วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

Blade แต่ละยี่ห้อต่างกันยังไง

 สวัสดีครับ ก็พบกันอีกแล้วกับผม Mr.SERVER ประจำ 2BeSHOP.com ก็ถ้าอ่านบทความของผมมาแต่แรก ก็จะรู้ว่า Blade ก็คือ Server ตัวหนึ่งที่นำหลายๆอุปกรณ์มา Share ใช้ร่วมกัน พอคราวนี้ Blade เป็นเสมือน Server ตัวนึง ก็เริ่มเป็น Trend ที่มาใหม่แทน Rack ก็เริ่มมีหลากหลายยี่ห้อ จากแข่งกันอยู่แค่ HP / IBM ก็เริ่มมี DELL เข้ามา มี SUN , Fujitsu และ Intel ในฉายาเครื่องประกอบขอแจม ทำไมถึงพูดงั้นเพราะ Intel เขาจะขาย Box โดยไม่ได้ Onsite ไม่ Service เขาจะให้คนขายเป็นคน Service นั้นก็เหมือนกับ PC ประกอบที่เอานั้น โน่น นี่ มายำ ยำ ยำ แล้วก็ยำ ก็เลยกลายเป็น Server ตัวนึงเรียกว่า Server ประกอบไปนั้นเอง
            ในบทความนี้ ขอพูดถึงเพียงแค่ 2 Brand นะครับ เพราะเป็น Brand ชั้นนำในตลาด ก็เป็นเบอร์ 1 กับ 2 ของโลกนี้ในตลาด Blade นั้นแหละ ในหลัก Marketing แล้วคนมักไม่จดจำเบอร์ 2 หรือเบอร์ 3 แต่จะจำได้เฉพาะเบอร์ 1 อิอิ แต่ด้วยการที่ 2 brand นี้ก็จะเหมือนมีแฟนพันธ์แท้ของเขาเองก็มาดูกันว่ามันแตกต่างกันอย่างไร


HP BladeSystem

            HP Blade นั้นเรียกตู้ว่า Enclosures โดยใช้ชื่อเป็นทางการว่า BladeSystem นั้นเอง HP BladeSystem นั้นถือกำหนดมาในปี 2001 โดยใช้ชื่อว่า PC-Blade ทำมาเพื่อให้ Hosting ใช้งานกัน เพราะ 1 เครื่องใส่ได้มากถึง 20 เครื่องในขนาดเล็ก เรามาดูกันเลยดีกว่าว่า ข้อดี ข้อเสียของ Blade HP นั้นมีอะไรบ้าง

ข้อดี / จุดแข็ง
  1. Power Supply ใช้ Module เดียวกับ Rack : จริงๆแล้วมีส่วนหนึ่งที่ใช้เหมือนกันก็คือ Power Supply บน Rack พวก ProLiant DL380 , ML350 , Blade C3000 ทำให้สะดวกในการหาอุปกรณ์
  2. มี Option ให้เลือกใส่จำนวนมาก : ถ้าเทียบแล้ว HP นั้นในตู้ Enclosures ของเขานั้น จะสามารถเลือก Module Storage ใส่ลงไปได้ ในขณะที่ IBM ไม่มี หรือมีแต่ไม่ได้ดูดี และยังสามารถใส่ Module Tape Back ลงไปได้อีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็น Option เสริมในตู้ Blade ที่ใส่ได้หลากหลายกว่า
  3. มีความใหม่กว่า : ต้องบอกว่ามีความใหม่กว่า เพราะว่า HP นั้นมีการเปลี่ยนตู้ Enclosures ของตัวเองมาเป็นซี่รี่ เรื่อยๆ ซึ่งพัฒนาบนเทคโนโลยี่ล่าสุด ทำให้ตู้ของ HP นั้นจะมี LED บอก Status มีความ Flexible ในการใส่ Option ต่างๆไม่ว่าจะ Storage / Tape ไปใส่ไว้ใน Series ขนาดใหญ่ระดับ C7000
  4. Power Supply ดูดีกว่า : ที่บอกในที่นี้ ก็เพราะว่า HP เคลมว่าเขาได้รางวัล Energy Star คือ สามารถสร้างค่าความสูญเสียได้น้อย นั้นคือ การที่ไฟเสียบเข้า Power Supply
  5. FAN Standby : ระบบการทำงานของพัดลม และ Power Supply ของ HP นั้นจะทำงาน Standby ไม่ได้อยู่ใน Mode วิ่งแต่วิ่งน้อย แต่ใช้การ Standby แทน ในลูก หรือ ตัวที่ไม่ได้ใช้งาน ทำให้ประหยัดพลังงานไปได้พอสมควรทีเดียว
  6. FAN Turbo JET : HP ชูจุดแข็งที่ว่า พัดลมเขาใช้การทำงานเหมือนเครื่องบินคือ เสมือนมี 2 พัดลมซ้อนอยู่ในตัวเดียว โดยอีกตัวนึง จะค้างอยู่ด้านในในทิศทางที่สวนกันกับตัวหลักที่หมุน ทำให้แรงลมนั้นทำงานได้ดียิ่งขึ้น ก็เป็นจุดแข็งอีกจุดนึง แล้วพัดลมมีขนาดเล็กมาก แต่ให้แรงที่ใช้งานได้ดีทีเดียว ยกเว้นเสียแต่ว่ามันต้อง Move ไปตามหลังเครื่องที่ใส่เท่านั้น ดูแปลกๆหน่อย


IBM BladeCenter

            IBM Blade Server หรือเรียกตู้ว่า Chassis โดยใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า BladeCenter ถือกำหนดมาในยุคแรกในปี 2001 ด้วยชื่อว่า BladeCenter E ในปัจจุบัน ก็ยังคงมี BladeCenter E อยู่แล้วสามารถใช้กับเครื่องปัจจุบันได้ด้วย อ่ะ เรามาดูข้อดีข้อเสียกัน

