คุณใช้เวลาหาข้อมูลต่างๆ ในแต่ละครั้งนานไหมครับ ก่อนหน้าที่คุณจะซื้อรถใหม่สืบค้นจากแมกกาซีนหลายๆ เล่ม ทั้งพินิจพิเคราะห์ ดูระดับความปลอดภัยของเจ้าตัวที่ชอบคุ้มไม่คุ้มอยู่ตั้งนานกว่าจะควัก กระเป๋าออกมาได้ หากรถที่คุณสนใจอยู่สนนราคาอยู่ที่ 25,000 ดอลลาร์แต่คุณต้องใช้เวลานานขนาดนั้นแล้วเนี่ย ถ้าจะต้องมาซื้อของราคา 70 ล้านดอลลาร์คุณจะใช้เวลานานชั่วกัปชั่วกัลป์ขนาดไหน?
เม็ดเงินดังกล่าวเป็นราคาโดยประมาณของการสร้างเครือข่าย fiber-to-the-home (FTTH) ขึ้นมาสักเครือข่ายหนึ่งให้กับเมืองขนาดกลางในสหรัฐอเมริกา มันประกอบไปด้วยหลากหลายส่วนที่ทำให้เกิดต้นทุนดังกล่าวนี้ขึ้นมา ต้นทุนในการวางเครือข่ายนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็เป็นเพียงหนึ่งตัวแปรในสมการการประสบความสำเร็จและมีกำไรจากเครือข่าย ที่สร้างขึ้น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดูแลบำรุงรักษาเครือข่ายให้ทำงานอย่างปกติ หรือรายได้จากการให้เช่าอุปกรณ์ในเครือข่ายที่ให้บริการก็เป็นปัจจัยสำคัญใน การที่จะประสบความสำเร็จทางธุรกิจอีกส่วนหนึ่ง
สร้างเคสต้น แบบทางธุรกิจ
ก่อนอื่นต้องลองศึกษาการใช้งาน FTTH ในเมืองขนาดกลางทำนองเดียวกันอย่าง Naperville ในอิลลินอยด์, Flint ในมิชิแกน, Sunnyvale ในแคลิฟอร์เนียหรือ Alexandria ในแวนคูเวอร์ เมืองเหล่านี้มีพลเมืองอยู่ประมาณ 130,000 คนและตั้งอยู่ใกล้กับพื้นที่มหานครขนาดใหญ่ทั้งสิ้น เครือข่ายออพติกจะต้องครอบคลุมพื้นที่ราว 36 ตารางไมล์ผ่านบ้านเรือนหรืออพาร์ทเมนท์กว่า 30,000 หลังกับธุรกิจอีกราว 2,400 บริษัท การก่อสร้างจะต้องเสร็จสิ้นใน 3 ปีในการติดตั้งโครงข่าย Passive Optical Network (PON) ที่ช่วยให้ครัวเรือน 32 แห่งสามารถเชื่อมต่อใช้งานเครือข่ายบนไฟเบอร์เส้นเดียวกันได้ 70% ของเครือข่ายอยู่เหนือพื้นดินและอีก 30% ซ่อนเอาไว้ด้านล่าง เครือข่ายจะต้องถูกออกแบบให้รองรับการให้บริการ 3 รูปแบบหลักๆกล่าวคือ การให้บริการสื่อสารข้อมูลเสียงผ่านอินเตอร์เน็ตโพรโตคอล (VoIP), การให้บริการข้อมูลความเร็วสูงและข้อมูลวิดีโอผ่านเครือข่ายไอพี พิจารณาผ่านโมเดลอันซับซ้อน Corning Business Case Model (BCM) การวิเคราะห์จึงสามารถจบงานลงได้อย่างสมบูรณ์สำหรับการสร้างเครือข่าย FTTH นี้
เราต้องป้อนเอารายละเอียดต่างๆ ให้กับโมเดลอาทิ โครงสร้างเครือข่าย วางเครือข่ายเหนือพื้นดินหรือในตัวอาคาร จำนวนบ้านเรือนที่ให้บริการ จำนวนหน่วยธุรกิจ เวลาในการสร้างเครือข่าย อัตราเงินเฟ้อ อัตราการให้บริการและอื่นๆ อีกมากมาย เมื่อเราให้ข้อมูลเบื้องต้นเข้าไปสู่โมเดลแล้ว จึงคำนวณต้นทุนในการสร้างรวมถึงผลกำไรที่คาดว่าจะได้รับออกมาให้เราในที่สุด
ต้น ทุนเครือข่าย
