วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

รู้หรือไม่ 10 อันดับประเทศ ที่น้ำมันราคาถูกสุดในโลก มีประเทศอะไรบ้าง

            

บริษัทประกันจากอังกฤษ “สเตฟลีย์ เฮด” จัดอันดับ 10 ประเทศน้ำมันราคาถูกสุดในโลก ซึ่งแทบทั้งหมดเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมัน แต่จะมีประเทศอะไรบ้าง แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นประเทศเหล่านี้ถึงแม้ว่าจะมีราคาน้ำมันถูกที่สุดในโลก แต่หากเทียบกับอัตราค่าครองชีพแล้ว ประชากรภายในประเทศอาจจะคิดว่าราคาน้ำมันเหล่านี้อาจจะแพงก็ได้
10 แอลจีเรีย
อันดับ 10 “แอลจีเรีย” ที่ขายน้ำมันราคาเท่ากับโอมาน 1.20 ดอลลาร์ ประเทศนี้ มีน้ำมันสำรองมากสุดเป็นอันดับ 3 ในทวีปแอฟริกา รองจากลิเบีย และไนจีเรีย แต่ผลิตน้ำมันมากเป็นอันดับ 4 ของกาฬทวีป และสหภาพยุโรป (อียู) พึ่งพาน้ำมันจากแอลจีเรียมาก เพราะมีสารซัลเฟอร์ต่ำ ขณะที่แอลจีเรีย มีรายได้ 60% จากการผลิตน้ำมัน
9 โอมาน
อันดับ 9 คือ “โอมาน” ราคาน้ำมันขายแกลลอนละ 1.20 ดอลลาร์ โอมานเป็นชาตินอกกลุ่มโอเปกที่มีแหล่งน้ำมันสำรองมากสุด 5.5 พันล้านบาร์เรล ส่งออกน้ำมันและก๊าซคิดเป็น 47% ของจีดีพีปี 2553 แต่โอมาน พยายามเพิ่มความหลากหลาย ให้ระบบเศรษฐกิจไปที่ภาคเกษตรและบริการด้านสุขภาพ แทนที่จะพึ่งพาพลังงานอย่างเดียว
8 อียิปต์
อันดับ 8 “อียิปต์” ราคาน้ำมันขายในบ้านแกลลอนละ 1.14 ดอลลาร์ ทั้งที่อียิปต์ เป็นผู้ผลิตและกลั่นน้ำมันรายใหญ่ แต่ความต้องการบริโภคในประเทศเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมบางส่วน ขณะที่ผลพวงจากปรากฏการณ์ปฏิวัติโลกอาหรับ ในปีที่ผ่านมา ส่งผลต่อหลายๆภาคส่วนของอุตสาหกรรม แต่รายได้หลักของอียิปต์ในช่วงบ้านเมืองวุ่นวาย ยังมาจากการลงทุนน้ำมันและก๊าซ รวมถึงรายได้จากคลองสุเอซ ที่เป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญ
7 กาตาร์
อันดับ 7 “กาตาร์” ราคาน้ำมันอยู่ที่ 0.90 ดอลลาร์ต่อแกลลอน กาตาร์เป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลวรายใหญ่สุดของโลก และเป็นผู้ส่งออกน้ำมันดิบอันดับ 16 ขณะที่คนในประเทศบริโภคน้ำมันเพิ่มขึ้น 3 เท่าจากเมื่อปี 2543 เพราะเศรษฐกิจที่เติบโตและน้ำมันราคาถูกจากการอุดหนุนของรัฐ กาตาร์ มีปริมาณน้ำมันสำรองที่พิสูจน์แล้วราว 2.54 หมื่นล้านบาร์เรล ขณะที่รายได้จากน้ำมันและก๊าซมีสัดส่วน 50% ของจีดีพี แต่กาตาร์ พยายามเพิ่มความหลากหลายให้กับเศรษฐกิจและสร้างชื่อจากการลงทุนด้านวิจัยและ พัฒนา
6 คูเวต
อันดับ 6 “คูเวต” ขาย น้ำมันแกลลอนละ 0.84 ดอลลาร์ คูเวต เป็นประเทศที่มีแหล่งน้ำมันสำรองใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก และส่งออกเป็นอันดับต้นๆ ในกลุ่มโอเปก รายได้จากน้ำมันมีสัดส่วนราว 95% ของรายได้ทั้งหมด และคิดเป็นครึ่งหนึ่งของจีดีพี คูเวต มีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 4 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2563 แต่ชาวคูเวตบริโภคน้ำมันที่ผลิตเองในสัดส่วนที่น้อยมาก เพราะส่งออกถึง 87% ของที่ผลิตได้ในปีที่แล้ว และเงินอุดหนุนเชื้อเพลิงของคูเวตสูงสุดที่ 2,800 ดอลลาร์ต่อคน ในขณะที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และกาตาร์อุดหนุนราว 2,500 ดอลลาร์ต่อคน
5 บาห์เรน