ข้อดี / จุดแข็ง
  1. Blade Server ใช้ได้บนทุกตู้ แม้ตู้เก่า : นี่เป็นจุดเด่นที่ IBM ชูมาตลอด เพราะเป็น Blade ยี่ห้อเดียวที่ทำให้ Blade Server รุ่นใหม่ หรือ รุ่นเก่า Compatible กับตู้ BladeCenter รุ่นเก่า รุ่นใหม่ ใส่ร่วมกันได้หมด ตั้งแต่ซี่รี่แรก จนซี่รี่ล่าสุด โดยสถาปัตยกรรมของตู้ IBM ถือว่าคิดมาดีแล้ว จึงไม่มีการทำ Upgrade อะไรมากมาย ผิดกับยี่ห้ออื่นที่เปลี่ยนมาทุกๆ 3 ปี ทำให้ลูกค้าที่ลงทุนซื้อตู้ Blade ไปแล้ว ไม่สามารถซื้อเครื่องได้เต็มตู้ เมื่อเปลี่ยนรุ่น หรือ หากจะเพิ่ม ปรับในอนาคตทำไม่ได้
  2. มีครบถ้วนใน Server Blade : Blade Server ของ IBM นั้นมีหลากหลาย ตั้งแต่เครื่อง 1CPU 2CPU หรือ 4CPU รวมไปถึง WorkStation Server ล่าสุดมี Cell Server ขึ้นมาอีก สำหรับประมวลผลงานระดับสูง แล้วยังมี Power System สำหรับเครื่อง Unix ที่ทำ Virtualization ด้วย แสดงว่าครบถ้วนจริงๆในซี่รี่ที่แทน Rack ได้ทั้งหมด
  3. น้ำหนักเบา : ข้อนี้หลายคนอาจจะไม่เห็นความสำคัญ แต่ต้องบอกได้เลยครับว่า Blade Server IBM นั้นเบาว่าทุกยี่ห้อในโลกนี้ ผ่านการยกมาแล้ว น้ำหนักต่อเครื่องนั้นผู้หญิงยกได้ ขนาดใกล้เคียง Notebook มาก ถ้าเทียบกับ Brand คู่แข่งทั้ง HP & DELL ซึ่งน้ำหนักนั้นอลังการมาก คุณไม่สามารถยกทั้งตู้พร้อมเครื่องได้ในคน 3 คน แต่ IBM พร้อมตู้ และเครื่องเต็มตู้นั้น 2 คนก็ยกได้แล้ว ทำให้การ M/A นั้นง่ายขึ้น ยิ่งเฉพาะ Data Center ที่ชั่งน้ำหนักก่อนเข้าอย่าง CS-Loxinfo นั้นก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆที่อยู่ในตู้ Blade ด้วยก็มีน้ำหนักไม่มาก
  4. Power Consumtion : ตัว KVM Module สามารถที่จะทำให้ Server ทำงานน้อยลงได้เพื่อให้กินไฟได้น้อยลง ฟีเจอร์นี้จะช่วยมาก กรณีที่ไฟดับ แล้วเครื่องต้องใช้ UPS สำรอง ซึ่งเราคงอยากให้ Server ทำงานได้ต่อไปมากกว่าทำงานเต็มประสิทธิภาพแต่ว่ากินไฟมาก เพื่อลดระยะเวลาการสำรองไฟไปด้วย
  5. FULL Redundantcy : IBM เป็นเจ้าเดียวที่พูดถึงเรื่อง Redundant ทุกอย่าง ตั้งแต่ Mid-plain ที่มีจุดเชื่อมต่อระหว่างเครื่อง Server กับแผงวงจรด้านหลัง 2 จุด บน-ล่าง แต่ยี่ห้ออื่น กลับเชื่อมต่อเพียงแค่จุดเดียว แม้บางยี่ห้อมี 2 จุดแต่ก็แยกจุดการทำงาน ไม่ได้ Redundant อย่างสมบูรณ์แบบ หรือแม้กระทั้งพัดลม IBM ก็ใช้พัดลมทำ Redundantcy แต่คู่แข่งใช้การวางตำแหน่งพัดลมตามตำแหน่งของเครื่องที่ใส่ตาม slot นั้นๆ ดังนั้นหากมีการ Fail ก็ต้องใช้มือเปลี่ยนตำแหน่งพัดลมให้อยู่หลังเครื่องที่เสียบ Slot ใช้งาน ก็ถือว่าไม่ Redundant เท่าไร
  6. FAN ยิ่งใหญ่ อลังการ : พัดลมของ IBM หรือเรียกในศัพท์ IBM ว่า Blower นั้นเอง มีความยิ่งใหญ่ ขนาดใหญ่ ได้ใจทีเดียว ซึ่งเป็น Full reduntdant เพราะตำแหน่งที่วางนั้นครอบคลุมทั้งตู้อยู่แล้ว แล้วทำงานตามความร้อนของเครื่อง โดยปกติที่ 22-23 องศา พัดลมจะทำงานเพียงแค่ 55% แต่หากมีอุปกรณ์บางอุปกรณ์ Fail พัดลมจะทำงานหนักขึ้น เสมือนการ Alert ให้เจ้าหน้าที่ทราบว่า ช่วยมาดูฉันที ฉัน Fail 5555 เพราะมันชั่งดังเหลือเกิน เกินกว่า IT จะ ignore มันไป ก็ยอมรับว่าใหญ่ได้ใจ ไม่ต้องโม้เยอะว่าแรง เพราะขนาดมันบ่งบอกอยู่แล้ว
  7. อุปกรณืแต่ละ Chassis Share กันได้ : นี่เป็นอีกจุดเด่นนึงที่หลายคนชอบ รวมทั้งผมด้วย ที่อุปกรณ์ต่างๆบน Module IBM นั้น Share กันได้ ตั้งแต่ Blade Server รุ่นๆเก่าๆ ใส่ได้ในตู้ใหม่ๆ หรือ Blade Server รุ่นใหม่ๆ ใส่ได้ในตู้เก่าๆ หรือ หากตู้เราใช้งานมานาน เราจะ M/A เพิ่ม Power Supply ใหม่ไปก็ใส่แล้วได้ใช้กันหมดเพราะ Full Redundantcy ของเก่าอาจจะขนาด 1300Watt ของใหม่ออกมา 2000Watt ใส่ไปทีเดียวก็ได้ใช้ทั้งตู้ ไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ใดๆ หรือ SAN Module / Switch Module ก็นำไปสลับใช้งานกันไปมาได้ แต่ก็มีบาง Module ที่เฉพาะแต่ละซี่รี่ เพราะจะแตกต่างกันบนความเป็น High-end เช่น 10Gbp Infiniband ก็ต้องใช้ H เป็นต้น เพราะ E ,S ยังไม่ได้รองรับ หรือ Module บางอย่างที่ทำให้ตู้ต่อ Storage กันภายในก็ต้องใช้กับ S เท่านั้น แต่ต้องบอกว่าอุปกรณ์กว่า 70-80% ทีเดียวที่ Share กันใช้ไปมาได้ ไม่เสียของ


ที่มา http://www.2beshop.com/compaBrandBlade.php

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

ประโยชน์และวิธีการล้างจมูก






ประโยชน์และวิธีการล้างจมูก
การล้างจมูกคืออะไร?
การล้างจมูก คือ การทำความสะอาดโพรงจมูกโดยการใส่หรือหยอดน้ำเข้าไปในจมูก การล้างจมูกจะช่วยชะล้างมูก คราบมูก หรือหนองบริเวณโพรงจมูก และหลังโพรงจมูกออก ทำให้โพรงจมูกสะอาด น้ำที่ใช้แนะนำให้ใช้น้ำเกลือความเข้มข้น 0.9% เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยลดความเหนียวของน้ำมูก และทำให้เชื้อโรคไม่เจริญเติบโต
การล้างจมูกมีประโยชน์อย่างไร?
  • ช่วยล้างมูกเหนียวข้นที่ไม่สามารถระบายออกได้เอง ทำให้โพรงจมูกสะอาด
  • อาการหวัดเรื้อรังดีขึ้น
  • ป้องกันการลุกลามของเชื้อโรคจากจมูกและไซนัสไปสู่ปอด
  • ช่วยลดจำนวนเชื้อโรค ของเสีย สารก่อภูมิแพ้และสารที่เกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายที่มีต่อสารก่อภูมิแพ้
  • ให้ความชุ่มชื้นแก่เยื่อบุจมูก
  • บรรเทาอาการคัดแน่นจมูก ทำให้หายใจโล่งขึ้น
  • บรรเทาอาการระคายเคืองในจมูก
  • การล้างจมูกก่อนใช้ยาพ่นจมูกจะทำให้ยาพ่นจมูกมีประสิทธิภาพดีขึ้น
ควรล้างจมูกเมื่อไร?
  • เมื่อมีน้ำมูกเหนียวข้นจำนวนมาก
  • ก่อนใช้ยาพ่นจมูก



