วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การใช้ Secure Shell ในการเข้าถึงระบบจากระยะไกล

ความรู้ใหม่ๆครับ

What are SSH, SFTP and SCP?

Secure Shell (SSH) เป็นโพรโตคอลในการสร้างการติดต่อเพื่อเข้าใช้งานระบบอย่างปลอดภัยมากกว่าการติดต่อแบบเดิมๆ ที่มีการส่งข้อมูลเป็นเพียงตัวอักษรเปล่าๆ (Plain text) โดยที่โพรโตคอลดังกล่าวจะทำการเข้ารหัสข้อมูลทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น ชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน หรือข้อมูลอื่นๆ ก่อนที่จะทำการส่งไปยังเครื่องเซิร์ฟเวอร์ โดยปกตินิยมนำ SSH มาใช้งานแทน telnet เพราะมีความปลอดภัยมากกว่า

Secure File Transfer Protocol (SFTP) เป็นโพรโตคอลที่นำมาใช้แทน FTP โดยจะเป็นส่วนหนึ่งของ SSH ซึ่งจะมี sftpserv เป็นโปรแกรมที่รันอยู่ที่ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ รอรับการติดต่อจากไคลเอ็นต์ผ่านทางคำสั่ง sftp บนระบบปฏิบัติการ linux และในระบบปฏิบัติการ Windows ก็มีโปรแกรมที่จะใช้สำหรับติดต่อและโอนถ่ายข้อมูลกับเซิร์ฟเวอร์ผ่าน SSH ด้วย เช่น SecureFX และ SSH Secure Shell Client เป็นต้น

Secure Copy (SCP) เป็นวิธีการหนึ่งในรับส่งข้อมูลข้ามระบบเครือข่าย โดยมีลักษณะเป็นการคัดลอกข้อมูลระหว่างเครื่อง 2 เครื่อง และอาศัยโพรโตคอล Secure Shell เช่นเดียวกับ SFTP ซึ่งจะแตกต่างกันที่ SFTP จะต้อง Login เข้าไปที่ระบบก่อนแล้วจึงสามารถที่จะรับส่งไฟล์ได้ แต่ SCP นั้นจะป้อนรหัสผ่านทุกครั้งที่ทำการรับส่งไฟล์

Why Use SSH?

วิธีการส่วนมากที่ผู้โจมตีใช้กันคือการดักขโมยข้อมูลระหว่างไคลเอ็นต์และเซิร์ฟเวอร์ผ่านทางโพรโตคอล telnet ซึ่งข้อมูลที่ดักได้อาจจะเป็นชื่อที่ใช้ Login และรหัสผ่าน ที่ไม่ได้ถูกเข้ารหัสไว้ โดยใช้โปรแกรมประเภท Sniffer ทั่วๆไป ดังรูปที่ 1 และถ้าเกิดกรณีที่ผู้โจมตีดักขโมยชื่อผู้ใช้คือ root และรหัสผ่าน ความเสียหายที่ตามมาอาจจะมากจนเกินที่จะแก้ไขได้

ดังนั้นวิธีแก้ไขคือ ยกเลิกการใช้โพรโตคอล telnet โดยใช้โพรโตคอล SSH แทน และใช้ SFTP แทนโพรโตคอลของ FTP ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยจากการถูกดักข้อมูลขณะทำการส่ง ดังรูปที่ 2

รูปที่ 1 แสดงผลจากการใช้ telnet ในการทำ remote access ไปยังเซิร์ฟเวอร์และผู้โจมตีสามารถดักข้อมูลได้

รูปที่ 2 แสดงผลจากการใช้ ssh จะสังเกตว่ารหัสผ่านที่ส่งจากไคลเอ็นต์นั้นจะถูกเข้ารหัสไว้

ถ้าใช้ระบบปฏิบัติการ Windows จะมีโปรแกรมที่ใช้ในการทำ Remote Login หลายโปรแกรมยกตัวอย่างเช่น

PuTTY เป็นซอฟต์แวร์ฟรี ที่มีความสามารถในการทำ Remote Login และยังมีโปรแกรมที่อาศัยโปรโตคอล SSH ด้วยเช่น PSFTP (ใช้ในการรับส่งไฟล์ผ่าน Secure Shell) PSCP (ใช้ในการคัดลอกไฟล์ผ่าน Secure Shell) เป็นต้น ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ที่ http://www.chiark.greenend.org.uk/~sgtatham/putty/download.html

SSH Secure Shell Client เป็นซอฟต์แวร์ฟรี ที่มีทั้งฟังก์ชันของ Secure command-shell และ SFTP สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ดังกล่าวได้ที่ http://www.ssh.com
WinSCP เป็นซอฟต์แวร์ฟรีสำหรับ Secure Copy สามารถดาวน์โหลดได้ที่ http://winscp.vse.cz/eng/download.php

ที่มา http://www.thaicert.org/paper/basic/Secure_Shell.php

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ทำไม้ต้องแบ่ง Zone DVD ??

สงสัยมานานแล้ว ได้โอกาสหาซักทีนึง..

เมื่อแต่ก่อน ประมาณ 20 ปีที่แล้วเป็นต้นมา เราจะรู้จัก VCD
และอีก 10 ปี (โดยประมาณ) ตั้งแต่รู้จัก VCD เราก็เริ่มได้ยินคำว่า DVD อีก

VCD กับ DVD จะใช้การเข้ารหัสแตกต่างกัน VCD ใช้ Mpeg-1 ส่วน DVD ใช้ Mpeg-2

อันเนื่องมาจากลิขสิทธิ์ของหนัง (ละไว้ในฐานที่เข้าใจนะครับ)

หนังในระบบ VCD เค้าพยายามที่จะเข้ารหัสป้องกันการก็อปปี้เช่นไร ก็ถูกถอดได้เสมอมา

เมื่อ ถึงยุค DVD เค้าก็ยังพยายามต่อไปที่จะป้องกันฯ หนังที่ผลิตใส่สื่อทั่วโลก บางครั้งก็จะออกมาไม่พร้อมกัน ณ เวลาเดียวกัน ก็เป็นแนวคิดที่จะจำกัดโซนสำหรับ DVD ขึ้นมา

หมายความว่า แผ่น DVD โซนไหนก็ต้องใช้งานภายในโซนนั้น (ผลิตเครื่องเล่นให้ใช้ได้เฉพาะโซน)
จะทำให้หนังจากโซนหนึ่ง ไปเล่นกับเครื่องเล่นอีกโซนหนึ่งไม่ได้
โดยคิดว่านี่เป็นไอเดียป้องการการละเมิดได้ดีแล้ว

แต่ ผมว่าไม่ถูกต้องเท่าไหร่ครับ (มีความเห็นเหมือนฝรั่งหลายๆคน) การที่ผมอยากดูภาพยนตร์เร็วกว่าคนในสยามคนอื่น โดยการสั่งซื้อหนังข้ามทวีปมาดูไม่ได้เชียวหรือ ?

นั่นแหละครับจึงมีคนคิดซอฟท์แวร์ปลดล็อคโซนแผ่น DVD ขึ้นมาเพื่อให้เล่นได้กับเครื่องเล่นทุกโซน (All Zone)

จริงๆ แล้ว หนังมันก็อยู่ของมันในแผ่นแหละครับ แต่เครื่องเล่นเราเล่นแผ่นโซนของเค้าไม่ได้ ก็เพราะติดตัวล็อคโซนเท่านั้น เมื่อปลดล็อคไปเป็น All Zone ก็เล่นได้กับเครื่องเล่นทุกเครื่องที่มีอยู่บนโลกนี้ได้ ( คือเราต้องก็อปปี้ขึ้นมาอีก 1 แผ่นนะครับ)

แต่ก็เกิดปัญหา ภาพที่เราดูมันไม่เต็มจอภาพบ้าง เหลือแคบๆบ้าง ...
เหตุเพราะเนื่องมาจากแต่ละประเทศใช้สัญญาณภาพที่แตกต่างกัน บ้านเราโดยฟอร์แมทพื้นฐานก็ PAL ครับ
(อัน นี้ใครทำหนังเช่น เอา Video CD มารวมๆไว้ในแผ่น DVD 1 แผ่นให้บรรจุหนังให้ได้เวลานานๆ ก็จะทราบดี เวลาสร้างงาน โปรแกรมถามว่าให้ Output โซนไหน ถ้าระบุ โซน3 โปรแกรมก็จะเปลี่ยนระบบให้เป็น PAL ทันที)

