1. โครงสร้างพื้นฐานของยางรถยนต์ (Basic Structure) |
1. หน้ายาง (Tread)
เป็นส่วนที่อยู่นอกสุดของยาง และเป็นส่วนที่สัมผัสผิวถนน ทำหน้าที่ป้องกันของมีคม ที่จะทำอันตรายต่อโครงยาง ที่หน้ายางก็ประกอบไปด้วยดอกยางและร่องยาง เพื่อทำหน้าที่ในการยึดเกาะถนนมีแรงกรุยเวลาวิ่ง เบรกหยุดได้มั่นใจ เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันนี้ดอกยางมีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็จะให้ประสิทธิภาพที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น ควรเลือกชนิดของดอกยางให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งาน
เป็นส่วนที่อยู่นอกสุดของยาง และเป็นส่วนที่สัมผัสผิวถนน ทำหน้าที่ป้องกันของมีคม ที่จะทำอันตรายต่อโครงยาง ที่หน้ายางก็ประกอบไปด้วยดอกยางและร่องยาง เพื่อทำหน้าที่ในการยึดเกาะถนนมีแรงกรุยเวลาวิ่ง เบรกหยุดได้มั่นใจ เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันนี้ดอกยางมีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็จะให้ประสิทธิภาพที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น ควรเลือกชนิดของดอกยางให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งาน
2. ไหล่ยาง (Shoulder)
ประกอบด้วยเนื้อยางที่หนา หน้าที่ของเนื้อยางก็คือ ป้องกันอันตรายที่จะมีต่อโครงยาง ปกติไหล่ยางจะถูกออกแบบเป็นร่องให้เหมาะสมเพื่อช่วยระบายความร้อนภายในยางออกมาได้ง่าย
ประกอบด้วยเนื้อยางที่หนา หน้าที่ของเนื้อยางก็คือ ป้องกันอันตรายที่จะมีต่อโครงยาง ปกติไหล่ยางจะถูกออกแบบเป็นร่องให้เหมาะสมเพื่อช่วยระบายความร้อนภายในยางออกมาได้ง่าย
3. แก้มยาง (Sidewall)
เป็นส่วนนอกสุดของยางที่ไม่ได้สัมผัสพื้นถนนที่รถวิ่งอยู่ ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายที่มีต่อโครงยางและเป็นยางส่วนที่ยืดหยุ่น (Flexible) มากที่สุดของยาง
เป็นส่วนนอกสุดของยางที่ไม่ได้สัมผัสพื้นถนนที่รถวิ่งอยู่ ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายที่มีต่อโครงยางและเป็นยางส่วนที่ยืดหยุ่น (Flexible) มากที่สุดของยาง
4. โครงยาง (Carcass)
เป็นส่วนประกอบหลักของยาง ซึ่งมีบทบาทสำคัญที่จะรักษาความดันลมภายในยางเพื่อให้ยางสามารถรับน้ำหนักบรรทุกได้ รวมทั้งต้องทนทานต่อแรงกระแทกหรือ สั่นสะเทือนจากถนนที่มีต่อยางได้ดี
เป็นส่วนประกอบหลักของยาง ซึ่งมีบทบาทสำคัญที่จะรักษาความดันลมภายในยางเพื่อให้ยางสามารถรับน้ำหนักบรรทุกได้ รวมทั้งต้องทนทานต่อแรงกระแทกหรือ สั่นสะเทือนจากถนนที่มีต่อยางได้ดี
5. ผ้าใบเสริมหน้ายาง หรือ เข็มขัดรัดหน้ายาง (Breaker or Belt)
เป็นชั้นที่อยู่ระหว่างหน้ายาง (Tread) กับโครงยาง (Carcass) ในกรณีของยางธรรมดา (Bias Tire) เราเรียกว่า “ผ้าใบเสริมใยหน้ายาง (Breaker)” และในกรณีของยางเรเดียล (Radial Tire) จะเรียกว่า “เข็มขัดรัดหน้ายาง (Belt)” ซึ่งทำหน้าที่ให้หน้ายางมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น รับแรงกระแทกได้ดี และป้องกันไม่ให้โครงยางชำรุดเสียหาย หมายเหตุ มียางธรรมดา (Bias) บางรุ่นที่สภาพการใช้งานไม่รุนแรง อาจจะออกแบบโดยไม่มีชั้นของผ้าใบเสริมหน้ายาง (Breaker) ก็ได้
เป็นชั้นที่อยู่ระหว่างหน้ายาง (Tread) กับโครงยาง (Carcass) ในกรณีของยางธรรมดา (Bias Tire) เราเรียกว่า “ผ้าใบเสริมใยหน้ายาง (Breaker)” และในกรณีของยางเรเดียล (Radial Tire) จะเรียกว่า “เข็มขัดรัดหน้ายาง (Belt)” ซึ่งทำหน้าที่ให้หน้ายางมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น รับแรงกระแทกได้ดี และป้องกันไม่ให้โครงยางชำรุดเสียหาย หมายเหตุ มียางธรรมดา (Bias) บางรุ่นที่สภาพการใช้งานไม่รุนแรง อาจจะออกแบบโดยไม่มีชั้นของผ้าใบเสริมหน้ายาง (Breaker) ก็ได้
6. ขอบยาง (Bead)
ประกอบด้วยกลุ่มของเส้นลวดเหล็กกล้า (High Carbon Steel) ที่ช่วยยึดส่วนปลายทั้ง 2 ข้างของโครงยางไว้ เพื่อให้บริเวณขอบยาง (Bead) มีความแข็งแรง สามารถยึดแน่นสนิทกับกระทะล้อได้ดี เมื่อนำไปใช้งาน สำหรับยางรถยนต์ที่ไม่ใช้ยางใน (Tubeless Tire) ขอบยางเป็นส่วนที่สำคัญที่จะต้องทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ลมยางรั่วซึมออกมา ยางรถยนต์ซึ่งด้านหนึ่งประกอบด้วยขดลวด (Bead wire) ขอบยางเป็นส่วนที่สำคัญที่จะต้องทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ลมยางรั่วซึมออกมา.
