วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ระบบคลาวด์สาธารณะ ส่วนตัว และผสมผสาน

โดยทั่วไปแล้ว คลาวด์คอมพิวติ้งแบ่งระดับบริการเป็นสามระดับได้แก่ ซอฟต์แวร์ในรูปแบบของบริการ (Software as a Service) ซึ่งมีการจัดหาแอพพลิเคชั่นแบบครบวงจรในรูปแบบของบริการให้แก่ผู้ใช้, แพลตฟอร์มในรูปแบบของบริการ (Platform as a Service) ซึ่งมีการจัดหาแพลตฟอร์มสำหรับการพัฒนาและปรับใช้แอพพลิเคชั่นในรูปแบบของบริการ และโครงสร้างพื้นฐานในรูปแบบของบริการ (Infrastructure as a Service) ซึ่งมีการจัดหาฮาร์ดแวร์สำหรับเซิร์ฟเวอร์ สตอเรจ และเครือข่าย รวมถึงระบบปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง และซอฟต์แวร์เวอร์ช่วลไลเซชั่น ในรูปแบบของบริการ

บริการเหล่านี้อาจอยู่ในรูปแบบของระบบคลาวด์สาธารณะ (Public Cloud), ระบบคลาวด์ส่วนตัว (Private Cloud) หรือระบบคลาวด์แบบผสมผสาน (Hybrid Cloud) ทั้งนี้ ในระบบคลาวด์สาธารณะ ลูกค้าหลายรายใช้ทรัพยากรด้านการประมวลผลร่วมกันโดยผ่านทางผู้ให้บริการ ลูกค้าจะสามารถเข้าถึงทรัพยากรดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วและเสียค่าใช้จ่าย สำหรับทรัพยากรที่ใช้งานจริงเท่านั้น โดยลงรายการบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน รูปแบบนี้รองรับการปรับขนาดได้อย่างยืดหยุ่น ดังนั้นจึงสามารถเพิ่มเติมทรัพยากรได้ทันทีเมื่อต้องการใช้ และจากนั้นก็ปรับลดลงเมื่อไม่จำเป็นต้องใช้อีกต่อไป แม้ว่าระบบคลาวด์สาธารณะจะมีข้อดีหลายประการ แต่ก็มีประเด็นปัญหาเรื่องความปลอดภัย ความสอดคล้องตามกฎระเบียบ และคุณภาพของบริการ เนื่องจากข้อมูลถูกโฮสต์โดยองค์กรอื่น ดังนั้นจึงเท่ากับว่าลูกค้าไว้วางใจให้ผู้ให้บริการทำหน้าที่เก็บรักษา ข้อมูลให้ปลอดภัย ปราศจากการสูญหายหรือการเข้าถึงอย่างไม่เหมาะสม ทั้งยังต้องเป็นไปตามกฎระเบียบเรื่องการจัดเก็บและการค้นหาข้อมูล และรองรับบริการที่ต่อเนื่องและรวดเร็วผ่านทางเครือข่าย

ในระบบคลาวด์ส่วนตัว ทรัพยากรการประมวลผลถูกใช้งานโดยองค์กรเดียวเท่านั้น และอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์กรนั้นโดยตรง โดยทั่วไปแล้ว ระบบคลาวด์ส่วนตัวถูกติดตั้งไว้ภายในดาต้าเซ็นเตอร์ขององค์กร และได้รับการบริหารจัดการโดยบุคลากรภายในองค์กร แต่ในบางกรณีอาจได้รับการจัดการโดยผู้ให้บริการ ซึ่งกรณีดังกล่าวจะเรียกว่าระบบคลาวส่วนตัวแบบเวอร์ช่วล (Virtual Private Cloud) ประโยชน์ที่สำคัญของรูปแบบนี้ก็คือ องค์กรยังคงสามารถควบคุมความปลอดภัย การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และคุณภาพของบริการ

ระบบคลาวด์แบบผสมผสานประกอบด้วยระบบคลาวด์สาธารณะและระบบคลาวด์ส่วน ตัวสำหรับแอพพลิเคชั่นเดียว โดยจำเป็นที่จะต้องมีการทำงานร่วมกันระหว่างระบบคลาวด์ต่างๆ รวมถึงความสามารถในการจัดการระบบคลาวด์ทั้งสองแบบอย่างกลมกลืน ซึ่งจะช่วยให้องค์กรสามารถรองรับเวิร์กโหลดได้อย่างมีเสถียรภาพในระบบคลาวด์ ส่วนตัว และในกรณีที่เวิร์กโหลดเพิ่มขึ้นสูงสุด ก็สามารถขยายไปสู่ระบบคลาวด์สาธารณะ แล้วจากนั้นก็ส่งคืนทรัพยากรสาธารณะเมื่อไม่ต้องการใช้งานอีกต่อไป