การล้างจมูกทำอย่างไร?
  1. เตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูก
    • น้ำเกลือความเข้มข้น 0.9% ซึ่งหาซื้อได้จากโรงพยาบาลหรือตามร้านขายยา (น้ำเกลือที่ใช้เหลือให้เททิ้ง ห้ามนำกลับมาใช้ใหม่ หรือเทกลับเข้าขวดน้ำเกลือเดิม)
    • ถ้วยสะอาดสำหรับใส่น้ำเกลือ
    • กระบอกฉีดยาพลาสติกขนาด 10-20 ซีซี (ไม่ใส่เข็ม)
    • ภาชนะรองน้ำจมูกและเสมหะ
    • กระดาษทิชชู
  2. วิธีล้างจมูก
    • ล้างมือให้สะอาด
    • เทน้ำเกลือใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ ใช้กระบอกฉีดยาดูดน้ำเกลือจนเต็ม
    • ฉีดน้ำเกลือเข้าไปในจมูก
วิธีฉีดน้ำเกลือเข้าไปในจมูก
  1. ก้มหน้าเล็กน้อย หรืออยู่ในท่าศีรษะตรง
  2. สอดปลายกระบอกฉีดยาเข้าไปในรูจมูกข้างที่จะล้าง โดยวางปลายกระบอกฉีดยาชิดรูจมูกด้านบน
  3. หายใจทางปากหรือกลั้นหายใจ
  4. ฉีดน้ำเกลือเข้าไปในจมูก จนน้ำเกลือและน้ำมูกไหลออกทางปาก หรือไหลย้อนออกมาทางจมูกอีกข้าง
  5. สั่งน้ำมูกพร้อมๆ กันทั้งสองข้าง (ไม่ต้องอุดรูจมูกอีกข้าง) บ้วนน้ำเกลือ และน้ำมูกส่วนที่ไหลลงคอทิ้ง บ้วนเสมหะในคอออก
  6. ทำซ้ำหลายๆ ครั้งในแต่ละข้างจนไม่มีน้ำมูกออกมา
(หมายเหตุ: วิธีนี้ต้องใช้น้ำเกลือล้างจมูกจำนวนมาก)
วิธีทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูก
ล้างอุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูกให้สะอาดหลังการใช้ทุกครั้ง ด้วยน้ำสบู่หรือน้ำยาล้างจาน ล้างด้วยน้ำประปาจนหมดน้ำสบู่ ผึ่งให้แห้ง
ควรล้างจมูกบ่อยแค่ไหน?
อย่างน้อยวันละ 2 ครั้งช่วงตื่นนอนตอนเช้า และก่อนเข้านอน หรือเมื่อรู้สึกว่ามีน้ำมูกมาก แน่นจมูก หรือก่อนใช้ยาพ่นจมูก แนะนำให้ทำในช่วงท้องว่าง เพราะจะได้ไม่เกิดอาการอาเจียน
การล้างจมูกมีอันตรายหรือไม่?
ถ้าทำได้ถูกต้องและในเวลาที่เหมาะสมไม่น่าจะมีอันตราย อาจมีอันตรายเกิดขึ้นได้ เช่น การสำลัก การนำเชื้อเข้าไปในโพรงไซนัส ปัญหาการสำลักจะไม่เกิดขึ้น ถ้าได้เรียนรู้วิธีการล้างจมูกที่ถูกต้อง และควรล้างจมูกก่อนเวลารับประทานอาหาร หรือรับประทานอาหารแล้วอย่างน้อย 2 ชั่วโมงขึ้นไป เพื่อป้องกันการอาเจียนหรือสำลัก
ข้อควรระวัง
น้ำเกลือและอุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูกต้องสะอาด โดยเฉพาะน้ำเกลือไม่ควรใช้ขวดใหญ่ เพราะการเปิดทิ้งไว้และใช้ต่อเนื่องนานจนกว่าจะหมดจะทำให้มีเชื้อโรค สะสมอยู่ได้ โดยทั่วไปใช้ขวดละ 100 ซีซี เพื่อให้หมดเร็วจะได้ไม่กิดการติดเชื้อได้ง่าย นอกจากนี้ควรล้างจมูกเมื่อมีน้ำมูกเหนียวข้นจำนวนมาก (ถ้าน้ำมูกใส และมีจำนวนเล็กน้อยให้สั่งออกมา) หลังฉีดน้ำเกลือเข้าไปในโพรงจมูกให้สั่งน้ำมูกออกทันที ไม่ควรกลั้นหายใจเพื่อกักน้ำเกลือให้ค้างในจมูกนาน เพราะน้ำเกลืออาจจะไหลย้อนไปในไซนัส และการสั่งน้ำมูกให้สั่งเบาๆ และไม่ต้องอุดรูจมูกอีกข้าง เพราะอาจทำให้แก้วหูทะลุได้



คำแนะนำในการล้างจมูก

            การล้างจมูก เป็นการชะล้างเอาน้ำมูก  หนอง  สิ่ง สกปรกในจมูก ซึ่งเกิดจากการอักเสบในโพรงจมูกและไซนัส หรือคราบสะเก็ดแข็งของเยื่อบุจมูกหลังการผ่าตัดจมูกและไซนัส หรือหลังการฉายแสงออก ด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ  เพื่อให้โพรงจมูกและบริเวณรูเปิดของไซนัสโล่ง   ทำให้บรรเทาอาการคัดจมูก  น้ำมูกไหล ทั้งที่ไหลออกมาข้างนอก และไหลลงคอ     นอกจากนั้นการล้างจมูกก่อนการพ่นยาในจมูก จะทำให้ยาสัมผัสกับเยื่อบุจมูกได้มากขึ้น  ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น    การล้างจมูกมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
            1.  ควรอุ่นน้ำเกลือก่อนการล้างจมูกเสมอ  โดยให้มีอุณหภูมิพอเหมาะกับเยื่อบุจมูก   การใช้น้ำเกลือที่ไม่ได้อุ่นล้างจมูก   อาจทำให้เกิดการคัดจมูกหลังการล้างได้    การอุ่นน้ำเกลือสามารถทำได้โดยต้มน้ำประปาให้เดือดในหม้อต้ม ซึ่งมีขนาดใหญ่พอที่สามารถใส่ขวดน้ำเกลือเพื่อลงไปอุ่นได้   หลังจากนั้นปิดไฟ   แล้วนำขวดน้ำเกลือที่แพทย์จ่ายให้ใส่ลงไปแช่ในน้ำเดือดประมาณ 5 นาที (ขวดน้ำเกลือที่ซื้อมาจากโรงพยาบาลสามารถทนความร้อนได้) แล้วนำขวดน้ำเกลือนั้น ขึ้นมาเทใส่ภาชนะปากกว้าง เช่น ชาม  ในขนาดพอประมาณ ที่จะทำการล้างในเวลานั้นๆ หรืออาจเทน้ำเกลือลงในภาชนะที่สามารถอุ่นในไมโครเวฟได้ แล้วอ่นในไมโครเวฟให้อ่นพอประมาณ  ในกรณีที่อยากทำน้ำเกลือไว้ล้างเอง  อาจทำได้โดย ต้มน้ำประปาในขนาด 1 ขวดแม่โขง (750 ซีซี) ในหม้อต้มให้เดือด   หลังจากนั้นใส่เกลือแกง หรือเกลือป่นที่ใช้ปรุงอาหารลงไป 1 ช้อนชา แล้วคนให้เข้ากัน   หลังจากนั้นจึงปิดไฟ และตั้งทิ้งไว้ให้อุ่น (น้ำเกลือที่เตรียมเอง ควรใช้ภายใน 1 วันเท่านั้น ที่เหลือควรทิ้งไป) ก่อนนำน้ำเกลือที่อุ่นแล้วนั้นมาล้างจมูก ควรทดสอบกับหลังมือเสียก่อน   น้ำเกลือควรจะอุ่นในขนาดที่หลังมือทนได้
            2.  ควรล้างจมูกบนโต๊ะ  โดยหาภาชนะมารองรับน้ำเกลือหลังล้าง ที่จะออกมาทางจมูก และปาก เช่น ชาม หรือกะละมัง หรือล้างในอ่างล้างหน้า
            3.  ใช้ลูกยางแดง หรือ กระบอกฉีดยาที่แพทย์จ่ายให้ ดูดน้ำเกลือที่อุ่นได้ที่แล้วในปริมาณน้อยๆก่อนเช่น ประมาณ 10-15 ซีซี ในผู้ใหญ่  หรือประมาณ 5 ซีซี ในเด็ก
            4.  ผู้ที่จะล้างจมูกควรนั่งโน้มตัวไปข้างหน้า และก้มหน้าเล็กน้อย อยู่เหนือภาชนะรองรับน้ำเกลือหลังจากที่ล้างแล้ว   ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ หรืออยู่เหนืออ่างล้างหน้า ควรเริ่มล้างจมูกข้างที่โล่งกว่า หรือ คัดน้อยกว่าก่อน
            5. ควรนำปลายของลูกยางแดง หรือปลายกระบอกฉีดยา ใส่เข้าไปในจมูกข้างที่จะล้างเล็กน้อย อ้าปากไว้ แล้วหายใจเข้าเต็มที่ และกลั้นหายใจไว้
            6.  บีบลูกยางแดง หรือดันกระบอกสูบของกระบอกฉีดยา เบาๆ ให้น้ำเกลือไหลเข้าไปในจมูกช้าๆ  หลังจากที่น้ำเกลือส่วนใหญ่ไหลออกมาจากจมูก และ / หรือ ปากแล้ว  ให้หายใจตามปกติได้   ข้อ สำคัญคือ ระหว่างที่น้ำเกลือเข้าไปในโพรงจมูก จะต้องกลั้นหายใจไว้ มิฉะนั้นอาจหายใจเอาน้ำเกลือลงไปยังกล่องเสียงและหลอดลมทำให้เกิดการสำลัก ได้
            7.  หลังจากที่คุ้นเคยกับการล้างจมูก และรู้จังหวะของการหายใจแล้ว จึงค่อยๆเพิ่มปริมาณของน้ำเกลือในการล้างแต่ละครั้งขึ้นเรื่อยๆ    การล้างจมูกให้ได้ประสิทธิภาพในการชำระล้างโพรงจมูกให้สะอาดนั้น  ควรจะดันน้ำเกลือเข้าไปในโพรงจมูกทุกทิศทาง เช่น ทางขวา ซ้าย ด้านบนและล่างของโพรงจมูก   เพื่อชะล้างน้ำมูกหรือสิ่งสกปรกในโพรงจมูกออกได้ทั่วทั้งโพรงจมูก และออกมากที่สุดเท่าที่จะมากได้       หลังจากฉีดล้างโพรงจมูกข้างใดข้างหนึ่ง  ควรจะมีน้ำเกลือไหลออกจากโพรงจมูกอีกข้าง  ถึงจะเป็นการล้างที่ถูกต้องคือ มีปริมาณของน้ำเกลือที่ใช้ล้างในแต่ละครั้ง และมีความแรงของน้ำเกลือที่ฉีดเข้าไปเพียงพอ   ควรล้างโพรงจมูกสลับข้างไปเรื่อยๆ เช่น หลังล้างข้างซ้าย ก็ควรย้ายไปล้างข้างขวา  แล้วสลับกันไปมา
            8.  การล้างจมูกแต่ละครั้งนั้น ควรล้างจนกว่าจะรู้สึกว่าจมูกโล่ง  ไม่ มีน้ำมูกหรือสิ่งสกปรกอะไรคั่งค้างในจมูก และควรล้างจนกว่าน้ำเกลือที่ออกมาจากจมูกและปาก จะใสเหมือนกับน้ำเกลือที่ฉีดเข้าไปในโพรงจมูก จึงจะหยุดการล้างได้
            9.  หลังจากล้างเสร็จ สามารถสั่งน้ำมูก หรือน้ำเกลือที่คั่งค้างอยู่ในโพรงจมูก  และบ้วนน้ำเกลือและน้ำมูกส่วนที่ไหลลงคอรวมทั้งเสมหะในคอออกมาได้   การล้างจมูกอย่างถูกต้องบ่อยๆ จะไม่เกิดโทษ หรืออันตรายต่อจมูก หรือร่างกาย   ในทางตรงกันข้าม จะมีประโยชน์โดยช่วยล้างน้ำมูก  สิ่งสกปรกที่คั่งค้างอยู่ในโพรงจมูกออก    ดังนั้นในช่วงวันหยุด ถ้าล้างเพิ่มได้ ก็ควรจะทำ    ควรล้างจมูกก่อนการอบจมูกด้วยไอน้ำเดือด หรือการพ่นยาในจมูกเสมอ   แนะนำให้ล้างจมูกก่อนเวลารับประทานอาหาร (ขณะท้องว่าง) หรือหลังรับประทานอาหารแล้วอย่างน้อย 2 ชั่วโมงขึ้นไปเพื่อป้องกันการอาเจียนหรือสำลัก
            10.  หลังล้างจมูกเสร็จทุกครั้ง  ควรล้างอุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูกให้สะอาดด้วยน้ำสบู่ หรือ น้ำยาล้างจาน แล้วล้างด้วยน้ำประปาจนสะอาด (ในกรณีที่ใช้ลูกยางแดงหรือกระบอกฉีดยาที่ทำจากแก้ว  หลังจากล้างแล้วควรนำมาต้มกับน้ำเดือด ประมาณ 5 นาที) แล้วผึ่งให้แห้ง