ประกอบด้วยกลุ่มของเส้นลวดเหล็กกล้า (High Carbon Steel) ที่ช่วยยึดส่วนปลายทั้ง 2 ข้างของโครงยางไว้ เพื่อให้บริเวณขอบยาง (Bead) มีความแข็งแรง สามารถยึดแน่นสนิทกับกระทะล้อได้ดี เมื่อนำไปใช้งาน สำหรับยางรถยนต์ที่ไม่ใช้ยางใน (Tubeless Tire) ขอบยางเป็นส่วนที่สำคัญที่จะต้องทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ลมยางรั่วซึมออกมา ยางรถยนต์ซึ่งด้านหนึ่งประกอบด้วยขดลวด (Bead wire) ขอบยางเป็นส่วนที่สำคัญที่จะต้องทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ลมยางรั่วซึมออกมา.
2. หน้าที่สำคัญของยาง |
ยางรถยนต์นั้น มีหน้าที่สำคัญถึง 4 ประการ ที่จะช่วยให้คุณขับรถได้อย่างปลอดภัย
1. 1. รับน้ำหนักรถยนต์และน้ำหนักบรรทุก
2. ลดแรงกระแทกและสั่นสะเทือนจากพื้นถนน
3. เป็นตัวกลางถ่ายทอดพลังงานขับเคลื่อน และการหยุดรถลงสู่พื้นผิวถนน
4. ทำให้รถเปลี่ยนทิศทางได้ตามความประสงค์
3. สัญลักษณ์บนยาง |
1. ชื่อผู้ผลิตยาง
2. ชื่อรุ่นยางของผู้ผลิต
3. ความกว้างของหน้ายาง (หน่วยเป็นมิลลิเมตร)
4. อัตราความสูงของแก้มยางต่อความกว้างของหน้ายาง(ซีรีส์) มีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ (%)
5. เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ (หน่วยเป็นนิ้ว)
6. ดัชนีการรับน้ำหนัก (Load Index)
7.สัญลักษณ์ความเร็ว (Speed Symbol)
2. ชื่อรุ่นยางของผู้ผลิต
3. ความกว้างของหน้ายาง (หน่วยเป็นมิลลิเมตร)
4. อัตราความสูงของแก้มยางต่อความกว้างของหน้ายาง(ซีรีส์) มีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ (%)
5. เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ (หน่วยเป็นนิ้ว)
6. ดัชนีการรับน้ำหนัก (Load Index)
7.สัญลักษณ์ความเร็ว (Speed Symbol)
ตารางดัชนีน้ำหนักบรรทุก (Load Index)
Load Index | กิโลกรัม | Load Index | กิโลกรัม | Load Index | กิโลกรัม |
80 81 82 83 84 85 86 87 88 89 90 | 450 462 475 487 500 515 530 545 560 580 600 | 91 92 93 94 95 96 97 98 99 100 101 | 615 630 650 670 690 710 730 750 775 800 825 | 102 103 104 105 106 107 108 109 110 111 112 | 850 875 900 925 950 975 1000 1030 1060 1090 11120 |
Source: http://www.b-quik.com
สัญลักษณ์ความเร็ว (Speed Symbol)
สัญลักษณ์ | ความเร็ว (กม./ชม.) |
S T H VR V W ZR | 180 190 210 เกินกว่า 210 240 270 เกินกว่า 240 |
Source: http://www.b-quik.com
4. ดอกยาง |
การเลือกใช้ลักษณะดอกยางให้ถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพการใช้งานนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์จากการใช้งานอย่างเต็มที่ และตอบสนองลักษณะการขับขี่ที่แตกต่างกันด้วยลายดอกยาง จึงได้มีการคิดค้นและพัฒนามาโดยตลอดจนปัจจุบันมีลายดอกยางมากมายนับไม่ถ้วน อย่างไรก็ดีหากแบ่งลายดอกยางโดยคำนึงถึงทิศทางการเคลื่อนที่ สามารถแบ่งได้ใน 2 ลักษณะ คือ
1.ดอกยางแบบ 2 ทิศทาง
เป็นลักษณะของลายดอกยางที่จะสามารถสลับยางได้ในทุกตำแหน่งล้อของรถ ลักษณะดอกยางทั้ง 2 ด้าน จะสวนทิศทางกันหาก เป็นการขับขี่ทั่วไปไม่เน้นความเร็วสูง ดอกยางลักษณะนี้สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างดีเยี่ยม
