โลกในมุมมองของ Value Investor 26 มิถุนายน 53
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Value Investor หนุ่มสาวหลายคน โดยเฉพาะที่เริ่มประสบความสำเร็จจากการลงทุนอย่างงดงามนั้น มักจะมีความฝันที่บรรเจิด พวกเขามักจะคำนวณตัวเลขความมั่งคั่งที่เขาจะมีในอนาคตโดยอิงจากผลตอบแทนที่ ผ่านมาในช่วง 3-4 ปี ซึ่งสูงมากเช่นเฉลี่ยปีละ 40-50% และบางคนมากยิ่งกว่านั้น
พวกเขารู้ว่าการทำกำไรจากตลาดหุ้นปีละ 40-50% ในระยะยาวนั้นยากมาก โดยเฉพาะเมื่อภาวะตลาดไม่อำนวยและพอร์ตลงทุนมีขนาดใหญ่ขึ้น ดังนั้นเขาก็จะลดประมาณการผลตอบแทนลง อย่างไรก็ตาม เขาคิดว่าการทำผลตอบแทนปีละ 20-25% นั้นไม่ใช่เรื่องยาก ว่าที่จริงบางทีผ่านไป 2-3 เดือนเขาก็ได้กำไรมาแล้วทั้ง ๆ ที่ภาวะตลาดหุ้นก็ไม่ได้ดีนัก
การตั้งเป้าผลตอบแทนที่ 25% ต่อปีในระยะยาวนั้นแปลว่าเขาอาจจะสามารถ มี “อิสรภาพทางการเงิน” หรือเลิกทำงานประจำได้ภายในอาจจะ 10-15 ปี สำหรับ VI ที่ไม่ได้มีพ่อแม่ที่ร่ำรวย และอาจจะทำให้เขามีเงินเป็นหลายสิบหรือร้อยล้านในกรณีที่ทางบ้านมีฐานะดีและ เขาเริ่มลงทุนด้วยเงินเป็นหลักหลายล้านบาท
ไม่ว่าในกรณีใด VI หนุ่มสาวที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในช่วงต้นของการลงทุนมักจะมีความฝัน ว่าวันหนึ่งตนเองจะร่ำรวยในระดับ “เศรษฐี” มีเงินอย่างน้อยก็น่าจะ “หลายสิบล้านบาท” หรือในกรณีที่เริ่มต้นด้วยเงินมากก็จะมีเงินนับร้อยหรือพันล้านบาท และนั่นก็จะทำให้เขา “ฝันข้ามเวลา” คือฝันที่ยังห่างไกลอีกมากว่า เขาจะทำอะไรเมื่อวันนั้นมาถึง
หลายคนฝันว่าเขาจะไป “ท่องโลก” เพื่อที่จะได้เห็นชีวิตและวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งนอกจากจะสนองความอยากรู้และรื่นรมย์แล้ว มันยังช่วยขยายวิชั่นของเขาซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนด้วย ถ้าจะพูดไป จิม โรเจอร์ นักลงทุนเอกคนหนึ่งของโลกก็เคยเดินทาง “รอบโลก” มาแล้วสองครั้ง หลังจากที่ร่ำรวยมหาศาลจากการลงทุนร่วมกับจอร์จ โซรอส
หลายคนอาจจะฝันที่จะมีบ้านใหญ่ รถหรู และสามารถใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้หลังจากที่ตนเองร่ำรวยพอที่จะทำอย่างนั้นได้ โดยไม่กระทบกับความมั่งคั่งส่วนตน อย่างไรก็ตาม นี่เป็นความฝันที่อาจจะ “อยู่ลึก” ในใจ เนื่องจากการ “บริโภค” สิ่งที่ฟุ่มเฟือยนั้น ดูเหมือนว่าจะขัดกับแนวทางการดำเนินชีวิตของ VI ดังนั้น ฝันของการมีชีวิตหรูหราจึงมักจะเป็นฝันรายการท้าย ๆ ของ VI หลาย ๆ คนโดยเฉพาะคนที่ไม่ได้ร่ำรวยมาก่อนอยู่แล้ว
ตรงกันข้ามกับการได้ใช้ชีวิตหรูหราสุขสบาย VI จำนวนไม่น้อยฝันว่าจะ “คืนให้แก่สังคม” โดยการบริจาคทรัพย์ให้แก่สาธารณกุศล หลายคนคิดว่าจะ “ตั้งมูลนิธิ” เพื่อช่วยเหลือคนอื่น VI บางคนคิดว่าตนเองอยากเป็นอาจารย์หรือครูที่จะนำความรู้และประสบการณ์ไปช่วย สอนนักศึกษา เหนือสิ่งอื่นใด เหล่านี้คือกิจกรรมที่ VI ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น วอเร็น บัฟเฟตต์ และจอร์จ โซรอส ได้ทำหลังจากที่ร่ำรวยมหาศาลจากการลงทุนแล้ว
ผมเองคิดว่า ความฝันนั้นเป็นสิ่งที่ดี มันช่วยทำให้เรามีจิตใจที่มุ่งมั่นที่จะลงทุน เราจะทุ่มเทในการศึกษาหาความรู้ เราจะอดออมได้มากกว่าปกติ ทั้งหมดนั้นจะทำให้พอร์ตของเราโตเร็วขึ้น ความฝันคือแรงกระตุ้นที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์ ว่าที่จริงผมเองก็เคยฝันมาตั้งแต่เริ่มเดินทางสาย VI ใหม่ ๆ