ที่มา 

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

Nginx ราชาองค์ใหม่ ผู้มาแทน Apache




กาลครั้งนึงนานมาแล้ว ในปี ค.ศ. 1995 มีระบบ Web Server นึงเกิดขึ้นมาชื่อว่า
Apache นับตั้งแต่นั้นมาโลกก็ได้เริ่มรู้จัก และมันก็เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาในปัจจุบันแทบจะ

บอกได้เลยว่าถ้า
จะใช้ Linux ทำ web server ใครไม่เคย Apache ก็คงถือว่าเสียชาติเกิดมาก
และจนถึงถึงวันนี้่ 13 ปีกว่าแล้ว มันก็เป็นเวลานานพอดูที่ Apache ครองตำแหน่ง

อันดับหนึ่งในตลาดตอนนี้
เมื่อไม่นานมานี้ลอง Search google trend ดูก็พบว่าความนิยมก็เริ่มตกลงเรื่อยๆ

http://www.google.com/trends?q=apache&ctab=0&geo=all&date=all&sort=0


เพราะว่าความต้องการใช้ Web server ใช้งานแบบเดิมๆนั้นเริ่มไม่เป็นที่สนใจของ

webmaster แล้ว
ในขณะเดียวกัน Web server ที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆเช่น Lighttpd ก็แรงไม่แพ้กันแต่ยัง
ต้องใช้เวลาพัฒนาอีกพอสมควรจึงจะมีความสามารถเทียบเท่า Apache
ซึ่งปัญหานี้ไม่เกิดกับ Nginx เลยเพราะทุกอย่างแทบจะมีพร้อมแล้วดู จาก graph นี้

จะเห็น Trend ของ Nginx นั้นพุ่งสูงมากกำลังจะแซง Lighttpd ในไม่ช้า

http://www.google.com/trends?q=nginx+,+lighttpd+&ctab=0&geo=all&date=all&sort=1

เป็นที่ยอมรับกันว่าทุกวันนี้ใครๆก็มีหนังมีเพลงอยู่บนเว็บ
ลำพัง Apache เดิมๆนั้นไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับสิ่งเหล่านี้แต่ต้นการพัฒนา

module เสริมต่างๆออกมาเลย
ดูไม่เข้ารูปเข้ารอยเท่าไหร่ ประกอบกับ Architecture แบบเดิมที่เป็นข้อจำกัด ทำให้

ไม่สามารถทำงานได้เร็วพอ ตามความต้องการของ Multimedia cyber ในขณะนี้
ทำให้นาย Rambler นักพัฒนาจาก Russia ได้เล่งเห็นข้อเสียส่วนนี้ได้ และได้

พัฒนาระบบ Web Server ขึ้นมาใหม่ในชื่อว่า Nginx อ่านว่า EngineX
ระบบ web server ที่ปฏิวัติวงการ Web server ทั้งโลกเลยก็ว่าได้เพราะนอกจากมี
เปิดตัวได้ไม่นาน ศักยภาพการประมวลผลที่เร็วกว่า Apache
[attachmentid=847]

และหากไม่ดีจริงเว็บเหล่านี้คงไม่เลือกใช้ Nginx แน่นอน

* hulu
* WordPress.com
* Kongregate
* Penny-Arcade
* Gawab
* 4chan
* Plurk
* Gravatar
* YouPorn
* Urban Dictionary


แล้วยังมี Mod เด่นๆที่รองรับการทำงานมากกว่า Apache ด้วย
การเปรียบเทียบ Mod เสริมต่างๆดังนี้