เป็นลักษณะของลายดอกยางที่จะสามารถสลับยางได้ในทุกตำแหน่งล้อของรถ ลักษณะดอกยางทั้ง 2 ด้าน จะสวนทิศทางกันหาก เป็นการขับขี่ทั่วไปไม่เน้นความเร็วสูง ดอกยางลักษณะนี้สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างดีเยี่ยม
Source: http://www.b-quik.com
2. ดอกยางทิศทางแบบทิศทางเดียว (Uni-Direction)
ลายของดอกยางจะถูกบังคับให้หมุนไปในทิศทางเดียวเท่านั้น โดยมีลูกศรบอกทิศทางการหมุนอยู่ที่แก้มยางทั้ง 2 ด้าน ดังนั้น การสลับยางจะสลับได้เพียงด้านเดียวเท่านั้น เช่น สลับด้านหน้าขวากับหลังขวา หรือด้านหน้าซ้ายกับหลังซ้ายเว้นแต่จะถอดตัว ยางออกจากกระทะล้อเดิมไปใส่กับกระทะล้อฝั่งตรงกันข้าม แต่ต้องจัดวางทิศทางการหมุนของดอกยางให้ถูกต้องเช่นเดิม มิเช่นนั้นแล้วจะทำให้ทิศทางการหมุนของยางเปลี่ยนกลับทิศทางทำให้ประสิทธิภาพของยางลดลง จุดเด่นของดอกยางแบบทิศทางเดียว คือ สามารถไล่น้ำออกจากหน้ายางได้รวดเร็วกว่าแบบ 2 ทิศทางป้องกันอาการเหินน้ำ (Hydroplaning) ซึ่งจะทำให้ควบคุมบังคับ รถได้ลำบากและเกิดการลื่นไถลได้ง่าย
ลายของดอกยางจะถูกบังคับให้หมุนไปในทิศทางเดียวเท่านั้น โดยมีลูกศรบอกทิศทางการหมุนอยู่ที่แก้มยางทั้ง 2 ด้าน ดังนั้น การสลับยางจะสลับได้เพียงด้านเดียวเท่านั้น เช่น สลับด้านหน้าขวากับหลังขวา หรือด้านหน้าซ้ายกับหลังซ้ายเว้นแต่จะถอดตัว ยางออกจากกระทะล้อเดิมไปใส่กับกระทะล้อฝั่งตรงกันข้าม แต่ต้องจัดวางทิศทางการหมุนของดอกยางให้ถูกต้องเช่นเดิม มิเช่นนั้นแล้วจะทำให้ทิศทางการหมุนของยางเปลี่ยนกลับทิศทางทำให้ประสิทธิภาพของยางลดลง จุดเด่นของดอกยางแบบทิศทางเดียว คือ สามารถไล่น้ำออกจากหน้ายางได้รวดเร็วกว่าแบบ 2 ทิศทางป้องกันอาการเหินน้ำ (Hydroplaning) ซึ่งจะทำให้ควบคุมบังคับ รถได้ลำบากและเกิดการลื่นไถลได้ง่าย
ส่วนประกอบดอกยางจะเป็นเนื้อยางธรรมชาติ หรือ ยางสังเคราะห์ ขึ้นอยู่กับการใช้งาน
ยางธรรมชาติ – ให้ความยืดหยุ่น ระบายความร้อนดี แต่ไม่ทนสึก
ยางสังเคราะห์ – ให้ความยืดหยุ่นน้อย ระบายความร้อนพอใช้ แต่ทนสึก
ยางธรรมชาติ – ให้ความยืดหยุ่น ระบายความร้อนดี แต่ไม่ทนสึก
ยางสังเคราะห์ – ให้ความยืดหยุ่นน้อย ระบายความร้อนพอใช้ แต่ทนสึก
ส่วนประกอบของดอกยาง
1. ดอกยาง – สัมผัสถนนทำหน้าที่ยึดเกาะถนน
2. ร่องยาง - ร่องระบายน้ำ รีดโคลน
3. ร่องเล็กบนดอกยาง - ช่วยเกาะถนน เพิ่มความยืดหยุ่นในดอกยาง
1. ดอกยาง – สัมผัสถนนทำหน้าที่ยึดเกาะถนน
2. ร่องยาง - ร่องระบายน้ำ รีดโคลน
3. ร่องเล็กบนดอกยาง - ช่วยเกาะถนน เพิ่มความยืดหยุ่นในดอกยาง
ดอกเรียบ RIB | ดอกบั้ง LUG | ดอกผสม MIX | |
คุณลักษณะพิเศษ | ดอกยาง 60:ร่องยาง 40 / พื้นที่เกาะถนนมาก ดอกยางต่อเนื่อง | ดอกยาง 40:ร่องยาง 60 / ดอกยางอิสระ เพิ่มขอบตะกุย | ดอกยาง 50:ร่องยาง 50 / ดอกยางอิสระ เรียงตัวเหมือนดอกเรียบ |
คุณประโยชน์ | เกาะถนนดี บังคับแม่นยำ รีดน้ำเต็มประสิทธิภาพ | มีแรงกรุยสูง ลุยโคลน หิมะ ร่องยางใหญ่ สลัดโคลน | เกาะถนนลดลง แต่เริ่มแรงกรุย / รีดน้ำเต็มประสิทธิภาพ |
คุณลักษณะเสริม | เสริมด้วยร่องเล็กในดอกยาง ยืดหยุ่น เพิ่มแรงกรุย | ดอกยางมีเหลี่ยมกัด | เสริมด้วยร่องเล็กในดอกยาง ยืดหยุ่นเพิ่มแรงกรุย |
การใช้งาน | รถเก๋ง รถบัสโดยสาร ล้อหน้ารถบรรทุก | รถขับเคลื่อน 4 ล้อ, ล้อหลังรถบรรทุก, รถไถนา | รถ SUV, รถตรวจการณ์ |
