วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2555

ความสูงน้ำ… ระดับไหนที่รถวิ่งได้


กลับมาอีกครั้งกับเคล็ดลับการดูแลรถยนต์สำหรับคนรักรถ ซึ่งวันนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับน้ำ เพราะปัญหาน้ำท่วมในบ้านเราช่วงนี้ยังไม่หมดไป และดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามเราซึ่งเป็นมนุษย์ก็ต้องปรับตัว และอยู่กับมันให้ได้
ที่ผ่านมาเราได้พูดถึง การขับรถลุยน้ำท่วมกันไปพอสมควรแล้ว แต่การจะขับรถลุยน้ำนั้น นอกจากเทคนิคดังกล่าวแล้ว การประเมินสถานการณ์ความสูงของน้ำก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญไม่แพ้กัน และวันนี้เราก็มีวิธีการประเมินระดับน้ำมาฝากกันครับ
น้ำท่วมรถเล็กน้อย
น้ำท่วมรถเล็กน้อย
การประเมินระดับน้ำท่วมนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งการสังเกตระดับน้ำนั้น ให้ใช้จุดอ้างอิงต่างๆที่เราสามารถสังเกตได้ เช่น รถยนต์ที่สวนทางมา เสาไฟฟ้า ต้นไม้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถือว่าเป็นตัวชี้วัดได้อย่างดี และคุณควรตัดสินใจให้ดีก่อนทำการลงน้ำ
1. ระดับน้ำ 5-10 เซนติเมตร ระดับน้ำนี้ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น และไม่สามารถส่งผลต่อการเดินทางของรถ และระดับน้ำระดับนี้มักเจอเป็นประจำเมื่อพบน้ำท่วมขังในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งระดับนี้ เป็นระดับที่ปลอดภัย สามารถผ่านได้ ทั้งรถเก๋ง และรถกระบะไร้ปัญหา
2. ระดับน้ำ 10 – 20 เซนติเมตร ในกรณีเราเจอน้ำท่วมขังในพื้นที่มากในระดับน้ำประมาณครึ่งฟุตนี้ ถือว่ายังไม่สามารถทำอะไรรถยนต์ได้ ยังสามารถผ่านไปได้ตามปกติ ทั้งรถเก๋งและรถกระบะ โดยในส่วนของรถเก๋ง อาจจะมีปัญหาเล็ก เพราะคุณอาจจะได้ยินเสียงน้ำนั้น กระเพื่อมอยู่ที่ใต้ท้องรถบ้าง แต่นั่นไม่ใช่ปัญสามารถเดินเครื่องไปต่อได้เรื่อยๆ และในกรณีขับรถส่วนกันก็อาจจะมีคลื่นที่สูงบ้าง แต่ไม่มากมายนัก ตรงนี้ยังปลอดภัย
3.ระดับน้ำ 20 -40 เซนติเมตร ตรงนี้รถเก๋งอาจจะเริ่มมีปัญหา เพราะนี่คือระดับขอบประตูรถเก๋งเกือบแทบทุกรุ่นในปัจจุบันที่มีระยะสูงจาก พื้น 150-170 ม.ม. เท่านั้น ระดับที่ท่วม 3 ใน 4 ของล้อรถนั้น ส่งผลให้ท่อไอเสียนั้นจะจมนั้นอยู่เกือบตลอดเวลา แต่ก็ยังพอไปได้ถ้าทางนั้นไม่ยาวมากนัก แต่ถือว่าเริ่มเสี่ยงมาก อาจจะมีน้ำหลุดเข้าไปในรถ โดยเฉพาะรถกลุ่มซิตี้คาร์ ส่วนรถกระบะทั่วไปสามารถผ่านได้ ยกสูง ยังสบายใจได้อยู่