DVD Zone มีอะไรบ้าง

  1. Zone 1 - อเมริกาเหนือ แคนาดา
  2. Zone 2 - ยุโรป ญี่ปุ่น
  3. Zone 3 - เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกาหลีใต้ ฮ่องกง ไต้หวัน รวมถึงประเทศไทยด้วย
  4. Zone 4 - อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เม็กซิโก
  5. Zone 5 - มองโกเลีย รัสเซีย แอฟริกา เกาหลีเหนือ
  6. Zone 6 - จีน

การ เลือกซื้อเครื่องเล่น DVD ควรเลือกซื้อเครื่องเล่นที่สามารถเล่นได้ทุก Zone หรือที่เราเรียกว่า "All Zone" ทั้งนี้จะได้สามารถเปิดแผ่นได้จากทุกโซน แต่ความเป็นจริงแล้วเครื่องเล่นที่สามารถเล่นได้แบบ All Zone นี้ยังถือว่าเป็นเรื่องผิดกฏหมายอยู่ครับ..


Region codes and countries

Region code Area
0 Informal term meaning "worldwide". Region 0 is not an official setting; discs that bear the region 0 symbol either have no flag set or have region 1–6 flags set.
1 Canada, United States; U.S. territories; Bermuda
2 Western Europe, incl. United Kingdom, and Central Europe; Western Asia; including Iran, Israel and Turkey, Egypt; Japan, South Africa, Swaziland, Lesotho; French overseas territories
3 Southeast Asia; South Korea; Taiwan; Hong Kong; Macau
4 Mexico, Central and South America; Caribbean; Australia; New Zealand; Oceania;
5 Ukraine, Belarus, Russia, Continent of Africa, excluding Egypt, South Africa, Swaziland, and Lesotho; Central and South Asia, Mongolia, North Korea.
6 People's Republic of China, Hong Kong
7 Reserved for future use (found in use on protected screener copies of MPAA-related DVDs and "media copies" of pre-releases in Asia)
8 International venues such as aircraft, cruise ships, etc.[1]
ALL Region ALL discs have all 8 flags set, allowing the disc to be played in any locale on any player.



ที่มา
http://www.coverdd.com/general/t3682/
http://www.it-guides.com/index.php/technology-updated/244-zone-dvd
http://en.wikipedia.org/wiki/DVD_Region

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Bitrate คืออะไร

Bitrate คืออะไร คือจำนวน bit ที่ถูกประมวลผลไปในหนึ่งหน่วยเวลา โดยตามปกติและใช้หน่วยวินาที เพราะฉะนั้นก็จะมีหน่วยเป็น bits per second (bit/s or bps) หรือมีการใช่คำอุปสรรคเข้าไปข้างหน้าเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจเช่น kilo- (kbit/s or kbps), mega- (Mbit/s or Mbps), giga- (Gbit/s or Gbps) หรือ tera- (Tbit/s or Tbps)

วีดีโอบิทเรท
* 128 – 384 kbit/s – คุณภาพระดับ วีดีโอบนอินเทอร์เนท
* 1.25 Mbit/s – คุณภาพระดับ VCD
* 5 Mbit/s – คุณภาพระดับ DVD
* 15 Mbit/s – คุณภาพระดับ HDTV
* 36 Mbit/s – คุณภาพระดับ HD DVD
* 54 Mbit/s – คุณภาพระดับ Blu-ray Disc

จาก ข้างต้นจะเห็นได้ว่าถ้ามี bitrate มากก็จะได้ภาพที่ดีขึ้น แต่ก็ใช้พื้นที่ในการเก็บมากขึ้นด้วย จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาสื่อชนิดใหม่ๆขึ้นมาเพื่อเพิ่มความจุในการจัดเก็บ ครับ

ดูตารางเปรียบเทียบครับ


รวบรวมและเรียบเรียงโดย Vodavoda@ThaiDVD.net

ที่มา http://forum.thaidvd.net/index.php?showtopic=74970

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

LED TV เทคโนโลยีใหม่ของ LCD?



จริงๆแล้ว ไม่ไม่ใช้ technology LED แบบเพียวๆเหมือนที่เราเข้าใจกันนะ ลองมาดูกันว่ามันเป็นอย่างไร

Samsung ได้เริ่มวางจำหน่ายจอ LCD TV และทำตลาดโดยใช้ชื่อ LED TV ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสับสนในหมู่ผู้บริโภคพอสมควร เมื่อเห็นหุ่นบางๆ และป้ายโฆษณาว่าเป็น LED TV ในครั้งแรกยังเกือบเชื่อว่าเป็น LED Panel จริงๆ แต่เมื่อมาดูกันอย่างจริงจัง แล้วก็พบว่าเป็นการใช้หลอด LED แทนการใช้หลอด CCFL (Cold Cathode) หน้าจอนั้นก็ยังคงใช้ LCD แบบเดิมอยู่


ในการยิงแสงสว่างให้กับผลึก LCD นั้นมีผลดีดังนี้

  1. ช่วยเพิ่ม contrast ให้กับภาพที่แสดงบน panel ซึ่งทำให้มันแสดงรายละเอียดต่างๆ ได้ดีขึ้น

  2. โดยเฉพาะในฉากที่มีภาพมืดๆ หรือฉากที่มีความสว่างของวัตถุที่อยู่ในภาพหลายๆ ระดับ (เช่นภาพหิมะในเวลากลางคืน) หรืออาจกล่าวโดยสรุปว่า แสงที่ยิงจากหลอด LED จะช่วยทำให้จอ LCD สามารถแสดงภาพที่ดูมีมิติมากขึ้นนั่นเอง

  3. ช่วยให้ LCD Panel สามารถแสดงสีสันที่มากขึ้น กว้างขึ้น (wider color gamut) ซึ่งทำให้ภาพที่ได้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น

  4. ทำให้ผู้ผลิตสามารถผลิตจอที่มีมีขนาดบางลง และปล่อยความร้อนน้อยลงในขณะที่จอทำงาน

  5. ช่วยลดต้นทุนในการผลิต และช่วยประหยัดพลังงาน สอดคล้องกับกระแสรักษ์โลกในปัจจุบัน

ความจริงแล้ว Edge-lit-LED LCDTV ไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ในวงการ LCD แต่อย่างใด เพราะจอ laptop computer ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ส่วนใหญ่ก็ใช้เทคนิคการยิงแสงไฟจากขอบทั้งสี่ด้าน ของจอเช่นเดียวกัน สิ่งที่เป็นอุปสรรค (หรือความท้าทาย) ต่อการผลิตจอ LCD ที่ใช้เทคนิคการยิงแสงจากด้านข้างคือการทำให้แสงสว่างเท่ากันทั้งจอ แต่ เทคโนโลยีการผลิตในปัจจุบันก็สูงพอที่จะทำให้อุปสรรคเหล่านั้นกลายเป็น เรื่องในอดีตไปเสียแล้ว

คุณสมบัติที่ Contrust สูง ลดการใช้พลังงานหน่อย และเมื่อมองดูด้านข้า บางเฉียบ เพียงแค่นี้ก็ทำให้คนมีเงินหลายคนตื่นเต้นไปกับคำโฆษณา ว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด แท้จริงแล้วก็ยังคงเป็นของเดิมๆ นั่นเอง แต่ความบางนี้ ต้องแลกกับราคาที่แพงขึ้นเกือบ 1 เท่า ซึ่งผู้ซื้อต้องเลือกเองว่า ต้องการแลกหรือไม่

ที่มา http://202.129.59.73/nana/beyond/ledtv/ledtv.htm

เทคนิคการผ่อนคลายสถานการณ์ความขัดแย้ง

เทคนิคการผ่อนคลายสถานการณ์ความขัดแย้ง
ตัวเองยังทำไม่ได้เลย อิอิ เอาไว้เตือนตัวเอง

