วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

ความแตกต่างระหว่างธรรมยุตกับมหานิกาย

' ธรรมยุติกับมหานิกาย เหมือนต่างกันอย่างไร ? '
คำถามนี้ยาก เพราะมันมีหลายระดับครับ ถ้าตอบแบบธรรมดาก็

1. สีจีวรต่างกัน มหานิกายจะห่มสีส้มทอง แต่ธรรมยุติจะห่มสีเข้ม ที่เรียกว่า สีแก่นขนุน แต่เดี๋ยวนี้ แยกออกมาอีกหลากหลาย มีทั้งแก่นทอง แก่นกรัก แก่นแดงพระป่า ฯลฯ แต่ความต่างอันนี้ก็ไม่จำเป็น อีกแล้วครับ เพราะอย่างสายหลวงพ่อชา พระอาจารย์สุรศักดิ์ เองก็เป็นมหานิกาย ที่ห่มจีวรสีธรรมยุติ อีกประการหนึ่งที่ทำให้สังเกตุยากในพิธีหลวง คือ สงฆ์สองนิกาย จะใช้จีวรสีพระราชนิยม (ที่เรียกบิดเบือนไปว่า สีพระราชทาน) เป็นสีกลางระหว่างสองนิกายครับ เพื่อความเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันเมื่อประชุมพร้อมกัน และไม่ทำให้เกิดความแตกแยกด้วยครับ
เกร็ด : เล่า ว่าสายพระป่าใช้สีจีวรออกแดง เพราะหลวงปู่มั่นท่านสงสัยว่าในสมัยพุทธกาล พระครองจีวรสีอะไรกัน และสีนี้ก็ปรากฏในสมาธิของท่าน จึงใช้ต่อๆกันมาเป็นอาจาริยวาสครับ
ประสบการณ์ : ขณะ ที่บวชอยู่ทราบว่าพระป่าท่านจะไม่ค่อยซักจีวรกัน เพราะใช้ด้วยความระมัดระวัง และด้วยข้อจำกัดของการอยู่ป่า ท่านจึงมักครองซักระยะ แล้วใช้ต้มจีวร พร้อมแก่นขนุน หรือสีสังเคราะห์ครับ สีย้อมจีวรนี่คนนึกไม่ถึงกัน จึงไม่ค่อยได้ถวาย ขอแนะนำสีตรากิเลนครับ เพราะจะติดดี ใช้อัตราส่วน สีเหลืองทอง 2 กระป๋อง ต่อสีกรัก(สีอัลโกโซน) 1 กระป๋อง และบวกด้วยสีแดงนิดหน่อย ต่อจีวรหนึ่งผืนครับ ใครอยากถวายของหาได้ยาก งานนี้ได้เลย โมทนาด้วยครับ

2. ครองจีวรต่างกัน มหานิกายมักจะห่มดอง โดยสังเกตุได้ว่าจะพันผ้ารัดอกทับสังฆาฏิ และมือสองข้างเป็นอิสระ โดยเฉพาะในงานพิธีการ นอกจากนั้น ก็ จะมีการห่มมังกร โดยหมุนผ้าลูกบวบทางขวาเวลาออกนอกวัด ส่วนเมือถึงเวลาทำสังฆกรรมจะคาดผ้าที่หน้าอก และมีผ้าสังฆาฏิพาดที่ไหล่ซ้าย แต่เหลือน้อยวัดแล้ว เช่นที่วัดสะเกศ เป็นต้น ส่วนธรรมยุติ จะห่มลูกบวบ โดยม้วนๆๆ ใส่ไว้ใต้รักแร้ข้างซ้าย เวลางานพิธีก็เพียงพันผ้ารัดอกทับไปเลย บางทีเรียกกันลำลองว่าห่มดองธรรมยุติ แต่เดี๋ยวนี้ความต่างน้อยลงเพราะ มีพระบัญชาของสมเด็จพระมหาสมณะเจ้ากรมพระวชิรญาณวโรรส ให้พระภิกษุทั่วสังฆมณฑลห่มผ้าตามแบบของธรรมยุติกนิกายทั้งหมด อีก ประการที่เหมือนกันคือ พระไทยจะห่มคลุมไหล่ทั้งสองข้างเมื่ออยู่นอกวัด และลดไหล่ซ้ายยามอยู่ในวัด ซึ่งแตกต่างจากของพม่าที่ทำตรงข้ามกัน

