วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิธีแปลง UPS เป็น Inverter ใช้ในรถ

เราสามารถนำ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินกำลังไฟไม่เกินกว่าที่UPSกำหนดไว้มาใช้ได้(โดยทั่วไป ประมาณ500VA)เช่นเครื่องชาดร์แบตต่างๆเช่นกล้องVDO,กล้องดิจิตอล,กาต้มน้ำ ร้อนขนาดเล็ก,พัดลม,อันนี้สำคัญมากสำหรับท่านที่ชอบเอาเครื่องไปดำน้ำเล่นก็ คือไดเป่าผม และชาดร์แบตเครื่องบินของเราเอง

แต่ระวังใช้จนแบตรถยนต์หมดจนสตาร์ไม่ติดกลับบ้านไม่ได้นะครับ

มาดูขั้นตอนกันเลย

1. เปิดฝาUPSออกแล้วเอาแบตในUPSออกเพื่อลดน้ำหนัก

2. ถอดBUZZERออกซะ ถ้าไม่เอาออกมันจะดังตลอดเวลาเพราะเตือนเราว่าใช้BATTอยู่

3. ตัดสายไฟ200Vที่เสียบไฟบ้านออก แล้วเอาสายที่มาจากBATTของUPSใส่แทน ออ้สายไฟ220Vที่ตัดออกพันด้วยเทปพันสายไฟด้วยนะเดี่ยวจะซ๊อตกันเข้า

4. ปิดฝากลับ

5. เอาสายแดงต่อกับขั้วบวกของแบตในรถยนต์ และสายดำต่อกับขั้วลบของแบตในรถยนต์เป็นอันเสร็จพิธี

ผมหวังว่าคงพอจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่ชอบออกเล่นนอกสถาที่บ้างนะครับ ส่วนตัวผมเองใช้มาประมาณ 2 ปีแล้วยัง OK อยู่เลย และที่คิดว่าน่าจะดีกว่า INVERTER ทั่วไปก็คือ UPS เขาออกแบบมาใชกับ Compoter ซึ่งต้องการไฟที่ข้อนข้างคงที่อยู่แล้ว ....

* อนุเคราะห์บทความโดย..คุณ boso ...บทความจากเว็บบอร์ด TOC ..Weekendhobby.com


ที่มา http://www.foungjampee.com/tip/inverter.htm

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

7 วิธีช่วยฝึกสมองให้ลูกความจำดี

สมองเป็นอวัยวะที่เป็นศูนย์รวมของความคิด จินตนาการ การวางแผน การแก้ปัญหา ตลอดจนความจำซึงช่วยบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่เราได้ประสบพบเห็นมาในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตหรือการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจดจำชื่อและลักษณะของคนที่เราเพิ่งรู้จัก การจดจำชื่อสิ่งของที่เราต้องใช้ การจดจำชื่อสถานที่ ๆ เราได้ไปมา

สมองส่วนความจำของคนเรานั้นสามารถพัฒนาได้ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยสูงอายุ เลยทีเดียว ซึ่งวิธีพัฒนาสมองส่วนความจำสามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้

1.เขียนสมุดบันทึก คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกจดบันทึกเรื่องราวต่างๆลงในสมุดบันทึกเป็นประจำทุก วัน วิธีนี้นอกจากจะช่วยฝึกทักษะเรื่องของภาษาในการเขียนและการลำดับเรื่อง ราวอย่างเป็นขั้นเป็นตอนแล้ว ยังช่วยฝึกให้ลูกรู้จักการรวบรวมความคิดและฝึกการจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ที่พบเจอในแต่ละวันที่ผ่านมาได้ด้วย นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่อาจจัดเตรียมปฏิทินที่มีช่องว่างของวันที่แต่ละวันไว้ ให้ลูกได้ฝึกเขียนแผนการที่จะทำในแต่ละวันลงในปฎิทินนั้นเพื่อเป็นการฝึกการ ช่วยจำของลูกด้วย เช่น ในคืนวันศุกร์ลูกจะเขียนแผนการที่จะต้องทำในวันเสาร์ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ลูกก็จะต้องนึกทบทวนถึงกิจกรรมที่เขาต้องทำ เป็นต้นว่าตอนเช้าต้องไปตลาดกับคุณแม่ หลังรับประทานอาหารเช้าต้องทำการบ้านที่เหลืออยู่ให้เสร็จ ตอนบ่ายช่วยคุณพ่อล้างรถ ตอนเย็นพาสุนัขไปเดินเล่น นอกจากวิธีนี้จะช่วยจัดระบบความคิดและความจำให้ลูกแล้ว ยังช่วยสร้างวินัยในการดำเนินชีวิตให้กับลูกได้เป็นอย่างดี