อันดับ 5 “บาห์เรน” มี ราคาน้ำมันที่ 0.78 ดอลลาร์ต่อแกลลอน ประเทศนี้ กำลังเพิ่มความหลากหลายทางเศรษฐกิจ เนื่องจากมีน้ำมันไม่มากเท่าประเทศอื่นๆ โดยเปลี่ยนไปเน้นจุดขายเรื่องศูนย์กลางการธนาคารในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย ค้าปลีก และท่องเที่ยวแทน แต่บาห์เรน เผชิญกับความท้าทายเนื่องจากประชาชนเรียกร้องให้มีการปฏิรูปทางการเมือง หากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง ก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่บาห์เรนจะยกเลิกการอุดหนุน
4 เติร์กเมนิสถาน
อันดับ 4 “เติร์กเมนิสถาน” ขาย น้ำมันราคา 0.72 ดอลลาร์ต่อแกลลอน การเลือกตั้งครั้งล่าสุด ที่ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ได้นั่งเก้าอี้ต่ออีก 5 ปี หมายความว่า เจ้าของรถชาวเติร์กยังจะได้รับสิทธิเติมน้ำมันฟรี 120 ลิตรต่อเดือน (34 แกลลอน) ต่อไปอีก เพราะรัฐบาลสัญญาที่จะจ่ายอุดหนุนด้านพลังงานต่อไปจนถึงปี 2573 แต่ปริมาณปิโตรเลียมสำรอง ที่ลดลงก็กลายเป็นความท้าทายของรัฐบาล
3 ลิเบีย
อันดับ 3 คือ “ลิเบีย” ที่ขาย น้ำมันแกลลอนละ 0.54 ดอลลาร์ ในปีที่แล้ว ลิเบียเกิดการประท้วงโค่นอำนาจพันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี ทำให้โครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับน้ำมันถูกทำลายอย่างหนักจากการต่อสู้ระหว่าง สองฝ่าย แต่ปัจจุบัน ภายใต้การบริหารของสภาถ่ายโอนอำนาจแห่งชาติ ลิเบียกำลังฟื้นฟูศักยภาพในการผลิตและส่งออกน้ำมัน รัฐมนตรีน้ำมันของลิเบีย คาดว่า น่าจะกลับมาผลิตน้ำมันในระดับเดียวกับก่อนเกิดจลาจล 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวันได้ในปีนี้ จากปัจจุบันที่ผลิตได้ 1.265 ล้านบาร์เรล ซึ่งหากทำได้ตามนี้ก็จะทำให้ลิเบียมีเสถียรภาพด้านน้ำมันและยืนระดับราคา น้ำมันในประเทศไว้ได้
2 ซาอุดิอาระเบีย
รอง แชมป์ ได้แก่ “ซาอุดิอาระเบีย” ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก ที่ขายน้ำมันในประเทศ ราคา 0.48 ดอลลาร์ต่อแกลลอน แม้ริยาดห์ จะสร้างความมั่งคั่งจากทองคำดำมาตลอดหลายปี และน่าจะต่อเนื่องไปอีกหลายปี ทว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของริยาดห์ ก็เริ่มกังวลว่า ปริมาณน้ำมันสำรองที่ประเมินกันนั้นจะมากเกินที่เป็นอยู่หรือไม่ ยิ่งความตึงเครียดกรณีอิหร่านเพิ่มขึ้น จึงมีคำถามว่าซาอุฯ จะยังส่งออกน้ำมันราว 9 ล้านบาร์เรลต่อวันไปได้ยาวนานแค่ไหน ในฐานะฮีโร่ ที่เพิ่มการผลิตจาก 7.5 ล้านบาร์เรล เพื่อพยุงราคาน้ำมันไม่ให้สูงไปกว่านี้ ปัจจุบัน รัฐบาลริยาดห์ใช้จ่ายเงินเพื่ออุดหนุนราคาน้ำมันในประเทศ ทั้งเบนซินและดีเซล ประมาณ 1.33 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี
1 เวเนซุเอลา
“เวเนซุเอลา ″ ที่ ราคาน้ำมันอยู่ที่ 0.18 ดอลลาร์ต่อแกลลอน เนื่องจากเวเนฯ ใกล้ฤดูเลือกตั้ง ในเดือนตุลาคมปีนี้ ประธานาธิบดีฮูโก้ ชาเวซ อ่านเกมออกว่า หากปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลในช่วงนี้ ย่อมกลายเป็นความเสี่ยงต่ออนาคตทางการเมืองของตัวเอง ประกอบกับ ความพยายามปรับขึ้นราคาหนล่าสุด เมื่อปี 2532 ลงเอยด้วยเหตุจลาจล ที่มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน และชาวเวเนฯ จึงมีแนวโน้มจะใช้น้ำมันราคาจิ๊บๆ ไปอีกหลายปี