Source: http://www.bridgestone.co.th
5. ส่วนประกอบของยางโดยน้ำหนัก |
14% ยางธรรมชาต
ิ 27% ยางสังเคราะห์
28% ผงถ่าน
10% น้ำมัน
4% สารเคมี
4% เส้นใย
10% เส้นลวด
3% อื่นๆ
ิ 27% ยางสังเคราะห์
28% ผงถ่าน
10% น้ำมัน
4% สารเคมี
4% เส้นใย
10% เส้นลวด
3% อื่นๆ
6. ข้อควรรู้ในการเปลี่ยนยางใหม่ |
เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนยางเส้นใหม่หรือชุดใหม่สำหรับรถคุณ สิ่งที่คุณควรรู้และตรวจสอบทุกครั้ง ก็คือ
1. ควรเลือกใช้ยางที่มีขนาด ชนิดโครงสร้างของยาง ลักษณะดอกยาง และความลึกร่องดอกยางที่เหมาะสมกับประเภทการใช้งาน
2. ควรเลือกใช้ยางยี่ห้อและรุ่นเดียวกันทั้งชุด หากจำเป็นหรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรใส่ยางยี่ห้อ และรุ่นเดียวกันในเพลาหรือล้อคู่เดียวกัน
3. ควรเปลี่ยนยางทั้งชุดในคราวเดียวกัน เพื่อให้ประสิทธิภาพการใช้งานของยางทุกเส้นใกล้เคียงกัน หรือเปลี่ยนครั้งละ 2 เส้นในเพลาเดียวก
ัน 4. หากจำเป็นต้องเปลี่ยนคราวละ 2 เส้น ยางเส้นใหม่ควรติดตั้งที่ตำแหน่งล้อขับเคลื่อน
5. กรณีที่เลือกใช้ยางแบบทิศทางเดียว (uni-direction) ต้องตรวจดูทิศทางการหมุนของยางว่าถูกต้องไปตามทิศทางที่กำหนดหรือไม่โดยสังเกตจากเครื่องหมายลูกศรที่ระบุไว้บนแก้มยาง เพราะการใส่ยางกลับทิศทางจะทำให้ประสิทธิภาพของยางในการรีดน้ำลดลง
ในการเปลี่ยนยางเส้นใหม่หรือชุดใหม่นั้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งานยังมีข้อแนะนำอื่นๆ เพิ่มเติมอีก ดังนี้
1. ควรเลือกขนาดความกว้างของกระทะล้อ ที่เหมาะสมกับยางขนาดนั้นๆ (ประมาณ 70-75% ของความกว้างยาง)
2. ต้องทำการถ่วงล้อทุกครั้งที่เปลี่ยนยาง เพื่อให้การหมุนของยางเกิดความสมดุล และไม่เกิดอาการสั่นที่พวงมาลัยและตัวรถเมื่อขับขี่ ใช้งานจริง
3. เมื่อเปลี่ยนยางใหม่ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเปลี่ยนทั้ง 4 เส้น หรือ 2 เส้นด้านหน้า ควรต้องทำการตรวจเช็ค ศูนย์ล้อเสมอเพื่อป้องกันการสึกหรอผิดปกติเกิดขึ้น แค่นี้ ก็ช่วยให้คุณเกิดความมั่นใจมากขึ้น จากการเปลี่ยนยางเส้นใหม่สำหรับรถของคุณ และได้รับประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งาน
1. ควรเลือกใช้ยางที่มีขนาด ชนิดโครงสร้างของยาง ลักษณะดอกยาง และความลึกร่องดอกยางที่เหมาะสมกับประเภทการใช้งาน
2. ควรเลือกใช้ยางยี่ห้อและรุ่นเดียวกันทั้งชุด หากจำเป็นหรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรใส่ยางยี่ห้อ และรุ่นเดียวกันในเพลาหรือล้อคู่เดียวกัน
3. ควรเปลี่ยนยางทั้งชุดในคราวเดียวกัน เพื่อให้ประสิทธิภาพการใช้งานของยางทุกเส้นใกล้เคียงกัน หรือเปลี่ยนครั้งละ 2 เส้นในเพลาเดียวก
ัน 4. หากจำเป็นต้องเปลี่ยนคราวละ 2 เส้น ยางเส้นใหม่ควรติดตั้งที่ตำแหน่งล้อขับเคลื่อน
5. กรณีที่เลือกใช้ยางแบบทิศทางเดียว (uni-direction) ต้องตรวจดูทิศทางการหมุนของยางว่าถูกต้องไปตามทิศทางที่กำหนดหรือไม่โดยสังเกตจากเครื่องหมายลูกศรที่ระบุไว้บนแก้มยาง เพราะการใส่ยางกลับทิศทางจะทำให้ประสิทธิภาพของยางในการรีดน้ำลดลง
ในการเปลี่ยนยางเส้นใหม่หรือชุดใหม่นั้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งานยังมีข้อแนะนำอื่นๆ เพิ่มเติมอีก ดังนี้