3. ปัจจัย อย่างที่ทราบกันว่า พระธรรมยุตินั้นจะไม่จับปัจจัย แต่สามารถรับใบโมทนาบัตรได้ ส่วนพระมหานิกายนั้น ไม่ถือในข้อนี้ ในหนังสือบูรพาจารย์เล่าว่า หลวงปู่มั่น เคยออกปากไล่พระอาคันตุกะ เพราะนำอสรพิษติดตัวมาด้วย ตอนแรกพระท่านก็งง แต่นึกออกภายหลังว่านำเงินติดใส่ย่ามมาด้วย ดร. สนอง วรอุไร ท่านสรุปว่าสองนิกายรับเงินได้ เพียงแต่มีวิธีคนและแบบเท่านั้นครับ แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นนะครับ พระบางรูปท่านถือเรื่องเงินว่า เป็นเรื่องที่ท่านจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย อย่าง ที่วัดมเหยงคณ์มีพระอาจารย์ที่ผมและทิดทั้งหลายนับถือมากท่านหนึ่ง ท่านไม่รับถวายปัจจัย ไม่ว่าในรูปแบบใดและข้าวของใดๆทั้งสิ้น นอกจากจำเป็นจริงๆ ท่านเป็นมหาเปรียญ ๗ ประโยค ผู้แตกฉานในพระไตรปิฏก แต่เร่งความเพียรในการภาวนา และอยู่อย่างเรียบง่ายยิ่งนัก เป็นพระสุปฏิปัณโณที่แท้จริง และสอนจริงทั้งทฤษฏี และ ปฏิบัติ แต่จะหาตัวยาก เพราะท่านมักออกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆโดยเดินไป และไม่อาจติดต่อได้ ขอออกนามท่าน 'พระอาจารย์มหาสุชาติ สุชาโต' ด้วยความเคารพเหนือเกล้า (จิตตอนนี้นึกถึงพระมหากัสปะผู้เป็นเลิศในธุดงควัตร) แต่ การจับปัจจัย รับปัจจัยหรือไม่ ไม่อาจบ่งชี้ว่าท่านใดบริสุทธิ์หรือไม่นะครับ เพราะเป็นเพียงการแสดงออกของกายบัญญัติ มิใช่เจตนาปรมัตถ์ เช่นที่หลวงปู่แหวนเอาแบ๊งค์ห้าร้อยมามวนบุหรี่สูบ พระธรรมยุติสายป่าเองก็ปรับท่านอาบัติมิได้ โดยหลวงตามหาบัวท่านรับรองไว้
4. ฉันในบาตร กริยานี้บางท่านก็ว่าเป็นข้อต่างของสองนิกาย เพราะธรรมยุติมักจะฉันในบาตร แต่พระมหานิกายรับบาตรแล้วแยกฉันในจาน ข้อนี้ก็ตอบยากเพราะมีวัดธรรมยุติที่ไม่ใช่สายป่าบางวัดก็ฉันในจาน และพระมหานิกายบางรูปที่ถือธุดงควัตรข้อนี้ก็ฉันแต่ในบาตร
เกร็ด : ถ้าจะนำบาตรไปถวายพระป่า ควรเลือกปากกว้างซัก 9 นิ้ว และไม่มีขอบเพื่อกันเศษอาหารเข้าไปติดบูดเน่าได้นะครับ

5. การรับบาตร และเก็บอาหาร พระสายป่าท่านจะเคร่งเรื่องนี้ครับ ว่ารับเฉพาะของที่ฉันได้ทันที ดังนั้นจะไม่รับของแห้งพวกข้าวสาร หรือของที่ฉันไม่ได้เช่น แปรงสีฟัน ใส่ในบาตร แม้เป็นเพียงการรับเชิงสัญลักษณ์ เช่นตักบาตรปีใหม่ ท่านจะเสี่ยงให้ถวายกับมือแทน หรือ ถวายเป็นสังฆทานกองรวมไป และ ก็จะไม่เก็บอาหารพ้นกาล เช่น อาหารทั่วไป ถึงเที่ยง น้ำปานะ หนึ่งวัน เภสัชห้า (น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาล เนยใส เนยข้น)เจ็ดวัน พ้นนี้ไปท่านไม่เก็บในกุฏิ แม้ไว้ให้ญาติโยม และไม่มีการนำมาประเคนใหม่ แต่ก็ไม่ใช่พระทั้งหมดที่ทำตามข้อวัตรนี้ และผู้ที่ถือตามนี้ก็มีทั้งสองนิกายด้วยเช่นกัน
เกร็ด : พระอาจารย์เปลี่ยนท่านห่วงโยมว่าจะไม่เข้าใจเรื่องนี้ เลยเมตตาเขียนไว้เป็นคู่มือการถวายของพระครับพุทธศาสนิกชนควรอ่านทำความเข้า ใจนะครับ หนังสือมีคุณค่ามากๆเล่มนึง

6. พระธรรมยุติไม่ทำสังฆกรรมร่วมกับพระมหานิกายครับ เช่น การลงอุโบสถ อย่างที่หลวงปู่มั่นให้หลวงปู่ชาทำ คือ มาบอกบริสุทธิ์ กับท่านหลังจากพระธรรมยุติรูปอื่นๆ ชำระศีลผ่านขั้นตอนปาฏิโมกข์เรียบร้อยแล้วจึงเห็นได้ว่า ลูกศิษย์ที่เคยเป็นสายมหานิกาย ต้องทำการญัตติ หรือบวชเป็นพระ เริ่มนับพรรษาใหม่