การพัฒนาไปสู่คลาวด์

มีหลายสิ่งหลายอย่างที่คุณควรจะระลึกไว้เมื่อเปลี่ยนย้ายไปใช้รูปแบบ คลาวด์ รวมถึงคุณลักษณะของระบบคลาวด์นั้นๆ และประเด็นเรื่องโครงสร้างองค์กรและวัฒนธรรม ซึ่งอาจกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการปรับใช้สถาปัตยกรรมใหม่ๆ ในอนาคต

กรอบ โครงสร้างสถาปัตยกรรมขององค์กร (Enterprise Architecture Framework) มีประโยชน์อย่างมากสำหรับการประเมินและออกแบบโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่จะ รองรับเป้าหมายทางธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต กรอบโครงสร้างดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ออกแบบระบบสามารถกำหนดวิสัยทัศน์ในเรื่อง สถาปัตยกรรม วิเคราะห์ระบบและการออกแบบสถาปัตยกรรมด้านเทคนิค และกำหนดแผนงานโดยรวมซึ่งครอบคลุมเรื่องการวางแผน การบริหารองค์กร และการจัดการความเปลี่ยนแปลง

ที่มา http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000024304

สร้างความแปลกใหม่ด้วย Color QR Code กับบทบาทในการดำเนินธุรกิจ



หลายๆครั้งที่มนุษย์คิดรูปแบบของระบบการจัดการเข้ามาเพื่อช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในการจัดการสินค้า จัดการสต็อกด้วยแถบบาร์โค้ด ที่เป็นรหัสติดบนตัวสินค้า นั่นก็เพื่อเป็นการระบุข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ตั้งแต่การผลิต ข้อมูลของสินค้า และราคา

บาร์โค้ดถูกพัฒนารูปแบบมาเป็นบาร์โค้ดแบบสองมิติภายใต้ชื่อ Quick-Response Code (QR Code) พัฒนาโดยบริษัท Denso Wave ลักษณะเป็นแถบรหัสสองมิติที่มีหน้าตาคล้ายภาพสามมิติที่เราเคยเล่นกันตอน เด็กๆ สามารถเก็บข้อมูลได้หลากหลายและมากกว่าบาร์โค้ดแบบปกติที่เป็นแท่งยาวๆ

ใน การดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะการขายสินค้านั้น การที่ข้อมูลสินค้ามีจำนวนมาก ไม่สามารถที่จะใส่ระบุไว้บนกล่องบรรจุภัณฑ์ได้ หรือในใบปลิวโฆษณา หน้าโฆษณา ไม่มีเนื้อที่พอที่จะบรรจุข้อมูลทั้งหมดลงไปได้ ก็จะเป็นหน้าที่ของ QR Code ที่เป็นบาร์โค้ดที่บรรจุข้อมูลดิจิตอลพวกนี้ไว้ โดยมีการเก็บข้อมูลที่อยู่ของเว็บไซต์ ข้อความโฆษณา หรือหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ ซึ่งผู้ใช้จะสามารถจัดเก็บตัวอักษรและข้อมูลต่างๆ

การใช้งาน QR Code ที่เห็นกันในวงการไอทีบ่อยครั้งก็คือนามบัตร ข้อมูลที่จำเป็นจะถูกพิมพ์บนกระดาษ เช่น ชื่อ ชื่อบริษัท เบอร์โทรศัพท์ ส่วนข้อมูลอื่นๆ ผู้รับนามบัตรจะสามารถใช้กล้องบนโทรศัพท์มือถือ ถ่ายภาพ QR Code ด้วยโปรแกรมอ่าน QR Code เพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติม เช่น เว็บไซต์ หรือชื่อที่ใช้ในเครือข่ายสังคม

ที่ผ่านมา คนไทยคุ้นตากับ QR Code ที่เป็นแบบขาวดำ คล้ายๆบาร์คโค้ดแบบแท่งซึ่งมีความเข้ม ความหนาของเส้นต่างกัน ที่ใกล้ตัวที่สุดก็เห็นจะเป็นการแสดงบาร์โค้ด QR Code บน BlackBerry ผ่านโปรแกรม BlackBerry Messenger แค่เอากล้องของ BlackBerry ด้วยกัน ส่องสักระยะให้เซ็นเซอร์อ่านค่า QR Code ก็จะสามารถเพิ่มรายชื่อที่มาพร้อมข้อมูลส่วนตัว

