วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

10 ข้อที่ควรและไม่ควรทำในการประเมินผลงานตัวเอง

เมื่อคุณต้องเขียนประเมินผลการทำงานของตนเอง จะเขียนอย่างไรให้ตรงไปตรงมาที่สุด ในขณะเดียวกันก็แสดงให้หัวหน้างานเห็นผลงานของคุณมากที่สุดด้วย มาดูกันว่า 10 ข้อที่ควรและไม่ควรทำในการผลการทำงานตัวเองมีอะไรบ้าง
  1. Do ถามความคิดเห็นจากเพื่อนร่วมงาน ว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับผลการทำงานของคุณตลอดปีที่ผ่านมา
  2. Do ยกตัวเลขขึ้นมาสนับสนุนผลงานให้เป็นรูปธรรม เช่น ระยะเวลาที่ใช้ จำนวนรายได้ เปอร์เซ็นต์ของผลตอบรับ ที่เกิดจากการอุทิศตัวของคุณในกับงานต่าง ๆ ยิ่งคุณสามารถทำประโยชน์ให้กับบริษัทมากเท่าไร ยิ่งทำให้นายจ้างมองเห็นคุณค่าในตัวคุณมากเท่านั้น
  3. Do เขียนในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เช่น แทนที่จะบอกว่า คุณชอบงานของคุณมากเพียงใด ควรพูดถึงทักษะที่คุณพัฒนาขึ้นจากการทำงานที่ผ่านมามากกว่า
  4. Do คิดถึงสิ่งที่ควรปรับปรุง นอกจากเขียนข้อดีของคุณแล้ว ควรมีพื้นที่สำหรับเขียนสิ่งที่ต้องการปรับปรุงในการทำงานของคุณด้วย เพราะในชีวิตจริงไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบไปเสียทุกเรื่อง
  5. Do เตรียมนำเสนอแผนการทำงานในอนาคต นำเสนอไอเดียว่า คุณมีแผนจะพัฒนาความสามารถ เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ หรือรับผิดชอบงานเพิ่มขึ้นอย่างไรบ้าง ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของคุณได้
  6. Do เขียนอย่างตั้งใจและรอบคอบ ควรให้เวลากับการรวบรวมข้อมูล เรียบเรียงสิ่งที่คุณจะเขียน โดยร่างขึ้นมา แล้วปรับแก้จนมั่นใจก่อนที่จะส่ง เพราะสิ่งที่คุณประเมินนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในบันทึกผลงานของคุณที่จะถูกบริษัทเก็บไว้ตลอด
  7. Don’t อย่าถ่อมตัว อย่าอายที่จะทำให้หัวหน้ารู้ว่าคุณมีผลงานที่น่าพึงพอใจมากแค่ไหน หยิบยกความสำเร็จของคุณมานำเสนอ ในขณะเดียวกันก็ไม่กดให้เพื่อนร่วมงานของคุณต่ำลง
  8. Don’t อย่าลืมทบทวนความสำเร็จตั้งแต่ต้นปี หัวหน้างานของคุณอาจจำไม่ได้ทั้งหมดว่ามีโปรเจ็กต์ไหนบ้างที่คุณมีส่วนร่วมภายใน 1 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น ควรทบทวนผลงานเด่น ๆ ให้หัวหน้างานรับทราบอีกรอบ
  9. Don’t อย่าเขียนทื่อ ๆ ใบประเมินผลการทำงานของคุณมีผลต่อความก้าวหน้าในอาชีพของคุณ จึงควรเขียนให้น่าสนใจ เชิญชวนให้หัวหน้างานอยากพูดคุยเกี่ยวกับองค์ประกอบที่คุณใช้ในการประเมินตนเอง
  10. Don't อย่าใช้การประเมินผลงานเพื่อการต่อรอง เพราะช่วงเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่คุณจะต่อสู้เรื่องค่าตอบแทน สิ่งที่ควรทำคือ คุณต้องสามารถพูดถึงความสำเร็จของคุณได้อย่างมั่นใจ ส่วนเรื่องการเจรจาต่อรองเงินเดือน เก็บไว้ในโอกาสอื่นดีกว่า