Nginx module Apache module Lighttpd module
HTTP Upstream Module mod_proxy_balancer mod_proxy_core
Access Module mod_access mod_access
Auth Basic Module mod_auth mod_auth
AutoIndex Module mod_autoindex mod_dirlisting
Browser Module mod_setenvif  ?
Charset Module none none
Empty GIF Module none none
FastCGI Module mod_fastcgi , mod_fcgid mod_fastcgi
GEO Module mod_geoip mod_geoip
Gzip Compression Module mod_deflate mod_deflate
Gzip Pre-Compression Module none none
HTTP Headers Module mod_headers mod_setenv
HTTP Referer Module mod_setenvif  ?
Limit Zone Module mod_limitipconn mod_evasive
Log Module mod_log_config mod_accesslog
Map Module  ?  ?
Memcached Module none none
Proxy Module mod_proxy mod_proxy
Rewrite Module mod_rewrite mod_rewrite
SSI Module mod_include mod_ssi
UserID Module mod_usertrack mod_usertrack
Addition Module mod_layout  ?
Embedded Perl Module mod_perl none
FLV Module mod_flvx mod_flv_streaming
Real IP Module mod_rpaf mod_extforward
SSL Module mod_ssl SSL
Stub Status Module mod_status mod_status
Substitution Module mod_line_edit  ?
WebDAV Module mod_dav mod_webdav
UserDir Equivalent mod_userdir mod_userdir


ที่มา
http://citecclub.org
http://wiki.nginx.org/NginxModuleComparisonMatrix

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

"NoSQL" Database Management System

Not Only SQL (NoSQL)

พอดีตอนนี้ผมต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่อง ฐานข้อมูล หรือ database ขนาดใหญ่ (สำหรับผมนะครับ แต่คงไม่ใหญ่สำหรับคนอื่น) และเคยหลวมตัวเข้าไปนั่งฟัง whitepaper ของพวกพี่ ป.โท เกี่ยวกับ database ที่มีการ insert วันละเป็นล้าน record มาด้วย
เลยสงสัยว่า ยักษ์ใหญ่อย่างพวก Google,Facebook,twitter และรายอื่นๆ มีวิธีเก็บฐานข้อมูลกันอย่างไร หาไปหามา เจอเรื่องตกใจ ,,, เค้าใช้ "NoSQL",,, อ้าวยังไงล่ะทีนี้ สงสัยไปหมด แล้ว Relational Database ล่ะ
ไหนจะ SELECT * FROM ... ไหนจะเรื่อง table และ field อ่าว แล้วเรื่อง SQL Injection ล่ะ ??? เอ้ะ ยังไงล่ะทีนี้ ,,,

หลังจากหาข้อมูลได้พอสมควร เท่าที่ดูแล้วมันไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่เลยครับ มีมานานแล้ว คงแค่ว่า(ผม)ไม่ค่อยได้เข้าไปพัวพันกับมัน เลยไม่ใช่สิ่งที่จะได้เจอ หรือจะได้ใช้ในชีวิตจริงกันมากเท่าไหร่นัก


จะเข้าใจได้ มันก็คงต้องเริ่มจากเรื่อง basic concept ของมันกันก่อน ว่าแล้ว ก็หาดูกันเลย

อะไรคือ NoSQL

NoSQL ถ้าหาข้อมูลแล้วเจอชื่อเต็มๆ หลายๆ แบบก็ไม่ต้องตกใจนะครับ ก็คงแล้วแต่จะเรียกกันไป เช่น Not Only SQL บ้าง , Non Relational Database บ้าง หรืออะไรอื่นๆ อีก ก็แล้วแต่ครับ

ปัจจุบันเรื่องฐานข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตามเว็บไซต์ ก็คงจะมีข้อมูลที่ต้องเก็บต่อวันมากขึ้น ตามสังคมแบบ Social Network ทำให้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในอนาคต trend การเก็บข้อมูลแบบ NoSQL นี้ จะต้องใช้กันอย่างแพร่หลายแน่ๆ
จริงๆ แล้ว เจ้า NoSQL นี้ไม่มีอะไรมากเท่าไหร่ แค่เป็นการวิวัฒนาการที่มาจาก Relational Database จำพวก MySQL, Microsoft SQL นั่นแหละครับ แต่สิ่งที่มันทำให้แตกต่างจากพวก SQL ก็คือ

1.Non Relational

2.Distributed, Large Scale Databases
3.Horizontally Scalable (More nodes/servers)
4.Open Source
5.Schema Free
6.Eventually Consistent (BASE - Basically Available, Soft state, Eventual consistency)
7.Easy Replication Support
8.Simple API support

ประมาณ นี้นะครับ


พอมองเข้าไปอีกว่า แล้วในเมื่อมันเก็บข้อมูลเป็นก้อนๆ ไม่มีการเก็บแบบ table หรือแยกเก็บเป็นแต่ละ database แล้วทำไมมันถึงสามารถ Distribute ข้อมูลออกไปในแต่ละ Server ได้ล่ะ

NoSQL มีการพัฒนามาจาก Relational Database ใช้ SQL ทั่วๆ ไป ดั้งนั้น การคิดพัฒนา จึงมีการปรับปรุงโดยใช้ SQL มาคิดวิเคราะห์ พอมองพฤติกรรมของ SQL แล้ว SQL จะมีการออกแบบระบบฐานข้อมูลในแต่ละ table ให้มีความสัมพันธ์กัน ออกแบบให้มีการเก็บข้อมูลที่ซ้ำซ้อนน้อยที่สุด หรือเรียกว่าการทำ Normalization
และเนี่ยแหละครับ พอมันมีความสัมพันธ์ของแต่ละ table แต่ละ Database เข้ามา ปัญหาก็จะเกิดกับข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเรื่องการสำรองข้อมูลให้กระจายไปยังแต่ละ database server (Redundant Server) หรือแต่ละ node
หากมีการเก็บข้อมูลที่เป็น Relation Database บน Server แบบ parallel เมื่อเกิดปัญหาใดปัญหาหนึ่งต่อระบบ ก็อาจจะส่งผลกระทบ อาจจะไม่สามารถดึงข้อมูลในระบบออกมาใช้ได้ครับ (เช่น จะเอาข้อมูลจาก table A ซึ่งปกติ ต้อง query ผ่าน table B แต่ถ้า table B เสียหายไป เราก็ไม่สามารถดึงข้อมูลจาก table A ออกมาดูได้ เพราะมันมีความสัมพันธ์กันหมด)
image42-png
เมื่อการเก็บข้อมูลแบบ Relational Database ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากนักกับการกระจายเก็บข้อมูลในหลายๆ แหล่ง ยักษ์ใหญ่ทั้งหลายที่ต้องเก็บข้อมูลวันละเป็นล้านๆ record และต้องนำข้อมูลนั้น ออกมาใช้ตลอดเวลา จึงต้องการระบบที่มีเสถียรภาพสูงมากๆ และยังต้องสำรองให้เก็บไว้หลายๆ แหล่ง เผื่อกรณีฉุกเฉินบาง server ได้ตาย(server down)ลงไป การเก็บข้อมูลแบบ Redundant Server จึงมีความจำเป็นที่สุด
ต้องสามารถเรียกข้อมูลได้ตลอดเวลา ส่งข้อมูลติดต่อกันแต่ละ server ได้ตลอด หรือเรียกว่า Eventually Consistent
image43-png
สังเกตดูจากภาพ ข้อมูลชุดหนึ่ง จะกระจายไปยังหลายๆ node ตาม concept Distribute Server เลยครับ
ถ้าตัวใดตัวนึงตายไป ก็ยังมีอีกหลาย node server ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งชุดได้ สามารถรองรับปัญหาต่างๆ ที่าจจะเกิดกับ node server แต่ละตัวได้เป็นอย่างดี ก
ถึงยังไงก็ตาม ก็ต้องเข้าใจนะครับว่า การเก็บข้อมูลแบบ NoSQL ที่ว่ากันมานี้ มันเหมาะสำหรับข้อมูลที่มันมีขนาดใหญ่มากๆ เช่นฐานข้อมูล ของ Search Engine Google ยักษ์ใหญ่ ที่ตอนนี้กระจายเก็บใน server ต่างๆ มากเป็นพัน server แต่ถ้าเราทำระบบที่เก็บข้อมูลไม่เยอะมากมายถึงขนาดนั้น
การใช้งานในแบบ Relational Database ก็มีความสามารถเพียงพอกับการใช้งานของเราแล้วล่ะครับ (แบบนี้ SQL Injection ก็ยังคงมีอยู่ ตราบชั่วลูกชั่วหลาน เหอๆๆๆ )