ที่มา toptenthailand.com


วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2555

ความสูงน้ำ… ระดับไหนที่รถวิ่งได้


กลับมาอีกครั้งกับเคล็ดลับการดูแลรถยนต์สำหรับคนรักรถ ซึ่งวันนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับน้ำ เพราะปัญหาน้ำท่วมในบ้านเราช่วงนี้ยังไม่หมดไป และดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามเราซึ่งเป็นมนุษย์ก็ต้องปรับตัว และอยู่กับมันให้ได้
ที่ผ่านมาเราได้พูดถึง การขับรถลุยน้ำท่วมกันไปพอสมควรแล้ว แต่การจะขับรถลุยน้ำนั้น นอกจากเทคนิคดังกล่าวแล้ว การประเมินสถานการณ์ความสูงของน้ำก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญไม่แพ้กัน และวันนี้เราก็มีวิธีการประเมินระดับน้ำมาฝากกันครับ
น้ำท่วมรถเล็กน้อย
น้ำท่วมรถเล็กน้อย
การประเมินระดับน้ำท่วมนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งการสังเกตระดับน้ำนั้น ให้ใช้จุดอ้างอิงต่างๆที่เราสามารถสังเกตได้ เช่น รถยนต์ที่สวนทางมา เสาไฟฟ้า ต้นไม้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถือว่าเป็นตัวชี้วัดได้อย่างดี และคุณควรตัดสินใจให้ดีก่อนทำการลงน้ำ
1. ระดับน้ำ 5-10 เซนติเมตร ระดับน้ำนี้ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น และไม่สามารถส่งผลต่อการเดินทางของรถ และระดับน้ำระดับนี้มักเจอเป็นประจำเมื่อพบน้ำท่วมขังในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งระดับนี้ เป็นระดับที่ปลอดภัย สามารถผ่านได้ ทั้งรถเก๋ง และรถกระบะไร้ปัญหา
2. ระดับน้ำ 10 – 20 เซนติเมตร ในกรณีเราเจอน้ำท่วมขังในพื้นที่มากในระดับน้ำประมาณครึ่งฟุตนี้ ถือว่ายังไม่สามารถทำอะไรรถยนต์ได้ ยังสามารถผ่านไปได้ตามปกติ ทั้งรถเก๋งและรถกระบะ โดยในส่วนของรถเก๋ง อาจจะมีปัญหาเล็ก เพราะคุณอาจจะได้ยินเสียงน้ำนั้น กระเพื่อมอยู่ที่ใต้ท้องรถบ้าง แต่นั่นไม่ใช่ปัญสามารถเดินเครื่องไปต่อได้เรื่อยๆ และในกรณีขับรถส่วนกันก็อาจจะมีคลื่นที่สูงบ้าง แต่ไม่มากมายนัก ตรงนี้ยังปลอดภัย
3.ระดับน้ำ 20 -40 เซนติเมตร ตรงนี้รถเก๋งอาจจะเริ่มมีปัญหา เพราะนี่คือระดับขอบประตูรถเก๋งเกือบแทบทุกรุ่นในปัจจุบันที่มีระยะสูงจาก พื้น 150-170 ม.ม. เท่านั้น ระดับที่ท่วม 3 ใน 4 ของล้อรถนั้น ส่งผลให้ท่อไอเสียนั้นจะจมนั้นอยู่เกือบตลอดเวลา แต่ก็ยังพอไปได้ถ้าทางนั้นไม่ยาวมากนัก แต่ถือว่าเริ่มเสี่ยงมาก อาจจะมีน้ำหลุดเข้าไปในรถ โดยเฉพาะรถกลุ่มซิตี้คาร์ ส่วนรถกระบะทั่วไปสามารถผ่านได้ ยกสูง ยังสบายใจได้อยู่