1. ควรเลือกขนาดความกว้างของกระทะล้อ ที่เหมาะสมกับยางขนาดนั้นๆ (ประมาณ 70-75% ของความกว้างยาง)
2. ต้องทำการถ่วงล้อทุกครั้งที่เปลี่ยนยาง เพื่อให้การหมุนของยางเกิดความสมดุล และไม่เกิดอาการสั่นที่พวงมาลัยและตัวรถเมื่อขับขี่ ใช้งานจริง
3. เมื่อเปลี่ยนยางใหม่ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเปลี่ยนทั้ง 4 เส้น หรือ 2 เส้นด้านหน้า ควรต้องทำการตรวจเช็ค ศูนย์ล้อเสมอเพื่อป้องกันการสึกหรอผิดปกติเกิดขึ้น แค่นี้ ก็ช่วยให้คุณเกิดความมั่นใจมากขึ้น จากการเปลี่ยนยางเส้นใหม่สำหรับรถของคุณ และได้รับประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งาน
7. ข้อคำนึงในการเปลี่ยนขนาดยางและกระทะล้อ |
โดยปกติ ยางและกระทะล้อที่ติดมากับรถแต่ละรุ่น จะมีขนาดเหมาะสมกับรถ เมื่อวิ่งด้วยความเร็วมาตรฐาน ตามภาวะใช้งานปกติ ของผู้ขับขี่ส่วนใหญ่อยู่แล้ว หากแต่ผู้ใช้รถบางท่าน อาจต้องการความสวยงามหรือประสิทธิภาพด้านอื่นเพิ่มขึ้น จึงเปลี่ยนขนาดยาง และกระทะล้อ จากขนาดเดิมที่ติดมากับรถ ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนขนาดยางและกระทะล้อ ก็คือ ความสามารถ ในการรับน้ำหนัก และเส้นผ่าศูนย์กลางของยางชุดใหม่ ควรจะใกล้เคียงกับยางชุดเดิมเป็นสำคัญ ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดผลเสียดังนี้
1. หากใช้ยางขนาดเล็กเกินไป ไม่เพียงจะรับน้ำหนักได้น้อยลง ยังทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน มาตรวัดความเร็วของรถ จะอ่านคลาดเคลื่อน จากความจริง
2. หากใช้ยางขนาดใหญ่เกินไป ยางจะเสียดสีกับตัวรถ พวงมาลัยจะหนักทั้งขณะวิ่งช้าและจอด มาตรวัดความเร็วจะอ่านคลาดเคลื่อน เช่นเดียวกัน
ดังนั้น สำหรับรถยนต์ที่เพิ่มขนาดของขอบกระทะล้อให้ใหญ่ขึ้นจากเดิม เช่น จากขนาด 14” ไปเป็นขนาด 15” ก็จะต้อง เปลี่ยนขนาดยางด้วยเช่นกัน ซึ่งยางที่เปลี่ยนใหม่นี้ จะต้องลดขนาดของแก้มยางหรือซีรีส์ลงจากเดิม เพื่อให้มี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ของยางใกล้เคียงกับยางขนาดเดิมให้มากที่สุด เพื่อรักษาระดับความสูงของตัวรถยนต์ให้คงเดิม และให้เครื่องยนต์สามารถทำงาน ได้ตามปกติ โดยเฉพาะอัตราเร่งและการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งมาตรวัดความเร็วไม่คลาดเคลื่อนไปจากมาตรฐานเดิม
สำหรับผู้ใช้บางกลุ่ม เช่น รถกระบะขับเคลื่อน 4 ล้อแท้ๆ รวมทั้งรถกระบะขับเคลื่อน 2 ล้อที่ตกแต่งให้ดูคล้ายกับรถขับเคลื่อน 4 ล้อ มักจะนิยมเปลี่ยนขนาดกระทะล้อ และยางให้มีขนาดใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม หรือที่เรียกกันว่า Over Size โดยจะไม่คำนึงถึง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาง และผลกระทบต่อการทำงานของเครื่องยนต์ดังที่กล่าวมา เพราะต้องการให้ยางมีขนาดแก้มยางที่สูงขึ้น ทำให้สามารถรองรับแรงกระแทก จากพื้นถนนที่ขรุขระทุรกันดารได้ดี อีกทั้งจะทำให้ระดับของตัวรถ ยกสูงขึ้นจากเดิม เพิ่มความมั่นใจ ขณะขับขี่ ลุยป่า หรือข้ามลำธารตื้นๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งการเปลี่ยนขนาดของกระทะล้อ และยางให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสียเช่นกัน