สรุป
การ มองอย่างผิวเผินโดยการนำข้อวัตรของสองนิกายนี้มาเปรียบหาแต่ความแตกต่างกัน ทำได้ยากขึ้นทุกทีๆ เพราะมีการโน้มเข้ามาหากันมากขึ้น หรืออาจจะเกิดจาก perception ที่ตั้งไว้ผิดตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และ อีกอย่างการคิดในการหาข้อต่างอย่างเดียวอาจเสี่ยงให้เกิดการยึดมั่นในศรัทธา ต่อนิกายหนึ่งนิกายใด จนลืมไปว่าธรรมะของพระองค์ไม่มีแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เพราะการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายก็คือการมีตัวตนอยู่ในนั้น และสุดยอดของคำสอนคือการละตัวตนเพือมิให้มีกิเลสมาอาศัยเกาะได้ถึงตรงนี้ ต้องกราบหลวงปู่มั่นงามๆที่เล็งเห็นในอันตรายนี้จึงห้ามมิให้ลูกศิษย์บาง ส่วนเช่น หลวงปู่ชาญัตติเข้าธรรมยุติครับ

ที่มา http://www.watyaichaimongkol.net/index.php?mo=3&art=135587

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

10 สุดยอดนักฟิสิกส์โลกตลอดกาล

http://chaiwatsansuk.files.wordpress.com/2010/03/physics-image-i.jpg

ตามผลสำรวจของ Physics World เริ่มต้นจากอันดับสูงสุด คือ

1 : อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ทั้งภาคพิเศษและภาคทั่วไป
ทฤษฎีปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กตริก
ทฤษฎีควอนตัม

2 : ไอแซก นิวตัน
กฎว่าด้วยการเคลื่อนที่ข้อที่สองของนิวตัน
แรงดึงดูดโน้มถ่วง
ทฤษฎีสัมพัทธภาพภาคทั่วไป

3 : เจมส์ คลาร์กแมกซ์เวลล์
ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า
สมการ (อมตะ) ของแมกซ์เวลล์ 4 ข้อ

4 : นีลส์ บอร์
แบบจำลองอะตอมของบอร์
การกระโดดอย่างควอนตัม

5 : เวิร์นเนอร์ ไฮเซน-เบิร์ก
ผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาทฤษฎีควอนตัม
เป็นหัวหน้าโครงการสร้างระเบิดอะตอมของเยอรมนี

6 : กาลิเลโอ
เรื่องเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของวัตถุอย่างอิสระ
การเคลื่อนที่แบบโปรเจกไตล์

7 : ริชาร์ด ไฟน์แมน
ผู้ให้กำเนิดเทคนิคและวิธีการศึกษาฟิสิกส์เกี่ยวกับอนุภาคมูลฐานและกลศาสตร์ควอนตัม
ไฟน์แมนไดอะแกรม (Feynman Diagram) และไฟน์แมนพาทอินทิกรัลส์ (Feynman Path Integrals)


8 มี 2 คน คือ พอล ดิแรก และ เออร์วิน ชโรดิงเจอร์
การรวมแรงพื้นฐาน 4 แรงเข้าด้วยกัน ซึ่งก็คือการรวมทฤษฎีสัมพัทธภาพ เข้ากับทฤษฎีควอนตัมนั่นเอง
สมการดิแรก หรือ Dirac Equation

สมการว่าด้วยการเคลื่อนที่ของนิวตัน (ข้อสอง) และสมการคลื่นของชโรดิงเจอร์ (Schroding Wave Equation)

10 : เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด
Half Life (ค่าครึ่งชีวิต) ธาตุทุกชนิด มีอัตราการสลายตัวครึ่งหนึ่ง ตามช่วงเวลาเฉพาะตัวที่แน่นอน
การเปลี่ยนอะตอมของธาตุไนโตรเจน เป็นธาตุอะตอมได้สำเร็จ
งานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสี

รังสีแอลฟา รังสีบีตา ล้วนมีผลเมื่ออยู่ในสนามแม่เหล็ก แต่ในยุคสมัยนั้น ได้มีการค้นพบกัมมันตภาพรังสี ซึ่งสนามแม่เหล็กไม่สามารถไปมีอิทธิพลส่งผลต่อกัมมันตภาพรังสีชนิดนั้นได้ เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด เป็นผู้ตั้งชื่อเรียกกัมมันตภาพรังสีนี้ว่า แกมมา


ที่มา http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/4/10-physicist/index1.htm

วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2554

Asbestos หรือแร่ใยหิน คืออะไร


แร่ ใยหิน (Asbestos) เป็นชื่อทั่วไปที่ใช้สำหรับเส้นใยแร่ซิลิเกต (Fibrous mineral silicates) ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีลักษณะเป็นเส้นใยอยู่รวมกันเป็นมัด (Bundle) แร่ใยหินแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ แอมฟิโบลและเซอร์เพนไทน์ ซึ่งแบ่งย่อยออกเป็น 6 ชนิด

แร่ใยหินมีคุณสมบัติพิเศษคือ มีความเหนียว ทนทานต่อแรงดึงได้สูง ทนความร้อนได้ดี และมีความทนทานต่อกรด ด่าง และสารเคมีหลายชนิดได้ดี แร่ใยหินถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความแข็งแกร่ง ทนกรด ด่าง ความร้อน เช่น กระเบื้องกันความร้อน กระเบื้องมุงหลังคา ภาชนะพลาสติกบรรจุแบตเตอรี่รถยนต์ เป็นต้น