เชื่อว่าหลายคนคงต้องเคยผ่านเหตุการณ์การทะเลาะกับคนรอบข้างมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกับเพื่อน คนในครอบครัว หรือคนรัก คุณมีวิธีการรับมือกับเหตุการณ์นั้นอย่างไรกันบ้างคะ วันนี้เรามีเทคนิคง่ายๆ มาฝากกันค่ะ

1. รับฟังและไม่ขัดจังหวะ
เชื่อเถอะว่าไม่มีใครชอบที่จะถูกขัดจังหวะในขณะที่เขาพูดหรอก ลองเปลี่ยนบทบาทเป็นฝ่ายนั่งฟังเขาพูดตั้งแต่ต้นจนจบๆ ดูสิ นอกจากเขาจะรู้สึกที่ดีที่คุณรับฟังแล้วยังจะช่วยลดอารมณ์ร้อนในตัวเขาให้ เย็นลงได้อีกด้วยนะ

2. ทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด
นอกจากการรับฟังแล้วสิ่งที่คุณควรทำต่อมา คือ พยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แม้ว่ามันจะดูไม่มีเหตุผลก็ตาม แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเขารู้สึกว่าคุณเข้าใจเขา การทะเลาะก็ย่อมจะจบลงเร็วกว่าที่คุณคิดไว้แน่นอน

3.เก็บถ้อยคำอันร้ายกาจไว้
บ่อยครั้งในยามโมโหเรามักจะลืมตัวหลุดถ้อยคำที่ไม่ทันคิดออกไป แล้วก็ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง อย่าปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับคุณเชียว เพราะเมื่อพูดไปแล้วมันก็เป็นการยากที่จะเรียกคำนั้นกลับคืนมา ทำใจเย็นๆ และเตือนสติตัวเองทุกครั้งก่อนที่จะปล่อยถ้อยคำรุนแรงออกไป เรื่องที่ว่าแย่ จะได้ไม่ดูแย่ไปกว่านี้ไงล่ะคะ

4. ลืมอดีตซะบ้าง
อดีตก็คืออดีต ปล่อยมันทิ้งไปซะ เพราะหากว่าคุณยังจมอยู่กับเรื่องราวความผิดพลาดในครั้งก่อนๆ แล้วหยิบมาโต้แย้งในยามที่ทะเลาะกัน นอกจากจะทำให้คุณไม่สามารถแก้ปัญหาของคุณกับเขาได้แล้วยังจะทำให้การทะเลาะ บานปลายขึ้นไปอีก ให้นึกซะว่าไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด ให้โอกาสเขาได้ปรับปรุงตัว และทำลืมๆ ที่จะพูดถึงมันย่อมจะดีกว่านะ

5. เรียนรู้ที่จะประนีประนอม
ลองเปลี่ยนมาใช้วิธีการประนีประนอมแทนการพยายามที่จะเอาชนะกันดู แล้วคุณจะพบว่าความขัดแย้งนั้นลดน้อยลงอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ถ้ายังมีบางสิ่งที่ยังไง๊ยังไงคุณก็ไม่เห็นด้วย ก็ให้ลองใช้วิธีพบกันครึ่งทาง คงไม่ทำให้คุณเสียศักดิ์ศรีเท่าไรหรอก

6. รับฟังความคิดเห็นของอีกฝ่าย
การโต้เถียงกันส่วนใหญ่มักเป็นการโต้เถียงที่ต้องการให้อีกฝ่ายเห็นด้วยกับ ความคิดของตน ซึ่งก็คงเป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะมีความคิดเห็นเหมือนกับคุณซะทุกเรื่องไป แม้ว่าคุณจะพยายามแล้วพยายามอีกที่จะอธิบายให้เขาคล้อยตามไปกับคุณ ในทางกลับกันถ้าคุณลองเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายรับเอาความคิดเห็นของเขามาทำความ เข้าใจ นอกจากคุณจะได้แสดงให้เขาเห็นถึงการรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นของคุณแล้ว ยังจะทำให้ลดปัญหาที่จะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งได้อีกต่างหาก

7. นึกถึงความสัมพันธ์อันดีเข้าไว้
บางครั้งอารมณ์ในยามทะเลาะกันมักทำให้คุณลืมเลือนความสัมพันธ์ของอีกฝ่าย ทิ้งไปชั่วขณะ โดยมุ่งแต่จะสรรหาถ้อยคำดุเด็ดเผ็ดร้อนมาโต้ตอบกันแทน ลองเปลี่ยนเป็นนำความสัมพันธ์อันดีที่เคยมีระหว่างเขากับคุณมานึกถึงเป็น อันดับแรกในยามที่ทะเลาะกันดูสิคะ ถึงจะดูเหมือนคุณต้องเป็นฝ่ายยอมเขา แต่มันก็จะดูมีค่ากว่าการต้องมานั่งทำร้ายจิตใจของกันและกันนะ

อ่านแล้วก็ลองนำไปใช้กันดูนะคะ ตอนนี้คุณอาจจะมองว่าไม่จำเป็นหรอก ก็ยังไม่ได้ทะเลาะกับใครนี่นา แต่เชื่อเถอะว่ามนุษย์เราก็ต้องมีซักครั้งที่จะต้องขัดใจกับคนรอบตัว ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร แต่ถ้าเรารู้วิธีที่จะรับมือกับเหตุการณ์นั้นแล้ว ต่อให้เหตุการณ์ร้ายแรงขนาดไหน คุณก็ย่อมจะผ่านไปได้อย่างสบายๆ เลยแหล่ะ

ที่มา http://forum.shytalayclub.com/viewtopic.php?pid=1178809#p1178809

อิ๊คคิวซัง แค่การ์ตูนหรือตำนานที่มีอยู่จริง ?


พักนี้สงสัยอะไรบ่อยแฮะ พอดู อิคคิวซัง ก็สงสัยอีก ฮ่าๆๆ

อิ๊คคิวซัง แค่การ์ตูนหรือตำนานที่มีอยู่จริง ?
หนึ่งใน 'การ์ตูนญี่ปุ่น' ที่ติดมานาน ย่อมมี 'อิ๊คคิวซัง' อยู่ด้วย
ชอบทั้ง 'อิ๊คคิวซัง.....จนถึง 'จะรีบไปไหนๆ..' รวมทั้งชอบ 'ปุจฉา' กับ 'วิสชันา' ที่ 'สอน' อะไรเรามากมาย อิ๊กคิวซัง' Ikkyu-san มีตัวตนจริงๆค่ะ
ท่านมีชื่อในวัยเด็กว่า 'เซนงิกามารุ' เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.1349 (พ.ศ.1892) เมืองซะกะโน ใกล้เมืองเกียวโต
'อิ๊คคิวซัง' มีพ่อเป็นจักรพรรดิฝ่ายเหนือ ส่วนมารดา ที่การ์ตูนเรียก 'ท่านแม่' ของเณรน้อย เป็นเจ้าหญิงในราชวงศ์ฝ่ายใต้ และถูกขับจากวังตั้งแต่อิ๊กคิวซังยังไม่คลอด
สาเหตุที่ 'ท่านแม่' ที่เป็นเจ้าหญิงถูกขับออกจากวัง เพราะถูกฝ่ายตรงข้ามใส่ร้ายป้ายสี 'ท่านแม่'ทรงให้'อิ๊กคิวซัง'บวชที่วัดอังโกะกุจิ เมื่ออายุ 6 ขวบ เพื่อหนีภัยการเมือง