8. ข้อดี ข้อเสียของการเปลี่ยนขนาดขอบกระทะล้อและยาง |
การเปลี่ยนขนาดของขอบกระทะล้อและยางนั้นไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนให้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากขึ้น หรือน้อยลงก็ตามมีทั้งข้อดี และ ข้อเสียด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
การเปลี่ยนกระทะล้อให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ใหญ่ขึ้น แต่ใช้ยางที่มีขนาดความสูงของแก้มยางต่ำลง หรือมีซีรี่ส์ต่ำลงมีข้อดี ก็คือ ช่วยเพิ่มการทรงตัว และยึดเกาะถนนขณะที่ใช้ความเร็วบนทางตรงและทางโค้ง ได้ดียิ่งขึ้นการเบรกก็ทำได้ดีกว่าเดิมแต่ข้อเสีย ก็คือการ ต้องใช้แก้มยางที่ต่ำลงทำให้ช่วงล่างสึกหรอเร็ว และความนุ่มนวลในการขับขี่ลดลง
ส่วนการเปลี่ยนขนาดกระทะล้อให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ใหญ่ขึ้น และใช้ยางที่มีขนาดความสูงของแก้มยางเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น ข้อดี คือ มีความนุ่มนวลเพิ่มขึ้นแต่อัตราเร่งอาจลดต่ำลงกว่าเดิมการทรงตัวในขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงก็จะไม่ดีเท่าที่ควร
9. การเปลี่ยนขนาดกระทะล้อที่เหมาะกับยาง |
กระทะล้อกว้างเกินไป
- ความสามารถในการยึดเกาะถนนลดลง
- ความนุ่มนวลในการขับขี่ลดลง
- ดอกยางสึกผิดปกติ
- ความสามารถในการยึดเกาะถนนลดลง
- ความนุ่มนวลในการขับขี่ลดลง
- ดอกยางสึกผิดปกติ
กระทะล้อแคบไป
- ความสามารถในการยึดเกาะถนนลดลง
- ขอบยางเสียหายได้ง่าย
- ดอกยางสึกผิดปกติ
- ความสามารถในการยึดเกาะถนนลดลง
- ขอบยางเสียหายได้ง่าย
- ดอกยางสึกผิดปกติ
10. อายุยาง กับ การบรรทุก (Load Capacity) |
น้ำหนักบรรทุกมีผลอย่างมากต่ออายุของยาง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องควบคุมน้ำหนักบรรทุกให้มีความสัมพันธ์กับความดันลมยางให้มากกว่ากำหนด เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับน้ำหนักของยางให้มากขึ้น เพราะการเพิ่มความดันลมยางให้มากขึ้น จะมีผลต่อยางที่กล่าวมาแล้ว ในกรณีที่บรรทุกน้ำหนักเกินอัตรา ก็จะทำให้
- โครงยางบริเวณแก้มยาง หรือ ขอบยาง หักหรือระเบิดได้ง่ายเนื่องจากด้านน้ำหนักที่กดลงมาไม่ไหว
- ความร้อนภายในยางจะเกิดสูงขึ้นมาก ทำให้การยึดเกาะระหว่างเนื้อยางกับโครงยางลดลง และแยกออกจากกันได้ง่าย
- การบิดตัวของหน้ายางมีมาก ทำให้ยางสึกหรอเร็ว และสึกหรอไม่เรียบ ทำให้อายุยางลดลง
- โครงยางบริเวณแก้มยาง หรือ ขอบยาง หักหรือระเบิดได้ง่ายเนื่องจากด้านน้ำหนักที่กดลงมาไม่ไหว
- ความร้อนภายในยางจะเกิดสูงขึ้นมาก ทำให้การยึดเกาะระหว่างเนื้อยางกับโครงยางลดลง และแยกออกจากกันได้ง่าย
- การบิดตัวของหน้ายางมีมาก ทำให้ยางสึกหรอเร็ว และสึกหรอไม่เรียบ ทำให้อายุยางลดลง
กราฟความสัมพันธ์ระหว่างการบรรทุกและอายุยาง- ถ้าบรรทุกน้ำหนัก 80% ของมาตรฐาน อายุยางจะได้ 160%
- ถ้าบรรทุกน้ำหนัก 100% ของมาตรฐาน อายุยางจะได้ 100%
- ถ้าบรรทุกน้ำหนัก 130% ของมาตรฐาน อายุยางจะเหลือ 60%
- ถ้าบรรทุกน้ำหนัก 150% ของมาตรฐาน อายุยางจะเหลือ 40%
- ถ้าบรรทุกน้ำหนัก 100% ของมาตรฐาน อายุยางจะได้ 100%
- ถ้าบรรทุกน้ำหนัก 130% ของมาตรฐาน อายุยางจะเหลือ 60%