แต่ประสบการณ์ของผมก็คือ ความฝันนั้นเรามักจะ “ไปไม่ถึง” สาเหตุก็คือ บางครั้งเราตั้งความฝันไว้สูงเกินไป ผลตอบแทนที่เราคาดหวังนั้น เราตั้งไว้สูงยิ่งกว่าสิ่งที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ ทำได้ เราคิดว่าเราทำได้ใน 4-5 ปี ดังนั้นเราน่าจะทำได้ในอีก10-20 ปีหรือมากกว่านั้น ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก
อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฝันไม่เป็นจริงก็คือ ความฝันนั้น “ไม่หยุดนิ่ง” มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ตามกาลเวลาและตามสถานะของตัวเรา ตัวอย่างเช่น เรื่องของความมั่งคั่งนั้น VI บางคนอาจจะตั้งความฝันไว้ว่าจะมีเงินถึงจุดหนึ่งเช่น 50 ล้านบาท แล้วก็จะ “หยุด” เพราะรู้สึกว่า “พอแล้ว” แต่เมื่อถึงเวลาที่เขามีเงิน 50 ล้านบาทจริง ๆ เขาก็อาจจะรู้สึกว่ายังไม่พอหรือยังไม่อยากหยุด พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงบัฟเฟตต์ ซึ่งว่ากันว่า เขาเคยคิดที่จะเลิกลงทุนหลังจากมีเงินประมาณ 40-50 ล้านเหรียญหรือ 1,000 ล้านบาทไทยเพื่อหันไป “ทำอย่างอื่น” ในชีวิตและเกือบจะทำอย่างนั้นจริง ๆ แต่สุดท้าย เขาก็ล้มเลิกความคิดนั้นและหันกลับมาลงทุนใหม่จนถึงทุกวันนี้
ความฝันอื่น ๆ ที่กล่าวถึงก็เป็นเรื่องที่มักจะเปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน สมมุติว่าเขาประสบความสำเร็จและมีความมั่งคั่งตามที่ฝันจริง โอกาสที่เขาจะ “เดินทางรอบโลก” หรือมีบ้านใหญ่โตหรูหรานั้นก็มักจะไม่เกิดขึ้น บางทีเขาอาจจะคิดว่ามันเหนื่อยเกินไปที่จะเดินทางไกลหรือไม่มีความจำเป็นที่ จะต้องเปลี่ยนบ้าน เรื่องของ “มูลนิธิ” นั้นก็ดูยุ่งเกินไปและไม่เห็นจะจำเป็น ถ้าอยากทำบุญก็บริจาคให้ใครก็ได้ เช่นเดียวกัน การเป็นอาจารย์สอนนักเรียนนั้น ถ้าสอนเป็นครั้ง ๆ ก็น่าสนุก แต่ถ้าต้องสอนเป็นเรื่องเป็นราวดูเหมือนว่ามันจะเป็นความทุกข์ เหนือสิ่งอื่นใด นักศึกษาส่วนใหญ่นั้นก็อาจจะไม่ได้สนใจ “ความรู้” ของเราเท่าไรนัก เขาอาจจะแค่ต้องการสอบให้ผ่านเท่านั้น
สิ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นจริงได้มากที่สุดก็คือ VI นั้นจะไม่หยุดลงทุนไม่ว่าความฝันอะไรจะเป็นจริงหรือไม่จริง ไม่เชื่อก็ดู VI ระดับเซียนทั้งหลายที่ไม่เคยเกษียณแม้ว่าอายุจะเลย 80 ปีไปแล้ว บัฟเฟตต์บอกว่าเขาและชาร์ลี มังเกอร์ นั้นจะลงทุนจนกว่าจะจำกันและกันไม่ได้แล้วเท่านั้น
ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ ฝันนั้น ฝันได้และควรจะฝัน พยายามทำให้ความฝันนั้น Realistic คือมีเหตุผลไม่เกินความเป็นจริง การฝันถึงสิ่งที่อยากทำเมื่อประสบความสำเร็จและมั่งคั่งแล้วนั้นก็ทำได้ แต่ก็จงตระหนักว่ามันอาจจะไปไม่ถึง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เราอาจไม่ใช่ตัวคนเดียว เรามี “หุ้นส่วนชีวิต” ทั้งภรรยาและลูกที่จะต้องปรึกษาและเห็นชอบด้วย แม้แต่ วอเร็น บัฟเฟตต์ เองนั้น ก่อนหน้าที่ภรรยาคนก่อนของเขาจะเสียชีวิต เขาบอกว่าถ้าเขาตายก่อน ทรัพย์สมบัติก็จะกลายเป็นของภรรยา แต่ถ้าภรรยาตายก่อน เงินส่วนใหญ่ของเขาก็จะถูก “คืนกลับไปสู่สังคม” และนั่นคือที่มาของการบริจาคเงินก้อนมโหราฬของเขาให้กับมูลนิธิของบิลเกต