ตอนนี้หลายๆคนคงจะเริ่มเห็นสินค้าหลายๆชิ้นมีรหัสบาร์โค้ด QR Code ให้สแกนกันแล้ว หลายๆคนใกล้ตัวก็ถามว่า มีลิงค์ URL ให้ดาวน์โหลดข้อมูลเพิ่มเติมใช่หรือไม่ นั่นคือความเข้าใจที่หลายๆคนมองในมุมของการเก็บข้อมูลและแจ้งข่าวสาร จากนั้นให้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์อีกครั้ง

หาก มองการใช้งานในเชิงธุรกิจแล้ว QR Code นำมาใช้ในการจองตั๋วชมภาพยตร์ ตั๋วรถไฟ เครื่องบินได้ดี เพราะหากเราสแกนบาร์โค้ด QR Code บนบัตรสมาชิกแล้วหักเงินจากบัตร ก็สามารถเก็บข้อมูลได้เลยว่าแต่ละคนมีลักษณะและพฤติกรรมในการชมภาพยนตร์แนว ไหน มากี่คน ความถี่ในการชม สาขาที่ชม สถานที่ท่องเที่ยว ความถี่ วันหยุดหรือวันธรรมดา ทำให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านการตลาดมากมายและทำ CSR ได้อีกด้วย

Color QR Code

แปลกใจไหมว่าทำไมบาร์โค้ดจึงเป็นขาวดำ ตั้งแต่บาร์โค้ดแบบธรรมดาที่ติดอยู่บนสินค้าทั่วไป จนมาถึง QR Code เครื่องพิมพ์บาร์โค้ดยังคงเป็นสีขาวดำ ก็เพราะการสแกนอ่านค่าโค้ดบนความแตกต่างของสีขาวและสีดำนั้นมีมากนั่นเอง

จริงๆ แล้ว QR Code แบบสีก็มี แต่ค่าความแตกต่างของสีนั้นจะต้องแตกต่างกันจนเครื่องอ่านหรือซอฟต์แวร์ สามารถจำแนก แยกความแตกต่างของสีออกจากกันได้ เพราะอย่าลืมว่าเครื่องพิมพ์บาร์โค้ดเอง หากใช้คนละยี่ห้อ การผสมสีก็ต่างกัน เช่นเดียวกับเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ททั่วไป

แม้ว่าบางคนจะเบื่อกับบาร์โค้ดสีขาวและดำ แต่การสร้างบาร์โค้ดสีนั้น จำเป็นต้องมีค่าความแตกต่างของสีที่ต่างกันเยอะหน่อย ทั้ง foreground และ background เช่น พื้นหลังสีม่วงกับแถบบาร์โค้ดสีดำ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ทำให้กฏข้อแรกของการใส่สีให้ QR Code จึงเป็นการเน้นพิจารณาเรื่องสีให้มาก

เรื่อง น่าสนใจมากจากการออกแบบ QR Code คือ Louis Vuitton แบรนด์ดังระดับโลก ได้ลงมือผลิตรูปแบบของ QR Code เก๋ไก๋ขึ้นมา ผลิตโดย SET และออกแบบโดย Takashi Murakami ปรับโฉมจากแถบบาร์ขาวดำมาตรฐานปกติ ในขณะที่มีรูปแบบการออกแบบที่แตกต่างกันออกไป

การออกแบบ QR Code แบบสีนั้นจะมีข้อแตกต่างตรงที่สีเข้ม สีอ่อน ความคมชัดในการสแกนเพื่อแปลงค่า โดยความแปลกใหม่ของ QR Code แบบสีก็คือการจุข้อมูลได้มากกว่า การผลิตและออกแบบนั้น สามารถที่จะใส่สีหรือเพิ่มรูปภาพลงไปใน QR-Code โดยจะมีตัวที่ควบคุมค่าการอ่านเพื่อลดการผิดเพี้ยน แต่บางคนก็บอกว่าผิดพลาดง่ายขึ้นและไม่เป็นมาตรฐาน