แร่ใยหินแม้จะมีคุณสมบัติที่เอื้อให้เกิดประโยชน์หลายประการ แต่หากแร่นี้เข้าไปอยู่ในปอดมันสามารถก่อให้เกิดโรคที่ร้ายแรงในมนุษย์ได้ อันตรายต่อสุขภาพมนุษย์นี้เป็นที่ทราบกันมานาน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 แล้ว โรคที่มีสาเหตุมาจากแร่ใยหิน ได้แก่ แอสเบสโตสิส (Asbestosis) มะเร็งปอด และเมโสเธลิโอมา (Mesothelioma) แม้จะเป็นที่ทราบดีเกี่ยวกับอันตรายของแร่ใยหิน และมีความพยายามที่จะควบคุมหรือหลีกเลี่ยงไม่ใช้แร่นี้ เช่น ประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศได้พยายามลดการใช้และห้ามนำเข้าแร่ใยหิน ตลอดจนค้นคว้าหาสารอื่นเพื่อใช้ทดแทน อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังคงมีการผลิตและการใช้แร่ใยหินอยู่โดยเฉพาะประเทศ ไทยเป็นประเทศหนึ่งทีมีการนำเข้าแร่ใยหินเป็นจำนวนมาก

แหล่งที่มีการสัมผัส
แร่ใยหินเป็นแร่ธรรมชาติมีอยู่ทั่วไปในพื้นดิน ในบางพื้นที่อาจมีแร่ใยหินอยู่ปริมาณมากมายจนสามารถทำเหมืองได้ ฉะนั้น ในกิจกรรมบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับการขุดเจาะดิน เช่น การทำเหมืองทองแดง ตะกั่ว เหล็ก หรือนิกเกิล จึงอาจมีแร่ใยหินฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศได้ ด้วยเหตุนี้การสัมผัสแร่ใยหินจึงเกิดขึ้นได้ ทั้งในสิ่งแวดล้อมทั่วไปและสิ่งแวดล้อมในการทำงานที่มีการใช้แร่ชนิดนี้ใน กระบวนการผลิต

อุตสาหกรรมที่นำแร่ใยหินมาใช้เป็นวัตถุดิบมากที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตกระเบื้องซีเมนต์ อุตสาหกรรมผลิตเบรคและคลัทช์ อุตสาหกรรมผลิตท่อน้ำ
ผลกระทบต่อสุขภาพ การเข้าสู่ร่างกาย การสะสม และการกำจัด ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้แร่ใยหินก่อให้เกิดโรคมี 3 ประการ คือ
1 ปริมาณแร่ใยหินที่เข้าสู่ปอด
2 ขนาดของเส้นใย (เส้นใยต้องมีความยาวมากกว่า 5 ไมครอน และมีเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 3 ไมครอน โดยมีอัตราส่วน ความยาว: ความกว้าง>=3:1)
3 ความคงทนของเส้นใยเมื่ออยู่ในปอด

เพราะฉะนั้นเส้นใยที่ยาว บาง และทนทานจึงเป็นเส้นใยที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพที่สุด อย่างไรก็ตาม เส้นใยที่มีขนาดใหญ่ คือ ยาวกว่า 200 ไมครอน และเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 3 ไมครอน ส่วนมากจะไม่สามารถเข้าสู่ถุงลมปอดได้ มักจะสะสมอยู่ในทางเดินหายใจส่วนบน และถูกกำจัดออกจากร่างกายโดยขับออกมากับเมือกเป็นเสมหะ ในขณะที่เส้นใยที่มีขนาดเล็กกว่าคือ ยาวน้อยกว่า 5 ไมครอน และเส้นผ่านศูนย์กลางต่ำกว่า 2 ไมครอน ส่วนใหญ่ถูกกำจัดโดย Alveolar macrophages

จากการศึกษาวิจัย ทั้งในสัตว์ทดลองและในมนุษย์ International Agency for Research on Cancer ได้ระบุว่า แร่ใยหินทุกชนิดเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ (Class 1)


โรคเนื่องจากแร่ใยหิน

แร่ใยหินเข้าสู่ร่างกายทางจมูกโดยการหายใจเข้าไป อวัยวะเป้าหมายสำคัญคือ ปอด ผลจากการศึกษาทางระบาดวิทยา โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับแร่ใยหิน ทำให้เชื่อได้ว่า แร่ใยหินทุกชนิดมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรค แอสเบสโตสิส มะเร็งปอด และมะเร็งเยื่อหุ้มปอดและเยื่อบุช่องท้อง (Mesothelioma) แอสเบสโตสิส (Asbestosis) เป็นโรคปอดเรื้อรังที่เกิดเฉพาะกับผู้ที่สัมผัสกับแร่ใยหินเท่านั้น เนื่องจากปฏิกิริยาทางชีวภาพระหว่างเส้นใย แร่ใยหินและเนื้อเยื่อปอด ทำให้ปอดเกิดเป็นแผลเป็น ปอดที่ถูกทำลายไปแล้วไม่สามารถรักษาให้กลับคืนมาดีได้ดังเดิม



