พอดีไปลองกินมาแล้วอร่อย ลองดูกันว่ามันเป็นอย่างไรครับ
อาหารยอดฮิตติดอันดับสามของเด็ก อเมริกัน (รองจาก ไก่งวง และไอศกรีม) ที่เรียกชื่อกันเป็นภาษาฝรั่งว่า "Spinach" นั้น ถ้าจะแปลเป็นภาษาไทยแล้ว ต้องใช้คำว่า "ปวยเล้ง" ถึงจะถูกต้อง หาใช่แปลว่า "ผักโขม" ดังที่คนไทยเข้าใจไม่ ความเข้าใจไขว้เขวอย่างผิด ๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ กัสซี่ขอกล่าวโทษแก่ผู้ที่แปลบทภาพยนต์การ์ตูนชุด Popeye the Sailor ในภาษาไทย ที่แปลคำว่า "Spinach" ในประโยคภาษาอังกฤษที่ Popeye พูดก่อนที่ จะยกกระป๋อง Spinach ขึ้นกิน ก่อนที่จะกลายร่างจากกะลาสีผอมกะหร่องเป็นนักสู้กล้ามใหญ่เข้าต่อสู้กับ เหล่าร้าย โดยใช้คำว่า "ผักโขม" เพื่อแทนคำว่า "Spinach" ซึ่งเป็นคำแปลที่ "ไม่ถูกต้อง"
"ปวยเล้ง" หรือ "Spinach" ผักใบใหญ่หนาทรงกลม สีเขียวเป็นมัน แต่ก้านผอมนิดเดียวนั้น ถึงจะมีชื่อออกไปในทางหมวย ๆ หน่อย แต่ความจริงแล้ว เป็นผักที่มีถิ่นกำเนิดจากเปอร์เซีย (อิหร่าน) หาใช่เป็นผักของจีนตามที่คนไทยเราเข้าใจ ตามประวัติบอกว่า ชื่อเดิมของ "ปวยเล้ง" นั้นคือ "Aspanakh" เป็นผักที่ชาวอาหรับชอบกินกับมาก จนถึงขนาดให้สมญานามว่าเป็น "Prince of Vegetables" เป็นผักที่ชาวอาหรับนำติดตัวไปด้วยในคราวยกทัพบุกสเปน ในศตวรรษที่ 11 นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สเปนกลายเป็นศูนย์กลางการปลูก "ปวยเล้ง" และแพร่หลายไปทั่วภูมิภาคในยุโรป และชื่อเดิม Aspanakh ก็ถูกเรียกผิดเพี้ยนไปในภาษาละตินว่า "Spinachia" และถูกเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า "Spinach" ในศตวรรษที่ 14 และ "ปวยเล้ง" เข้าไปสู่ประเทศจีนเป็นครั้งแรก โดยกษัตริย์แห่งเนปาลเป็นผู้นำเข้ามาถวายจักรพรรดิแห่งจีน ต่อมาเป็นผักที่ได้รับความนิยมปลูกกันอย่างแพร่หลาย ชื่อ "poh ts'ai" ในภาษาจีนของปวยเล้ง บอกถึงถิ่นที่มาของปวยเล้งได้เป็นอย่างดี เพราะคำว่า "poh ts'ai" มีความหมายว่า "ผักจากเปอร์เซีย"
"ปวยเล้ง" เป็นผักที่มีธาตุเหล็ก แคลเซียม โปรตีน วิตามินซี และ วิตามินบี 2 ในปริมาณที่สูง อีกทั้งเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนและซาโปนิน (สารที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้) อีกด้วย สามารถทานได้ทั้งแบบสด ๆ ในจานสลัด หรือใช้จิ้มกับน้ำพริก หรืออาจจะนำไปทำให้สุกในอาหารจานต่าง ๆ จะเป็นต้มจืด ผัด หรืออบก็ได้ทั้งนั้น
เขียนมาถึงตรงบรรทัดนี้ อาจจะมีคุณผู้อ่านบางท่าน เกิดความสงสัยในใจว่า เจ้า Spinach ที่กัสซี่พูดถึงนี่ มันต่างจาก "ผักโขม" ของไทยที่เราเห็นวางขายกันตามตลาดและซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ตรงไหน??
นอกเหนือจากความต่างในเรื่อง "ราคา" แล้ว (ราคาล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม 2544 เจ้า Spinach ราคากิโลกรัมละ 180 บาท แต่ "ผักโขม" ราคากิโลกรัมละ 80 บาท) ลักษณะภายนอกก็ยังแตกต่างกันอย่างมากด้วย เพราะ "ผักโขม" ของบ้านเรา ใบจะมีขนาดใหญ่กว่าแต่ใบบาง ใบมีสีเขียวด้าน ๆ ไม่มัน ก้านจะโต มีขนอ่อนใต้ใบ และลำต้นบางทีจะมีหนาม ไม่สามารถนำมาใช้ทานสด ๆ ในจานสลัดได้เนื่องจากค่อนข้างจะระคายคอ นิยมนำไปปรุงให้สุกมากกว่า เพราะเมื่อสุกแล้วจะมีรสหวานและเนื้อนุ่ม ในภาษาอังกฤษจะเรียกผักชนิดนี้ว่า"Asian Spinach" หรือ "Chinese Spinach"
ผักโขมที่มีวางขายในท้องตลาดจะแบ่งออกเป็น "ผักโขมบ้าน" , "ผักโขมสวน" และ "ผักโขมจีน"
"ผักโขมบ้าน" ก็ยังแบ่งออกเป็นชนิดย่อย ๆ ได้อีก 2 ชนิด คือ "ผักโขมบ้านชนิดใบกลมเล็ก" ที่มีลำต้นเล็ก ก้านเป็นสีแดง ใบมีสีเขียวเหลือบแดง ส่วนใหญ่มีวางขายในตลาดทางภาคเหนือในช่วงฤดูฝน ส่วนอีกชนิดหนึ่งคือ "ผักโขมหนาม" ผักชนิดนี้จะมีลำต้นสูง มีใบใหญ่ ใช้เฉพาะส่วนยอดอ่อนมาปรุงอาหารเท่านั้น หาเก็บได้ตามป่าในช่วงฤดูฝน
"ผักโขมสวน" จะมีใบใหญ่บาง สีเขียวอ่อน ต้นจะยาว
"ผักโขมจีน" เป็นผักโขมต้นใหญ่ ใบใหญ่สีเขียวเข้ม ขอบใบหยัก ใบสดมีรสเผ็ดและกลิ่นฉุน ผักโขมชนิดนี้จะสามารถหาซื้อได้ง่ายที่สุด เพราะมีวางขายทั้งในตลาดและซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป
เวลาเลือกซื้อควรเลือกชนิดที่มีใบสีเขียวสดแต่ไม่เขียวจนดำ เพราะนั่นแสดงว่าเป็นผักโขมแก่ รสจะขม เนื้อผักหยาบ ไม่อร่อย เลือกดูผักที่ใบไม่ช้ำ และเมื่อซื้อมาแล้วควรนำไปปรุงอาหารทันที จึงจะได้คุณค่าทางอาหารในปริมาณค่อนข้างมาก
นั่นแหละคะ คือ คือข้อแตกต่างระหว่าง Spinach และ Asian Spinach : )
ที่มา
http://www.maama.com/column/guzzie/view.php?id=000086http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=devonshire&month=13-05-2009&group=23&gblog=8