วัดอังโกะกุจิ

ซึ่งเณรน้อยได้ฉายาตอนนั้นว่า 'ชูเคน'
เมื่อบวชเป็นเณร อิ๊คคิววังตั้งอกตั้งใจศึกษาพระธรรม และฉายแวว 'คนเจ้าปัญญา' มากขึ้นตามอายุ
เมื่ออายุประมาณ 10 ขวบ อิ๊กคิวซังแต่งกลอนวิพากษ์วิจารณ์ความประพฤติที่ไม่เหมาะสมของพระภิกษุนิกาย หนึ่ง ที่มีพฤติกรรมกอบโกยทรัพย์สิน หลงไหลยศฐาบรรดาศักดิ์บนความทุกข์ยากของชาวบ้าน
กระทั่งอายุได้ 13 ปี 'อิ๊คคิวซัง' จึงมีโอกาสเข้าพบแม่ทัพใหญ่ในยุคนั้น คือ 'อาซิคะงะโยชิมิสึ'
เป็นแม่ทัพคนเดียวกับที่ปรากฎในการ์ตูนคือ'ท่านโชกุน'นั่นเอง
เมื่ออายุได้ 17 ปี 'อิ๊กคิวซัง' ออกจากวัดอังโกะกุจิแล้วไปฝากตัวเป็นศิษย์ของ 'หลวงพ่อเคนโอ' ที่วัดไซกอนจิ พร้อมได้ฉายา 'โชจุน'
ที่วัดแห่งนี้ หลวงพ่อเคนโอ เน้นการปฏิบัติธรรม โดยพระและเณรในวัด ต้องทำงานหนัก และอยู่กับสิ่งสกปรกเสียส่วนใหญ่
เมื่อหลวงพ่อเคนโอมรณภาพ
'อิ๊กคิวซัง' จึงเดินทางไปวัดอิชิยามา และปฏิบัติธรรมด้วยการอดอาหาร 7 วัน 7 คืน พร้อมสวดมนต์อุทิศส่วนบุญส่วนกศลให้อาจารย์ต่อหน้าพระโพธิสัตว์
มีเรื่องเล่ากันว่า การมรณภาพของหลวงพ่อเคนโอ ทำให้อิ๊คคิวซังเสียใจมาก ถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย
'อิ๊คคิวซัง' ตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการเดินลงไปในแม่น้ำเซตะ พร้อมตั้งจิตอธิษฐานจิตว่า
'ถ้าพระโพธิสัตว์ต้องการให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ก็ขอให้ข้าพเจ้าฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ แต่หากชีวิตข้าพเจ้าไร้ซึ่งคุณค่าเสียแล้ว ข้าพเจ้าขออุทิศสังขารให้เป็นอาหารของปลาและสัตว์น้ำ'
ระหว่างที่ดำดิ่งลงในท้องน้ำ 'อิ๊กคิวซัง' พลันนึกถึงใบหน้า 'ท่านแม่' และรำลึกถึงคำสอนของท่านขึ้นมา
คำสอนนั้นคือ 'เป็นลูกผู้ชายต้องไม่ย่อท้อ'
'อิ๊กคิวซัง' จึงตะเกียกตะกายกลับขึ้นฝั่ง
เมื่อท่านอายุได้ 23 ปี 'อิ๊คคิวซัง' จึงไปฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อคะโซ แห่งวัดโคอัน พร้อมได้ฉายาใหม่เป็น 'พระโซจุน'
หลวงพ่อคะโซ เป็นพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ แต่พอใจที่จะใช้ชีวิตอย่างสมถะและพอใจในวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและหนักหน่วง
ดังนั้น เมื่อมาอยู่ที่วัดแห่งนี้ อิ๊กคิวซังจึงต้องทำงานทั้งวัน และปฏิบัติธรรมอย่างหนักหน่วง
นอกจากใช้แรงงานในวัดแล้ว อิ๊กคิวซังยังต้องสานรองเท้า เย็บเสื้อผ้าตุ๊กตาผู้หญิง รวมทั้งออกไปขายแรงงานในหมู่บ้านละแวกนั้น
ที่สำคัญคือ อิ๊คคัวซังโดนพระรุ่นพี่ที่ไม่ชอบหน้ากลั่นแกล้ง ทำร้าย เตะต่อยอยู่เสมอ แต่ท่านก็อดทน
ในที่สุด ความเพียรพยายามที่จะค้นหาสัจธรรมของท่านอิ๊คคิววังก็สำเร็จ
โดยสามารถแก้ปริศนาธรรมที่หลวงพ่อคะโซตั้งไว้ได้ขณะมีวัยเพียง 25 ปีเท่านั้น
และ 'พระโชจุน' ก็ได้รับฉายาใหม่ว่า 'อิ๊กคิว โซจุน' ซึ่งหมายความว่า 'รู้พ้นจากโลกสมมติตามบัญญัติของลัทธิเซน




รูปปั้นอิ๊คคิวที่วัด Ikkyuji Temple

ตำนานญี่ปุ่นระบุว่า 'อิ๊กคิวซัง' น่าจะเป็นพระภิกษุที่บรรลุธรรมเมื่ออายุยังน้อยที่สุดรูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา
เพราะท่านสามารถบรรลุธรรมในขณะที่นั่งสมาธิบนเรือริมฝั่งทะเลสาบ
'เหตุแห่งความทุกข์และความเศร้าหมองที่เกิดขึ้นในชีวิต ล้วนเกิดจากจิตที่เต็มไปด้วยอัตตา'
นี่คือคือแก่นธรรมที่ท่านอิคคิวค้นพบ !!!
ในหนังสือ'ปล่อยวางอย่างเซน' ของคุณ ละเอียด ศิลาน้อย ได้กล่าวถึงการสอนธรรมของท่านอิ๊คคิวซังไว้
โดยกล่าวถึงเหตุการณ์ที่ท่านนินากาวะจะจากไป (ตาย) ซึ่ง 'อิ๊กคิวซัง' ได้แวะมาเยี่ยมแล้วถาม 'จะให้ผมนำทางให้ไหม?'
นินากาวะตอบ 'ฉันมาที่นี่แต่เพียงลำพังคนเดียว และฉันก็จะไปคนเดียว คุณจะช่วยอะไรฉันได้?'
อิ๊กคิวซังจึงตอบกลับไปว่า 'ถ้าคุณคิดว่าคุณมาและไปจริงๆ แล้วนั่นเป็นโมหะ (ความหลงผิด) ของท่านละ ขอให้ผมได้แสดงทางซึ่งไม่มีการมาและไม่มีการไปให้ท่านดูสักหน่อยเถิด'
ด้วยคำพูดเพียงเท่านี้ 'อิ๊กคิวซัง' ก็ได้ช่วยเปิดเผยเส้นทาง (แห่งธรรม) ให้แก่นินากาวะ ทำให้นินากาวะยิ้มแล้วจากไปอย่างสงบ
ความเรื่อง 'อิ๊กคิวซัง' บรรลุแก่นธรรมทราบถึง 'หลวงพ่อคะโซ' ทำให้ท่านประสงค์จะมอบใบสำเร็จเปรียญธรรม และตำแหน่งเจ้าอาวาสให้อิ๊กคิวซังสืบทอด
แต่'อิ๊กคิวซัง'ปฏิเสธ !!!
ท่านให้เหตุผลว่า 'ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งสมมติ'
ท่านจึงออกธุดงค์
กระทั่งอายุ 34 ปี 'อิ๊กคิวซัง' จึงมีโอกาสเข้าเฝ้าท่านพ่อ ซึ่งเป็นองค์จักรพรรดิ
และเป็นช่วงที่ท่านถูกกล่าวถึง และเป็นที่ขยาดหวาดกลัวและเกลียดชังจากภิกษุด้วยกัน
เพราะท่านไม่พอใจกับการ 'ยึดติด' ของบรรดาพระทุกรูป
ครั้งหนึ่ง 'อิ๊กคิวซัง' ไปร่วมงานครอบรอบวันมณภาพของพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งด้วยสภาพมอมแมมสกปรก จีวรหลุดลุ่ย และด่าทอพระที่มือถือสากปากถือศีล
เนื่องเพราะมีพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากที่ทำตัวเคร่งพระวินัย ถึงขนาดบอกว่าผู้หญิงเป็นมารศาสนา
แต่เบื้องหลังกลับลักลอบให้แม่เล้านำโสเภณีมาบำเรอถึงในกุฏิ
ท่านด่าทอพระผู้มีอิทธิพลมีหลายรูป ที่หลอกชาวบ้านว่าจะสามารถบรรลุธรรมได้หากบริจาคปัจจัยให้พระมากๆ รวมทั้งทำทุกอย่างที่ถือว่าเป็นอาบัติ ทั้งดื่มสุรา เล่นการพนัน ฉันเนื้อสัตว์ ไม่โกนผมและไว้หนวดเครา รวมถึงเดินเข้าออกซ่องโสเภณีอย่างเปิดเผย