ที่มา http://th.jobsdb.com


วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความรู้ Blu-ray,HD(High-Definition) ค่า rate bit และอื่นๆ



 Bit Rate คือ จำนวน bit ที่ใช้ในการแสดงข้อมูลต่อหนึ่งหน่วยเวลา

ถ้าbit rateมาก จะทำให้ขนาดไฟล์ใหญ่ขึ้นใช่ไหมและไฟล์จะดีกว่าbit rate น้อยใช่ไหมครับ
ถูกและไม่ถูกครับ ขึ้นอยู่กับ format ที่คุณใช้งานด้วย

การดูว่าไฟล์ของเราที่โหลดไปจะมีความคมชัดเท่าใดมากแค่ไหนต้องดู Bit Rate Video เป็นอันดับแรกนะครับ

วีดีโอบิทเรทต่างๆ

1.) 128 – 384 kbit/s   – คุณภาพระดับ วีดีโอบนอินเทอร์เนท
2.) 1.25 Mbit/s          – คุณภาพระดับ VCD
3.) 5 Mbit/s              – คุณภาพระดับ DVD
4.) 15 Mbit/s            – คุณภาพระดับ HDTV
5.) 36 Mbit/s            – คุณภาพระดับ HD DVD
6.) 54 Mbit/s            – คุณภาพระดับ Blu-ray Disc

Bit Rate ยิ่งมากยิ่งคมชัดมากๆนะครับ เช่นเรื่องนี้นะครับ

VideoID                                  : 1
Format                           : AVC
Format/Info                      : Advanced Video Codec
Format profile                   : High@L4.1
Format settings ,  CABAC           : Yes
Format settings ,  ReFrames        : 5 frames
Muxing mode                      : Container profile=Unknown@4.1
Codec ID                         : V_MPEG4/ISO/AVC
Duration                         : 1h 53mn
Bit rate                           : 10.4 Mbps
Nominal bit rate               : 10.9 Mbps
Width                              : 1 920 pixels
Height                             : 800 pixels
Display aspect ratio           : 2.400
Frame rate                       : 23.976 fps
Resolution                       : 24 bits
Colorimetry                     : 4:2:0
Scan type                        : Progressive
Bits/(Pixel*Frame)            : 0.282

ส่วน fps จะสำหรับระบุเฟรมที่ออกมาในแต่ละนาที่
ปกติก็ไม่ควรต่ำกว่า 20 เพราะจะทำให้ภาพสั่นปวดตาได้ และหนังทัวไปอยู่ที่30/วิก็ดีมากแล้ว

เสียงครับ(Sound DTS-HD Master)
ระบบเสียงแบบใหม่กับแผ่น Blu-ray Disc

หลายๆท่านอาจจะทราบว่าในปัจจุบันนี้ระบบ High definition กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ส่วนใหญ่คงเข้าใจว่าระบบนี้มีเฉพาะที่เป็นสัญญาณภาพความละเอียดสูงเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้วยังมีระบบเสียงที่เป็นแบบ High definition ด้วย!

ระบบเสียงแบบ High Definition นี้จะมาพร้อมกับแผ่น Blu-ray Disc เนื่องจากระบบใหม่นี้ไฟล์จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ จึงต้องใช้เนื้อที่ในการเก็บข้อมูลมาก Blu-ray Disc จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับระบบเสียงนี้

Dolby & DTS กับยุคของ High definition

เมื่อพูดถึงระบบเสียงแบบใหม่นี้ แน่นอนว่า 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ในด้านการพัฒนาระบบเสียงรอบทิศทางจนเป็นที่ยอมรับกันโดยกว้างขวาง ต่างก็ไม่พลาดที่จะเข้ามาร่วมในการเปิดตลาดของระบบเสียงแบบ High definition นี้ด้วยเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ “Dolby” และ “DTS”

ระบบเสียง High definition จาก Dolby

ค่าย Dolby ได้พัฒนาระบบเสียงขึ้นมาใหม่ 2 ระบบเพื่อรองรับการเข้าสู่โลกของ High definition นั่นคือ “Dolby Digital Plus” และ “Dolby TrueHD”

แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึง Dolby TrueHD เพียงอย่างเดียว เพราะระบบนี้จะเป็นระบบเสียงหลักระบบหนึ่งในแผ่น Blu-ray disc