- ถ้าบรรทุกน้ำหนัก 150% ของมาตรฐาน อายุยางจะเหลือ 40%
11. อายุยางกับการใช้ความเร็ว (Speed) |
“Tire Break-In” คือการขับรถเมื่อเปลี่ยนยางใหม่ด้วยความเร็วไม่เกิน 60 กม/ชม อย่างน้อย 200 กม.แรก หรือ 50 กม/ชม ระยะ 300 กม.แรก เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของยางก่อนใช้งานในสภาพทั่วไป
การขับเร็วจะมีผลต่อยาง ดังนี้
- อายุยางลดลง เพราะยิ่งขับเร็วความร้อนภายในยางจะสูง ยิ่งความร้อนสูงทำให้ยางสึกหรอเร็วขึ้น อายุยางจึงลดลง
- เนื้อยาง และโครงยางอาจจะไหม้ละลาย และแยกออกจากกัน
- สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะวิ่งด้วยความเร็วสูง การบิดตัวของโครงยางก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้พลังงานที่สูญเสียเนื่องจากการบิดตัวของโครงยาง
- ถ้ามีการหยุดรถอย่างกะทันหัน จะทำให้หน้ายางฉีกขาดได้ง่าย
- อายุยางลดลง เพราะยิ่งขับเร็วความร้อนภายในยางจะสูง ยิ่งความร้อนสูงทำให้ยางสึกหรอเร็วขึ้น อายุยางจึงลดลง
- เนื้อยาง และโครงยางอาจจะไหม้ละลาย และแยกออกจากกัน
- สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะวิ่งด้วยความเร็วสูง การบิดตัวของโครงยางก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้พลังงานที่สูญเสียเนื่องจากการบิดตัวของโครงยาง
- ถ้ามีการหยุดรถอย่างกะทันหัน จะทำให้หน้ายางฉีกขาดได้ง่าย
12. การถอด–ประกอบล้อกับตัวรถยนต์อย่างถูกวิธีนั้นทำอย่างไร |
หลายท่านอาจเคยประสบกับปัญหายางแบน หรือยางระเบิดขณะขับขี่อยู่บนถนนมาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ จะถอดล้อที่มีปัญหาออก และนำยางอะไหล่มาติดตั้งแทนได้อย่างไร เพราะบางครั้งอาจต้องเปลี่ยนในขณะที่มีการจราจรหนาแน่น หรืออาจอยู่ในสภาพที่ไม่สะดวกนัก ทำให้ต้องถอดเปลี่ยนในเวลาอันรวดเร็ว และที่สำคัญต้องปลอดภัย ดังนั้น การลำดับการถอด และประกอบให้ถูกต้อง จึงเป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่รถพึงรู้เป็นอย่างยิ่ง เพราะหากปฏิบัติไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดความเสียหายขึ้น กับกระทะล้อ หรือยาง และอาจนำไปสู่อันตรายกับชีวิตและทรัพย์สินได้
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะกล่าวถึงการถอด-ประกอบล้อ มีข้อแนะนำเบื้องต้นดังนี้ ขณะขับขี่เมื่อทราบว่า ยางแบน อย่าหยุดรถกระทันหัน ให้ขับช้าๆ อย่างระมัดระวังไปยังที่ที่ปลอดภัยและใกล้ที่สุดที่จะไม่กีดขวางรถคันอื่นและมีพื้นที่ที่จะถอดประกอบล้อได้ แล้วจึงดับเครื่อง ใส่เบรกมือ
สำหรับการถอดล้อออกจากตัวรถที่ถูกต้อง ควรกระทำดังนี้
การถอดล้อ กรณีที่มีฝาครอบล้อ ให้ใช้ไขควงปากแบนงัดฝาครอบล้อออกก่อน จากนั้นเริ่มถอดน็อตล้อ โดยใช้ประแจ คลายน็อต แต่ละตัวให้พอหลวมเล็กน้อย ก่อนที่จะยกรถขึ้นด้วยแม่แรง การขึ้นแม่แรง ให้ยกเพียงแค่ให้ล้อพ้นจากพื้นพอสมควร ไม่ควรยกแม่แรง สูงเกินไป เพราะอาจจะเกิดอันตรายได้ หลังจากถอดน็อต ควรเก็บน็อตที่ถอดออกแล้ว รวมไว้ด้วยกันเพื่อไม่ให้น็อตหาย หลังจากนั้น ให้ถอดล้อออกจากดุมล้อ โดยควรจะออกแรงยกล้อในขณะที่ดึงออก เพื่อป้องกันไม่ให้กระทะล้อกระแทกกับจานเบรค
เมื่อทำการถอดล้อออกจากตัวรถยนต์แล้ว การนำยางอะไหล่ประกอบเข้ากับตัวรถอย่างถูกวิธี ควรกระทำดังนี้.