โดยส่วนตัว 'อิ๊กคิวซัง' ก็คบหาและปฏิบัติกับโสเภณีอย่างเปิดเผยสุภาพและให้เกียรติ
ท่านเคยแบ่งส้มจากบาตรให้โสเภณีอดอยากทาน
เคยปีนเขาเสี่ยงตายไปหาสมุนไพรมารักษาโสเภณีที่ป่วยหนักแม้ว่าจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา
กระทั่งเมื่อท่านอายุได้ 75 พรรษา ระหว่างที่ธุดงค์เร่ร่อนหลบภัยสงครามในประเทศไปอยู่ที่เมืองซึมิโยชิ
ท่านได้พบกับ 'โมริ' ศิลปินขอทานตาบอด และท่านได้รับนางเป็นภรรยา
ทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันคืนเดียว 'โมริ' ก็หนีไปเพราะเกิดความอับอายและเกรงว่าตนจะทำให้ท่านอิ๊กคิวซังเสื่อมเสียชื่อเสียง
แต่นางก็กลับมาหาอิ๊กคิวอีกหน เพราะไม่สามารถดำรงชีวิตลำพังได้ในสภาวะสงคราม
เมื่อ อายุได้ 85 ปี จักรพรรดิทรงแต่งตั้งให้ 'อิ๊กคิวซัง' เป็นเจ้าอาวาสวัดไดโตะกุจิ ซึ่งเป็นวัดหลวงที่สำคัญที่สุดในสมัยนั้น เมื่อไม่สามารถขัดพระราชประสงค์ได้ อิ๊กคิวซังจึงยอมรับตำแหน่ง
แต่ท่านรับตำแหน่งเพียงแค่วันเดียวก็ลาออก และกลับไปอยู่วัดเมียวโชจิ ที่ท่านสร้าง
'อิ๊คคิวซัง' มรณภาพหลังจากกลับมาอยู่วัดเมียวโชจิได้เพียง 2 ปี
โดยท่านป่วยเป็นมาลาเรีย และละสังขารในท่านั่งสมาธิในอ้อมกอดของโมริ ภรรยาของท่าน
ในเวลา 21 พฤศจิกายน ค.ศ.1481(พ.ศ.2024)
'อิ๊คคิวซัง' มรณภาพเมื่ออายุ 88 ปี




ภาพวาดท่านอิคคิวซัง

ที่มา
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=thukky-kung&month=17-03-2009&group=4&gblog=1
http://www.thaisamkok.com/forum/index.php?showtopic=12913
ยุคมุโระมะจิ
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B4
โชกุน
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%99

ผักโขมอบชีส (Spinach with Mozzarella)


พอดีไปลองกินมาแล้วอร่อย ลองดูกันว่ามันเป็นอย่างไรครับ

อาหารยอดฮิตติดอันดับสามของเด็ก อเมริกัน (รองจาก ไก่งวง และไอศกรีม) ที่เรียกชื่อกันเป็นภาษาฝรั่งว่า "Spinach" นั้น ถ้าจะแปลเป็นภาษาไทยแล้ว ต้องใช้คำว่า "ปวยเล้ง" ถึงจะถูกต้อง หาใช่แปลว่า "ผักโขม" ดังที่คนไทยเข้าใจไม่ ความเข้าใจไขว้เขวอย่างผิด ๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ กัสซี่ขอกล่าวโทษแก่ผู้ที่แปลบทภาพยนต์การ์ตูนชุด Popeye the Sailor ในภาษาไทย ที่แปลคำว่า "Spinach" ในประโยคภาษาอังกฤษที่ Popeye พูดก่อนที่ จะยกกระป๋อง Spinach ขึ้นกิน ก่อนที่จะกลายร่างจากกะลาสีผอมกะหร่องเป็นนักสู้กล้ามใหญ่เข้าต่อสู้กับ เหล่าร้าย โดยใช้คำว่า "ผักโขม" เพื่อแทนคำว่า "Spinach" ซึ่งเป็นคำแปลที่ "ไม่ถูกต้อง"

"ปวยเล้ง" หรือ "Spinach" ผักใบใหญ่หนาทรงกลม สีเขียวเป็นมัน แต่ก้านผอมนิดเดียวนั้น ถึงจะมีชื่อออกไปในทางหมวย ๆ หน่อย แต่ความจริงแล้ว เป็นผักที่มีถิ่นกำเนิดจากเปอร์เซีย (อิหร่าน) หาใช่เป็นผักของจีนตามที่คนไทยเราเข้าใจ ตามประวัติบอกว่า ชื่อเดิมของ "ปวยเล้ง" นั้นคือ "Aspanakh" เป็นผักที่ชาวอาหรับชอบกินกับมาก จนถึงขนาดให้สมญานามว่าเป็น "Prince of Vegetables" เป็นผักที่ชาวอาหรับนำติดตัวไปด้วยในคราวยกทัพบุกสเปน ในศตวรรษที่ 11 นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สเปนกลายเป็นศูนย์กลางการปลูก "ปวยเล้ง" และแพร่หลายไปทั่วภูมิภาคในยุโรป และชื่อเดิม Aspanakh ก็ถูกเรียกผิดเพี้ยนไปในภาษาละตินว่า "Spinachia" และถูกเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า "Spinach" ในศตวรรษที่ 14 และ "ปวยเล้ง" เข้าไปสู่ประเทศจีนเป็นครั้งแรก โดยกษัตริย์แห่งเนปาลเป็นผู้นำเข้ามาถวายจักรพรรดิแห่งจีน ต่อมาเป็นผักที่ได้รับความนิยมปลูกกันอย่างแพร่หลาย ชื่อ "poh ts'ai" ในภาษาจีนของปวยเล้ง บอกถึงถิ่นที่มาของปวยเล้งได้เป็นอย่างดี เพราะคำว่า "poh ts'ai" มีความหมายว่า "ผักจากเปอร์เซีย"

"ปวยเล้ง" เป็นผักที่มีธาตุเหล็ก แคลเซียม โปรตีน วิตามินซี และ วิตามินบี 2 ในปริมาณที่สูง อีกทั้งเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนและซาโปนิน (สารที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้) อีกด้วย สามารถทานได้ทั้งแบบสด ๆ ในจานสลัด หรือใช้จิ้มกับน้ำพริก หรืออาจจะนำไปทำให้สุกในอาหารจานต่าง ๆ จะเป็นต้มจืด ผัด หรืออบก็ได้ทั้งนั้น

เขียนมาถึงตรงบรรทัดนี้ อาจจะมีคุณผู้อ่านบางท่าน เกิดความสงสัยในใจว่า เจ้า Spinach ที่กัสซี่พูดถึงนี่ มันต่างจาก "ผักโขม" ของไทยที่เราเห็นวางขายกันตามตลาดและซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ตรงไหน??

นอกเหนือจากความต่างในเรื่อง "ราคา" แล้ว (ราคาล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม 2544 เจ้า Spinach ราคากิโลกรัมละ 180 บาท แต่ "ผักโขม" ราคากิโลกรัมละ 80 บาท) ลักษณะภายนอกก็ยังแตกต่างกันอย่างมากด้วย เพราะ "ผักโขม" ของบ้านเรา ใบจะมีขนาดใหญ่กว่าแต่ใบบาง ใบมีสีเขียวด้าน ๆ ไม่มัน ก้านจะโต มีขนอ่อนใต้ใบ และลำต้นบางทีจะมีหนาม ไม่สามารถนำมาใช้ทานสด ๆ ในจานสลัดได้เนื่องจากค่อนข้างจะระคายคอ นิยมนำไปปรุงให้สุกมากกว่า เพราะเมื่อสุกแล้วจะมีรสหวานและเนื้อนุ่ม ในภาษาอังกฤษจะเรียกผักชนิดนี้ว่า"Asian Spinach" หรือ "Chinese Spinach"

ผักโขมที่มีวางขายในท้องตลาดจะแบ่งออกเป็น "ผักโขมบ้าน" , "ผักโขมสวน" และ "ผักโขมจีน"

