดูดซึมเข้าสู่ผักหรือผลไม้ และหากล้างไม่สะอาดการได้รับเบกกิ้งโซดาในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้ท้องเสียได้
      
       วิธีการต้มหรือลวกผักด้วยน้ำร้อน ลดปริมาณสารพิษได้ ประมาณร้อยละ 50 วิธีการนี้เป็นอีกวิธีที่ดีและปลอดภัยแต่จะทำให้ผักหรือผลไม้ เสียคุณค่าทางอาหารไปกับน้ำและความร้อน เช่น วิตามินซี วิตามินบี 1 ไนอะซิน
      
       การปอกเปลือกหรือการลอกชั้นนอกของผักออก เช่น กะหล่ำปลี ถ้าลอกใบชั้นนอกออกจะปลอดภัยมากกว่า แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดจะช่วยลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 27-72 
      
       วิธีการแช่ผักในน้ำยาล้างผักที่มีวางขายอยู่โดยใช้ความเข้มข้นประมาณ 0.3% ในน้ำ 4 ลิตร แช่ผักนานประมาณ 15 นาที จะลดปริมาณสารพิษฆ่าแมลงได้ร้อยละ 25-70 แต่วิธีนี้ต้องทำด้วยความระมัดระวังต้องดูให้ดีว่าน้ำยาล้างผักมีส่วนประกอบด้วยอะไรบ้าง เพราะในบางครั้งน้ำยาล้างผักจะแทรกซึมเข้าไปในผักซึ่งอาจเป็นอันตรายได้
      
       จะได้เห็นแล้วว่า แต่ละวิธีสามารถช่วยลดปริมาณของสารตกค้างที่อยู่ในผักและผลไม้ได้แต่ว่าจะเลือกวิธีไหนก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน ปริมาณและชนิดของผัก-ผลไม้ที่ต้องการจะล้าง และเวลาที่มีอยู่ และที่สำคัญคือพยายามรับประทานผัก-ผลไม้ให้หลากหลายอย่ากินซ้ำๆกันเกินไป และเปลี่ยนร้านที่ซื้อผัก-ผลไม้บ้าง เนื่องจากหากมีพิษ หรือสารตกค้างในผักก็จะได้ไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายมากนัก

ที่มา http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000010741

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ฟักข้าวอาหารต้านมะเร็ง


รศ.ดร.สุธาทิพ ภมรประวัติ  
กลุ่มวิชาเภสัชโภชนศาสตร์  โครงการบัณฑิตศึกษา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ฟักข้าวอาหารต้านมะเร็ง
ฟักข้าว Momordica cochinchinnensis (Lour.) Spreng. 
อยู่ในวงศ์แตงกวาและมะระคือวงศ์  Cucurbitaceae 
ชื่อเรียกอื่นคือ ขี้กาเครือ (ปัตตานี) ผักข้าว (ตาก ภาคเหนือ) มะข้าว (แพร่) แก็ก (Gac  เวียดนาม) Baby Jackfruit, Spiny Bitter Gourd, Sweet Gourd, และ Cochin-chin Gourd 
ฟักข้าวมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน พม่า ไทย ลาว บังกลาเทศ มาเลเซียและฟิลิปปินส์ เป็นพืชที่ชาวเวียดนามใช้ประกอบอาหารมาก ในชนบทมีปลูกกันเกือบทุกบ้านเรือน
ฟักข้าว เป็นไม้เถาเลื้อยพัน  มีมือเกาะ ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงแบบสลับ ใบรูปหัวใจหรือรูปไข่ กว้างยาวเท่ากันประมาณ ๖-๑๕ เซนติเมตร ขอบใบหยักเว้าลึกเป็นแฉก ๓-๕ แฉก 
ดอกเป็นดอกเดี่ยวพบที่ซอกใบ ต้นแยกเพศอยู่คนละต้น กลีบดอกสีขาวแกมเหลือง ตรงกลางมีสีน้ำตาลแกมม่วง ใบประดับมีขน 
ผลอ่อนมีสีเขียวอมเหลือง เจริญได้เองโดยไม่ต้อง ถูกผสม เมื่อผลสุกจะมีสีแดง ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดหรือแยกรากปลูก  

ฟักข้าวเริ่มมีดอกหลังแยกรากปลูกประมาณ ๒ เดือน เริ่มผลิดอกราวเดือนพฤษภาคมและให้ดอกจน  ถึงราวเดือนสิงหาคม  ผลสุกใช้เวลาประมาณ ๒๐ วัน และใน ๑ ฤดูกาลจะเก็บเกี่ยวผลฟักข้าวได้ ๓๐-๖๐ ผล  โดยเก็บผลสุกได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์