หากสนใจ ตอนนี้มีหลายมาตรฐานอย่าง Kaywa API ในการสร้างโค้ดสี และสร้างความแตกต่างในการทำโค้ดได้จากหน้าเว็บ และยังมีแอปพลิเคชันของญี่ปุ่นในการสร้าง on-line QR-Code ที่ประกอบไปด้วยข้อความ สี และข้อมูลอื่นๆ ภายใต้ชื่อ Moji-Q ใครไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นก็ลองใช้ Google Japanese-English translator แปลดูก็ได้

ทางฝั่งไมโครซอฟท์นั้นได้มีการพัฒนา 2D-Code ที่มีขนาดเล็ก มีรูปทรงและสีที่แตกต่างออกไปเช่นกัน เรียกว่าจะเอามาตรฐานของแต่ละคนวัดกันเลยทีเดียว

ปัญหา ตอนนี้ก็คือความละเอียดของกล้องมือถือยังไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างของสี และความเข้มของสีได้มากขนาดนั้น การอ่านด้วยกล้องมือถือจึงมีข้อกำกัดมากกว่าเครื่องยิงบาร์โค้ดทั่วไป

นอกจากนี้ยังมีบริการจาก Color Code ภายใต้ชื่อ Color Construct Code (Color C Code) สำหรับการใช้งานร่วมกับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ในการทำการตลาดและโฆษณาผ่านมือถือ

Color C Code นั้นประกอบด้วยข้อมูลจำนวนมากที่สามารถรันได้โดยไม่ต้องอาศัยการเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ต เพื่อถอดรหัสและแสดงผลแบบดิจิตอลเช่น ข้อความ ภาพ เสียง เพลง และวีดีโอ ภาพด้านล่างเป็น Color C Code บนปกซีดีที่ถอดรหัสแบบออฟไลน์เพื่อเล่นคลิปเพลง 40 วินาที

สำหรับตลาด Color QR Code แบบสีนั้นมีข้อกำหนดและข้อจำกัดในเรื่องของการพิมพ์ฉลากบาร์โค้ด โดยการออกแบบให้ QR Code มีหลายสี โดยจะมีส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องกันก็คือเครื่องพิมพ์ เครื่องอ่าน ก็คือพิมพ์บนสื่อต่างๆ แล้วทำการสแกนอ่านโดยใช้ซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งบนโทรศัพท์มือถือ ดังนั้นความแม่นยำและการอ่านความแตกต่างของสีพื้นหลังและจุดบนพื้นหลังเป็น สิ่งสำคัญที่สุด

โดย การสร้างรหัสโค้ด Color QR Code นั้นไม่ใช่ว่านึกอยากจะสร้างสีอะไรก็สร้าง แต่จะต้องสื่อความหมาย เช่น สีประจำโลโก้ สัญลักษณ์ของบริษัท หรือบนการ์ดอวยพรช่วงคริตมาสก็จะเป็นสีแดงกับเขียว

ดังนั้นความเข้มของสีในการพิมพ์ Color QR Code จึงมีความแตกต่างจากขาวดำตรงที่พรินเตอร์ที่ใช้ กระดาษที่ใช้ ก็มีผลกับสีด้วยเช่นกัน ดังนั้นการพิมพ์แบบสีอาจจำเป็นต้องเข้มงวดในเรื่องของการพิมพ์เพราะมีผลกับ ความผิดพลาดในการสแกนและอ่านโค้ด

เรียก ได้ว่า CQ Code และ Color C Code ต่างก็เป็นรหัสโค้ดแบบใหม่ที่ตอบสนองการทำการตลาดและใช้ประโยชน์ในเชิง ธุรกิจ การตลาด การบริการ และโฆษณา ผู้บริโภคปรับตัว ผู้ผลิต นักการตลาด นักโฆษณาควรรู้ไว้เพื่อปรับตัวให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาดครับ

ภาพประกอบและเรียบเรียงเนื้อหาจาก

http://2d-code.co.uk/color-code-technologies/
http://www.japantrends.com/tada-gets-qr-code-only-print-magazine/
http://marco.kaywa.com/work/color-matters.html
http://eurotechnology.japan.blog
http://www.qrcode.es/?p=93&language=en
http://www.denso-wave.com/qrcode/aboutqr-e.html
http://www.madox.net/blog/2009/06/18/a-little-bit-of-qr-code-colour-loving/
http://interlinkone.com/tag/design/