Dolby TrueHD เป็นระบบเสียงรอบทิศทางที่ไม่มีการสูญเสียของข้อมูลเลย นั่นหมายความว่าสัญญาณเสียงที่เรา ได้ยินจากระบบ Dolby TrueHD นั้นจะมีความเที่ยงตรงเหมือนกับที่บันทึก มาจากสตูดิโอเลยทีเดียว และยังสามารถ รองรับช่องสัญญาณเสียงได้สูงสุดถึง 8 channel โดยเมื่อเทียบกับระบบ เสียง Dolby Digital แบบเก่า Dolby TrueHD จะให้คุณภาพเสียงที่ดีขึ้นถึง 28* เท่าเลยทีเดียว

* วัดจาก Bit-rate โดย Dolby Digital จะให้ Bit-rate = 0.64 Mbps ขณะนี้ Dolby TrueHD ให้ Bit-rate = 18 Mbps)

ระบบเสียง High definition จาก DTS

เช่นเดียวกับ Dolby, ค่าย DTSได้พัฒนาะระบบเสียงแบบ High definition ขึ้นมา 2 รูปแบบเหมือนกัน นั่นคือ “DTS-HD High Resolution Audio” และ “DTS-HD Master Audio” ในที่นี้จะขอกล่าวถึง DTS-HD Master Audio เท่านั้น

DTS-HD Master Audio เป็นระบบเสียงรอบทิศทางที่ไม่มีการสูญเสียของข้อมูลคล้ายกับ Dolby TrueHD และรองรับช่องสัญญาณได้ถึง 8 channel เหมือนกัน แต่สิ่งที่ DTS-HD Master Audio มีเหนือกว่าก็คือ คุณภาพเสียงซึ่งสามารถให้ได้มากถึง 28 Mpbs

 แต่ในด้านความนิยมหรือความหลากหลายของแผ่นซอฟแวร์ให้ปัจจุบัน ดูเหมือนว่าทางบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์ จะให้ความสำคัญกับ Dolby TrueHD มากกว่า ทำให้แผ่น Blu-ray disc ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะมี Dolby TrueHD มาด้วย ในขณะนี้แผ่น Blu-ray Disc ที่มีระบบเสียง DTS-HD Master Audio ยังมีจำนวนค่อนข้างน้อย

เช่น
Audio

ID                                  : 2
Format                            : DTS
Format/Info                     : Digital Theater Systems
Codec ID                         : A_DTS
Duration                          : 1h 53mn
Bit rate mode                   : Constant
Bit rate                            : 1 536 Kbps
Channel(s)                        : 6 channels
Channel positions               : Front: L C R ,  Surround: L R ,  LFE
Sampling rate                    : 48.0 KHz
Resolution                        : 24 bits
Title                                : English DTS 1509kbps
Language                         : English
เป็นคุณภาพแบบ DVD ครับ

ตารางเสียงบิทเรตต่างๆ

แบบที่บีบอีดข้อมูล และสูญเสียคุณภาพของสัญญาณแล้วมี 4 ตัวด้วยกันคือ

1.) Dolby Digital  -0.64 Mbps (664Kbps)  คุณภาพระดับ DVD
2.) DTS                 -1.5 Mbps    (1530Kbps) คุณภาพระดับ DVD
3.) Dolby Digital Plus    -1.7 Mbps    (1760Kbps) คุณภาพระดับ HDTV 
4.) DTS-HD HighResolution    -6.0 Mbps    (6000Kbps) คุณภาพระดับ HDTV 5.1

แบบบีบอัดข้อมูล แต่ไม่สูญเสียคุณภาพของสัญญาณมี 2 ตัวด้วยกันคือ

5.)Dolby(TRUE HD)    -18.0 Mbps (18000Kbps) คุณภาพระดับ HD-DVD
6.)DTS-HD MasterAudio(DTS-HDMA) -24.5 Mbps (24500Kbps) คุณภาพระดับ BLURAY