2.เล่นเกมพัฒนาความจำ คุณพ่อคุณแม่ควรหากิจกรรมเกมที่ช่วยฝึกความจำให้แก่ลูก เช่น เกมครอสเวิร์ด เกมปริศนาอักษรไขว้ เกมหาคำศัพท์ เกมบิงโก เกมต่อจิ๊กซอว์ เกมเหล่านี้นอกจากจะช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจำของสมองเป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยให้มีสมาธิและฝึกความอดทนในการที่จะต้องพยายามแก้ปัญหาให้สำเร็จ

3.ดนตรีช่วยเพิ่มความจำ ดนตรีเป็นสื่อที่นอกจากจะช่วยคลายเครียด พัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการให้แก่เด็กแล้ว ยังช่วยเพิ่มทักษะในด้านความจำของเด็กที่ได้ผลดีเป็นอย่างมากอีกด้วย เพราะการที่เด็กได้ฟังเพลง ร้องเพลงและเล่นเครื่องดนตรี เด็ก ๆ จะต้องใช้ความจำในเรื่องของการจดจำทำนอง เนื้อร้องและจังหวะของแต่ละบทเพลง นอกจากนี้การเล่นเครื่องดนตรี เด็กๆต้องฝึกอ่านโน้ตดนตรี ซึ่งเป็นการฝึกในเรื่องของความจำโดยตรงอีกด้วย

4.ฝึกสมาธิ การฝึกสมาธิเป็นวิธีการที่ดีมากอย่างหนึ่งในการช่วยเพิ่มพลังความจำอย่างได้ ผล การทำสมาธิสำหรับเด็กเล็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องให้เขาฝึกจิตให้สงบด้วยการนั่งสมาธิเอามือประสานกันวางไว้ที่ ตักแล้วท่อง ยุบหนอ พองหนอ เพราะบางครั้งวิธีนี้อาจใช้ไม่ได้สำหรับเด็กบางคนเนื่องจากเขาอาจรู้สึกอึด อัด แต่การทำสมาธิสำหรับเด็กง่าย ๆ คือหมายถึงการที่เขาได้พักสงบกับตนเอง เช่น การที่เด็กได้นอนหนุนตักคุณพ่อคุณแม่ใต้ต้นไม้อย่างเงียบสงบในเวลา ประมาณ15นาที ก็เป็นการฝึกสมาธิได้แล้ว การฝึกสมาธิจะช่วยผ่อนคลายความเครียดและช่วยเตรียมให้สมองได้เปิดรับการ เรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ และจดจำบทเรียนต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

5.รับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มความจำ คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกได้ทานอาหารที่มีคุณค่าและช่วยเพิ่มความจำ เช่น ผัก ผลไม้ ซึ่งมีวิตามินบีสอง กรดโฟลิค ที่ช่วยป้องกันสมองเสื่อม นอกจากนี้ควรให้ลูกทานเนื้อสัตว์ อาหารทะเล เพราะมีธาตุเหล็กที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้ายในเรื่องของความจำได้

ขอบคุณภาพจาก www.indyrebaterealestate.com
6.การออกกำลังกาย เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องของความจำของเด็กได้เป็น อย่างดี เพราะขณะที่เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายไม่ว่าจะเดิน กระโดด วิ่ง จะส่งผลในการกระตุ้นให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น ทำให้สมองพร้อมที่จะเปิดรับต่อการจดจำในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้กิจกรรมการออกกำลังตามจังหวะเพลง เช่น แอโรบิคแด๊นซ์ ยังช่วยพัฒนาความจำของเด็กผ่านในการจดจำท่าเต้น ทำนอง และจังหวะของเพลงด้วย