น้ำท่วมรถ
น้ำท่วมรถ
4.ระดับน้ำ 40 -60 เซนติเมตร ระดับนั้นประมาณ 2 ฟุตนั้น ถือเป็นอันตรายสำหรับรถเก๋ง ทุกรุ่นทุกประเภท ไม่สมควรผ่านอย่างยิ่งหากเลี่ยงได้ให้เลี่ยง และในระดับเดียวกันนี้ รถปิกอัพทั่วไปนั้น ก็เริ่มมีลุ้นพอสมควร แตถ้าเดินเครื่องไปเรื่อยๆ ยังสามารถไปได้ เพียงแค่ต้องระวังเรื่องของคลื่นน้ำ ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นอย่างฉับพลัน และอาจะเข้าเครื่องได้ ระดับน้ำขนาดนี้ต้องปิดระบบปรับอากาศขับ ส่วนรถกระบะยกสูงทั่วไปนั้นสามารถผ่านได้ ไม่มีปัญหา แต่ก้ต้องระวังเรื่องคลื่นเช่นกัน
5.ระดับน้ำ 60-80 เซนติเมตร ระดับน้ำขนาดนี้เป็นเรื่องอันตรายกับรถทุกประเภท ไม่เว้นกระทั่งรถใหญ่ทั้งหลาย เพราะน้ำนั้นอาจจะมีสิทธิไหลเข้ากรองอากาศได้ง่ายกว่า ยิ่งเจอคลื่นนั้นอาจจะสุงถึงระดับ 1 เมตร ที่สามารถทำให้เครื่องยนต์หยุดชะงักและสร้างความเสียหายต่อระบบต่างๆได้ การลุยน้ำท่วมระดับนี้ ต้องใช้ความชำนาญการเป็นพิเศษพอตัว ที่สำคัญ พยายามอย่าปะทะคลื่นโดยตรง เพื่อหลีกเลี่ยงเครื่องดับกลางอากาศ และอย่าใช้ความเร็วสูงนัก
ระดับน้ำประมาณ 60-80 ซม.
ระดับน้ำประมาณ 60-80 ซม.
6 ระดับน้ำสูงเกินกว่า 80 เซนติเมตร ระดับน้ำที่มากที่สุดที่รถเดิมๆ จากโรงงานจะสามารถผ่านได้ และก็ไม่ใช่ทุกรุ่นเสียด้วย ตามปกติ ระดับน้ำ 80 ซ.ม. นั้นหมายถึงน้ำขึ้นถึงฝากระโปรง ท่วมไฟหน้ามิดสิ่งสำคัญคือปิดระบบไฟต่างๆ เพื่อป้องกันการลัดวงจรเดินเครื่องอย่างต่อเนื่องอย่าหยุด แต่ถ้าอยากให้ปลอดภัย น้ำระดับนี้ ควรมากับรถลุยที่มีการปรับแต่งยกสูงจากปกติประมาณ 2-4 นิ้ว จะมั่นใจกว่า
และถ้าเจอระดับน้ำที่สูงกว่าเมตรก็แนะนำว่าอย่าไปขับมัน หาเรือมาซิ้งดีกว่าขับ ทั้งนี้อย่างที่บอกไปในเบื้องต้นว่าการประเมินระดับน้ำนั้นต้องอาศัยสิ่งที่ ช่วยอ้างอิง และที่สำคัญ ต้องรู้จักรถเราอย่างดี ว่าระดับไหนที่ปลอดภัย อย่าฝืน มิฉะนั้น อาจจะดับกลางทางได้ครับ
สุดท้ายนี้ ขอให้เพื่อนๆ ช่วยเป็นกำลังใจให้ผู้ที่ประสบภัยธรรมชาติอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม หรือกำลังเตรียมการรับมือกับน้ำท่วม และน้ำท่วมรถ ฝ่าวิกฤตนี้ไปให้ได้ ซึ่งถ้าเพื่อนๆ สามารถช่วยเหลือสิ่งใดได้ก็ขอให้ช่วยเหลือตามกำลังความสามารถครับ