แบบไม่บีบอีดข้อมูล และไม่สูญเสียคุณภาพของสัญญาณมี 1 ตัวด้วยกันคือ

7.)Linear PCM                 28.0 Mbps (28000Kbps) คุณภาพระดับ MASTER-STUDIO  


ที่มา http://cnedemo.blogspot.com/2012/10/blu-rayhdhigh-definition-rate-bit.html

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อันตราย แมลงทอด

  
ขึ้นชื่อว่าคนไทย ย่อมต้องทานอาหารไทย หากอาหารจำพวก "แมลงทอด" นี้อาจจะไม่ได้
ขึ้นบัญชีว่าเป็นอาหารไทยอย่างชัดเจนหรอกสินะ
            แต่ถึงกระนั้น มันก็เป็นอาหารที่คนไทยจำนวนมากนิยมทาน และยังมีขายกันอยู่ทั่วไป
          แมลงทอดนั้นถ้าใครชอบทาน ก็ถือว่าอร่อย ไม่ว่าจะเป็น รถด่วน (หนอนไม้ไผ่ทอด) ตั๊กแตน
จิ้งหรีด ฯลฯ ยิ่งหากเราผ่านย่านร้านอาหาร ร้านเหล้า เราก็จะเห็นบรรดาพ่อค้าขายแมลงทอด พร้อม
กับลูกค้าที่มาอุดหนุนอย่างไม่ขาดสาย _

แต่ความอร่อยในตัวแมลงทอดนั้น อาจจะมีอันตรายซ่อนอยู่ ที่ทำให้เราเสียชีวิตได้

          ผลการวิเคราะห์ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่าการรับประทานแมลงทอดอาจส่งผลร้าย
ต่อชีวิตได้ในทันที ดังที่พบเห็นเป็นข่าวว่ามีผู้เสียชีวิตจากการรับประทานตั๊กแตนทอดที่ขายตาม
ตลาดนัดทั่วไป

           เพราะในแมลงทอดมีสารฮีสตามีน (Histamine) พบมากในอาหารประเภทโปรตีนที่เริ่มมีการ
เน่าเสียและอาหารที่ไม่สะอาด ส่งผลให้เกิดอาการทางด้านผิวหนัง ระบบทางเดินอาหารและระบบ
ทางเดินหายใจ เช่น ผิวหนังอักเสบ เป็นผื่นแดง เป็นลมพิษ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และหอบหืด
เป็นต้น
            ซึ่งสารฮีสตามีนอาจทำให้เสียชีวิตได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและปริมาณอาหารที่ได้รับ
รวมทั้งช่วงเวลาที่ได้รับ



           นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญในเรื่องของน้ำมันที่ใช้ทอดแมลงด้วย เนื่องจากน้ำมันที่ใช้ทอดแมลง
หากพ่อค้าใช้น้ำมันทอดซ้ำโดยไม่มีการเปลี่ยน น้ำมันจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพเช่นกัน เพราะการใช้น้ำมัน
ที่ทอดหลายๆ ครั้งทำให้เกิดสารประกอบโพลาร์ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้

ที่มา http://health.spokedark.tv/2013/11/01/insects-fried/

5 เหตุผลที่ PC ดีกว่า Notebook พร้อม 3 เหตุผลที่ด้อยกว่า

แม้กระแสความนิยมชมชอบเครื่องคอมพิวเตอร์ PC (ในที่นี้หมายถึง PC Deasktop) จะลดน้อยถอยลงไปมาก จากการมาของ Notebook รวมไปถึงอุปกรณ์พกพารุ่นใหม่ๆ อย่าง Tablet และ Smartphone แต่ก็เชื่อได้ว่ายังมีหลายคนที่จำเป็นต้องใช้งาน PC เป็นหลักบ้าง หรือบางคนที่มี Tablet หรือ Smartphone ใช้งานอยู่แล้ว ไม่อยากจะซื้อ Notebook มาใช้ แต่อยากได้ PC มากกว่าก็เป็นไปได้ครับ
โดยในบทความนี้เราจะมานำเสนอถึงเหตุผลที่ PC มีข้อดีมากกว่า Notebook กันนะครับ แบ่งออกเป็น 5 เหตุผลด้วยกัน 