7.นอนหลับพักผ่อน คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกนอนอย่างน้อยวันละ7 ชั่วโมง และไม่ควรให้ลูกนอนเกินวันละ 9 ชั่วโมง เพราะการนอนมากทำให้ความตื่นตัวน้อยลงและทำให้ลูกเกิดความซึมเซา ซึ่งมีผลทำให้ประสิทธิภาพของความจำลดน้อยลง นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรให้ลูกนอนน้อยกว่า7ชั่วโมงต่อวัน เพราะจะทำให้เด็กขาดสมาธิซึ่งทำให้ความสามารถในการจดจำลดน้อยถอยลงไปด้วย เช่นกัน

จะเห็นได้ว่าการฝึกให้ลูกมีความจำที่ดีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจและให้ความสำคัญในการจัดกิจกรรม ที่ช่วยพัฒนาความจำให้กับลูก เช่น กิจกรรมดนตรี กิจกรรมเกม การฝึกสมาธิ การให้ลูกรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุและวิตามินครบถ้วน อีกทั้งการให้ลูกได้ออกกำลังกายและนอนหลับพักผ่อนอย่างเหมาะสมเพียงพอ ซึ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่นำมาใช้กับลูกได้ทั้ง7วิธีนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าจะช่วยพัฒนาให้ลูกเป็นเด็กที่มีความจำที่ดีได้อย่างแน่นอน

ที่มา http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000179691

รูรับแสง และ ความเร็วชัตเตอร์



รูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์ถือเป็นหัวใจของการถ่ายภาพ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่นักถ่ายภาพทุกคนไม่ว่าจะเป็นมือสมัครเล่นหรือมือ อาชีพต้องรู้ไว้ จึงจะสามารถสร้างสรรค์ผลงานการถ่ายภาพที่ดีได้

รูรับแสง (Aperture) บางทีก็เรียกกันว่า"หน้ากล้อง" การทำงานก็เหมือนกับชื่อ นั่นก็คือเป็นช่องที่ปล่อยให้แสงผ่านเข้าไป ซึ่งรูรับแสงจะไปสัมพันธ์กับความเร็วชัตเตอร์(ซึงคือเวลาที่ปล่อยให้แสงผ่าน เข้าไปผ่านรูนั้น) ทำให้เกิดความสว่างและรายละเอียดของภาพต่างๆกัน โดยขนาดของรูรับแสงจะวัดเป็น F number ซึ่ง F number นี้ยิ่งมีค่าน้อย รูรับแสงจะยิ่งกว้าง(อาจจะขัดกับความรู้สึกนิดๆ) และค่าของ F-number นั้นจะเพิ่มขึ้น(หรือลดลง)เป็น stop เช่น F2.0, 2.8 , 4.0 , 5.6 , 8 ,11,16 , 22 เป็นต้น โดยแต่ละ stop จะกว้างขึ้น(หรือแคบลง) 1 เท่า เช่น F2.8 จะกว้างกว่า F4 อยู่ 1 เท่า



จากภาพ ยิ่ง F เลขมาก รูรับแสงยิ่งแคบลง

เนื่องจากรูรับแสงสัมพันธ์กับความเร็วชัตเตอร์ ซึ่งรูรับแสงที่กว้างจะช่วยให้ใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงๆได้ ทำให้ถ่ายภาพในลักษณะที่มีการเคลื่อนไหว (เช่น ถ่ายภาพกีฬา) ได้ดีขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นรูรับแสงที่กว้างยังจะช่วยให้เกิดลักษณะภาพชัดตื้น(หน้าชัด หลังเบลอ) ได้อีกด้วย



จากภาพ -
การใช้รูรับแสงกว้างๆ (F เลขน้อยๆ) จะช่วยให้เกิดภาพที่มีลักษณะ"ชัดตื้น" ขึ้นได้
ภาพซ้าย F2.8 ความเร็วชัตเตอร์ 1/30 วินาที
ภาพขวา F8 ความเร็วชัตเตอร์ 1/4 วินาที


ความเร็วชัตเตอร์ (Shutter Speed)