น้ำท่วมรถ
น้ำท่วมรถ
4.ระดับน้ำ 40 -60 เซนติเมตร ระดับนั้นประมาณ 2 ฟุตนั้น ถือเป็นอันตรายสำหรับรถเก๋ง ทุกรุ่นทุกประเภท ไม่สมควรผ่านอย่างยิ่งหากเลี่ยงได้ให้เลี่ยง และในระดับเดียวกันนี้ รถปิกอัพทั่วไปนั้น ก็เริ่มมีลุ้นพอสมควร แตถ้าเดินเครื่องไปเรื่อยๆ ยังสามารถไปได้ เพียงแค่ต้องระวังเรื่องของคลื่นน้ำ ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นอย่างฉับพลัน และอาจะเข้าเครื่องได้ ระดับน้ำขนาดนี้ต้องปิดระบบปรับอากาศขับ ส่วนรถกระบะยกสูงทั่วไปนั้นสามารถผ่านได้ ไม่มีปัญหา แต่ก้ต้องระวังเรื่องคลื่นเช่นกัน
5.ระดับน้ำ 60-80 เซนติเมตร ระดับน้ำขนาดนี้เป็นเรื่องอันตรายกับรถทุกประเภท ไม่เว้นกระทั่งรถใหญ่ทั้งหลาย เพราะน้ำนั้นอาจจะมีสิทธิไหลเข้ากรองอากาศได้ง่ายกว่า ยิ่งเจอคลื่นนั้นอาจจะสุงถึงระดับ 1 เมตร ที่สามารถทำให้เครื่องยนต์หยุดชะงักและสร้างความเสียหายต่อระบบต่างๆได้ การลุยน้ำท่วมระดับนี้ ต้องใช้ความชำนาญการเป็นพิเศษพอตัว ที่สำคัญ พยายามอย่าปะทะคลื่นโดยตรง เพื่อหลีกเลี่ยงเครื่องดับกลางอากาศ และอย่าใช้ความเร็วสูงนัก
ระดับน้ำประมาณ 60-80 ซม.
ระดับน้ำประมาณ 60-80 ซม.
6 ระดับน้ำสูงเกินกว่า 80 เซนติเมตร ระดับน้ำที่มากที่สุดที่รถเดิมๆ จากโรงงานจะสามารถผ่านได้ และก็ไม่ใช่ทุกรุ่นเสียด้วย ตามปกติ ระดับน้ำ 80 ซ.ม. นั้นหมายถึงน้ำขึ้นถึงฝากระโปรง ท่วมไฟหน้ามิดสิ่งสำคัญคือปิดระบบไฟต่างๆ เพื่อป้องกันการลัดวงจรเดินเครื่องอย่างต่อเนื่องอย่าหยุด แต่ถ้าอยากให้ปลอดภัย น้ำระดับนี้ ควรมากับรถลุยที่มีการปรับแต่งยกสูงจากปกติประมาณ 2-4 นิ้ว จะมั่นใจกว่า
และถ้าเจอระดับน้ำที่สูงกว่าเมตรก็แนะนำว่าอย่าไปขับมัน หาเรือมาซิ้งดีกว่าขับ ทั้งนี้อย่างที่บอกไปในเบื้องต้นว่าการประเมินระดับน้ำนั้นต้องอาศัยสิ่งที่ ช่วยอ้างอิง และที่สำคัญ ต้องรู้จักรถเราอย่างดี ว่าระดับไหนที่ปลอดภัย อย่าฝืน มิฉะนั้น อาจจะดับกลางทางได้ครับ
สุดท้ายนี้ ขอให้เพื่อนๆ ช่วยเป็นกำลังใจให้ผู้ที่ประสบภัยธรรมชาติอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม หรือกำลังเตรียมการรับมือกับน้ำท่วม และน้ำท่วมรถ ฝ่าวิกฤตนี้ไปให้ได้ ซึ่งถ้าเพื่อนๆ สามารถช่วยเหลือสิ่งใดได้ก็ขอให้ช่วยเหลือตามกำลังความสามารถครับ

ที่มา http://www.thaicarlover.com