1. สเปกต่อราคาคุ้มค่ากว่า

อันนี้เห็นกันได้ชัดเจนมากๆ หากเรากำเงินไปซื้อคอมพิวเตอร์ซักเครื่องแล้วล่ะก็ โดยสมมุติว่ามีงบประมาณไม่เกิน 30,000 บาทและต้องการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด เพื่อไว้ใช้ทำงานและเล่นเกมกราฟิกหนักๆ แน่นอนว่า Notebook ที่เราจะได้ก็จะเป็นขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว หรือ 15 นิ้ว ที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Intel Core i5 ไม่ก็ i7 มาพร้อมกับกราฟิกการ์ดระดับกลางๆ ที่ในความแรงในการทำงานพอตัว ที่โดยรวมก็ถือว่าน่าพอใจระดับหนึ่ง (รุ่นตัวอย่าง ASUS N46JV-V3020H ราคา 29,900 บาท)
แต่ถ้ากรณีที่เราเลือกเป็น PC ล่ะก็ เราได้ชิปประมวลผล AMD FX ระดับ 8 คอร์ พร้อมด้วยหน่วยความจำแรมขนาด 8GB จาก G.SKILL SNIPER รวมไปถึงในส่วนของการฟิกการ์ดก็จะเป็น INNOVISION GTX660Ti ที่ต้องบอกว่าประสิทธิภาพการทำงานเหมือนเทียบกับ Notebook ที่ราคาใกล้กันนั้น ต่างกันเท่าตัวทีเดียว นอกเหนือจากนี้ยังมาพร้อมเคสสุดเท่จาก ZALMAN และ PSU คุณภาพอย่าง RAIDMAX อีกด้วย ที่สำคัญยังได้มอนิเตอร์ขนาด 24 นิ้ว ความละเอียด Full HD ไปใช้งานสะใจกันได้เลย  (สเปก PC ตัวอย่าง ราคา 29,980 บาท)
ซึ่งจากการเปรียบเทียบตรงนี้แสดงได้ถึงความคุ้มค่าของ PC ที่มีมากกว่า Notebook แบบใครๆ ก็สัมผัสได้

2. อัพเกรดอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ได้ง่ายกว่า

ในการถอดอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ภายในของ PC อย่างที่ทราบกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ว่าเราสามารถทำได้ง่ายกว่ามาก หากเทียบกับ Notebook ของแต่ละรุ่นในตลาดแล้ว นั้นก็เป็นเพราะว่า PC ได้ถูกออกแบบมาให้เราสามารถอัพเกรดอุปกรณ์ภายในได้ด้วยตนเอง อย่างกรณีที่ที่หากว่าฮาร์ดดิสก์ภายในความจุไม่มากพอ เราก็สามารถซื้อฮาร์ดดิสก์มาเพิ่มเติมได้ ซึ่งเคส PC ส่วนมากจะเพิ่มฮาร์ดดิสก์ได้สูงสุดถึง 5 ลูกด้วยกัน หรือถ้าต้องการความเร็วในการทำงานที่สูงขึ้น จะเปลี่ยนไปใช้ฮาร์ดดิสก์แบบ SSD ก็สามารถทำได้เช่นกัน
หรืออย่างกรณีถ้าเราต้องการชิปประมวลผลซีพียูหรือกราฟิกการ์ดที่แรงขึ้น ก็สามารถซื้อรุ่นใหม่ที่แรงกว่าประสิทธิภาพดีกว่ามากใช้งานได้ทันที โดยในส่วนของเดิมก็สามารถนำไปขายต่อในตลาดมือสองได้อย่างสบายๆ ซึ่งก็ถือได้ว่าในการอัพเกรดอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ภายในของ PC ดีกว่า Notebook แน่นอน เพราะโน้ตบุ๊กอย่างมากที่เราอัพเกรดได้ก็คือ แรมและฮาร์ดดิสกืเท่านั้น

3. ซ่อมบำรุงได้ง่ายกว่า

สืบเนื่องจากเหตุผลก่อนหน้าที่ PC สามารถถอดอุปกรณ์ชิ้นส่วนฮาร์ดแวร์ได้ง่ายกว่า Notebook มาก ทำให้เราสามารถถอดชิ้นส่วนออกมาทำความสะอาดได้ง่าย เป่าลมหรือปัดฝุ่นได้ง่ายกว่า แน่นอนว่าส่งผลให้ระบบระบายอากาศภายในของตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ทำได้ดี รวมไปถึงจะทำให้อายุการใช้งานยาวนานกว่าการที่เราไม่ทำความสะอาดเลย เพราะว่าถ้าหากเราไม่ถอดอุปกรณ์ภายในมาทำความสะอาดบ้าง ก็อาจจะทำให้อุปกรณ์ทำงานหนักเกิดความร้อนสะสม จนส่งผลให้ชิ้นส่วนมีความเสียหายที่สุดก็เป็นไปได้