ภาพจาก http://www.insurance-death.co.cc/2010/06/what-is-mesothelioma.html


ระยะเวลาในการฟักตัวของโรคนี้ยาวนานถึง 15-35 ปี การวินิจฉัยโรคทำได้โดยการดูประวัติการทำงาน ว่าเคยสัมผัสกับแร่ใยหินหรือไม่ อาการทางคลินิก ภาพถ่ายรังสีปอดและการตรวจสมรรถภาพปอด การวินิจฉัยโรคสำหรับผู้ป่วยระยะแรก ตรวจพบโรคค่อนข้างยาก โดยเฉพาะผู้ทีสัมผัสแร่ใยหินแล้วน้อยกว่า 20 ปี จึงมักพบผู้ป่วยด้วยโรคดังกล่าวต่อเมื่อมีอาการรุนแรงแล้ว อาการแสดงเริ่มแรกของโรคนี้ มีลักษณะคือ ไอ และหายใจหอบมีช่วงการหายใจออกสั้น และจากการตรวจร่างกายอาจสังเกตเห็นริมฝีปากและลิ้นหรือเล็บเป็นสีน้ำเงิน คล้ำและมีเสียงกรอบแกรบที่ฐานของปอด จากภาพถ่ายรังสีปอดจะเห็นจุดทึบเล็กๆ และมีสมรรถภาพการทำงานของปอดต่ำ ผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะพัฒนากลายเป็นมะเร็งปอด


มะเร็งปอดเนื่องจากแร่ใยหิน

ความสัมพันธ์ระหว่างมะเร็งปอดและการสัมผัสแร่ใยหิน เป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนเนื่องจากมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง จากการศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่า การสัมผัสแร่ใยหินที่ความเข้มข้นต่ำ (Accumulative Dose=10-50 ล้านเส้นใยต่อ ลบ.ฟุตต่อปี) ไม่พบความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด

นอกจากนี้การเกิดมะเร็งปอดยังสัมพันธ์กับขนาดเส้นใย เส้นใยที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5-2.5 ไมครอนและมีความยาว 10-80 ไมครอน จะมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง ในขณะที่เส้นใยที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 0.2 ไมครอน และมีความยาว 5-10 ไมครอน ไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง ผลการศึกษาทางระบาดวิทยา ยืนยันว่าการสูบบุหรี่เพิ่มอัตราการตายเนื่องจากโรคแอสเบสโตสิส และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอด ในคนที่สัมผัสแร่ใยหิน โดยการสูบบุหรี่และการสัมผัสแร่ใยหินมีความสัมพันธ์กันในลักษณะเสริมกัน (Synergistic Effect)


เมโสเธลิโอมา (Mesothelioma) คือ มะเร็งเยื่อหุ้มปอดและเยื่อบุช่องท้อง เป็นมะเร็งที่พบน้อยมากในประชาชนทั่วไป ส่วนมากจะพบในคนที่สัมผัสแร่ใยหิน ผู้ป่วยมีอาการหายใจสั้น เจ็บช่องอก และอาการเจ็บช่องอกนี้จะรุนแรงมากหากหายใจลึกๆ โรคลุกลามเร็ว และสามารถทำให้เสียชีวิตภายในเวลา 2-3 ปี หลังจากที่มีอาการปรากฏ


********************************


ข้อมูลจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, Faculty of Medicine Siriraj Hospital
www.si.mahidol.ac.th

ประโยชน์บางประการของธาตุและสารประกอบของธาตุ

ธาตุและสารประกอบของธาตุบางธาตุ มีประโยชน์ดังนี้

ธาตุและสรประกอบ

ประโยชน์

ลิเทียม (Li)

- เกลือของลิเทียมนำไปใช้รักษาโรคบางชนิด

โซเดียม (Na)

- นำไปใช้เป็นเซลล์เชื้อเพลิง

- โซเดียมเหลวเป็นตัวนำความร้อนที่ดี ใช้เป็นตัวทำความเย็น ในปฏิกรณ์ปรมาณู

สารประกอบโซเดียม

- โซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ใช้ปรุงอาหาร ถนอมอาหาร

- โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) ใช้ทำสบู่

- โซเดียมไบคาร์บอเนต (NaHCO3) ใช้ทำโซดาซักผ้า เติมลงไป ในสารซักฟอก และใช้โรงงานอุตสาหกรรมแก้วและกระดาษ

สารประกอบโพแทสเซียม

- เกลือของโพแทสเซียมร้อยละ 90 ใช้ทำปุ๋ย

- โพแทสเซียมไอโอไดด์ (KI) ใช้เป็นเกลือไอโอไดด์ ป้องกัน โรคคอพอก

- โพแทสเซียมคาร์บอเนต (K2CO3) ใช้ทำแก้ว

- โพแทสเซียมไนเตรต (KNO3) ใช้ทำดอกไม้เพลิง ดินปืน

- โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH) ใช้ทำสบู่

แมกนีเซียม (Mg)