ใช้รูปแบบการคำนวณต้นทุนที่ปลอดภัยสักนิด BCM ก็ช่วยให้เราคำนวณต้นทุนทั้งหมดในการสร้างเครือข่ายขึ้นมาได้ประมาณ 67.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เมื่อคิดเป็นต้นทุนสำหรับลูกค้าที่มาลงทะเบียน 1 คน มากกว่าที่คิดไว้สูงถึง 2,000 ดอลลาร์กันเลยทีเดียว รูปที่ 1 แสดงให้เห็นถึงต้นทุนการติดตั้ง FTTH ต่อหนึ่งยูสเซอร์ใช้งานอยู่ในช่วง 1,200 ดอลลาร์ ซึ่งต้นทุนต่อคนในระดับต่ำเช่นนี้นั้นเกิดขึ้นได้ในโครงการขนาดใหญ่ ที่สามารถมีส่วนลดจากการจัดซื้อหรือการติดตั้งที่มีการประหยัดจากขนาดใหญ่ ที่ดีเกิดขึ้น รวมถึงการใช้งานผู้เชี่ยวชาญหรือพนักงานติดตั้งก็ถูกใช้อย่างคุ้มค่าจ้างที่ สุดในกรณีโครงการขนาดใหญ่
ต้นทุนจะถูกแบ่งออกเป็นหลายๆ กลุ่ม ส่วนที่มากที่สุดเกี่ยวกับ Outside Plant (OSP) หรือบริเวณกลางแจ้งที่ต้องการ Active Equipment อย่างดี พร้อมกับการจัดการโครงการและทางวิศวกรรมที่ดี แค่เพียงเจ้า OSP อย่างเดียวก็คิดเป็น 45% ของทั้งโครงการแล้ว OSP นั้นยังแยกออกเป็นค่าแรงและอุปกรณ์ (ไฟเบอร์ออพติก ตู้ใส่อุปกรณ์แยกสัญญาณ ชุมสายต่างๆ) ค่าแรงคิดเป็นส่วนที่หนักที่สุดประมาณ 25 ล้านดอลลาร์คิดเป็น 84% ของต้นทุน OSP และ 36% ของต้นทุนทั้งหมดของโครงการ สำหรับอุปกรณ์อื่นๆ นั้นสนนราคาอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านดอลลาร์หรือ 16% ของต้นทุน OSP เป็นเพียง 7% ของทั้งโครงการ จริงๆ แล้วต้นทุนที่ว่านี้ยังไม่น่าแปลกใจเท่าไรเนื่องจากอุปกรณ์ OSP ต่างๆ เริ่มลดราคากันมาตั้งแต่ช่วงหลายปีก่อนหน้านี้แล้ว เราอาจจะลดค่าใช้จ่ายได้อีกบ้าง หากมีการปรับการออกแบบอย่างเช่น ลดเครือข่ายในตัวอาคารให้น้อยลง นำออกมาไว้ด้านนอกให้มากขึ้น และกับค่าแรงคนงานที่เป็นส่วนที่เยอะที่สุดใน OSP นั้น จำนวนชั่วโมงทำงานที่เกิดขึ้นจะส่งผลโดยตรงกับค่าติดตั้งทั้งหมด ในพื้นที่ที่ค่าแรงต่ำกว่าก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้เช่นเดียวกัน
นวัต กรรมใหม่ๆ อย่างฉนวนกันการรบกวนจากสภาพแวดล้อม เทอร์มินอลและ Network Interface Devices (NID) ช่วยลดต้นทุนในการติดตั้ง OSP เคเบิ้ลที่เตรียมส่วนเชื่อมต่อเทอร์มินอลเอาไว้ก่อนแล้วและ Network Interface Devices (NID) ช่วยให้แม้แต่คนงานระดับธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้มีความชำนาญเป็นพิเศษสามารถ เชื่อมต่ออุปกรณ์เข้ากับ Network Access Point (NAP) ได้ง่ายๆ ช่วยลดค่าแรงในการจ้างพนักงานประสบการณ์สูงมาทำงานนี้ เมื่อเชื่อมต่อเสร็จแล้วปลายอีกด้านหนึ่งก็จะวิ่งไปที่บ้านเรือนผู้ใช้งาน และถูกเชื่อมต่อเข้าสู่ NID อย่างง่ายๆ เช่นเดียวกัน ลดทั้งอัตราจ้างและเวลาที่ใช้จ้างทำงานในคราวเดียวกัน จากรายงานพบว่าสามารถลดเวลาได้ราว 40% คิดเป็น 50% ของต้นทุนการติดตั้งสายเคเบิลทั้งหมด ไฟเบอร์รุ่นใหม่ๆ ที่ทนทานกว่ารับแรงกดแรงบิดได้มากกว่า ทำให้การออกแบบเครือข่ายมีความยืดหยุ่นมากขึ้น