ที่มา http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000024807

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ฟางมีค่ากว่าทองคำ

ฟางมีค่ากว่าทองคำ

เคล็ดที่(ไม่)ลับบนความสำเร็จของการทำกสิกรรม ธรรมชาติ ในยุคที่ประเทศไทย กำลังอยู่ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ฟางคือชิ้นส่วน ของต้นข้าว ที่ชาวนาเก็บเกี่ยว เอาเมล็ดข้าวเปลือกไปแล้ว ส่วนมากชาวนาเผาทิ้ง การเผาฟางทิ้ง เป็นการสูญเสีย ทรัพยากรในประเทศ โดยเปล่าประโยชน์ เคยมีผู้รู้ และผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่ง กล่าวเปรียบเปรยเอาไว้ว่า

ผู้ใดเผาฟาง ผู้นั้นกำลังเผาธนบัตร ฉบับละ ๑๐๐ บาท ฉบับละ ๕๐๐ บาท จำนวนมาก ของตนเองทิ้ง

ฟัง ท่านพูดดูเหมือนจะสมเหตุสมผลมากที่สุด เพราะฟางมีประโยชน์มากมาย นับอนันต์จริงๆ โดยเฉพาะ เป็นปัจจัยพื้นฐาน ในการบำรุงดิน และสิ่งแวดล้อม ให้เกิดความอุดมสมบูรณ์

ประโยชน์ของฟาง
๑. เป็นหัวปุ๋ยชั้นดี ฟางอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส และไนโตรเจน ฯลฯ ถ้าหากเรานำฟาง ไปคลุมดิน จะทำให้พืชผัก เจริญเติบโต แข็งแรง ทนต่อศัตรูพืชได้เป็นอย่างดี ท่านที่ไม่ชอบฟาง อาจทำให้ระคายผิวบ้าง จึงหันไปใช้มูลวัว มูลควายแทน ท่านเคยสังเกตไหมครับว่า วัวควายกินอะไรพวกมันกินหญ้า กินฟาง ก็นำไปบำรุงร่างกาย ของมันทั้งหมด ส่วนที่เหลือ ก็ขับถ่ายออกมา ซึ่งเป็นกากเดนของฟาง ประโยชน์ก็มีน้อย จึงมีผู้เปรียบเทียบเอาไว้ว่า มูลวัวมูลควาย ๑๐ ส่วน จึงจะเท่าฟาง ๑ ส่วน หรือเปรียบเทียบ ให้ชัดเจนเข้าไปอีกว่า ฟางเปรียบเหมือนรถมือหนึ่ง หรือรถใหม่ มูลวัวมูลควาย เปรียบเสมือน รถมือสอง ท่านจะเลือกเอาอะไร ฟางเป็นส่วนหนึ่ง ของแม่โพสพ (ข้าว) นอกจากฟางแล้ว ยังมีแกลบ รำ ละอองข้าว (คายข้าว) ทั้งหมดคือผลผลิต ที่ออกมาจากข้าว เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อดิน และมนุษย์เป็นอย่างมาก ถ้าหากชาวไร่ชาวนา หันมาใช้วัตถุดิบเหล่านี้ แทนปุ๋ยเคมีแล้ว จะทำให้ ประเทศไทย ไม่ต้องสั่งซื้อปุ๋ยเคมี จากต่างประเทศ ซึ่งทำให้เราขาดดุลการค้า อย่างมากมายมหาศาล

๒. ฟางช่วยปรับโครงสร้างของดิน ที่เป็นกรดหรือเป็นด่าง ให้เกิดความสมดุล ในตัวของมันเอง ดินที่เป็นกรด (Acid Soils) หมายถึง ดินที่มีค่า PH ต่ำกว่า ๗.๐ ดินที่เป็นด่าง (Alkaline Soils) หมายถึง ดินที่มีค่า PH สูงกว่า ๗.๐ ไม่ว่าดินจะเป็นกรดหรือเป็นด่าง ถ้าหากท่านเอาฟาง ไปคลุมดินไว้ สิ่งเหล่านี้ จะค่อยๆ หายไปเองทันที ช่วยรักษา หน้าดิน ตามธรรมชาติของดิน ถ้าหากไม่มีอะไรปกคลุม หรือกั้นเอาไว้ หน้าของดิน จะเสื่อมสลาย และสูญเสีย ไปกับสายลม น้ำและแสงแดด ซึ่งจะทำให้ดิน เป็นดินด้าน อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าหากเรานำฟาง ไปคลุมดินเอาไว้ จะทำให้เกิด ชั้นหน้าดินอีกทีหนึ่ง ช่วยคลุมหญ้า และวัชพืชต่างๆ เมื่อเรานำฟาง ไปคลุมหญ้า และวัชพืชหนา พอสมควร โดยไม่ให้อากาศ หรือแสงแดด ส่องถึงพื้นดิน จะทำให้หญ้า และวัชพืชเน่า เป็นปุ๋ยหมัก ตามธรรมชาติ อย่างดี หลังจากนั้น เราก็จะสามารถแหวกฟาง ออกปลูกพืชผักต่างๆ ได้โดยไม่ต้องออกแรงมากนัก ฟางรักษาความชื้น ให้แก่ดิน เป็นการสร้างดินให้มีชีวิต