"ผักโขมบ้าน" ก็ยังแบ่งออกเป็นชนิดย่อย ๆ ได้อีก 2 ชนิด คือ "ผักโขมบ้านชนิดใบกลมเล็ก" ที่มีลำต้นเล็ก ก้านเป็นสีแดง ใบมีสีเขียวเหลือบแดง ส่วนใหญ่มีวางขายในตลาดทางภาคเหนือในช่วงฤดูฝน ส่วนอีกชนิดหนึ่งคือ "ผักโขมหนาม" ผักชนิดนี้จะมีลำต้นสูง มีใบใหญ่ ใช้เฉพาะส่วนยอดอ่อนมาปรุงอาหารเท่านั้น หาเก็บได้ตามป่าในช่วงฤดูฝน

"ผักโขมสวน" จะมีใบใหญ่บาง สีเขียวอ่อน ต้นจะยาว

"ผักโขมจีน" เป็นผักโขมต้นใหญ่ ใบใหญ่สีเขียวเข้ม ขอบใบหยัก ใบสดมีรสเผ็ดและกลิ่นฉุน ผักโขมชนิดนี้จะสามารถหาซื้อได้ง่ายที่สุด เพราะมีวางขายทั้งในตลาดและซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป

เวลาเลือกซื้อควรเลือกชนิดที่มีใบสีเขียวสดแต่ไม่เขียวจนดำ เพราะนั่นแสดงว่าเป็นผักโขมแก่ รสจะขม เนื้อผักหยาบ ไม่อร่อย เลือกดูผักที่ใบไม่ช้ำ และเมื่อซื้อมาแล้วควรนำไปปรุงอาหารทันที จึงจะได้คุณค่าทางอาหารในปริมาณค่อนข้างมาก

นั่นแหละคะ คือ คือข้อแตกต่างระหว่าง Spinach และ Asian Spinach : )

ที่มา
http://www.maama.com/column/guzzie/view.php?id=000086
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=devonshire&month=13-05-2009&group=23&gblog=8

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Google Chrome OS

น่าสนใจดี

ในที่สุดกูเกิลก็ปล่อยขีปนาวุธอีกลูกถล่มใส่ ไมโครซอฟท์แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เมื่อวันที่ 7 เดือน 7 ปี 2009 กูเกิลแสดงพลังด้วยการประกาศพัฒนาระบบปฎิบัติการใหม่ เรียกว่า Google Chrome OS ระบบ Chrome OS นี้เป็นระบบปฎิบัติการขนาดเบาที่พัฒนามาใช้กับเน็ตบุ๊ก ปีนี้จะปล่อยออกมาเป็นโอเพ่นซอร์ส ปีหน้าก็จะออกมาในผลิตภัณ์เน็ตบุ๊ก กูเกิลยังประกาศตัวพันธมิตรธุรกิจจำนวนมาก นี่ไม่ใช่การออกผลิตภัณฑ์มาแข่งขันกันแบบธรรมดา แต่เป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์อันยาวนานของกูเกิลที่จะเปลี่ยนโลกจาก desktop centric computing มาสู่ web centric computing อันจะเป็นการพลิกโลกไอทีทั้งโลก งานนี้ต้องมาดูแนวคิดทางยุทธศาสตร์ของแต่ละฝ่ายครับ ว่าเดินหมากสงครามนี้อย่างไร

เราคงจำกันได้ว่ากูเกิลเพิ่งจะปล่อย Chrome เบราว์เซอร์ออกมาเขย่าวงการไอทีไม่นานด้วยการออกแบบที่แตกต่างด้านเทคนิค โดยเฉพาะจุดประสงค์ที่จะเตรียมการให้การทำงานของเบราว์เซอร์ยุคใหม่สามารถ รองรับการทำงานของโปรแกรมประยุกต์หนักๆ ที่พัฒนาจากจาวาสคริปต์ได้ ตอนนี้เมื่อกูเกิลปล่อย Chrome OS ออกมาทำให้เห็นแนวโน้มของเทคโนโลยีและยุทธศาสตร์ที่ใช้ได้ชัดเจนขึ้น

หากเรามองระบบไอทีขนาดใหญ่จะพบว่าแนวคิดที่ใช้กันมากที่สุดในตอนนี้ คือ แนวคิดที่ขอเรียกว่า desktop centric computing นั้นคือ ผู้ใช้จะมีระบบพีซีหรือ โน๊ตบุ๊กที่มีสมรรถนะที่ดี คอมพิวเตอร์เหล่านี้จะเชื่อมโยงกันเป็นโครงสร้างทางไอทีผ่านเครือข่าย คอมพิวเตอร์แบบมีสายและไร้สาย มีระบบเซิร์ฟเวอร์และระบบจัดเก็บข้อมูลอยู่ตรงกลางเพื่อรองรับการจัดเก็บ ประมวลผล และสืบค้นข้อมูล การใช้งานต้องมีระบบปฏิบัติการและโปรแกรมประยุกต์ซึ่งทำงานบนคอมพิวเตอร์ของ ผู้ใช้ แต่ใช้เครือข่ายเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้กับระบบเซิร์ฟเวอร์และระบบจัด เก็บข้อมูลเพื่อเพิ่มพลังการทำงาน ไมโครซอฟท์นับว่าเป็นเจ้าสนามในระบบไอทีแบบนี้ ร่วมด้วยซอฟต์แวร์อื่นๆ เช่น ออราเคิล

ต่อมาแนวการประมวลผลเริ่มเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การสร้างโปรแกรมประยุกต์บนเว็บ หรือ web centric computing ในระบบนี้ คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ไม่ต้องมีกำลังการประมวลผลมากนัก โปรแกรมประยุกต์ทุกอย่างจะทำผ่านระบบเว็บ ซึ่งแนวโน้มคือโปรแกรมประยุกต์จะถูกเก็บและทำงานบนระบบประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ (Cloud Computing Systems) ซึ่งผุ้ใช้จะมองเห็นแต่พลังการประมวลผลและตัวเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่ขยายตัว ได้ ในแนวคิดนี้ ผู้ที่บุกเบิกมาคือกูเกิลนั่นเอง

ก่อนจะวิพากษ์สงครามคราวนี้ผมขอพาท่านกลับสู่อดีตสักนิด

เราจะพาท่านผ่านประวัติศาสตร์ไปสู่ยุคสงครามนโปเลียนครับ ตอนนั้นนโปเลียนตั้งใจที่จะปิดฉากสงครามและครองยุโรปให้เด็ดขาด จึงเคลื่อนทัพราว 690, 000 คน ซึ่งเป็นการรวมพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและพร้อมรบที่สุดในประวัติศาสตร์ยุโรปไป บุกรัสเซีย ในปี คศ. 1812

ในช่วงนั้นคือช่วงที่รุงโรจน์ที่สุดของนโปเลียน ซึ่งครองแทบทั้งยุโรปและกดอังกฤษจนต้องหลบอยู่บนเกาะอังกฤษอย่างเดียว ส่วนรัสเซียภายใต้พระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์นั้นก่อนหน้าได้พ่ายแพ้อย่างยับเยินให้กับนโปเลียนที่ออ สเตอร์ลิซ (Austerlitz) มาแล้ว รัสเซียรวมทหารได้แค่ 488,000 คน โดยที่กว่า 160,000 คนเป็นทหารอาสาสมัครจากชาวบ้านที่แทบรบไม่เป็นเลย (ดูได้จาก Wikipedia ครับ)

ตอนนั้นกองทัพรัสเซียก็พยายามสู้สุดฤทธิ์นะครับ แต่ขีดความสามารถต่างกันมาก กองทัพรัสเซียถูกบังคับให้ถอยแล้วถอยอีก โดยในขณะถอยก็กวาดต้อนชาวบ้านไปด้วยแล้วเผาทุกอย่างทิ้งไม่เหลือให้ข้าศึก ใช้ ในสงครามที่โบโรดีโน่ กองทัพรัสเซียได้ต่อสู้อย่างกล้าหาญแต่เสียหายอย่างหนัก เส้นทางไปสู่กรุงมอสโกเปิดโล่งให้นโปเลียนยกทัพไปยึดได้อย่างรวดเร็ว ปกติในยุคนั้นหากเมืองหลวงถูกยึดประเทศนั้นมักจะยอมแพ้และขอสงบศึก