เพิ่มเติมได้ที่
NoSQL For Dummies – Rise Of Non Relational Database Engines | Open Source Technology Blog
เอาให้ละเอียดมันต่างจาก MySQL Microsoft SQL Oracle ที่เราๆท่านๆคุ้นเคยตรงนี้ครับ
  1. อย่างแรกเลยมันไม่มีความสัมพันธ์ครับ เพราะมันไม่ใช่ Relational Database เพราะฉะนั้นลืมเรื่อง Join, WHERE ไปได้เลย
  2. เน้นใช้งานกับปริมาณข้อมูลที่มีจำนวนมากมายมหาศาล ใครนึกไม่ออกว่ามากขนาดไหน ลองนึกถึง www.facebook.com, www.twitter.com, www.google.com นั่นแหละครับ ให้มา่นั่ง SELECT FROM WHERE รับรองครับ สิบนาทีถึงจะได้ข้อมูล
  3. แต่ เนื่องจากพวก NOSQL มันไม่มีโครงสร้างตายตัว มันเลยขายได้มากกว่า ในแบบขนาน (horizontal scaling) คือเพิ่มเครื่องได้ง่ายกว่านั่นแหละ
  4. ประสิทธิภาพสูงกว่า แต่ก็มากับการออกแบบที่ไม่แน่นอนไม่ตายตัวและยากกว่า RDB เป็นไหนๆ เพราะไม่ต้องคอยจัดการเรื่องความสัมพันธ์
  5. ตอนเรียนวิชาฐานข้อมูลมาเราเน้นการ Normalize แต่ที่นี่เราเน้นการ Denormalize ครับ เน้นให้มันเร็วที่สุดไม่ต้องไป join อะไรทั้ง หาเรคคอร์ดเดียวแล้วเอามาใช้งานได้เลย เช่นข้อมูล Contact ของ member เราก็เก็บทุกอย่างทุกคอลัมน์ลงไปเลยครับ ไม่ต้องไปแยกจังหวัด หรืออำเภออะไร เพื่อให้เกิดการ Compare เปรียบเทียบน้อยที่สุดครับ
  6. เวลาจะเชื่อมต่อต้องง่ายเข้าไว้ไม่ต้องมี overhead เยอะ มีแค่ IP กับ Port จบเลย
  7. ต้อง สามารถทำ Replication ได้เพราะ ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ และจะได้ไม่ทำให้เกิด Single Point of Failure หรือเกิดจุดตายในระบบ คือ พังไปซักเครื่อง ก็ยังทำงานได้ปกติ
  8. เน้นการทำงานแบบ Key/Value หรือ Key/Column แล้วแต่ยี่ห้อครับ
ตัวอย่างของฐานข้อมูลแบบ NOSQL Database ที่มีในท้องตลาดตอนนี้แบ่งตามประเภท (ที่มา wikipedia.org)

SQL NoSQL or /rdb
select col1 col2 from filename column col1 col2 < filename
where column - expression row ’column == expression’
compute column = expression compute ’column = expression’
group by subtotal
having row
order by column sorttable column
unique uniq
count wc -l
outer join jointable -al
update delete, replace
nesting pipes   



ที่มา 

วิธีวางกระสอบทรายให้ถูกต้องป้องกันแนวกั้นพังระหว่างน้ำท่วม

แนวกระสอบทรายซึ่ง วางก่อเป็นรูปสามเหลี่ยมปิรามิด ให้่ฐานกว้างกว่าความสูง 3 เท่า และในขั้นสุดท้ายให้วางแผ่นพลาสติกทับโดยไม่ให้ตึงเกินไป แล้ววางกระสอบทรายทับปลายแผ่นพลาสติกทั้ง 2 ด้าน
       พี่น้องชาวไทยในหลายพื้นที่ กำลังเดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม และเมื่อเกิดภัยธรรมชาติเช่นนี้เราจะได้เห็นการระดมกำลังสร้างแนวกระสอบทราย ขึ้นมาเป็นคันน้ำ แต่หลายครั้งที่ปราการป้องน้ำท่วมที่สร้างขึ้นมานั้นพังทลายลงและทำให้กระแส น้ำไหลบ่าสร้างความเสียหายอย่างรวดเร็ว ซึ่งผู้อ่านที่ห่วงใยปัญหาของเพื่อนร่วมชาติขณะนี้ได้สอบถามมายังทีมข่าววิ ทยาศาตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ว่า มีวิธีวางกระสอบทรายที่ถูกต้องเพื่อป้องกันคันกั้นน้ำถล่มหรือไม่
      
       ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ได้สืบค้นและพบข้อมูลแนะนำวิธีการวางกระสอบทรายของมหาวิทยาลัยนอร์ธ ดาโกตา สเตท (North Dakota State University) สหรัฐฯ ซึ่งระบุไว้ว่าการวางกระสอบทรายที่ไม่ถูกวิธีจะทำให้คันกั้นน้ำพังทรายลงได้ โดยกระสอบทรายที่นำมาใช้นั้นควรเติมทรายให้มีปริมาตรครึ่งหนึ่งของขนาด กระสอบทรายและให้มีน้ำหนักอยู่ระหว่าง 15-18 กิโลกรัม เพื่อสะดวกต่อการขนย้าย
      
       ส่วนทำเลสำหรับวางกระสอบทรายควรเป็นทำเลที่ช่วยให้เราวางแนวกั้นได้ สั้นและเตี้ยที่สุด ซึ่งช่วยประหยัดการใช้กระสอบทรายได้ และต้องระวังสิ่งกีดขวางที่จะทำลายคันกั้นน้ำ อีกทั้งอย่าทำแนวกั้นพิงผนังสิ่งกอ่สร้าง เพราะจะเกิดแรงจากแนวกระสอบทรายกระทำต่อผนังสิ่งก่อสร้างได้ และควรทิ้งระยะห่างระหว่างคั้นกั้นน้ำกับสิ่งก่อสร้างประมาณ 2.5 เมตร เพื่อให้เราสังเกตเห็นการรั่วซึมของคันกั้นน้ำ และยังเป็นพื้นที่ให้เราวิดน้ำที่รั่วซึมออกมาหรือใช้เพื่อกิจกรรมอื่นๆ
      
       เนื่องจากการเสียดสีระหว่างกระสอบทรายช่วยป้องกันการลื่นไถลของคัน กั้นน้ำ ดังนั้น เราต้องทำให้เกิดการยึดกันอย่างดีระหว่างพื้นดินและคันกั้นน้ำ ระวังอย่าให้มีการไหลของน้ำใต้แนวคันกั้นน้ำ เคลื่อนย้ายสิ่งของต่างๆ ที่จะทำให้เกิดการลื่นไถล ถ้าคันกั้นน้ำสูงกว่า 1 เมตร ให้ขุดคูตรงแนววางกระสอบทราบเพื่อให้เกิดความมั่นคงระหว่างแนวกระสอบทรายและ พื้นดิน โดยคูดังกล่าวนั้นควรลึกประมาณ 10-15 เซนติเมตร และกว้างประมาณ 45- 60 เซนติเมตร หรือเป็นความลึกประมาณความหนาของกระสอบทราย 1 กระสอบ และกว้างเท่ากระสอบทราย 2 กระสอบ
      
       ความสูงของแนวกระสอบทรายควรสูงกว่าระดับน้ำประมาณ 1 ฟุต โดยความกว้างของฐานคันกั้นน้ำนั้นควรมากกว่าความสูงของคันกั้นน้ำ 3 เท่า เช่น คันกั้นน้ำสูง 1 เมตร ฐานควรกว้าง 3 เมตร เป็นต้น ทั้งนี้ จากการคำนวณเมื่อใช้กระสอบทรายที่หนา 10 เซนติเมตร กว้าง 25 เซนติเมตร และยาว 35 เซนติเมตรนั้น ทุกความยาว 30 เซนติเมตรของแนวกั้นจะใช้กระสอบทราย 1 กระสอบ และทุกๆ ความสูงของแนวกั้น 30 เซนติเมตรต้องใช้กระสอบทราย 3 กระสอบ และทุกๆ ความกว้างของแนวกั้น 80 เซนติเมตรต้องใช้กระสอบทราย 3 กระสอบ
      