๓. สร้างระบบนิเวศ ถ้าหากเราทำกสิกรรมที่ใช้ฟางเป็นหลัก จะทำให้ประหยัดน้ำมากขึ้น ช่วยให้เกิด วัฏจักรชีวิตของสัตว์ ที่มีประโยชน์ต่อดิน ตามธรรมดาดินที่ว่างเปล่า หรือดินโล้น จะเป็นดินป่วยดินดาน ดังนั้น ถ้าหากเราปลูกพืชลงไป พืชผักก็จะอ่อนแอ ไม่เจริญเติบโต ศัตรูของพืช ก็จะมาทำลาย แต่ดินที่คลุมด้วยฟาง จะเป็นดินที่ร่วนซุยเพราะไส้เดือน จุลินทรีย์และสัตว์ต่างๆ ช่วยกันพรวนดิน ดินที่คลุมด้วยฟาง ก็จะเป็นอาณาจักร ของสัตว์ต่างๆ เพราะระบบนิเวศวิทยาอุดมสมบูรณ์ เช่น คางคก แย้ จิ้งเหลน แมงมุม ฯลฯ การระบาด ของแมลงศัตรูพืช ก็จะค่อยๆ หายไป โดยที่เราไม่ต้องไปใช้ สารขับไล่แมลง ดังนั้น การทำลายชีวิต ของสัตว์ต่างๆ ในไร่นา นอกจากจะผิดศีลธรรม ตามหลักของพระพุทธศาสนาแล้ว ยังเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม ที่เราอาศัยอยู่ให้เสื่อมลงไป อย่างน่าเสียดายเป็นที่สุด

ถ้าหากเรานำไปคลุมสวนผัก ของเราทุกๆ ปี จะเกิดความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ พืชผักนานาชนิด จะเกิดขึ้น โดยที่เราไม่ต้องไปดูแล ประคบประหงม มากนัก ยิ่งไปกว่านั้น จะเกิดเห็ดต่างๆ โดยเฉพาะเห็ดฟาง ให้เราได้มีอยู่ มีกินทั้งปี ดังนั้น จึงขอเชิญชวน ให้พวกเรา เห็นความสำคัญของฟาง เมื่อเห็นกองฟาง หรือเส้นฟาง จงระลึกอยู่เสมอว่า นี่คือทองคำ หรือทรัพยากรอันมีค่า และนำไปใช้ ให้เกิดประโยชน์สูง ประหยัดสุด เพื่อประโยชน์ตน และผู้อื่น ในโอกาสต่อไป อีกอย่างหนึ่ง การทำกสิกรรมธรรมชาติด้วยฟาง ควรเริ่มทำในพื้นที่ ขนาดเล็ก ไปหาพื้นที่ขนาดใหญ่ หรือทำในสิ่งที่ใกล้ๆ ตัวไปสิ่งที่อยู่ไกลตัว พยายามปลูกพืชผัก ที่ปลูกง่าย ไปหาผักที่ปลูกยาก หรือ ถ้าคิดอะไรไม่ออก ขอบอกให้ปลูก พืชตระกูลถั่ว เราจะประสบ ผลสำเร็จในที่สุด

พืชตระกูลถั่ว
ถ้า พูดถึงพืชตระกูลถั่วแล้ว ประเทศไทยเรามีถั่วหลายร้อยชนิด เริ่มตั้งแต่พืชตระกูลถั่ว ที่ใหญ่ที่สุด เช่น มะแต้ มะค่า มะขามเทศ จามจุรี จนถึงพืช ตระกูลถั่ว ที่เล็กที่สุด เช่น ถั่วมะแฮะ ถั่วเขียว ถั่วพร้า ถั่วขอ พืชตระกูลถั่วเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อดิน เป็นอย่างมาก ถ้าหากเรารู้ และสามารถนำมาใช้ เป็นปุ๋ยบำรุงดินแล้ว ปุ๋ยเคมี ก็จะไม่มีประโยชน์ ต่อเราเลย