4. อายุการใช้งานนานและประกันยาวนานกว่า

ด้วยความที่อุปกรณ์ภายในของ PC มีการออกแบบให้มีขนาดใหญ่ ทั้งในส่วนของแผงวงจร พัลมระบายความร้อน หรือฮีทซิงค์ระบายความร้อนต่างๆ อีกถอดออกมาทำความสะอาดได้ง่ายกว่า Notebook ทั่วไป แน่นอนว่าทำให้ฮาร์ดแวร์สึกหรอหรือเสื่อมสภาพได้น้อยกว่าเช่นกัน
หรือถ้าเกิดกรณีเสียขึ้นมาเราก็สามารถถอดชิ้นส่วนที่เสียนำไปเคลมที่ศูนย์บริการได้สะดวก กว่าการที่เราจะยก Notebook ไปทั้งเครื่อง ที่สำคัญประกันชิ้นส่วนของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์มีระยะรับประกันที่ยาวนานกว่า โดยเริ่มต้นที่ 1 ปี ไปจนถึง 3 ปี 5 ปี หรือตลอดการใช้งานก็มีครับ 

5. รีดประสิทธิภาพการทำงานได้ดีกว่า

เหตุที่คอมพิวเตอร์ PC นั้น สามารถอัพเกรดและปรับแต่งได้ง่ายกว่า Notebook ทำให้เราสามารถรีิดประสิทธิภาพการทำงานของ PC ออกมาได้มากกว่าเช่นกัน เพราะเราสามารถ Overclock ชิปประมวลผลและกราฟิกการ์ดได้อย่างอิสระ ไม่ต้องห่วงในเรื่องของความร้อนสะสมจนอุปกรณ์ภายในอื่นๆ เสียหาย รวมไปถึงกรณีที่เราต้องการประสิทธิภาพสูงสุด ก็สามารถติดตั้งชุดระบายความร้อนระดับสูงเพิ่มเติมได้ โดยไม่ทำให้การทำงานของเครื่องได้รับผลกระทบแต่อย่างใด (แต่กระทบกระเป๋าเงินนะ) 
พร้อมกันนั้นก็ขอนำเสนอเหตุผลที่ PC ด้อยกว่า Notebook ด้วยล่ะกันครับ โดยแบ่งออกเป็น 3 ข้อ

1. พกพาไปใช้งานนอกสถานที่ได้

แน่นอนว่าเป็นเหตุผลแรกๆ ทีเดียว สำหรับข้อดีของ Notebook ในเรื่องของการพกพาไปใช้งานนนอกสถานที่ เพราะตัวเครื่องโน้ตบุ๊กเองนั้นได้ออกแบบให้มีขนาดเล็กกระทัดรัดที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ตามขนาดหน้าจอ รวมไปถึงได้มีการติดตั้งแบตเตอรี่ไว้ภายในตัวเครื่อง ทำให้ในการใช้งาน Notebook นั้น เราไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอแดปเตอร์ของตัวเครื่องเสมอไป เรียกได้ว่าไม่ต้องง้อปลั๊กไฟอย่างที่ PC ขาดไม่ได้เลย
โดยระยะเวลาการใช้งานของแบตเตอรี่ Notebook แต่ละเครื่องนั้นก็อยู่กับสเปกภายในของรุ่นนั้นๆ ซึ่งถ้าเป็น Notebook ที่มาพร้อมสเปกสุดแรง Intel Core i7 และกราฟิกการ์ด NVIDIA GrForce GTX Series ก็รับร้องได้ว่าแบตเตอรี่นั้นจะสามารถใช้งานได้ไม่นาน เพียง 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งถ้าใครอยากใช้งาน Notebook แบตเตอรี่อยู่ได้นานๆ คงต้องหาดูเป็น Notebook ดีไซน์บางๆ มาพร้อมสเปกชิปประมวลผลและกราฟิกการ์ดแบบประหยัดพลังงานมาแทน ที่ก็จะทำให้ Notebook เครื่องนั้น ใช้งานได้ยาวนานสูงสุดถึงระดับ 8-9 ชั่วโมงด้วยกัน