- ใช้เป็นโลหะเจือกับอะลูมิเนียม มีสมบัติความหนาแน่นต่ำ ใช้ทำส่วนประกอบของเครื่องบิน

- ใช้ทำหลอดไฟถ่ายรูป

- ใช้ทำแสงวอบแวบ

สารประกอบแมกนีเซียม

- แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ [Mg(OH2) ]หรือ นมของแมกนีเซียม

ใช้ลดกรดในกระเพาะอาหาร ใช้เป็นยาระบาย และ ใช้เป็นส่วนผสมของยาสีฟัน

- ออกไซด์ของแมกนีเซียม (MgO) ใช้ทำเตาอิฐและทำปุ๋ย

สารประกอบเรเดียม

- เป็นสารกัมมันตรังสี ใช้ในการวินิจฉัยโรคและใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์

ฟลูออรีน (F)

- ฟลูออโรคาร์บอน ใช้เป็นสารทำความเย็นในเครื่องทำความเย็น (ตู้เย็น, เครื่องปรับอากาศ)

- โซเดียมฟลูออไรด์ ใช้ผสมในน้ำดื่ม ป้องกันฟันผุ

ธาตุและสารประกอบ

ประโยชน์

คลอรีน (Cl)

- ธาตุ ใช้ผสมในน้ำดื่ม เพื่อฆ่าจุลินทรีย์ ,ใช้ฟอกสีเยื่อไม้และผ้าฝ้าย

ไอโอดีน (I)

- ธาตุ ใช้ทำสารละลายไอโอดีนในแอลกอฮอล์ เช่น

ทิงเจอร์ไอโอดีน ซึ่งใช้ป้องกันแผลเน่า

- โพแทสเซียมไอโอไดด์ ใช้เติมลงไปในเกลือแกงเพื่อป้องกันโรคคอพอก

ที่มา http://tc.mengrai.ac.th/sinuan/link/sann1/c2.htm

10 อันดับแผ่นดินไหวสะเทือนโลก

สำนักข่าวเอเอฟพีได้นำข้อมูลของสำนักสำรวจทางภูมิศาสตร์ สหรัฐอเมริกา (US Geological Survey) ที่บันทึกสถิติการเกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดของโลกไว้ ไปดูกันว่าในบันทึกประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่ต้องเผชิญกับแผ่นดินสะเทือน ครั้งใหญ่ๆ 10 อันดับแรก ที่ไหน เมื่อใดกันบ้าง

อันดับที่ 1
แผ่นดินไหวขนาด 9.5 ริกเตอร์ เมื่อวันที่ 5 พ.ค.1960 ที่ชายฝั่งทางตอนใต้ของชิลี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,600 คน และอีก 2 ล้านคนไร้ที่อยู่อาศัย

อันดับที่ 2
แผ่นดินไหวขนาด 9.2 ริกเตอร์ เมื่อวันที่ 27 มี.ค.1964 ที่มลรัฐอะแลสกา สหรัฐฯ เกิดสึนามิคร่าไป 128 ชีวิต และทำลาย "แองคอเรจ" (Anchorage) เมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐ

อันดับที่ 3
แผ่นดินไหวขนาด 9.1 ริกเตอร์ ที่เราทุกคนจำได้ดี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2004 ใต้ทะเลบริเวณประเทศอินโดนีเซีย ส่งผลให้เกิดสึนามิเป็นวงกว้างตามชายฝั่งทะเลของหลายประเทศในแถบทะเลอินเดีย สูญเสียชีวิตไปมากกว่า 220,000 คน

อันดับที่ 4
แผ่นดินไหวขนาด 9.0 ริกเตอร์ เมื่อวันที่ 4 พ.ย.1952 ที่รัสเซีย เหตุเกิดที่บริเวณชายฝั่งของคาบสมุทรคัมซัตคา (Kamchatka) ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย ส่งผลให้เกิดสึนามิกว้างขวางในแถบมหาสมุทรแปซิฟิก แต่ไม่มีรายงานบันทึกความเสียหาย

อันดับที่ 5
แผ่นดินไหวขนาด 9.0 ริกเตอร์ เมื่อวันที่ 13 ส.ค.1868 บริเวณท่าเรือเมืองอเริกา ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเปรู แต่ปัจจุบันเป็นของชิลิ เมื่อเกิดแผ่นดินไหว รู้สึกสะเทือนไปไกลถึง 1,400 กิโลเมตร

อันดับที่ 6
แผ่นดินไหวขนาด 9.0 ริกเตอร์ เมื่อวันที่ 26 ม.ค.1700 ที่ทวีปอเมริกาเหนือ ตามแนวชายฝั่งตะวันตก เกิดสึนามิข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก ทำลายหมู่บ้านตามชายฝั่งของญี่ปุ่น

อันดับที่ 7
แผ่นดินไหวขนาด 8.9 ริกเตอร์ ที่เพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ เมื่อวันที่ 11 มี.ค.2011 แผ่นดินไหวใต้ทะเลที่ชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น ส่งผลให้เกิดคลื่นสึนามิสูง 10 เมตร กวาดทะลักเข้าแผ่นดิน ส่วนความเสียหายกำลังมีรายงานเข้ามาให้เห็นเป็นระยะ