ความเร็ว ชัตเตอร์คือเวลาที่ปล่อยให้แสงผ่านเข้าไปยังฉากรับภาพ(ในกล้องดิจิตอลคือ CCD) โดยมีหน่วยเป็นวินาที เช่น 1/1000 วินาที 1/30 วินาที 1 วินาที 8 วินาที เป็นต้น ( 1/1000 วินาทีเร็วกว่า 1 วินาทีนะจ๊ะ ) โดยยิ่งความเร็วชัตเตอร์ยิ่งสูงยิ่งสามารถจับภาพได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ภาพไม่เบลอ แต่ก็อย่างที่กล่าวไว้ในเรื่องของรูรับแสงแล้วว่า ความเร็วชัตเตอร์ทำงานสัมพันธ์กับรูรับแสง หากความเร็วชัตเตอร์ยิ่งเร็ว ยิ่งทำให้ต้องมีรูรับแสงที่กว้าง จึงจะทำให้เกิดภาพที่ไม่มืด



จากภาพ - ความเร็วชัตเตอร์สูงๆ จะช่วยหยุดการเคลื่อนไหวได้ F2.8 ความเร็วชัตเตอร์ 1/500 วินาที

แต่ไม่ใช่ ว่าความเร็วชัตเตอร์ยิ่งเร็วถึงจะดี เพราะความเร็วชัตเตอร์ยังสัมพันธ์กับลักษณะของภาพที่ได้ด้วย เช่น เมื่อเราไปถ่ายน้ำตก ความเร็วชัตเตอร์ที่เร็ว จะช่วยให้มองเห็นรายละเอียดของเม็ดน้ำ แต่ความเร็วชัตเตอร์ที่นานขึ้นจะช่วยให้เห็นน้ำเป็นสาย



ภาพซ้าย - ความเร็วชัตเตอร์ชัตเตอร์สูงๆ (ค่าน้อยๆ) จะช่วยให้หยุดการเคลื่อนไหวของน้ำได้ภาพขวา - ความเร็วชัตเตอร์ที่นานขึ้น จะช่วยให้เห็นน้ำเป็นสาย

หรือการถ่ายภาพไฟในตอนกลางคืน หากเราตั้งความเร็วชัตเตอร์นานๆ(อย่าลืมใช้ขาตั้งกล้อง) ก็จะช่วยให้เห็นไฟเป็นสาย ให้ความสวยงามไปอีกแบบ

Name:  night1.jpg  Views: 16496  Size:  15.5 KB
รูรับแสง (F) 22 ความเร็วชัตเตอร์ 10 วินาที สังเกตุไฟของรถยนต์ที่เป็นสาย

Name:  night2.jpg  Views: 16307  Size:  22.4 KB
ความเร็วชัตเตอร์ช้าๆ ช่วยให้เก็บรายละเอียดของแสงไฟได้ดี รูรับแสง (F) 22 ความเร็วชัตเตอร์ 8 วินาที

ความสัมพันธ์ระหว่าง รูรับแสง กับ ความเร็วชัตเตอร์
เมื่อเรา รู้จักกับค่าทั้ง 2 ตัวแล้ว เราจะพบว่าทั้งรูรับแสงกับความเร็วชัตเตอร์ มีความสัมพันธ์กันในเรื่องของการเปิดรับแสง และความสว่าง/มืดของภาพ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากแต่อย่างใด สมมติว่าแสงมีค่าๆหนึ่งที่พอดี ไม่ทำให้ภาพมืดหรือสว่างจนเกินไป เมื่อรูรับแสงกว้าง(F ตัวเลขน้อยๆ)แสงก็จะเข้าได้มาก ชัตเตอร์ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดรับแสงนาน จึงใช้ความเร็วสูงๆได้ แต่หากเปิดรูรับแสงแคบๆ(F ตัวเลขมากๆ)ก็จำเป็นต้องมีความเร็วชัตเตอร์ที่ช้าลง(เปิดนานขึ้น) เพื่อให้ได้แสงที่มีปริมาณพอเพียง
ถ้าหากว่า บางคนกำลังสงสัยอยู่ในใจว่า แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าแสงจะพอดี ไม่สว่างหรือมืดเกินไป หรือจะรู้ได้ยังไงว่าปรับรูรับแสงขนาดเท่านี้แล้วต้องปรับความเร็วชัตเตอร์ เท่าไหร่แล้วละก็ ไม่ต้องกังวลครับ หากอยู่ในหมวดกึ่งอัตโนมัติ เช่น P หรือหมวดปรับรูรับแสงหรือความเร็วชัตเตอร์เองแล้วละก็ กล้องจะทำการเลือกค่าที่เหลือที่เหมาะสมให้อัตโนมัติ แต่หากว่าอยู่ในโหมด Manual กล้องก็จะมีมาตรวัดความสว่างให้ครับ ว่าค่าที่ตั้งทำให้รูปมืดหรือสว่างเกินไปหรือเปล่า