       หรือใช้สูตรต่อไปนี้เพื่อคำนวณหาจำนวนกระสอบทรายที่ต้องใช้ทุกๆ ความยาว 1 ฟุต (เมื่อวัดความสูงเป็นหน่วยฟุต)
       ดังนี้
      
       จำนวนกระสอบทราย = {(3 x ความสูงคันกั้นน้ำ) + (9 x ความสูงคันกั้นน้ำx ความสูงคันกั้นน้ำ)} / 2
      
       ตัวอย่างเช่น
      
       มื่อใช้กระสอบทรายหนา 10 เซนติเมตร กว้าง 25 เซนติเมตร และยาว 35 เซนติเมตร สร้างคันกั้นน้ำสูง 3 ฟุต (ทุกๆ ความยาว 1 ฟุต ฐานกว้าง 3 ฟุต)
       ต้องใช้กระสอบทราย = {(3X3) + (9X3X3)} /2 = 45 กระสอบ
       หรือ ตัวอย่างที่ได้คำนวณแล้วทุกความยาวแนวคันกั้นน้ำ 100 ฟุต จะใช้จำนวนกระสอบทราย ดังนี้
       คันกั้นน้ำสูง 1 ฟุต ใช้กระสอบทราย 600 กระสอบ
       คันกั้นน้ำสูง 2 ฟุต ใช้กระสอบทราย 2,100 กระสอบ
       คันกั้นน้ำสูง 3 ฟุต ใช้กระสอบทราย 4,500 กระสอบ
       คันกั้นน้ำสูง 4 ฟุต ใช้กระสอบทราย 7,800 กระสอบ
      
       เมื่อทราบจำนวนกระสอบทรายที่ต้องใช้แล้วก็มาถึงการวางกระสอบทราย ทั้งนี้ ต้องให้คันกั้นน้ำขนานไปกับทิศทางการไหลของน้ำ และวิธีวางกระสอบทรายคือวางกระสอบทรายทับบริเวณที่ไม่ได้เติมทรายของ อีกกระสอบทรายให้สนิทเป็นแนวเช่นนี้ไปเรื่อยๆ และให้ปากกระสอบหันในทิศทางตรงข้ามกับกระแสน้ำ แล้วขึ้นไปเดินบนกระสอบทรายในชั้นที่วางเสร็จเพื่อให้แนวกั้นน้ำหนาแน่นและ มั่นคง ส่วนชั้นต่อมาให้วางกระสอบทับรอยต่อของกระสอบชั้นล่างและใหเชั้นล่างเหลือ พื้นที่โผล่ออกมาประมาณครึ่งกระสอบ
      
       หลังจากเรียงกระสอบสอบทรายจนได้เป็นคันกั้นน้ำแล้ว ให้หาแผ่นพลาสติกมาวางทับแนวกั้นน้ำแล้วใช้กระสอบทรายวางทับที่ปลาย แผ่นพลาสติกทั้งสองด้าน และอย่าให้แผ่นพลาสติกตึงเกินไป เพราะแรงกระแทกของน้ำจะทำลายแนวกั้นได้ นอกจากนี้ยังต้องระวังไม่ให้พลาสติกเป็นรูหรือถูกเจาะจากของมีคมด้วย
วางกระสอบทรายซ้อนทับแบบสับหว่าง และขุดตรงกลางฐานล่างให้ลึกประมาณความหนา 1 กระสอบ และกว้างประมาณ 2 กระสอบ เพื่อความมั่นคง
      
วิธีวางกระสอบทรายให้ทับอีกกระสอบในส่วนที่ไม่ได้เติมทราย แล้วให้หันด้านปากกระสอบทรายไปในทิศตรงข้ามการไหลของกระแสน้ำ
      
ลักษณะการวางกระสอบทรายฐานล่างให้วางสับหว่างกัน
      
วิธีวางกระสอบทรายชั้นบนทับชั้นล่าง ให้ฐานล่างโผล่ออกมาประมาณครึ่งกระสอบ
      
เปรียบเทียบสัดส่วนความสูงและความกว้่างของฐานแนวคันกั้นน้ำ
      
เติมทรายลงกระสอบประมาณครึ่งกระสอบ
       ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนร่วม ชาติที่กำลังเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้ และขอให้ทุกคนปลอดภัยจากภัยธรรมชาติในครั้งนี้


แนะ 18 เทคนิค ปราบ "เด็กดื้อ" อย่างได้ผล

ขอบคุณภาพประกอบข่าวจากรพ.มนารมย์
       ว่ากันว่าเด็กในช่วง 2-12 ปี จะซนและดื้อมากที่สุด พ่อแม่พูดอะไรก็ไม่เชื่อฟัง ไม่ยอมทำตาม ยิ่งถ้าบอกว่า "อย่า" เด็กก็จะยิ่งอยากทำสิ่งนั้นมากขึ้น ยิ่งบังคับมากเท่าใด เด็กก็จะต่อต้าน และอยากเอาชนะมากเท่านั้น
      
       ในเรื่องนี้ ผศ.นพ.ปราโมทย์ สุคนิชย์ จิตแพทย์ เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ ให้ข้อมูลว่า การที่เด็กดื้อ หรือซนเกิดจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่นที่ตัวของเด็กเอง เพราะเด็กที่เกิดมาแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ต่างมีพื้นฐานทางด้านอารมณ์ที่แตกต่างกันไปด้วย คือว่าตามลักษณะธรรมชาติของเด็กบางคนอาจจะมีจังหวะจะโคนของตัวเอง พื้นฐานโดยทั่วไปก็จะแตกต่างกัน แต่เด็กที่ดื้อจะมีลักษณะที่เลี้ยงยากสักหน่อย มักมีอารมณ์ที่หุนหันพลันแล่น ไวต่อสิ่งเร้า มีการกินการนอนที่ไม่เป็นเวลา ซึ่งตรงนี้แต่ละคนก็จะมีพื้นฐานทางด้านอารมณ์ของตัวเองอยู่
      
       อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ "เด็กดื้อ" จิตแพทย์ท่านนี้บอกว่า เป็นเรื่องของวัย เพราะโดยปกติแล้ว ในช่วง 1-3 ปี เด็กจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง เมื่อเขาสามารถก้าวเดินได้ เป็นธรรมดาที่จะต้องอยากทำนู้นทำนี่ สำรวจไปทั่ว เพราะเขายังไม่เข้าใจอย่างแท้จริงว่าสิ่งแวดล้อมที่เขาเห็นอยู่นั้นคืออะไร และเด็กๆในวัยนี้มักจะคิดว่าตัวเองสำคัญที่สุด ถ้าหากว่าพ่อแม่ผู้ปกครองจัดการไม่ถูกต้อง อาจจะส่งผลทำให้เด็กดื้อต่อเนื่องยาวนานถึงระดับอนุบาลหรือประถมศึกษาได้
      
       ทั้งนี้ ผศ.นพ.ปราโมทย์ ให้ข้อแนะนำสำหรับผู้ปกครองในการช่วยแปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและช่วยทำให้เด็ก เชื่อฟังมากขึ้นด้วยวิธีการ "ทำดีมีรางวัล" โดยการตั้งกฎและให้คะแนนกับเด็กเพื่อนำไปสู่การให้รางวัล ซึ่งมี 18 วิธี ดังนี้
      
       1. แนะนำโปรแกรมในแง่บวก เช่น ควรบอกเด็กว่า อยากช่วยให้เขาทำงานได้ทัน ไม่ต้องถูกว่าหรือบ่น เป็นต้น
      
       2. ทำรายการสิ่งที่เขาต้องปฏิบัติ ไม่ให้ยาวเกินไป ไม่จุกจิกเกินไป
      
       3. ทำรายการรางวัลให้เยอะเข้าไว้ (มากกว่า 15 รางวัล) เช่น ดูหนัง เล่นเกมส์ ดูโทรทัศน์ ให้เขามีโอกาสได้รางวัลทันทีจากสิ่งในชีวิตประจำวัน และควรรวมการเพิ่มค่าขนมให้เด็กไว้ในรางวัลเสมอ
      