หรือไม่ก็ต้องหาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ลดเวลาการติดตั้งลง อีกหนึ่งต้นทุนหลักในโมเดลก็คือ active equipment ที่คิดเป็น 36% ของทั้งเครือข่าย และเป็น 18% ของการจัดการโครงการ ด้วยอัตราการประหยัดโดยขนาดเกี่ยวกับการติดตั้งใช้งาน FTTH จาก Regional Bell Operating Companies (RBOCs) ได้มีการลดค่าใช้จ่ายลงทุนในส่วนนี้ ซึ่งก็จะทำให้เครือข่าย FTTH เริ่มดูคุ้มค่ามากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ค่าใช้จ่ายจัดการโครงการก็สามารถลดลงได้หากว่าผู้เชี่ยวชาญที่ควบคุมดูแลงาน โครงการเป็นคนของเครือข่ายเอง บรรดาเมืองใหญ่ มักจะไม่มีผู้เชี่ยวชาญหรือความเชี่ยวชาญในการดำเนินการดังกล่าวด้วยตัวเอง และมักจะจ้างผู้รับเหมาช่วงทางวิศวกรรมไปทำอีกทีหนึ่ง Head End (HE) และ Central Office (CO)นั้นคิดเป็นอีกไม่กี่เปอร์เซ็นต์จากมูลค่าการลงทุนทั้งหมด
ค่า ใช้จ่ายดำเนินการ
เมื่อเครือข่ายใดใดถูกสร้างขึ้นและเริ่ม ดำเนินการ ก็จะเกิดมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของเครือข่าย ค่าใช้จ่ายดำเนินการ Operating Expense (OPEX) ดังกล่าวนี้ รวมเข้าไว้ด้วยค่าแรงพนักงาน ค่าดูแลรักษาเครือข่าย (อะไหล่ เครื่องไม้เครื่องมือ พาหนะ เป็นต้น) ค่าโปรโมชั่น ค่าใช้จ่ายในออฟฟิศและพลังงานสำหรับ CO/HE ในตัวอย่างเครือข่าย FTTH ของเรานั้น OPEX ในระยะเวลา 20 ปีเป็นมูลค่า 60 ล้านดอลลาร์หรือ 3 ล้านดอลลาร์ต่อปี ส่วนที่ใหญ่ที่สุดใน OPEX ก็คือส่วนของพนักงานที่มี ฝ่ายขาย ฝ่ายการตลาด ฝ่ายบริการลูกค้า ผู้เชี่ยวชาญเครือข่ายสำหรับทิศทางในอนาคต วิศวกร CO/Transport และช่างเทคนิคภาคสนาม อย่างไรก็ดี OPEX ของเครือข่ายไฟเบอร์และเครือข่ายสายทองแดง (ไม่ว่าสายตีเกลียวหรือสายโคแอ็ก) จะต่างกันโดยสิ้นเชิง เครือข่ายออพติกแบบ Passive นั้นไม่มีอุปกรณ์ active electronics ภาคสนาม ดังนั้นจึงไม่มีค่าดูแลรักษามากนัก ในทำนองเดียวกัน OPEX สำหรับเครือข่าย HFC และ VDSL ในรูปแบบเหมือนๆ กันจะมีสัดส่วนมากกว่า 40% ถึง 60% ตามลำดับเมื่อเทียบกับเครือข่าย PON
การสร้างกำไร
เมื่อ OPEX ได้ถูกกล่าวถึงอย่างละเอียดแล้ว โมเดลธุรกิจจะสมบูรณ์ไปไม่ได้หากไม่ได้พิจารณาในส่วนของผลกำไร เราจะมาวิเคราะห์กันผ่านตัวเลขรายได้สุทธิ รายได้สุทธิที่จะพูดถึงก็คือ ทำอย่างไรให้ได้รายได้สุทธิสูงที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะหมายถึงผลกำไรที่มากขึ้นด้วย เพราะตัวแปรอื่นๆ ค่อนข้างจะนิ่งแล้วหลังเครือข่ายถูกสร้างเสร็จเรียบร้อยซึ่งรายได้นั้นก็จะ เพิ่มขึ้นทุกครั้งเมื่อมีคนลงทะเบียนใช้บริการอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีใน เครือข่ายเพิ่มขึ้น อัตราการเจาะตลาดจึงเป็นตัวแปรสำคัญที่มีส่วนในผลกำไรของเครือข่ายสื่อสาร โทรคมนาคมทั่วๆ ไป
อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเพิ่มรายได้ก็คือการนำเสนอ บริการพิเศษสุดสำหรับชุมชน (อย่างเช่นการดูแลด้านความปลอดภัย) ในตัวอย่างของเรานั้นอัตราการขยายส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 70% ใน 3 ปี รายได้สุทธิในระยะเวลา 20 ปีเท่ากับ 84 ล้านดอลลาร์หรือ 4.2 ล้านดอลลาร์ต่อปี โดยรายได้สุทธิจะเริ่มเป็นบวกเมื่อปีที่ 5 ผ่านไป แต่ก็แน่นอนที่ว่าอัตราการเจาะตลาดระดับ 70% นั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง เปอร์เซ็นต์ที่เป็นไปได้อาจจะอยู่ที่แค่เพียง 33% หากมีบริการเพียงแค่ 2 อย่างที่มีอยู่ (CATV และโทรศัพท์) อัตราการเจาะตลาดที่น้อยที่สุดที่การลงทุนจะยังคุ้มทุนอยู่ได้ที่สเกลขนาด นี้คือ 30% เราพึ่งจะรับรู้แค่ผิวๆ เท่านั้นถึงอะไรที่ทำให้เครือข่าย FTTH มีกำไรและประสบความสำเร็จ เพิ่มเติมด้วยกุญแจสำคัญอีกบางประการที่ควรให้ความสำคัญเพื่อเพิ่มโอกาสใน การประสบความสำเร็จ ปัจจัยเหล่านั้นก็ได้แก่ การออกแบบทางวิศวกรรมและค่าน่าเชื่อถือของเครือข่าย เพื่อเพิ่มความเชื่อถือได้ของเครือข่ายและความเข้ากันได้ระหว่างเครือข่าย ให้มากที่สุดนั้น คุณจะต้องทำตามข้อกำหนดทางวิศวกรรมอย่างเคร่งครัดและทำการออกแบบเครือข่าย ที่ใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูง เมื่อมีการส่งรับเหมาช่วงงานก็จะต้องแน่ใจว่างานที่ได้กลับมาอยู่ภายใต้กรอบ ดังกล่าว
สำหรับฝ่ายบริการลูกค้านั้น เพื่อลดปัญหาจากลูกค้า คุณจะต้องมีการตอบสนองที่ดี มีมิตรไมตรี ส่วนฝ่ายขายและฝ่ายการตลาด อัตราการเจาะตลาดเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งยวดปัจจัยหลักอันหนึ่งที่มีผลต่อกำไร ที่ได้ เพื่อให้ได้อัตราการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้มากที่สุด ต้องมีการพัฒนาแผนการตลาดและแผนการขายที่ดึงดูดความสนใจจากลูกค้า สื่อสารบริการที่มีอย่างชัดเจนเข้าใจง่ายรวมถึงข้อดีของการใช้งานเครือข่าย ของคุณด้วย นอกจากนี้ยังต้องมีบริการที่ดีที่ถูกหยิบยื่นให้ลูกค้า เพื่อลดคำบ่นและเพิ่มส่วนแบ่งตลาดดังที่กล่าวข้างต้น บริการที่คุณนำเสนอจะต้องดีกว่าหรืออย่างน้อยเทียบเท่ากับคู่แข่งที่มีอยู่ ในท้องตลาด สำหรับบริการข้อมูลความเร็วสูงก็ต้องมีความเร็วในระดับที่สูงจริงๆระดับ DSL สำหรับบริการวิดีโออย่างเสนอเพียงเคเบิ้ลพื้นฐานที่มีช่องจำนวนจำกัด ต้องนำเสนอบริการที่พิเศษในระดับการให้บริการที่ยอดเยี่ยม ในฐานะผู้ให้บริการเครือข่าย FTTH และบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต หากคุณไม่ให้ความสำคัญกับปัจจัยสำคัญเหล่านี้ ลูกค้าของคุณก็จะไม่พอใจ ลูกค้าที่ไม่มีความสุขก็จะนำไปสู่ส่วนแบ่งตลาดที่ถดถอยและกำไรที่น้อยลงใน ที่สุด
ที่มา http://www.dnsthailand.net/index.php?option=com_content&task=view&id=267&Itemid=55
วิตามินซีกับการป้องกันหวัด ???
9 ปีที่ผ่านมา