ที่มา http://www.fujifilm.co.th/forum/showthread.php?t=7149

CCD vs CMOS ใครคือผู้ชนะ

กล้อง ดิจิตอลทุกตัว แน่นอนหัวใจสำคัญที่สุดอันหนึ่งที่จะทำให้กล้องตัวนั้นถ่ายทอดรูปออกมาได้ สวยก็คงหนีไม่พ้น Sensor รับภาพ ซึ่งมีหน้าที่รับแสงที่เข้ามาแล้วเปลี่ยนค่าแสงนั้นๆเป็นสัญญาณดิจิตอล ซึ่งในปัจจุบันก็คงมี Sensor รับภาพอยู่เพียง 2 แบบใหญ่ๆเท่านั้น ซึ่งก็คือ CCD (ซีซีดี) และ CMOS (ซีมอส) ที่เป็นคู่แข่งที่สำคัญในท้องตลาด

รูป CCD

รูป CMOS

CCD - CCD ย่อมาจาก Charge Coupled Device เป็น Sensor ที่ทำงานโดยส่วนที่เป็น Sensor แต่ละพิกเซล จะทำหน้าที่รับแสงและเปลี่ยนค่าแสงเป็นสัญญาณอนาล็อก ส่งเข้าสู่วงจรเปลี่ยนค่าอนาล็อกเป็นสัญญาณดิจิตอลอีกที

รูปแสดงการทำงานของ CCD

CMOS - CMOS ย่อมาจาก Complementary Metal Oxide Semiconductor เป็น Sensor ที่มีลักษณะการทำงานโดยแต่ละพิกเซลจะมีวงจรย่อยๆเปลี่ยนค่าแสงที่เข้ามาเป็น สัญญาณดิจิตอลในทันที ไม่ต้องส่งออกไปแปลงเหมือน CCD

รูปแสดงการทำงานของ CMOS

สรุปง่ายๆคือ CMOS จะมีวงจรแปลงสัญญาณแสงในแต่ละพิกเซลเลย ส่วน CCD ตัวรับแสงจะรับแสงอย่างเดียว และจะส่งค่าที่ได้ออกมาให้วงจรที่มีหน้าที่แปลงสัญญาณอีกที

ความเร็วในการการตอบสนอง
ในแง่นี้ CMOS จะเหนือกว่า เนื่องจากตัว CMOS จะแปลงสัญญาณเสร็จในตัวเอง ไม่ต้องส่งข้อมูลไปยังวงจรอื่นอีก

Dynamic Range (คุณภาพในการรับแสง)
ใน แง่นี้ CCD ได้เปรียบอย่างมาก เนื่องจากตัวรับแสงของ CCD มีแต่ส่วนรับแสงเพียงอย่างเดียว ต่างกับ CMOS ที่ต้องมีวงจรแปลงสัญญาณในแต่ละพิกเซลด้วย ดังนั้นถ้าในขนาดที่เท่ากัน ส่วนรับแสงของ CCD จะมีขนาดที่ใหญ่กว่า เนื่องจากไม่ต้องเสียพื้นที่ไปให้วงจรอื่นๆเหมือน CMOS

ความละเอียด
ตรงนี้ CCD ได้เปรียบอีกเช่นกัน เนื่องจากเหตุผลเดียวกันกับ Dynamic Range

การใช้พลังงาน
ข้อนี้ CMOS เหนือกว่าเนื่องจากสามารถรวมวงจรต่างๆไว้ในตัวได้เลย ต่างจาก CCD ที่ต้องมีวงจรแปลงค่าเพิ่มขึ้นมา

ดังนั้นพอจะสรุปได้คร่าวๆว่าในแง่ของการทำงาน (ความเร็ว การใช้พลังงาน) CMOS ได้เปรียบ ส่วนในแง่คุณภาพของภาพ CCD ได้เปรียบ