จุดเปลี่ยนทางยุทธศาสตร์คือการที่นายพลคูตูซอฟได้ตัดสินใจที่จะอาศัยความ ได้เปรียบทางสภาพแวดล้อมและภูมิประเทศเอาชนะให้ได้ รัสเซียเกณฑ์ทุกคนที่รบได้มาทั้งหมดได้คนเตรียมรบถึง 904,400 คนด้วยกันและตั้งใจสู้ถึงที่สุด นายพลคูตูซอฟ (Kutuzov) ได้สั่งการให้อพยพคนออกจากมอสโกจนหมด กองทัพนโปเลียนมาถึงพบเมืองที่ว่างเปล่าและไม่มีอะไรเหลือ จากนั้นก็เกิดไฟไหม้ กลางเดือนตุลาคมนโปเลียนถูกบีบให้ถอยภายใต้ฤดูหนาวที่ทารุณ รัสเซียบีบให้นโปเลียนถอยกลับไปทางถนนเดิมที่ไม่มีสเบียงให้ทหารและหญ้าให้ ม้าโดยสิ้นเชิง และส่งทหารม้าโจมตีปีกกองทัพนโปเลียนอย่างต่อเนื่อง ทหารต้องลงเดิน หิวตายหนาวตาย รัสเซียใช้สภาวะแวดล้อมและภูมิประเทศที่ตนเคยชินอย่างเต็มที่ครับ ผลคือนโปเลียนกลับถึงฝรั่งเศสพร้อมทหารแค่ 22,000 คน ทหารตายไป 97% ครับ ไปร้อยคนกลับมาสามคนเท่านั้น

หากเรากลับมาดูสงครามกูเกิลกัน เราจะพบว่ากูเกิลพยายามแก้ทางของไมโครซอฟท์อยู่ หากไปรบกันใต้สภาพของระบบปฏิบัติการวินโดว์และ Internet Explorer แล้ว เท่ากับกองทัพรัสเซียที่เล็กกว่าหาญท้ารบกับนโปเลียนในฝรั่งเศสครับ ตายอย่างเดียว ดังนั้นกูเกิลต้องอาศัยพลังควบคุมฟ้าดินให้ได้ กู เกิลเล่นใจเย็นมองเกมส์เป็นการชิงดินแดนแบบรุกคืบ คือ รุก หยุด สะสมกำลัง และรุกต่อ การรุกจะคืบจากระดับโปรแกรมประยุกต์เข้าหาระบบปฏิบัติการ ซึ่งเป็นแนวรุกกลับทิศกับไมโครซอฟท์ที่รุกจากการควบคุมระบบปฏิบัติการ ไปยังการคุมโปรแกรมประยุกต์แล้วสยายปีกออกทางแนวกว้าง ยุทธศาสตร์ของกูเกิลเท่าที่มอง คือ

  • หนึ่ง กูเกิลเริ่มสร้างสภาพแวดล้อมของโปรแกรมประยุกต์แบบ web centric บนระบบประมวลผลแบบกลุ่มเมฆก่อน ต้องพึ่งพาเบราว์เซอร์มาตรฐานบนระบบปฎิบัติการของคนอื่น ขั้นแรกปิดเกมส์ไปแล้วค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็น Google Search, Google Maps, Google Docs, Google Apps

  • สอง กูเกิลรุกลงมาสร้างฐานเบราว์เซอร์ของตนเอง คือ Chrome และปล่อย Google Gears ออกมาเพื่อให้สามารถควบคุมโปรแกรมประยุกต์แบบเว็บได้ และสร้างมาตรฐานด้านการพัฒนาโปรแกรมเพื่อสร้างความได้เปรียบ

  • สาม กูเกิลปล่อยแอนดรอยด์มาเพื่อสร้างฐานและทีมพัฒนาระบบปฏิบัติการที่แข็งแกร่ง รวมทั้งขยายฐานประชาคมนักพัฒนาของตน อีกอย่างโลกของโทรศัพท์มือถือกำลังขยายตัวและ Windows Mobile ก็ไม่ได้แข็งแกร่งเกินจะปราบได้เพราะ BlackBerry ทำมาแล้ว ดังนั้นแอนดรอยด์ก็มีโอกาสเข้าตีรบกวนไมโครซอฟท์ได้ ดังซุนวูว่าไว้ว่า ศัตรูอ่อนแอให้เราจู่โจม ศัตรูกล้าแข็งให้เราสงบนิ่ง

  • สี่ กูเกิลปล่อย Chrome OS ออกมาอาศัยการขยายตัวของเน็ตบุ๊กที่แรงเร็วทั่วโลก เนื่องจากความต้องการที่จะให้ใช้งานได้นานและประหยัดพลังงาน เน็ตบุ๊กจะถูกวางตำแหน่งให้เป็นระบบที่ทำงานช้ากว่าโน๊ตบุ๊กและเดสค์ท็อปอ ยู่ขั้นหนึ่งเสมอ สภาวะแวดล้อมนี้ทำให้ระบบปฏิบัติการที่เบา (lightweight operating system) ได้เปรียบ เพราะจะทำงานเร็วกว่าคล่องกว่าและกินไฟกับหน่วยความจำน้อยกว่า

จะเห็นว่ากูเกิลใช้ความใจเย็นปรับเปลี่ยนสภาวะแวดล้อมและเลือกสนามรบที่ ได้เปรียบ เหมือนรัสเซียที่อาศัยการถอยยาวดึงนโปเลียนมารบในถิ่น รอให้หน้าหนาว (เน็ตบุ๊ก) มาถึงก่อนค่อยรุกเข้าใส่

เรามาดูจุดอ่อนกันบ้างครับ ว่าถ้าเราเป็นไมโครซอฟท์จะเข้าตีตอบโต้อย่างไร

  • หนึ่ง การที่กูเกิลออกระบบปฏิบัติการใหม่ต้องอาศัยเวลาช่วงหนึ่งที่จะทำให้เสถียร สร้าง ecosystem ของนักพัฒนา ดูจากแอนดรอยด์แล้วมีเวลาราวสองปี ครับ ในตอนนี้ไมโครซอฟท์มี Windows 7 ที่บางเบาแต่เร้าใจกว่าน้องวิสต้ามาก ต้องสร้างฐานตรงนี้ออกไปรบกับ Chrome และพยายามสร้างโปรแกรมประยุกต์สวยๆ ที่ใช้ 3D มาให้ลูกค้าติด เพราะอย่างไรจุดอ่อนของ web centric computing คือกราฟิก 3D ที่จะช้ากว่าโหลดนานกว่า อัดเกมส์มามากๆ หรือทำส่วนติดต่อกับผู้ใช้แบบ 3D มาเลยครับ

  • สอง ระบบแบบกูเกิลที่ใช้ web centric นั้น จะพบว่าทำงานได้ไม่ดีในสภาวะที่อินเทอร์เน็ตไม่ค่อยเร็วและไม่ค่อยเสถียร เช่น ในสยามเมืองยิ้มของเรา ดังนั้นในสภาพแวดล้อมที่อินเทอร์เน็ตอ่อนแอ desktop centric แบบ ไมโครซอฟท์ยังคงความได้เปรียบ หมายความว่าในเอเชียแปซิฟิกและกลุ่มประเทศเกิดใหม่ ไมโครซอฟท์ยังคงความได้เปรียบบางประการไว้

  • สาม ความเคยชินของคนแก้ยากครับ ความพยายามของกูเกิลทำให้เกิดการเปลี่ยนโมเดลการใช้งาน จะมีแรงต้านโดยธรรมชาติจากผู้ใช้อยู่แล้วไมโครซอฟท์แค่เสริมแรงตรงนี้หน่อย Chrome OS ก็จะลำบากครับ

สงครามนี้รบยืดเยื้อครับ สถานะการณ์จะค่อยๆพัฒนาในเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี กูเกิลเป็นคู่แข่งที่เก่งที่สุดที่ไมโครซอฟต์เจอมาในรอบหลายปีครับ คือ ใจเย็น มีวิสัยทัศน์ มุ่งมั่น วางกลยุทธเป็นขั้นตอนและสั่งสมทรัพยากรเพิ่มพูนทุกขณะ เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ความเป็นบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตและไฟเบอร์ทูโฮม ความได้เปรียบของกูเกิลก็จะเพิ่มขึ้น แต่โลกกำลังหมุนไปหาไลฟ์สไตล์คอมพิวติ้งในวงกว้าง กูเกิลนั้นขาดทักษะเรื่องการออกแบบอย่างแรงจะเสียเปรียบอย่างมากในจุดนี้ ครับ

หลังจากรบกันอยู่นานสุดท้ายทั้งคู่อาจถูกกัดตายโดย Snow leopard จากแอปเปิลก็ได้นะครับ

ที่มา http://www.blognone.com/node/12343

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การเลือกกระถางให้เหมาะสมกับต้นไม้

อยากปลูกต้นไม้ซัก 100 ไร่ ก็เลยลองศึกษาข้อมูลไว้ก่อน อิอิ

ใครที่ต้องการปลูกต้นไม้ในกระถาง วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเทคนิคในการเลือกกระถางให้เหมาะสมกับต้นไม้มาฝาก...

