วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เทคนิคการปฏิบัติหลังซื้อรถยนต์มือสอง




เทคนิคการปฏิบัติหลังซื้อรถยนต์มือสองเป็นเทคนิคจำเป็นที่จะต้องนำไปปฏิบัติเพื่อให้ได้รถยนต์ที่สมบูรณ์ที่สุดต้องมีการปรับแต่งหรือปรับปรุง  เพื่อให้รถยนต์มีประสิทธิภาพสูง และมีอายุการใช้งานยาวนานที่สุด

1. เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
เป็นสิ่งแรกที่จำเป็นต้องปฏิบัติ เพราะเราไม่ทราบถึงอายุการใช้งานของน้ำมันเครื่องก่อนที่รถยนต์จะถูกส่งมา และไม่ทราบว่ารถคันนั้นถูกใช้มานานเท่าไหร่แล้ว โดยเฉพาะในต่างประเทศที่มีค่าครองชีพสูง อัตราค่าใช้จ่ายการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแต่ละครั้งจะแพงมาก คนทั่วไปใช้น้ำมันเครื่องกันในระยะทางนับหมื่นกิโลเมตร  เมื่อรถตกมาเป็นกรรมสิทธิ์ของเราแล้ว จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องคุณภาพดี (ไม่ต้องใส่หัวเชื้อ) ก่อนนำไปใช้งานทุกครั้ง

2. เปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง
ให้ทำพร้อมไปกับการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ควรใช้ไส้กรองของแท้ และเปลี่ยนครั้งเว้นครั้งในการถ่ายน้ำมันเครื่อง (กรณีใช้น้ำมันเครื่องแบบเดิมตลอด)

 3. เปลี่ยนสายพานไดชาร์จสายพานแอร์
เมื่อไม่ทราบถึงอายุการใช้งานที่ผ่านมา จึงไม่อาจคาดเดาอายุการใช้งานที่เหลืออยู่ได้ ราคาสายพานเส้นละ 100-200 บาท คุ้มค่ากับการใช้งานอย่างมั่นใจ อย่าใช้สายตาวิเคราะห์อายุการใช้งานของสายพานเส้นเก่า โดยเฉพาะสายพานแบบร่องวีในรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่หาซื้อยาก ถ้าไปขาดกลางทางจะลำบาก
ถ้าสายพานเก่าสภาพยังดีอยู่ เมื่อเปลี่ยนแล้วให้เก็บไว้เป็นอะไหล่ท้ายรถ

4. เปลี่ยนสายพานขับแคมชาฟท์ (สายพานไทม์มิง)
เมื่อไม่ทราบถึงอายุการใช้งานที่ผ่านมา ตามปกติสายพานไทม์มิงจะมีอายุการใช้งานประมาณ 50,000-100,000 กม. ถ้าคิดจะประหยัดในส่วนนี้ อาจจะต้องทิ้งทั้งบล็อก เพราะเมื่อสายพานไทม์มิงขาด วาล์วจะชนกับลูกสูบจนเสียหาย  การเลือกเปลี่ยนสายพานของแท้แม้จะแพง แต่อายุการใช้งานกว่า 50,000 กม. นั้นคุ้มค่าและมั่นใจได้มากกว่า ในบางกรณีอาจต้องเปลี่ยนลูกรอกด้วย

5. เปลี่ยนหัวเทียน
จำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อสมรรถนะของรถยนต์ ถ้าเป็นรถยนต์ที่ใช้หัวเทียนขนาดธรรมดา ควรใช้หัวเทียนแพลททินัม ND W20 EX-ZU หัวละ 80-100 บาท แม้จะแพงแต่ประสิทธิภาพสูง และทนทานหลายหมื่น กม.   ถ้ารถยนต์ใช้หัวเทียนบล็อกเล็ก (ส่วนมากพวกทวินแคม 16 วาล์ว) เลือกใช้แบบธรรมดาก็ราคาหัวละ 70-90 บาทเข้าไปแล้ว ถ้าเป็นแพลททินัมจะแพงประมาณเกือบสอง
ร้อยบาทขึ้นไป ถ้าสู้ค่าใช้จ่ายไหวจะเลือกใช้ก็ดี เพราะทนทานและประสิทธิภาพสูง