ประโยชน์และคุณสมบัติของพืชตระกูลถั่ว
๑. ให้แร่ธาตุไนโตรเจนจำนวนมาก ๗๐-๗๘%
๒. เมื่อเราปลูกถั่ว คลุมด้วยฟาง จะได้แร่ธาตุ NPK ครบสมบูรณ์
๓. ป้องกันศัตรูของพืชและโรคระบาดได้เป็นอย่างดี
๔. เป็นอาหารที่ให้โปรตีนแก่มนุษย์เป็นอย่างมาก โดยที่เราไม่ต้องไปกินเนื้อสัตว์ต่างๆ
๕. ใช้เป็นพืชปลูกคลุมดินและหญ้าชั้นเยี่ยม ควรปลูกปลายฤดูร้อน ต้นฤดูฝน ซึ่งในฤดูกาลนี้ วัชพืชและหญ้าจะมีไม่มากนัก ถั่วที่คลุมดินได้ดี มีประสิทธิภาพ ปราบหญ้าได้อย่างดีเยี่ยม คือ ถั่วขอ ถั่วพร้า

ปุ๋ยเคมีคืออะไร
ปุ๋ย เคมี คือ ปุ๋ยที่มีต้นกำเนิดจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตหรืออนินทรียสาร เมื่อเกษตรกรปลูกพืช และใส่ปุ๋ยเคมีลงไป พืชจะดูดสารเหล่านี้ เข้าไปใช้ เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนที่เหลือ ก็จะเป็นสารพิษ ตกค้างในดินและน้ำ กลายเป็นมลภาวะ ต่อมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม ในที่สุด การใช้ปุ๋ยเคมี ติดต่อกัน เป็นเวลานาน จะทำให้โครงสร้าง ของดินเสียไป ดินจะกลายเป็นดินด้าน ดินดาน ดินตาย

ดินไม่มีชีวิตชีวา (ดินป่วย) เมื่อปลูกพืชผักในดินเหล่านี้ พืชผักจะไม่ค่อยแข็งแรง แมลงและศัตรูของพืช ก็จะเข้ามา ทำลาย พืชผักทันที ดินป่วย ปลูกพืชผักก็จะป่วย คนกินผักที่ป่วย ก็จะกลายเป็นคนป่วย สุขภาพไม่แข็งแรง สุดท้ายก็ไปหาหมอ เพื่อเยียวยารักษา ซึ่งเป็นการแก้ปัญหา ที่ปลายเหตุ ดังนั้น เราต้องมาเป็นหมอให้ตัวเอง โดยการเลิก ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี หันกลับมาใช้ฟาง และถั่วเป็นพืชบำรุงดิน สุขภาพกาย และจิตของเรา จะดีถ้วนหน้า

เงินทองเป็นของมายา พืชผักนานาเป็นของจริง

ทำอย่างไรจึงจะเขียวตลอดปี
ใน หนึ่งปีถ้าหากคิดเป็นเดือน มีอยู่ ๑๒ เดือน ถ้าคิดเป็นวันมี ๓๖๕ หรือ ๓๖๖ วัน แบ่งออกเป็น ๓ ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว พืชผักแต่ละชนิด จะเติบโตแตกต่างกันไป องค์ประกอบสำคัญ ที่จะทำให้พืชผัก เจริญเติบโต แข็งแรงนั้นคือ คน ดิน น้ำ อากาศ ในบรรดาสิ่งเหล่านี้ ถ้าหากจะจัดลำดับ ความสำคัญแล้ว คนสำคัญที่สุด ดินจะดี น้ำจะใสสะอาด อากาศจะปลอดโปร่ง ขนาดไหนก็ตาม ถ้าหากคนไม่รัก ไม่ศรัทธาในอาชีพนี้แล้ว ก็ยากจะประสบ ผลสำเร็จได้

ถามว่า อะไรเป็นตัวแปรที่จะทำให้พืชผักเจริญเติบโตแข็งแรง หรือไม่เจริญเติบโต

คำ ตอบ อากาศเป็นตัวแปรสำคัญที่สุด พืชผักบางชนิดชอบอากาศหนาว บางชนิดชอบอากาศร้อน บางชนิด ชอบอากาศอบอุ่น ดังนั้น ถ้าหากเราศึกษา พฤติกรรมการเจริญเติบโต ของพืชแต่ละชนิด ให้ละเอียดแล้ว การปลูกผัก ไร้สารพิษ ที่พวกเรากำลังท้อแท้ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ยาก เกินไปนัก

