ทันทีที่มุ่งหมายว่าจะขอเดินทางมาพักผ่อนที่ "เชียงคาน" ในช่วงกลางฤดูฝนแบบนี้ คิดไว้ว่าคงจะเจอเชียงคานในความเงียบสงบ เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเลือกมาที่นี่ในช่วงฤดู หนาวเสียมากกว่า แต่สำหรับ"ตะลอนเที่ยว"แล้วการแสวงหาความสงบไม่พลุ่นพล่านด้วยผู้คนคลาคล่ำ ดูเหมือนจะเป็นจุดประสงค์หลักและการได้มาเยี่ยมเชียงคานช่วงฤดูฝนแบบนี้ | ||||
| ||||
น่าแปลกที่เวลาในกรุงเทพและที่เชียงคานเท่ากัน หากที่นี่กลับเหมือนเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ เลือกมาเชียงคานหน้าฝนยังไม่พอยังมาในวันธรรมดาเสียด้วย ผู้คนที่นี่เลยบางตาเหมือนเชียงคานเป็นของเราแต่ผู้เดียว เรือนไม้ ที่เดี๋ยวนี้หันมาเปิดหน้าร้านค้าขายกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็มีเปิดบ้างปิดบ้าง แต่ร้านที่เปิดสิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คือคนเฝ้าหน้าร้านวัยล่วงเลยเข้าสู่วัย ผมสีดอกเลาแกมขาวหรือค่อนไปทางขาวโพลนหลายเจ้าทีเดียว นี่ก็จึงเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของเชียงคานกระมัง ที่มีคนรุ่นปู่ ย่า แสนใจดี มานั่งหน้าบ้านรอต้อนรับเราแบบนี้ | ||||
การเรียนรู้อย่างอย่างหนึ่งที่เห็น คือ ทุกคนอยู่กันอย่างสุขสงบ แม้การเดินทางมาถึงของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ก็ไม่ได้แปรเปลี่ยนอะไรกับผู้คนที่นี่มากนัก ใครเคยทำอะไรก็ทำ ใคร่ค้าอะไรก็ค้า เรียกได้ว่าอยู่กันอยากกลมกลืน ระหว่างของดั้งเดิมและเรียนรู้ที่จะอยู่คู่สิ่งใหม่ๆอย่างพอเพียง | ||||
ร้านรวงมากมายบนเส้นถนนชายโขง มีให้เอ่ยกันได้ไม่หมด แต่ละร้านก็ตั้งชื่อเก๋ไก๋เข้าบรรยากาศ อย่าง รักเลย จำเลยรัก เฮือนหลวงพระบาง ใช่เลย เป็นต้น แม้ช่วงถนนต้นสายถึงปลายทางจะไม่ยาวมาก แต่เชื่อเถอะว่าด้วยเสน่ห์แบบเชียงคาน จะทำให้คุณหลงรักเดินแล้วหยุด หยุดแล้วเดินเป็นวันๆ | ||||
นอกจากเรื่องของถนนสายคลาสสิกที่เต็มไปด้วยบ้านไม้เก่าแล้ว ถ้าไม่ได้เข้าวัดที่เชียงคานก็คงเหมือนเห็นเชียงคานไม่รอบตัว"ตะลอนเที่ยว"จึงมีโอกาสลัดเลาะไปตามวัดต่างๆ วัดแรกที่ไปคือ "วัดท่าคก" วัดที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นที่แม่น้ำโขงเว้นเข้ามาในแผ่นดิน หรือ วังน้ำวน ภาษาพื้นบ้านเรียกว่า คก มีตำนานกล่าวว่า บิดาของพระศรีอรรคฮาต และชาวบ้านช่วยกันสร้างวัดขึ้น เมื่อพ.ศ. 2395 ต่อมาพ.ศ.2410เมื่อพระยาศรีอรรคฮาต อายุได้ 41 ปี ได้สร้างโบสถ์วัดท่าคกขึ้น ด้วยป้องกันกลอุบายของฝรั่งเศสที่คิดจะมาเช่าผืนแผ่นดินสยามเท่าผืนหนังแต่ ตักเป็นริ้วได้ยาวมาก ที่เมืองเชียงคาน ไว้เพื่อไว้เก็บสินค้า เพื่อไม่ให้รุกล้ำพื้นที่เข้ามา จึงได้สร้างวัดท่าคกกันพื้นที่เอาไว้ และมาที่วัดซึ่งเป็นเสมือนวัดหลวงของคนเชียงคานอย่างวัด "ศรีคุณเมือง" อยู่ ที่ถนนชายโขง ซอย 7 ทางด้านเหนือของตลาดเชียงคาน สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2485 วัดนี้เป็นแหล่งรวมงานศิลปะทั้งแบบล้านนาและล้านช้างดังจะเห็นได้จากโบสถ์ ซึ่งหลังคาลดหลั่นอย่างศิลปะล้านนา ศิลปวัตถุที่สำคัญมีหลายชิ้น เช่นพระพุทธรูปไม้จำหลัก ลงรักปิดทองปางประทานอภัยแบบล้านช้าง นอกจากนี้ในวัดยังมีธรรมาสน์แกะสลักไม้ ลงรักปิดทองทุกด้านที่พนักหลังมียอดคล้ายปราสาท ด้านหน้าโบสถ์มี ภาพจิตรกรรมฝาผนังอยู่เต็มหน้าบัน ภาพทั้งหมดเป็นภาพ นิทานชาดก ชุดพระเจ้าสิบชาติซึ่งวาดขึ้นใหม่แทนของเดิม | ||||
และกิจกรรมหนึ่งที่ "ตะลอนเที่ยว" หลงรักเชียงคานทวีคูณคือ การที่ได้ตื่นแต่เช้าตรู่ หาซื้อข้าวของมา "ใส่บาตร" พระ สงฆ์กัน ประเพณีดั้งเดิมของคนเชียงคานจะนิยมตักบาตรกันด้วยข้าวเหนียวเพียงอย่าง เดียวส่วนกับข้าวจะทำไปถวายวัดทีหลัง แต่ใครจะใส่บาตรแบบครบเครื่องเขาก็ไม่ว่ากัน ภาพที่เห็นพระสงฆ์เดินสงบงามเรียงแถวกันว่าแต่ไกล กับภาพการนั่งรอตักบาตรอยู่หน้าบ้านใครบ้านมันของคนเชียงคาน ที่ส่วนใหญ่เลยวัยเกษียณ เป็นภาพที่งดงามเกินคำบรรยายอิ่มอุ่นในความรู้สึกจริงๆ | ||||
| ||||
ลงจากเขาก่อนกลับเข้าเมืองก็แวะที่ "แก่งคุดคู้" เป็นแก่งหินใหญ่ขวางอยู่กลางลำน้ำโขง ช่วงโค้งของลำน้ำโขงพอดี ทำให้เกิดกระแสน้ำเชี่ยวไหลผ่านแก่ง เสียดายในหน้าน้ำแบบนี้ความงดงามถูกปกปิดไว้เสียมิด ช่วงเวลาที่เหมาะจะชมแก่งคุดคู้จึงต้องเป็น ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม | ||||
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * สอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มเติม ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางสู่เชียงคานได้ที่ ททท. สำนักงานเลย โทร. 0-4281-2812 |
ที่มา http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000111370