ผลของฟักข้าวมี ๒ ชนิด ผลยาวมีขนาดยาว ๖-๑๐ เซนติเมตร ส่วนผลกลมยาว ๔-๖ เซนติเมตร เปลือกผลอ่อนสีเขียวมีหนามถี่ เปลี่ยนเป็นสีส้มแก่หรือแดงเมื่อผลสุก แต่ละผลหนักตั้งแต่ ๐.๕-๒ กิโลกรัม 

ที่ประเทศเวียดนามมักปลูกฟักข้าวพาดพันไม้ระแนงข้างบ้าน และเก็บเฉพาะผลสุกมาประกอบอาหาร แต่เนื่องจากฟักข้าวให้ผลดีที่สุดในช่วงฤดูหนาว ชาวเวียดนามจึงนิยมใช้ประกอบอาหารในเทศกาลปีใหม่และงานมงคลสมรสเท่านั้น

ผลฟักข้าวมีเปลือกหนา ผลสุกเนื้อในหนามีสีส้ม ภายในมีเยื่อสีแดงให้เมล็ดเกาะ เนื้อผลสุกกินได้ ที่ประเทศเวียดนามใช้เยื่อสีแดงและเมล็ด (มีน้ำมัน) เป็นยา ฟักข้าว ๑ ผลจะได้เยื่อสีแดงราว ๒๐๐ กรัม 
ประโยชน์ทางโภชนาการ
ในประเทศไทยใช้ผลฟักข้าวอ่อนสีเขียวเป็นอาหาร รสชาติเนื้อฟักข้าวเหมือนมะละกอ ลวกหรือต้มให้สุกหรือ ต้มกะทิจิ้มน้ำพริกกะปิ หรือใส่แกง ยอดอ่อน ใบอ่อนนำ มาเป็นผักได้ นำมานึ่งหรือลวกให้สุกกินกับน้ำพริก หรือนำไปปรุงเป็นแกง เช่น แกงแค 

ประเทศเวียดนามกินข้าวเหนียวหุงกับเยื่อเมล็ดผลฟักข้าวสุก เนื่องจากชาวเวียดนามถือว่าสีขาวเป็น   สีแห่งความตาย ข้าวสีส้มแดงจึงจัดเป็นมงคลต่องานเทศกาลต่างๆ ชาวเวียดนามเอาเยื่อสีแดงจากผลฟักข้าวสุกพร้อม เมล็ดมาหุงกับข้าวเหนียว ได้ข้าวสีส้มแดงมีกลิ่นหอม ต้องมีเมล็ดฟักข้าวติดมาในข้าวด้วยจึงว่าเป็นของแท้  ถึงกับมีการหุงข้าวใส่สีผสมอาหารสีแดงเลียนแบบการใช้ฟักข้าวนอกฤดูกาลก็มี เชื่อว่าบำรุงสายตา
เยื่อเมล็ดของฟักข้าวมีปริมาณบีตาแคโรทีนมาก กว่าแครอต ๑๐ เท่า มีไลโคพีนมากกว่ามะเขือเทศ ๑๒ เท่า  และมีกรดไขมันขนาดยาวประมาณร้อยละ ๑๐ ของมวล การกินบีตาแคโรทีนจากฟักข้าวพบว่าดูดซึมในร่างกายได้ดีเพราะละลายได้ในกรดไขมันดังกล่าว 

ความเชื่อที่ว่าฟักข้าวบำรุงสายตานั้นถูกต้อง แต่ต้องกินส่วนที่มาจากเยื่อเมล็ดไม่ใช่ส่วนอื่น  เมื่อใช้เยื่อฟักข้าวเสริมอาหารให้กับเด็กก่อนวัยเรียนในงานวิจัยในประเทศเวียดนาม พบว่าเด็กในกลุ่มมีปริมาณบีตาแคโรทีนและไลโคพีนในพลาสมาสูงขึ้น และกลุ่มที่มีปริมาณความเข้มข้นของเฮโมโกลบินต่ำมีความเข้มข้น เพิ่มขึ้นด้วย จึงแนะนำให้ผู้มีเลือดจางกินข้าวหุงเยื่อเมล็ดฟักข้าวสุกด้วย ปัจจุบันมีผู้นำเยื่อเมล็ดนี้ผลิตเป็นเครื่องดื่มอาหารเสริมจำหน่ายในต่างประเทศ
 
ไลโคพีนเป็นสารกลุ่มแคโรทีนอยด์  พบได้ในผักและผลไม้บางชนิด ทำหน้าที่เป็นรงควัตถุรวบรวมแสงให้แก่พืช และป้องกันพืชผักจากออกซิเจนโมเลกุลเดี่ยว (อนุมูลอิสระ) และแสงที่จ้าเกินไป  การกินไลโคพีนที่มีฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นได้รับการพิสูจน์จากวงการแพทย์ว่ามีผลลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร  เนื่องจากเยื่อเมล็ดฟักข้าวมีไลโคพีน มากกว่าผลไม้อื่นๆ ทุกชนิด  จึงถือว่าเป็นอาหารต้านมะเร็งที่ดีที่สุดชนิดหนึ่งจากฤทธิ์ของไลโคพีน