การประกอบล้อ เริ่มจากยกวงล้อประกอบเข้ากับดุมล้อ โดยเล็งรูน็อตที่กระทะล้อให้ตรง กับดุมล้อ ดันล้อเข้าไปในดุมล้อให้แนบสนิท แล้วใช้มือหมุนน็อตล้อทุกตัว ให้เข้าไปจนสุด เพื่อไม่ให้ล้อเกิดอาการโคลงเคลง จากนั้นจึงใช้ประแจขันน็อตให้แน่นอีกครั้ง โดยให้ ทำการขันในตำแหน่งตรงกันข้ามของน็อต สลับกันไปจนครบทุกตัว อย่าใช้ประแจขัน ก่อนที่จะใช้มือใส่น็อตเข้าที่อย่างถูกต้อง เพราะการใช้ประแจขันจนแน่น โดยที่น็อตยังไม่เข้าที่ อาจทำให้เกลียวของน็อตและดุมล้อเสียหายได้ นอกจากนี้ การขันแน่นเกินไป แม้ว่าจะใส่น็อตเข้าที่แล้ว ก็อาจทำให้เกิดความเสียหายในทำนองเดียวกัน หรืออาจทำให้การคลายน็อตครั้งหน้าทำได้ยาก ส่วนการขันน็อตที่ไม่แน่นพอ อาจทำให้น็อตล้อเคลื่อนในขณะรถวิ่ง ทำให้เกิดอาการสั่นของรถได้ หรืออาจร้ายแรง จนถึงขั้น ทำให้ล้อหลุดได้ ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขันน็อตด้วยความระมัดระวังให้แน่นอย่างเหมาะสม
สำหรับกรณีที่มีฝาครอบล้อ เมื่อถอดและประกอบล้อแล้ว ให้ใส่ฝาครอบล้อให้เข้าที่และใส่ให้แน่นพอเช่นกัน มิฉะนั้น ฝาครอบล้อ อาจหลุดหาย หรืออาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุเป็นอันตรายกับผู้ใช้รถใช้ถนนได้
เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ในตอนนี้จะได้ยกตัวอย่างถึงวิธีการประกอบล้ออย่างถูกวิธี ดังนี้
ตัวอย่างในการประกอบล้อ เริ่มจากจุดที่ 1 จุดถัดไปคือตำแหน่งตรงกันข้ามกับจุดแรก นั่นคือ จุดที่ 2 และสลับกันไปจนครบทุกตัว การขันน็อตในลักษณะนี้ ทำให้หน้าแปลนแนบสนิทกับดุมล้อมากที่สุด ซึ่งหากหน้าแปลน ไม่แนบสนิทกับดุมล้อ อาจทำให้ กระทะล้อบิดเยื้องศูนย์กับดุมล้อ และทำให้ล้อเกิดอาการ เต้นสั่น หรือเกิดการสึก ไม่เรียบของดอกยางได้
13. การเปลี่ยนแปลงขนาดยาง |
โดยที่ขนาดยางเส้นใหม่มีความแตกต่างไปจากขนาดเดิม มีจุดที่จะต้องคำนึงถึง อยู่ 2 ประการ คือ
- ความสามารถในการรับน้ำหนัก ต้องไม่น้อยกว่าขนาดเดิม
- เส้นผ่าศูนย์กลางของยาง ต้องใกล้เคียงขนาดเดิม
ผลเสียของการเปลี่ยนขนาดยางที่ไม่ตรงตามขนาดที่กำหนดของรถ มีดังนี้
- ความสามารถในการรับน้ำหนัก ต้องไม่น้อยกว่าขนาดเดิม
- เส้นผ่าศูนย์กลางของยาง ต้องใกล้เคียงขนาดเดิม
ผลเสียของการเปลี่ยนขนาดยางที่ไม่ตรงตามขนาดที่กำหนดของรถ มีดังนี้
ขนาดยางเล็กเกินไป
• ความสามารถในการรับน้ำหนักลดลง
• สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
• มาตรวัดความเร็วคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
• ความสามารถในการรับน้ำหนักลดลง
• สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
• มาตรวัดความเร็วคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
ขนาดยางใหญ่เกินไป
• ยางเสียดสีกับส่วนหนึ่งส่วนใดของรถ
• พวงมาลัยหนักขณะใช้ความเร็วต่ำ
• มาตรวัดความเร็วคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
• ยางเสียดสีกับส่วนหนึ่งส่วนใดของรถ
• พวงมาลัยหนักขณะใช้ความเร็วต่ำ
• มาตรวัดความเร็วคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
ขนาดยาง | 165 R13 | 185/70 R013 | 205/60 R13 | 185/65 R14 | 195/60 R14 | 195/55 R15 | 205/50 R15 |
ซีรี่ส์ | 80 | 70 | 60 | 65 | 60 | 55 | 50 |
เส้นผ่าศูนย์กลาง ยาง (มม.) | 594 | 590 | 576 | 596 | 590 | 595 | 587 |
ความสามารถใน การรับนํ้าหนัก สูงสุด (ก.ก./เส้น) | 475 | 515 | 515 | 515 | 515 | 487 | 515 |
คาวมดันลมยาง สูงสุด (ปอนด์/ต.ร.น.) | 33 | 36 | 36 | 36 | 36 | 36 | 36 |
14. ผลจากการสูบลมยาง |
กรณีสูบลมยางน้อยกว่ากำหนด:
|
กรณีสูบลมยางมากกว่ากำหนด:
|
• อายุยางลดลง
• บริเวณไหล่ยางจะสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่น ๆ • เกิดความร้อนสูงที่ไหล่ยางทำให้เนื้อยางไหม้แยกจากกัน • โครงยางบริเวณแก้มยางฉีกขาด หรือหักได้ • สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง • หน้ายางฉีกขาดง่ายที่ความเร็วมากกว่า100กม/ชม. |
• ลื่นไถลได้ง่าย เนื่องจากพื้นที่ยึดเกาะถนนลดลง
• โครงยางระเบิดง่ายเมื่อได้รับแรงกระแทก หรือถูกตำ เนื่องจากโครงยางเบ่งตัวเต็มที่ เกิดการยืดหยุ่นได้น้อย • ดอกยางจะสึกบริเวณตอนกลางมากกว่าส่วนอื่นๆ • อายุยางลดลง • ไม่สะดวกสบายในการขับขี่ |