ที่มา http://www.thaicarlover.com

วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

Bootmgr is compressed

เล่าไว้เป็นแนวทาง เผื่อใครจะเป็นอย่างผมนะครับ
ผมใช้ windows7 Ultimate ตัวเก่าๆหน่อย อยู่มาวันนึง ปริมาณข้อมูลใน ไดร์C มันก็ถึงคอหอย (อะไรไม่รู้นักหนา ทั้งที่ไม่ได้เก็บไฟล์ในไดร์นี้เลย) ก็เลยคลิกขวา สั่งบีบอัด ไดร์C:/ ประหยัดพื้นที่ซะเลย ครั้นเปิดเครื่องอีกที่ มัน บูต ไม่ได้ซะแล้ว พร้อมข้อความ "Bootmgr is compressed" อะฮ่า!! TT TT

ก็เลยไปหาวิธีแก้มา เป็นเว็ปนอก บอกคร่าวๆ ครั้นแล้ว รู้คนเดียวจะประโยชน์น้อยไป ขอเล่าสู่กันฟัง(อ่าน)เลยล่ะกัน อัพให้ละเอียดขึ้นด้วย


สิ่งที่คุณต้องมี คือ แผ่นติดตั้ง windows7 ตัวใหนก็ได้ที่บูต Dos ได้

วิธีแก้
1.เปิดเครื่อง บูตจาก CD/DVD
2.เข้าไปถึงหน้าจอที่มีคำว่า Install ข้างๆจะมี คำว่า ซ่อมแซมวินโดร์(ขอไทยละนะขี้เกียจสลับภาษา) คลิกเข้าไปครับ เครื่องจะบูตหาไดร์ติดตั้งวินโดร์เราแป๊บนึงแล้วก็ มีหน้าต่าง มี2ทางให้เลือก
- ซ่อมแซมส่วนบูตเข้าเครื่อง(ลองทำแล้วมันบอกเวอร์ชั่นไม่ตรงกะแผ่น-เราอัพเดตไปเยอะแล้ว-)
- ทำการ รีสตอร์ จากไฟล์ที่แบคอัพไว้(เราไม่มี)
3.เลือก รีสตอร์ จากไฟล์ที่แบคอัพไว้ มันจะค้นหาไฟล์แบ็คอัพ กด skip ครับ(ก็เราไม่มีนินา) ปิดหน้าต่างต่อจากนั้นไปเลยครับ เครื่องจะโหลด ไปเมนูที่เราต้องการแล้ว
4.หน้าต่างจะมีตัวเลือกประมาณ 6-8 ตัว เลือก
เปิด Dos(บางเวอร์ชั่นขั้นตอนอาจไม่ตรงเป๊ะ เป็นทำไงก็ได้ให้มานเปิด Dos ละกัน)

หน้าต่าง Dos ปกติมันจะแสดงเป็น แรมไดร์ X: ตามด้วยอะไรซักอย่างลืมไปแล้ว

1. ไปไดร์ Os ของเรา (ปกติก็ไดร์ C) โดยพิมพ์ C: (จบคำสั่งกดปุ่ม Enter)
2. พิมพ์ bootrec/fixMbr (จะพิมพ์แค่ bootrec เพื่อดูว่ามีคำสั่งอะไรบ้างก่อนก็ได้)
3. พิมพ์ bootrec/fixboot (ตัวนี้แหละสำคัญ)
4. พิมพ์ bootrec/rebuildbcd (ตรวจสอบไฟล์ว่ามีตัวใหนหายไปบ้างแล้วจะก๊อปจากแผ่นให้)
5. พิมพ์ exit เพื่อออกจากหน้าต่าง แล้วก็ รีสตาร์ท โลดครับ