อันดับที่ 8
แผ่นดินไหวขนาด 8.8 ริกเตอร์ เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2010 ที่บริเวณชายฝั่งประเทศชิลี แผ่นดินไหวตามแนวชายทะเลเมืองมาอูเล (Maule) ห่างจากเมืองหลวงซานติเอโกไปเพียง 500 ก.ม. เกิดสึนามิทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 500 ราย

อันดับที่ 9
แผ่นดินไหวขนาด 8.8 ริกเตอร์ เมื่อวันที่ 31 ม.ค.1906 ที่เอกวาดอร์ แผ่นดินสะเทือนที่ชายฝั่งอเมริกาใต้ศูนย์กลางที่เอกวาดอร์และโคลัมเบีย แต่รู้สึกไปไกลถึงเกือบสุดทวีปอเมริกาเหนือที่ซานฟรานซิสโก

อันดับที่ 10
แผ่นดินไหวขนาด 8.7 ริกเตอร์ เมื่อวันที่ 4 ก.พ.1965 ที่เกาะแรต (Rat Islands) ห่างออกไปไกลจากมลรัฐอะแลสกา ทำให้เกิดสึนามิคลื่นสูงประมาณ 10 เมตร

ที่มา http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000031880

วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554

ภูมิแพ้ ไซนัส หอบหืด

เป็นที่น่าสังเกตุว่า ปัจจุบันนี้เด็กในเมืองหลวงป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจมากขึ้น และมากกว่า 50% ของผู้ที่เขียนมาถามเรื่องธาตุเจ้าเรือน จะมีปัญหาเกี่ยวกับอาการภูมิแพ้อากาศ ไซนัส หอบหืดไอ

การแพทย์แผนไทยมีความเห็นต่อโรคภูมิแพ้ หอบหืด ไซนัส อย่างไร

ถ้ากล่าวถึงทฤษฎีการแพทย์แผนไทย เด็กในวัย แรกเกิดถึง 16 ปี มักป่วยด้วยโรคที่มีต้นเหตุมาจากเสมหะ หมายถึงธาตุน้ำชนิดหนึ่ง เสมหะนี้มีที่ตั้งอยู่ที่คอ เรียกว่า ศอเสมหะ อยู่ที่ช่วงอก เรียกว่า อุระเสมหะ อยู่ที่ลำไส้ใหญ่ตอนล่าง เรียกว่า คูถเสมหะ

ลักษณะเสมหะก็มีสามลักษณะ คือเสมหะกำเริบคือมีมาก เช่น น้ำมูกไหล เสมหะในคอมาก เสมหะหย่อน คือแห้ง เหนียว และถ้าเสมหะกำเริบมากๆก็พัฒนาไปสู่เสมหะพิการ ขณะที่เสมหะหย่อนมากๆก็พัฒนาไปสู่เสมหะพิการได้เช่นเดียวกัน

ดังนั้น ในวัยเด็กจึงมีโอกาสป่วยด้วยอาการ หวัด ไอ คออักเสบ ปอดบวม ท้องเสีย ท้องผูก อาการเหล่านี้ถ้าปล่อยให้เรื้อรังก็พัฒนาไปเป็นโรคภูมิแพ้ หอบ หืด ไอ ริดสีดวงจมูก ริดสีดวงทวาร

เงื่อนไขสำคัญอะไรที่จะทำให้มีอาการป่วยเรื้อรัง

1. ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เช่น ชอบทานอาหารทอดด้วยไขมัน อาหารถุงขบเคี้ยว อาหารรสจัด อาหารมีสารกันบูด น้ำประสานทอง ผงชูรส อาหารบรรจุถุงพลาสติก กล่องโฟม ดื่มน้ำเปล่าน้อยไป
2. อยู่ในที่อากาศแออัด ไม่ถ่ายเท อยู่ในห้องปรับอากาศทั้งกลางวัน กลางคืน และไม่ออกกำลังกาย
3. เคยเจ็บป่วยด้วยไข้หวัด ไข้เลือดออก ไข้สูงมาก แล้วกระทุ้งพิษไข้ออกไม่หมด

เงื่อนไขข้อที่ 3 นี้สำคัญมาก ในพระคัมภีร์ตักศิลา ว่าด้วยอาการไข้ กล่าวไว้ว่า ผู้ใดป่วยมีไข้พิษ ไข้ที่มีเม็ดมีหัว แล้วกระทุ้งพิษไข้ออกไม่หมด พิษเหล่านี้จะกลับเข้าไปอยู่ที่ตับ ปอด หัวใจ จะฝังตัวอยู่ยาวนานหลายปี เป็นต้นเหตุทำให้สุขภาพไม่แข็งแรง ไม่สบายบ่อยๆ หาสาเหตุมิได้