สาเหตุที่ผมไม่ ใช้คำว่า 'เหนือกว่า' เนื่องจากในปัจจุบันเทคโนโลยีในการผลิตสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ช่องว่างข้อได้เปรียบของ Sensor ทั้ง 2 แบบ ถูกลดต่ำลง โดยหากจะย้อนกลับไปเมื่อซัก 3-4 ปีก่อน ตอนนั้นทุกคนก็คงคิดว่า CCD จะเอาชนะ CMOS ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากข้อได้เปรียบในเรื่องคุณภาพและความละเอียดที่พัฒนาได้ง่ายกว่า

แต่สิ่งที่ CMOS มีแล้วเป็นจุดสำคัญที่สุดก็คือในเรื่องของ 'ต้นทุนที่ต่ำกว่า' เนื่องจากสามารถรวมทุกอย่างไว้ในวงจรเดียวได้เลย ดังนั้นเมื่อเทคโนโลยีการผลิตสูงขึ้น ทำให้หลายๆจ้าวเหลียวกลับไปมอง CMOS อีกครั้ง

แต่ถ้าจะถามว่า ในแง่ของผู้ซื้อ หากจะเลือกซื้อกล้องดิจิตอลซักตัว จะเลือกซื้อกล้องที่ใช้ Sensor แบบ CCD หรือ CMOS ดีกว่ากัน คงต้องตอบว่า 'ไม่ต้องไปสนใจครับ' หากว่ากล้องตัวนั้นถ่ายรูปออกมาแล้วความคมชัด-สีสัน ถูกใจคุณแล้วละก็ ชนิดของ Sensor ที่ใช้จะสำคัญตรงไหน

เหมือนเวลาเราจะเลือกแฟนซัก คน ถ้านิสัยดี หน้าตาเรารับได้ อยู่ด้วยแล้วมีความสุขแล้วละก็ ........ เราจะไปสนใจทำไมละครับว่า 'เครื่องใน' เค้าเป็นยังไง

ถูกต้องไหมครับ !!!!!!!


ที่มา http://www.klongdigital.com/news2/column5

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สุดยอด34โลโก้ค่ายภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก


1) 20th Century Fox: the Searchlight
รูปภาพ

2) DC Comics: DC = Detective Comics
รูปภาพ

3) Columbia Pictures
รูปภาพ

4) Columbia Tristar Entertainment
รูปภาพ

5) Dimension Films
รูปภาพ

6) Digital Factory
รูปภาพ

7) DreamWorks SGK
รูปภาพ

8) Focus Features
รูปภาพ

9) Hollywood Pictures
รูปภาพ

10) Lionsgate
รูปภาพ

อ่านต่อ

ที่มา http://www.pview.net/pview/viewtopic.php?f=2&t=5045

Plain Old CLR Object (POCO)

วันนี้ไม่รู้จะเขียนอะไร ก็เลยมาเขียนเกี่ยวกับ POCO ซะหน่อยดีกว่า ว่ามันมีที่มาที่ไปยังไง

จริงๆ POCO ก็ไม่มีอะไรมากมาย แต่เพราะชื่อมันนี่เองที่ทำให้เรา งง กับมัน มาเริ่มกันเลยครับ...

ประเด็นมันเริ่มต้นเมื่อเราต้องการจะออกแบบ Architecture ของโปรแกรมเรา

ให้แยกออกเป็น Layer ต่างๆ ตามที่คุ้นเคยก็คงหนีไม่พ้น 3-Layer

Presentation เรียกใช้ Business และ Business เรียกใช้ Data Access แบบนี้

Focus to Business Logic Layer

ปกติหากเราออกแบบในส่วนของ Business เราสามารถทำได้เป็น 3 แบบ (Domain Logic Patern ) ดังนี้

1. Transaction Scripts
2. Domain Model
3. Table Module
***ref : Pattern of Enterprise Appication Architecture (PoEAA)
**ซึ่งผมไม่ขอพูดเกี่ยวกับรายละเอียดของแต่ละตัวใน Blog นี้ครับ ไว้ค่อยคุยกันนอกรอบ...
เรามาดูที่ Domian Model ซึ่งหากเราออกแบบ Class เพื่อมาใช้กับระบบหนึ่งๆ สมมุติ ระบบการสั่งซื้อสินค้า
เราก็อาจจะ Design Class ได้ประมาณด้านนี้
Domain Model
นั่นคือ Class ของเราก็จะเป็นเหมือนตัวแทนบอกเล่าเรื่องราวของระบบนั้นๆ
แล้ว POCO มันเป็นยังไง มาดูกันตามด้านล่างนี้ครับ..
เราสามารถสร้าง Class Order ได้โดยการเขียนขึ้นมาเอง หรือไม่ก็ใช้ EF/LINQtoSQL ในการทำ Domain Class
ก็ได้แบบนี้
POCO (เขียนเอง)
public class Order : EntityBase<Order ,int>{
public DateTime OrderDate {get;set;}
public Customer OrderedBy {get;set;}
....
}
No POCO (ใช้ EF(VS 2008 ) ช่วย Gen จาก DataBase )
[global::System.Data.Objects.DataClasses.EdmEntityTypeAttribute(NamespaceName="NorthwindModel", Name="Orders")]