2. ใช้พลังงานประหยัดกว่า

ด้วยความที่ว่า Notebook นั้นถูกออกแบบมาให้ใช้งานพกพาเป็นหลัก พร้อมกันนั้นยังต้องพึงพาพลังงานจากแบตเตอรี่ในบางช่วงเวลา ทำให้อุปกรณ์อาร์ดแวร์ภายในนั้นกินพลังงานไม่มากเท่ากัน PC ซึ่งส่วนมากแล้ว Notebook ปกติทั่วไปจะใช้พลังงานเพียง 30 – 50 Watt เท่านั้น หรืออย่างมากที่สุดก็จะอยู่ที่ประมาณ 100 Watt  ซึ่งเรียกได้ว่าต่างจากการกินพลังงานของ PC เป็นอย่างมาก เพราะ PC ปกติทั่วไปก็ใช้พลังงานอยู่ที่ประมาณ 400 – 500 Watt แล้ว ยิ่งถ้าเป็นในส่วนของ PC สเปกแรงๆ แล้วล่ะก็ เกรงว่าจะทะลุ 1000 Watt ด้วยซ้ำไป
เรียกได้ว่าถ้าใครอยู่หอพักหรืออพาร์ทเม้นท์แล้วล่ะก็ ค่าไฟปลายเดือนมาเรียกเก็บทีนี้แทบจะร้องไห้เลย (หน่วยค่าไฟแพงกว่าแบบคำนวณตามบ้านมาก) เพราะเปรียบเหมือนเราเสียบใช้งานเตารีดเท่ากับการที่เราเปิดคอมไว้ตลอดเวลานั่นเอง ส่วนถ้าใครอยู่บ้านก็เจ็บลงมาน้อยหน่อย แต่ก็แอบรู้สึกได้เล็กๆ ครับ เมื่อเทียบกับ Notebook ที่เราแทบจะไม่รู้สึกถึงค่าไฟที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ 

3. ประหยัดพื้นที่มากกว่า

อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญกับการที่ Notebook ดีกว่า PC ก็คือขนาดตัวเครื่องที่เล็กและเป็นชิ้นเดียว ทั้งตัวเครื่อง หน้าจอ คีย์บอร์ด ทัชแพด เวลาจัดวางที่ไหนก็จะไม่กินพื้นที่มากนัก อีกทั้งยังไม่มีสายโยงยางไปมา ต่างกับ PC ที่ต้องใช้พื้นที่ในการจัดว่าค่อนข้างมาก ต้องใช้โต๊ะที่ออกแบบมาเพื่อใช้วาง PC จึงจะมีความเหมาะสมมากที่สุด รวมถึงก็จะมีสายเชื่อมต่อไปมามากมาย ทั้งสามารถไฟ สายเมาส์คีย์บอร์ด สายสัญญาณต่างๆ เป็นต้น เรียกได้ว่าเทียบการใช้งาน Notebook กับ PC ในเรื่องของพื้นที่นั้น Notebook ประหยัดพื้นที่กว่าเยอะมาก แถมจะเอาเป็นเล่นไปใช้งานบนเตียงนอนก็สามารถทำได้ทันที
เอาเป็นสำหรับคนที่ต้องใข้งานคอมพิวเตอร์ที่ต้องการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่บ้าง ก็สามารถเลือกเป็น Notebook ได้เลย แต่ถ้าใครต้องการใช้งานคอมพิวเตอร์สเปกดีๆ คุ้มค่าต่อราคา และที่สำคัญใช้งานอยู่แต่ภายในบ้านละก็ ยังไง PC ก็ย้งเป็นคำตอบที่ดีที่สุด แต่คนไหนคิดว่าขอเพียงคอมพิวเตอร์ที่พอใช้งานได้แล้วอยู่ตามหอพักล่ะก็ Notebook ก็อาจจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดก็เป็นไปได้ครับ

ที่มา http://notebookspec.com/pc-notebook/194878/