- รูปร่างของกระถาง

ควรเลือกกระถางให้เหมาะสมกับทรงของต้นไม้ที่จะนำมาปลูก แต่ที่นิยมใช้กันมากก็จะเป็นทรงครึ่งวงกลม เพราะจะเข้าได้ดีกับต้นไม้ทรงต้น พวกเอียงจนถึงไม้พุ่ม รวมถึงพวกไม้เอนชาย ส่วนไม้ทรงสูง อาจจะใช้กระถางทรงสูง กลมหรือเหลี่ยมก็ได้

- วัสดุที่ใช้ทำกระถาง

การเลือกกระถางที่ทำด้วยวัสดุประเภทไหน ต้องขึ้นอยู่กับลักษณะเด่นของต้นไม้นั้น ๆ ต้นไม้ที่มีผิวพรรณละเอียดหรือค่อนข้างละเอียด ทรงอ่อนช้อย และมีขนาดไม่โตมาก เช่น กลุ่มโซโค มักจะใช้กระถางปูนที่เป็นแบบอนไซ โดยเลือกกระถางให้มีขนาดและรูปทรงเหมาะกับต้นไม้แต่ละต้น กลุ่มยักษ์ส่วนใหญ่จะใช้กระถางปูนอ่างบัว เพราะแข็งแรงกว่ารับน้ำหนักได้ ส่วนกระถางดินเผามีเนื้อค่อนข้างหยาบ จึงเหมาะกับต้นไม้เล็กที่ปลูก ทำให้ดูเป็นธรรมชาติ

- สีของกระถาง

สีของกระถางต้นไม้ มีทั้งสีพื้นเรียบ ๆ และที่มีลวดลาย เช่น กระถางอ่างบัวและกระถางแบบอนไซ มักเป็นที่นิยมสำหรับสีเดียว ส่วนต้นไม้ที่มีขนาดเล็ก มักจะใช้กระถางพลาสติก แต่ถ้าขนาดใหญ่ รูปทรงเหมือนต้นไม้ใหญ่ กระถางก็ควรจะเปลี่ยนไปเป็นสีเดียวและมักเป็นสีทึม ๆ เช่น น้ำตาล แดงคล้ำ น้ำเงินดำ เขียว หรือ กระถางลายครามราคาแพง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าของว่าชอบสีแบบไหน

- ขนาดของกระถาง

สำหรับต้นไม้ประเภททรงต้น ควรพิจารณาจาก ความกว้างของกระถาง ควรเป็นประมาณ 2 ใน 3 ของความสูงของต้นไม้ หรือ 3 ใน 2 ของระยะแผ่ของกิ่งที่อยู่ล้างสุดของต้นไม้ เช่น ถ้าต้นไม้สูง 15 นิ้ว ความกว้างของกระถางควรเป็นประมาณ 10 นิ้ว หรือถ้ากิ่งล่างสุดแผ่ออกไป 18 นิ้ว กระถางควรมีความกว้าง 20-25 นิ้ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าของว่าเอาสิ่งไหนเป็นหลัก แต่โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ถ้าเป็นไม้ทรงสูง โปร่ง กิ่งก้านยื่นออกไปไม่ยาว ก็ควรใช้ความสูงของต้นไม้เป็นหลัก แต่ถ้าเป็นไม้ทรงเตี้ย มีการแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปกว้างขวาง ก็ควรใช้ความยาวของกิ่งล่างเป็นหลัก

รู้อย่างนี้แล้ว ลองนำวิธีที่แนะนำไปเลือกกระถางให้เหมาะกับต้นไม้กันดูได้.

ที่มา http://www.cosmoneo.com/forums.php?action=viewtopic&topicid=36327

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Creating a .NET Web Service

Introduction
Microsoft .NET marketing has created a huge hype about its Web Services. This is the first of two articles on Web Services. Here we will create a .NET Web Service using C#. We will look closely at the Discovery protocol, UDDI, and the future of the Web Services. In the next article, we will concentrate on consuming existing Web Services on multiple platforms (i.e., Web, WAP-enabled mobile phones, and windows applications).

Why do we need Web Services?

After buying something over the Internet, you may have wondered about the delivery status. Calling the delivery company consumes your time, and it's also not a value-added activity for the delivery company. To eliminate this scenario the delivery company needs to expose the delivery information without compromising its security. Enterprise security architecture can be very sophisticated. What if we can just use port 80 (the Web server port) and expose the information through the Web server? Still, we have to build a whole new Web application to extract data from the core business applications. This will cost the delivery company money. All the company wants is to expose the delivery status and concentrate on its core business. This is where Web Services come in.

What is a Web Service?

Web Services are a very general model for building applications and can be implemented for any operation system that supports communication over the Internet. Web Services use the best of component-based development and the Web. Component-base object models like Distributed Component Object Model (DCOM), Remote Method Invocation (RMI), and Internet Inter-Orb Protocol (IIOP) have been around for some time. Unfortunately all these models depend on an object-model-specific protocol. Web Services extend these models a bit further to communicate with the Simple Object Access Protocol (SOAP) and Extensible Markup Language (XML) to eradicate the object-model-specific protocol barrier (see Figure 1).

Web Services basically uses Hypertext Transfer Protocol (HTTP) and SOAP to make business data available on the Web. It exposes the business objects (COM objects, Java Beans, etc.) to SOAP calls over HTTP and executes remote function calls. The Web Service consumers are able to invoke method calls on remote objects by using SOAP and HTTP over the Web.


Figure 1. SOAP calls are remote function calls that invoke method executions on Web Service components at Location B. The output is rendered as XML and passed back to the user at Location A.

How is the user at Location A aware of the semantics of the Web Service at Location B? This question is answered by conforming to a common standard. Service Description Language (SDL), SOAP Contract Language (SCL) and Network Accessible Specification Language (NASSL) are some XML-like languages built for this purpose. However, IBM and Microsoft recently agreed on the Web Service Description Language (WSDL) as the Web Service standard.

The structure of the Web Service components is exposed using this Web Service Description Language. WSDL 1.1 is a XML document describing the attributes and interfaces of the Web Service. The new specification is available at msdn.microsoft.com/xml/general/wsdl.asp.

The task ahead

The best way to learn about Web Services is to create one. We all are familiar with stock quote services. The NASDAQ, Dow Jones, and Australian Stock Exchange are famous examples. All of them provide an interface to enter a company code and receive the latest stock price. We will try to replicate the same functionality.

The input parameters for our securities Web service will be a company code. The Web service will extract the price feed by executing middle-tier business logic functions. The business logic functions are kept to a bare minimum to concentrate on the Web service features.

Tools to create a Web Service

The core software component to implement this application will be MS .NET Framework SDK, which is currently in beta. You can download a version from Microsoft. I used Windows 2000 Advance Server on a Pentium III with 300 MB of RAM.

The preferred Integration Development Environment (IDE) to create Web Services is Visual Studio .NET. However, you can easily use any text editor (WordPad, Notepad, Visual Studio 6.0) to create a Web Service file.

I assume you are familiar with the following concepts:

  • Basic knowledge of .NET platform
  • Basic knowledge of C#
  • Basic knowledge of object-oriented concepts
ที่มา http://www.15seconds.com/Issue/010430.htm