ฤทธิ์ในการบำบัดรักษาโรคประเทศจีน
ใช้เมล็ดแก่ของฟักข้าวเป็นยามานานกว่า ๑,๒๐๐ ปี ใช้บำบัดอาการอักเสบบวม กลากเกลื้อน ฝี อาการฟกช้ำ ริดสีดวง แก้ท้องเสีย อาการผื่นคันและโรคผิวหนังติดเชื้อต่างๆ ทั้งในมนุษย์และสัตว์ต่างๆ การกินฟักข้าวเป็นยานั้น ใช้เมล็ดแก่บดแห้ง  ส่วนการใช้ภายนอก ให้นำเมล็ดฟักข้าวบดแห้งผสมน้ำมันหรือน้ำส้มสายชูเล็กน้อยทาบริเวณที่มีอาการ และใช้เยื่อเมล็ดแทนสีผสมอาหาร งานวิจัยในประเทศจีนพบว่าโปรตีนจากเมล็ดมีความสามารถต้านอนุมูลอิสระและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ตับในหลอดทดลอง  เชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของฤทธิ์ทางชีวภาพของเมล็ดฟักข้าว ถือว่าลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระจึงมีฤทธิ์ป้องกันมะเร็ง นอกจากนี้ เมล็ดฟักข้าวเป็นส่วนผสมของยาแก้ปวดกล้ามเนื้อและคลายกล้ามเนื้อในเครื่องยาจีนหลายตำรับ
ประเทศเวียดนาม 
การวิจัยทางคลินิกที่มหาวิทยาลัยฮานอย พบว่าน้ำมันจากเยื่อเมล็ดฟักข้าวมีประสิทธิภาพในการรักษามะเร็งตับ
ประเทศไทย
มีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดลเกี่ยวกับสรรพคุณของเมล็ดฟักข้าว  พบโปรตีนที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อเอชไอวี-เอดส์ และยับยั้งเซลล์มะเร็งจดสิทธิบัตรในประเทศไทยแล้ว งานวิจัยอื่นของไทยและต่างประเทศพบว่า เมล็ดแก่ของฟักข้าวมีโปรตีน มอร์มอโคลชิน-เอส  และโคลชินิน-บี  มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของไรโบโซมซึ่งเป็นแหล่งผลิตกรดอะมิโน และต้านการเจริญของเซลล์มะเร็งหลายชนิดในหลอดทดลอง ซึ่งอาจนำไปใช้พัฒนา เภสัชภัณฑ์ได้ในวันข้างหน้า
ประเทศฟิลิปปินส์และประเทศไทย 
ใช้รากฟักข้าวสระผมเพื่อกำจัดเหา ใช้รากบดหมักผมกระตุ้นให้ผมดก ประเพณีล้านนาของไทยใช้   ฟักข้าวในการดำหัว (คือการสระผม) สตรีล้านนา ดำหัวสัปดาห์ละครั้ง ยาสระผมŽ ประกอบด้วย ฝักส้มป่อยจี่ ผลมะกรูดเผา ผลประคำดีควายหมกไฟพอให้สุก รากของต้นฟักข้าว รากแหย่งบดหยาบ ทั้งหมดผสมกับน้ำอุ่นหมักผมไว้สัก    ระยะหนึ่งแล้วจึงล้างออก จะทำให้แก้คันศีรษะ แก้รังแค แก้ผมร่วงและช่วยให้ผมดกดำ
ประเทศญี่ปุ่น
ทำการวิจัยพบว่า โปรตีนจากสารสกัดน้ำของผลฟักข้าวยับยั้งการเจริญของก้อนมะเร็งลำไส้ใหญ่ในหนูทดลอง โดยลดการแผ่ขยายของหลอดเลือดรอบก้อนมะเร็งและชะลอการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งดังกล่าว ในห้องทดลองน้ำสกัดผลฟักข้าวยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งตับและมะเร็งลำไส้ใหญ่โดยการทำให้เซลล์แตกตาย
ผลอ่อนฟักข้าวกินได้ ผลแก่ก็อุดมคุณค่า ลองหาพันธุ์มาปลูกให้เลื้อยเล่นหน้าบ้านจะได้กินเมื่อใจ ปรารถนา เป็นการสร้างสุขภาพป้องกันโรคร้ายได้อย่างดี 
ที่มา http://www.doctor.or.th/article/detail/1060