       4. ให้เด็กมีสิทธิได้รับเกือบทุกวัน อย่างน้อย 1 ใน 3 ของรางวัลที่ตั้ง
      
       5. ใช้เหรียญรางวัลหรือนับคะแนนดี หากเด็กอายุต่ำกว่า 4 ขวบ ไม่ควรใช้วิธีสะสมนี้ เด็กอายุ 4-7 ปี ให้สะสมเหรียญแทนคะแนน ส่วนเด็กอายุ 7 ปี ขึ้นไป ให้เก็บสะสมแต้มลงสมุดเหมือนเงินฝากดีกว่า
      
       6. ให้เหรียญหรือแต้มเท่าไหร่ดี สำหรับเด็กอายุ 4-6 ปี ควรให้ 1-5 เหรียญต่อรายการพฤติกรรม ส่วนสำหรับเด็กอายุ 7-10 ปี ใช้ 5-25 เหรียญหรือคะแนนต่อรายการ และสำหรับเด็กที่มีอายุมากกว่า 10 ปี ให้ 10 - 200 เหรียญ แต่อย่าจริงจังกับจำนวนเหรียญแต่ละครั้งเกินไป
       7. รายการที่เป็นกิจวัตร ควรได้ทำทุกวัน รายการประจำวันควรได้รางวัล 2 ใน 3 ของรางวัลทั้งวัน ส่วนที่เหลืออีก 1 ใน 3 อาจมาจากรายการพิเศษ เช่น หากคะแนนเต็ม 30 คะแนนต่อวัน ควรได้ 20 คะแนนจากงานประจำ และสามารถแลกรางวัลในชีวิตประจำวันได้ เช่น ได้ดูโทรทัศน์เพิ่ม ส่วนอีก 10 คะแนนที่เหลือ ค่อยมาช่วยคำนวณว่ากว่าจะได้รางวัลใหญ่จะใช้เวลาเท่าใด
      
       8. ให้โบนัส ถ้าตั้งใจดี ใส่ลงในข้อสุดท้ายของรายการตัวโตๆ ว่า "ตั้งใจและพยายาม" และ "โบนัส" ของเด็กว่า ไม่ใช่แค่ทำเสร็จให้ได้รางวัล แต่ถ้าพยายามและตั้งใจด้วย ผลงานดี ไม่บ่น ก็มีรางวัลพิเศษให้ด้วยการเพิ่มเหรียญตามแต่ที่พ่อแม่เห็นสมควร ช่วยให้ทั้งพ่อแม่และเด็กเห็นความสำคัญกับความพยายามและความตั้งใจ นอกไปจากความสำเร็จ
      
       9. เด็กมีโอกาสแลกรางวัลประจำ จะทำให้เด็กอยากได้ อยากทำ
      
       10. ให้เหรียญต่อเมื่อไม่ต้องเตือนซ้ำซาก พูดครั้งแรกก็ทำ แต่ถ้าต้องเตือนซ้ำก็อดได้ ถ้าเขาไม่ทำเลย เขาไม่มีโอกาสได้รางวัลในสัปดาห์แรก แต่ถ้าเฉยในสัปดาห์ที่ 2 เขาจะถูกปรับ
      
       11. ให้เหรียญเมื่อทำดีได้ไม่อั้น เมื่อไรที่เด็กทำดี แม้จะไม่มีปรากฏในรายการ โดยเฉพาะเมื่อเด็กอาสาทำเอง พ่อแม่ควรฉวยโอกาสทำเป็นเรื่องใหญ่ ให้รางวัลทันที
      
       12. พยายามงดการปรับในช่วงสัปดาห์แรกๆ ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อพ่อแม่เห็นว่าการให้รางวัลล่อใจเด็กมากเกินไปแล้วเด็ก ไม่ทำตาม จึงแก้ปัญหาด้วยการขู่หรือปรับเด็ก ซึ่งไม่ควรทำเพราะเด็กจะรู้สึกว่าโปรแกรมนี้เป็นการลงโทษมากกว่า
ขอบคุณภาพประกอบข่าวจากรพ.มนารมย์
       13. เมื่อต้องปรับให้ใช้กฎ 2:1 หลังจากสัปดาห์แรกไปแล้ว พ่อแม่จะเริ่มปรับหากเด็กไม่ทำตามที่บอก ซึ่งควรเริ่มดังนี้ เมื่อหลังจากพ่อแม่พูดแล้ว 10 วินาที หากเด็กยังไม่มีท่าทีขยับจะทำ ก็จะถูกเตือนว่าจะอดได้เหรียญ และหากต้องสั่งครั้งที่สอง จะถูกปรับเหรียญจากบัญชีสะสมของเขา และหากต้องสั่งครั้งที่สามก็ควรแยกเด็กออกไปอยู่ในมุมสงบ ไม่มีสิ่งกระตุ้น (time-out) เมื่อเริ่มลงโทษปรับ พ่อแม่ควรใช้กฎ 2:1 คือ เหรียญรางวัลที่เด็กจะได้จากการทำดีควรเป็น 2 เท่า ของที่ถูกปรับไปใน 24 ชั่วโมง ถัดมา ทั้งนี้เพื่อคงแรงจูงใจกับเด็ก ให้เด็กเห็นว่าเราอยากให้เขาทำดี มากกว่าการลงโทษเมื่อผิด
      
       14. พ่อแม่ควรระวังการเข้าสู่วังวนของการลงโทษ ซึ่งมักต่อเนื่องจากเมื่อพ่อแม่เริ่มลงโทษปรับ เด็กจะโกรธต่อต้าน พ่อแม่ควรลงโทษปรับเพียง 2 ครั้ง ถ้ามีกิริยาไม่ดี ก็เพิกเฉย แล้วส่งเด็กไป time-out แทน
      
       15. พ่อแม่ควรมีจำนวนเหรียญรางวัลต่ำสุดในแต่ละวัน เนื่องจากพ่อแม่บางคน "หวง" รางวัลเกินไป และยังกระตุ้นให้พ่อแม่คอยมองหาพฤติกรรมดีๆ ของเด็กอยู่เรื่อยๆ ด้วย
      
       16. ถ้าไม่ได้หรือไม่มีสิทธิ์ได้ คือ เมื่อเด็กได้เหรียญสะสมไม่ถึงขั้นที่จะได้ของหรืออภิสิทธิ์บางอย่าง ก็ไม่ควรให้ แม้จะอาละวาดเพียงใด หรือต่อรองเพียงใด พยายามรักษาระบบไว้
      
       17. ปรับปรุงรายการรางวัลทุก 2-3 สัปดาห์ โดยเฉพาะถ้าเห็นว่ารางวัลบางอย่างไม่ได้รับความสนใจจากเด็กเลย ควรหาสิ่งใหม่ที่จูงใจกว่ามาใส่แทน
      
       18. เก็บสะสมคะแนนเพื่อออกจากระบบโปรแกรมนี้ พ่อแม่ควรใช้ระบบสะสมรางวัลอย่างเคร่งครัดอยู่ 6-8 สัปดาห์ ถ้าทำได้ดีจริง เด็กจะเริ่มเคยชินกับการปฏิบัติตัวเหล่านี้ เราอาจเริ่มถอนรายการพฤติกรรมบางอย่างออก โดยชมเขาว่าที่ผ่านมาเขาทำดีมาก แต่เรายังจะสังเกตเขาอยู่ห่างๆ และเพื่อดึงแรงจูงใจของเด็กไว้ ภายในหนึ่งปี พ่อแม่ควรปรับปรุงโปรแกรมทั้งรายการพฤติกรรม และรางวัลหลายๆ ครั้ง
      
       ทั้งหมดเป็นเคล็ดลับการช่วย ให้ระบบทำดีมีรางวัล ได้ผลยิ่งขึ้น ซึ่งก็คงเหมือนการปรุงอาหาร แต่ละบ้านคงมีวิธีปรุงให้รสชาติถูกปากสมาชิกครอบครัวต่างๆ กันไป ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยเด็กได้จริง เชื่อว่าจากเด็กที่ซุกซนไม่เชื่อฟังจะกลายเป็นเด็กน่ารักยอมเชื่อฟังและอยู่ ในกฎกติกาขึ้นอีกเป็นกอง