[global::System.Runtime.Serialization.DataContractAttribute(IsReference=true)]

[global::System.Serializable()]

public partial class Orders : global::System.Data.Objects.DataClasses.EntityObject

{

[global::System.Data.Objects.DataClasses.EdmScalarPropertyAttribute(EntityKeyProperty=true, IsNullable=false)]

[global::System.Runtime.Serialization.DataMemberAttribute()]

public int OrderID{

get { return this._OrderID; }

set {

this.OnOrderIDChanging(value);

this.ReportPropertyChanging("OrderID");

this._OrderID = global::System.Data.Objects.DataClasses.StructuralObject.SetValidValue(value);

this.ReportPropertyChanged("OrderID");

this.OnOrderIDChanged();

}

}

private int _OrderID;

partial void OnOrderIDChanging(int value);

partial void OnOrderIDChanged();

}

จากข้างบน เรามาหาคำจำกัดความของ POCO กันดีกว่า
" POCO ก็คือ การที่ Class ธรรมดาๆ ที่ใช้ในการอธิบายเกี่ยวกับระบบที่เราพัฒนา
โดยไม่ไปผูกติดกับวิธีการ Persistence Data นั่นเอง "
ซึ่งส่วนตัวผมชอบ POCO นะ ^^
แล้วมันดียังไง ?
- ทำให้เราสามารถเปลี่ยนวิธีการ Implement ในส่งของ Persistence โดยจะกระทบกับตัว Domain Class น้อย
- ทำให้ Code ดูไม่ยุ่งเหยิง ปรับแต่งเพิ่มเติมก็ทำได้ง่ายขึ้น เทสง่ายขึ้น
สำหรับชื่อ POCO นั้นอย่างที่บอกไปในตอนต้นว่า ชื่อมันไม่ค่อยจะสื่อสักเท่าไหร่ เนื่องจากว่า
ที่มามันเลียนแบบ Java ที่ใช้คำว่า POJO จนต่อมาภายหลัง ในหนังสือ Applying Domain-Driven Design and Patterns
ของ Jimmy Nilsson ก็ได้ใช้คำว่า Persistence Ignorance (PI) แทนครับ..โอเคค่อยดีขึ้นมาหน่อย

ที่มา http://www.greatfriends.biz/webboards/msg.asp?id=116362

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Programming Languge Index

Position
Dec 2010
Position
Dec 2009
Delta in PositionProgramming LanguageRatings
Dec 2010
Delta
Dec 2009
Status
1 1 Java 17.999% +0.94% A
2 2 C 16.076% -0.21% A
3 4 C++ 9.014% -0.16% A
4 3 PHP 7.511% -2.26% A
5 6 C# 6.687% +0.43% A
6 7 Python 6.482% +1.30% A
7 5 (Visual) Basic 5.118% -2.66% A
8 13 Objective-C 3.242% +2.08% A
9 9 Perl 2.331% -0.36% A
10 11 Delphi 2.171% -0.13% A
11 10 Ruby 1.780% -0.87% A
12 8 JavaScript 1.509% -2.01% A
13 15 Lisp 1.064% +0.18% A
14 31 Transact-SQL 0.775% +0.47% A
15 29 RPG (OS/400) 0.770% +0.44% A--
16 17 Pascal 0.760% +0.06% A
17 - Assembly 0.663% +0.66% B
18 25 Ada 0.650% +0.24% B
19 14 SAS 0.643% -0.27% B
20 21 MATLAB 0.605% +0.03% B


ที่มา http://www.tiobe.com/index.php/content/paperinfo/tpci/index.html