อีก ประการหนึ่ง สิ่งที่เราน่าจะศึกษาเรียนรู้ และปรับตัวเอง ให้เข้ากับสิ่งเหล่านี้คือ ศัตรูของพืช และแมลงต่างๆ ที่จริงสัตว์เหล่านี้ ไม่ใช่เป็นสัตว์เลวร้าย ที่จะต้องปราบ หรือกำจัดมัน ด้วยสารเคมี และยาฆ่าแมลง ที่รุนแรงเสมอไป แมลงเป็นสัตว์ที่ ไม่มีกระดูกสันหลัง สมองนิดเดียว มีมากในฤดูฝน ฤดูร้อนจะวางไข่เป็นตัวหนอน ดังนั้น แมลง ในฤดูร้อน จึงมีน้อย ถ้าเราหมั่นศึกษา สิ่งเหล่านี้ และ ปรับวิถีชีวิตของเรา ให้เข้ากับธรรมชาติแล้ว คำว่า ไร้สารพิษ และ เขียวตลอดทั้งปี ก็จะเป็นสิ่งที่ไม่ไกลเกินคิด เกินหวังจนเกินไป

หมาย เหตุ ฤดูร้อนจะมีเพลี้ยต่างๆมาก ฤดูฝนจะมีแมลงมาก โดยเฉพาะ ปลายฤดูฝน แมลงจะเตรียมตัววางไข่ ฤดูหนาว จะมีเพลี้ย และแมลงน้อย ดังนั้น ชาวไร่ชาวนา จะนิยมปลูกพืช หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว

อุดม ศรีเชียงสา

ที่มา http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=10271.16

พอเพียง........

มีเงินนับแสนล้าน แต่ใช้จริงวันละไม่ถึง ๑๐๐ บาท
มีไปทำไม ?

มีบ้านใหญ่โตเหมือนกับวัง แต่อยู่กันแค่ ๔ คนพ่อแม่ลูก
มีไปทำไม ?

มีรถนับสิบคัน แต่ใช้งานจริงแค่คันเดียว
มีไปทำไม ?

มีเตียงใหญ่โตมโหฬาร แต่นอนเพียงแค่เต็มแผ่นหลัง
มีไปทำไม ?

มีนาฬิกาแสนแพง แต่ไม่เคยทำอะไรตรงเวลา
มีไปทำไม ?

มีเวลาอยู่ในโลกไม่ถึงร้อยปี แต่กลับแบ่งเวลาไปริษยาคนอื่น
ทำไปทำไม ?

มีกฎหมายนับพันมาตรา แต่มีอาชญากรอยู่เต็มเมือง
มีไปทำไม ?

มี ส.ส. อยู่เต็มสภา แต่มาประชุมไม่เคยครบเลย
มีไปทำไม ?

มีพ่อแม่อยู่ที่บ้าน แต่ไม่เคยปรนนิบัติท่านเลย
มีไปทำไม ?

มีอำนาจอยู่เต็มมือ แต่ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลย
มีไปทำไม ?

มีภรรยาแสนดี แต่ไม่เคยแบ่งเวลาให้เธอเลย
มีไปทำไม ?

มีลูกแสนน่ารัก แต่ไม่เคยโอบกอดลูกเลย
มีไปทำไม ?

มีพระไตรปิฎกอยู่เต็มตู้ แต่ไม่เคยเปิดออกมาศึกษาเลย
มีไปทำไม ?

มีวัดอยู่แทบทุกหมู่บ้าน แต่ศีลธรรมของสังคมอยู่ลงทุกวัน
มีไปทำไม ?

มีรองเท้าเป็นพันคู่ แต่ใส่จริงแค่วันละคู่
มีไปทำไม ?

มีพี่น้องนับสิบคน แต่แตกสามัคคีกันทุกคน
มีไปทำไม ?

มีมือมีเท้าสมบูรณ์ แต่ไม่เคยลงแรงทำอะไรเลย
มีไปทำไม ?

มีหูอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยฟังธรรมเลย
มีไปทำไม ?

มีตาอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยมองหาสิ่งที่ดีเลย
มีไปทำไม ?

มีเท้าอยู่อยู่สองข้าง แต่ไม่เคยเดินเข้าหาโอกาสเลย
มีไปทำไม ?

มีปัญญาอยู่กับตัว แต่กลับใช้อารมณ์เป็นใหญ่
มีไปทำไม ?

.....ว.วชิรเมธี