6. เปลี่ยนเทอร์โมสตัท
เรียกกันว่า “วาล์วน้ำ” จำเป็นต้องใช้ ห้ามถอดออก เพื่อให้รถยนต์ปรับตัวให้ร้อนได้รวดเร็ว เพราะรถยนต์ที่อุณหภูมิต่ำเกินไปจะมีสมรรถนะต่ำและการสึกหรอสูง  อย่าเข้าใจผิดว่าเทอร์โมทตัททำให้เครื่องร้อน เพราะเมื่อถึงอุณหภูมิที่ควบคุมหรือกำหนดไว้ เทอร์โมสตัทก็จะเปิดให้น้ำผ่านได้
เทอร์โมสตัทจะปิดการไหลเวียนของน้ำก็ต่อเมื่ออุณหภูมิต่ำเกินไปเท่านั้น  เทอร์โมสตัทจะทำให้
รถโอเวอร์ฮีท (ร้อนจัด) ก็ต่อเมื่อ “เสีย” คือ เมื่อถึงอุณหภูมิที่กำหนด เทอร์โมสตัทก็ไม่ยอมเปิด
ทำให้น้ำในระบบระบายความร้อนไม่มีการไหลเวียน   ในเมื่อเราไม่ทราบว่าเทอร์โมสตัทของเดิมเสียหรือไม่ (นอกจากนำไปต้มและใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิน้ำซึ่งเสียเวลา) จึงต้องเปลี่ยนตัวใหม่ จำเป็นต้องซื้อเทอร์โมสตัทที่มีการควบคุมการเปิด-ปิดที่อุณหภูมิเดียวกัน โดยอ่านดูจากตัวเลขที่มีการปั๊มไว้

7. เปลี่ยนไส้กรองเบนซิน
ถ้าเป็นรถยนต์ธรรมดาก็แค่ไม่กี่สิบบาท ถ้าเป็นเครื่องหัวฉีดก็ 400-800 บาท เน้นว่าจำเป็นต้องเปลี่ยน

8. เปลี่ยนผ้าคลัตช์
แม้ผ้าคลัตช์เดิมจะมีสภาพดีก็ต้องเปลี่ยน จะได้ไม่ต้องเสียค่ายกเกียร์-เปลี่ยนคลัตช์ไปอีกนาน โดยเลือกเปลี่ยนผ้าคลัตช์แพงเท่าที่กระเป๋าจะทนได้ใช้ของแท้จะดีที่สุด  ถ้างบประมาณไม่พอ  ให้นำแผ่นคลัตช์เก่า
ไปย้ำ (ค่าใช้จ่าย 200-400 บาท) พอใช้ได้แต่สู้ของแท้ไม่ได้

9. หวีคลัตช์
ถ้ามีร่องรอยสึกหรอ หน้าสัมผัสไม่เรียบ ต้องเปลี่ยนหรือนำไปเจียรที่โรงกลึง

10. ฟลายวีล
ถ้ามีร่องรอยสึกหรอ หน้าสัมผัสไม่เรียบ ต้องส่งไปเจียรที่โรงกลึง

11. เปลี่ยนลูกปืนคลัตช์
ไหน ๆ ยกเครื่องออกมาแล้ว ก็ถือโอกาสเปลี่ยนลูกปืนคลัตช์เลย สำหรับรถญี่ปุ่นก็ 150-300 บาท เท่านั้น รถยุโรปก็ไม่ค่อยเกิน 500 บาท

12. ท่อหรือสายน้ำมันเชื้อเพลิง
เพิ่มความมั่นใจว่าจะ ไม่รั่ว ไม่ซึม อันเป็นต้นเหตุของเพลิงไหม้ อย่าเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย

13. เปลี่ยนไส้กรองอากาศ
แท้หรือเทียมแล้วแต่กระเป๋าจะทนได้ แต่จำเป็นต้องเปลี่ยน

14. เปลี่ยนทองขาวและคอนเดนเซอร์
จำเป็นต้องเปลี่ยน ค่าใช้จ่าย 100-200 บาทเท่านั้น

15. ฝาจานจ่ายและหัวนกกระจอก
ถ้าจะไม่เปลี่ยนก็ต้องนำมาขูดตะกรันที่เป็นฉนวนไฟฟ้า

16. เปลี่ยนซีลข้อเหวี่ยงด้านหน้าและด้านท้าย
จะได้ไม่ต้องเสียเวลาและค่าแรง 2 ต่อ เพราะการเปลี่ยนซีลหลังข้อเหวี่ยง จะต้องเปลี่ยนหลังจากยกเกียร์ ยกคลัตช์ หรือถอดฟลายวีลเท่านั้น

17. เปลี่ยนยางแท่นเครื่องและยางแท่นเกียร์
ค่าใช้จ่ายไม่สูง แต่ใช้งานได้นาน

18. เปลี่ยนสายหัวเทียน
ป้องกันปัญหาการ “ขาดใน” จนรถยนต์ทำงานไม่สมบูรณ์ ค่าใช้จ่าย 200-500 บาทเท่านั้น

19. เปลี่ยนปะเก็นฝาวาล์ว
เนื่องจากต้องตั้งวาล์วก่อนที่จะนำไปใช้งาน ควรเปลี่ยนปะเก็นฝาวาล์วไปพร้อมกันเลย เพราะราคาไม่แพง

20. ไขน๊อตยึดฝาสูบใหม่ทุกตัว
ข้อควรระวังตรงจุดนี้ก็คือ ต้องไขให้ได้ตามสเปคของรถยนต์รุ่นนั้นๆ ปัองกันปัญหาน๊อตยึด

21. เปลี่ยนหรือไล่ไขเข็มขัดรัดท่อ-เปลี่ยนท่อยางหม้อน้ำ
ทั้งด้านบนและด้านล่าง

22. เปลี่ยนบู๊ชคันเกียร์
ก็จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะราคาไม่แพง

23. เปลี่ยนซีลเพลากลาง
ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนอีกแหละ

24. เปลี่ยนสวิตช์วัดแรงดันน้ำมันเครื่อง
ตัวละไม่เกิน 100 บาท

25. เปลี่ยนเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น
ต้องเปลี่ยนให้ตรงรุ่นของเครื่องยนต์เพื่อการวัดที่แม่นยำ กรณีเปลี่ยนเครื่องข้ามรุ่นหรือข้ามตระกูล
ควรหาทางติดตั้งเซ็นเซอร์ดีกว่าตัวเก่า (ของเครื่องตัวเก่า) กับเครื่องตัวใหม่ เพื่อไม่ให้ค่าที่แสดงบนหน้าปัดผิดพลาด

26. เปลี่ยนประเก็นท่อไอเสีย
ค่าใช้จ่ายไม่น่าเกิน 100-200 บาท

27. ลูกรอกสายพานแอร์
ถ้างบประมาณเหลือและใช้ระบบลูกรอกตั้งความตึงของสายพาน ควรเปลี่ยนเพื่อความมั่นใจ ถ้าลองหมุนดูแล้วยังดีอยู่ อาจไม่ต้องเปลี่ยน

28. เช็คปั๊มฟรีใบพัดลมหม้อน้ำ(ถ้ามี)
ถ้าความหนืดน้อยกว่าปกติ ต้องอัดซิลิโคน 1-3 หลอดหรือเปลี่ยนใหม่ (ใช้แล้ว) ค่าใช้จ่าย 300-600 บาท

29. ใบพัดลม
ถ้าแตกหักหรือบิดเบี้ยวซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในขั้นตอนการขนส่ง ตรวจเช็คดูถ้าแตกหักหรือบิดเบี้ยว
ไม่ได้ศูนย์  ก็ต้องเปลี่ยน

ที่มา http://darkzeus.gagto.com/?cid=117062