เด็กในเมืองใหญ่ๆ เมื่อไม่สบายเป็นหวัด ก็จะได้รับยาแก้ไข้ แก้ปวด ยาแก้อักเสบ ยาบรรเทาอาการไอ เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอรู้สึกมีไข้ ปวดหัว ก็ทานพารา เมื่อมีน้ำมูก ก็ทานยาลดน้ำมูก ยาแก้แพ้ คอแดงก็ทานยาแก้อักเสบ มีผื่นขึ้น ก็ทายาแก้ผื่น ขณะเดียวกัน พฤติกรรมในข้อ 1 และข้อ 2 ก็ยังคงเหมือนเดิม นานเข้าธาตุน้ำก็พิการ มีปัญหาน้ำเหลืองเสีย เป็นต้นเหตุของอาการภูมิแพ้ ทั้งไอหวัด ฝุ่น ภูมิแพ้ผิวหนัง เมื่อเสมหะคั่งในปอด ไม่ขับออก นานเข้าก็เกิดอาการหืดไอเรื้อรัง เมื่อเป็นหวัดมีน้ำมูก แล้วยังมีชอบทานอาหารแสลง อยู่ในที่อากาศแออัด ไม่โปร่ง น้ำมูกก็ยังคงไหลจนที่สุดเป็นริดสีดวงจมูกหรือไซนัส เมื่อเกิดคอแดง เจ็บคอ ก็ยังคงรับประทานอาหารให้พลังงานสูง ดื่มน้ำเย็น ท้องผูก นานเข้าต่อมทอนซิลก็อักเสบ

ถ้าหากถามว่า เด็กบางคนก็มีพฤติกรรมทั้ง 3 แบบข้างต้น ไม่เห็นป่วยเลย

คำตอบก็คือ ธาตุแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนมีธาตุที่ไม่สมบูรณ์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาแล้ว และยังเกี่ยวข้องกับกระบวนการคลอดออกมา การดูแลในวัย 1-12 เดือน คุณภาพของอาหารและความเอาใจใส่ สภาพแวดล้อมที่ต่างกันทั้งที่บ้านและนอกบ้าน

จะมีแนวทางในการป้องกันและรักษาอย่างไร

1. อย่าทานยาแก้ไข้ แก้ปวด แก้อักเสบพร่ำเพรื่อ
2. เมื่อมีไข้ ให้ถ่ายพิษไข้ออก ด้วยการลดความร้อนของโลหิต ดื่มน้ำอุ่นมากๆ ขับอุดจาระ ปัสสาวะให้ออก
3. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมอาหารแสลง และอากาศแออัด
4. ออกกำลังกาย และมีทัศนคติทางบวก

เพียง 4 ข้อนี้ สามารถช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ ไซนัส หอบหืด ไอเรื้อรัง มากกว่า 90%

ที่มา http://thaiherbclinic.com/node/276

น้ำมะพร้าว...มีประโยชน์มากกว่าที่คิด

http://www.rakbankerd.com/kaset/Plant/905_1.jpg
" น้ำมะพร้าว" ถือเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ เพราะต้นมะพร้าวมีลำต้นสูง
ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้นกว่าจะถึงลูกมะพร้าวที่อยู่ข้างบน
น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก และอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม
เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์
และวิตามินบี แถมย ังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน 5 นาที และยังเป็นประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย

น้ำมะพร้าวช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์

การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของ
ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง
ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่ม
น้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ
และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย

น้ำมะพร้าวช่วยให้ผิวพรรณสดใส

น้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก
เพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี
แถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย ( คล้ายๆ กับการทำดีท็อกซ์)
จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูง
ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก

..น้ำมะพร้าว
"สปอร์ตดริ๊งค์" จากธรรมชาติ

เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้
จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์ (Sport Drink) สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย
นอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีน ยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย

น้ำมะพร้าวเป็นอาหารบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่าย
นอกจากนั้นมะพร้าวยังเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง สามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไป
หมอพื้นบ้านไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น
ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่า น้ำมะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลาง
ไม่เป็นทั้งหยินและหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกัน
สามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้ในเวลาอันรวดเร็วได้..

น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน ทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ
ทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม น้ำหวาน
หรือน้ำที่ผ่านการปรุงแต่ง เพราะไม่ทำให้เกิดพิษหรือทัอกซินขึ้นในร่างกาย แต่สำหรับคนที่เป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่ม
เพราะน้ำมะพร้าวมีความหวาน ไม่เหมาะกับโรคดังกล่าว

และไม่ควรดื่มในสตรีที่กำลังมีประจำเดือน เพราะจะทำให้ประจำเดือนหยุดเนื่องจากมีฮอร์โมนเพศหญิงที่ทำให้ผนังเยื่อบุมดลูกหยุดการลอกตัว

น้ำมะพร้าวเปิดลูกแล้วควรดื่มเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน ถ้าเราตัดหรือหั่นผลไม้
อย่าทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมง แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตามค่ะ ควรกินให้หมดในครั้งเดียว
ผลไม้แต่ละอย่างจะมีพลังชีวิต ถ้ากินผลไม้สุกจากต้นจะได้รับพลังชีวิตสูง
หากเก็บทิ้งค้างไว้ พลังชีวิตหรือคุณค่าของผลไม้จะลดต่ำลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เก็บ

อย่าลืมดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีของเราเองค่ะ...

ที่มา http://thaiherbclinic.com/node/1467