วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

พระพุทธเจ้าในอดีต

พระพุทธเจ้าที่ล่วงมาแล้วหลายพระองค์ มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน อุปมาว่าจำนวนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ล่วงไปแล้วมีจำนวนมากกว่าเม็ด ทรายในมหาสมุทรทั้งสี่ พระพุทธเจ้าทรงแนะว่าไม่ควรคิดถึงเรื่องของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นอจินไตย (แปลว่า เป็นเรื่องที่มนุษย์ปุถุชนอย่างเราไม่ควรคิดเพราะเป็นเรื่องที่ลึกลำเหนือ จินตนาการของมนุษย์)

ในหลักฐานฝ่ายเถรวาทกล่าวถึงพระพุทธเจ้าในอดีตไว้ 28 พระองค์ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระโคดมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ได้ทรงพบและ พระโคดมพุทธเจ้าทรงได้รับคำพยากรณ์ ว่าจะได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรานิยมนับรวมพระพุทธเจ้าองค์ ปัจจุบัน โดยเรียกว่า "พระพุทธเจ้า 28 พระองค์"

หากแบ่งตามกัปป์ โดยการนับอสงไขยในที่นี้ จะนับอสงไขยแรกโดยเริ่มนับจากช่วงเวลาที่ อดีตชาติของพระโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มสร้างบารมี โดยการอธิษฐานในใจต่อหน้าพระพักตร์ของพระสัมมาพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก จะมีพระพุทธเจ้าในอดีตดังต่อไปนี้

  • กัปแรกในต้นอสงไขยที่ 17 เป็นสารมณฑกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์[1]
    1. พระตัณหังกร พุทธเจ้า
    2. พระเมธังก รพุทธเจ้า
    3. พระสรนังกร พุทธเจ้า
    4. พระทีปังกรพุทธเจ้า
  • กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 18 เป็นสารกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
    1. พระโกณฑัญญะพุทธเจ้า
  • กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 19 เป็นสารมณฑกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์
    1. พระสุมังคละสัมมาสัมพุทธเจ้า
    2. พระสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า
    3. พระเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
    4. พระโสภิตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
  • กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 20 เป็นสารวรกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์
    1. สมเด็จพระอโนมทัสสีสัมพุทธเจ้า
    2. สมเด้จพระปทุมะสัมพุทธเจ้า
    3. สมเด็จพระนารทะสัมพุทธเจ้า
  • ช่วงเศษแสนมหากัป ของ อสงไขยปัจจุบัน[2]
    1. กัปหนึ่งมีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์. บางตำราว่าเป็นมัณฑกัป บางตำราก็ว่าเป็นสารกัป.
      1. พระปทุมมุตระพุทธเจ้า
    2. สูญกัป (กัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น) 30,000 กัป
    3. มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์
      1. พระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้า
      2. พระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
    4. สูญกัป 60,000 กัป
    5. วรกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์
      1. พระปียทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
      2. พระอัตถทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
      3. พระธรรมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
    6. สูญกัป 24 กัป
    7. สารกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
      1. พระสิทธัตถะสัมมาสัมพุทธเจ้า
    8. สูญกัป 1 กัป
    9. มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์
      1. พระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า
      2. พระมหาปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า
    10. สารกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
      1. พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
    11. สูญกัป 60 กัป
    12. มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์
      1. พระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า
      2. พระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า
    13. สูญกัป 30 กัป
    14. กัปปัจจุบัน เป็น ภัทรกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์
      1. พระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้า
      2. พระโกนาคมสัมมาสัมพุทธเจ้า
      3. พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า
      4. พระศรีศากยมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน 80 ปีก่อนพุทธกาล)
      5. พระศรีอริยเมตไตรยสัมพุทธเจ้า (อนาคต พุทธศักราช 5,000 เป็นต้นไป)


ที่มา Wikipedia:พระพุทธเจ้าในอดีต

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คำสอนขงจื้อ... ปรัชญาเมธีชาวตะวันออก

ถ้าคุณคิดจะ เป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่

ถ้าคุณคิด อยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น

เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย

เพราะเชี่ยว ชาญ มิใช่เพราะโอกาส

เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย

ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"


นกทำรังให้ ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ


ผู้ที่ยิ่ง ใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด

ผู้ที่เล็ก ที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด

ผู้ที่มี เกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น


ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี


ไม้คดใช้ทำ ขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้ เลย


เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว

เดินหมากรุก ยังต้อง " คิด "

เดินหมาก ชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร


เมื่อใครสัก คนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา

เพราะถ้า ท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา

ท่านอาจจะ ตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้


การบริหาร คือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น

ผู้ปกครอง ระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่

ผู้ปกครอง ระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่

ผู้ปกครอง ระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่


อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น


เมื่อนักการ ฑูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ"

เมื่อนักการ ฑูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่"

เมื่อนัก การฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูต ( เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ ปฏิเสธใคร )


เมื่อสุภาพ สตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ"

เมื่อสุภาพ สตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้"

เมื่อ สุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี ( สุภาพสตรี จะไม่ตอบรับใครง่าย ๆ )


คิดทำการ ใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย


ตาสามารถมอง เห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน

คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต

ที่มา
http://www.expert2you.com/view_article.php?art_id=3045
Wikipedia ขงจื้อ

วิถีขงจื๊อสู่ความเป็นเลิศเหนือคน

ขงจื๊อเป็นนักคิดคนสำคัญยิ่งของโลก เป็นทั้งนักศึกษา นักรัฐศาสตร์ นักปรัชญา และที่สำคัญคือ เป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลทางความคิดมากที่สุดในแผ่นดินจีน คำสั่งสอนของขงจื๊อเป็นรากฐานทางสังคม การเมืองและวัฒนธรรมของทั้งจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีมาจนถึงปัจจุบัน

แนวคิดของขงจื๊อไม่เพียงแต่เน้นให้คนมีคุณธรรม แต่ยังเป็นแนวทางนำไปสู่ความมีอัจฉริยภาพ คือทำให้รู้ว่าในเวลาหนึ่ง คนเราควรจะคิดอะไร วางตัวอย่างไร คบเพื่อนแบบไหน เพื่อทำให้เราใช้ศักยภาพและเวลาที่มีจำกัดให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองมากที่สุด แก่นคำสอนของขงจื๊อสรุปได้เป็น 7 หัวข้อดังนี้


1. บุคลิกภาพของมนุษย์ที่แท้


มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบของขงจื๊อ คือคนมีบุคลิกโดดเด่นเหนือคนทั่วไป มีพลังดึงดูด โน้มน้าวใจคน และมีคุณธรรมเที่ยงตรง ทำให้มีอำนาจเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป คุณลักษณะ 7 ประการ ที่จะช่วยให้มนุษย์มีพลังอำนาจตามวิธีคิดของขงจื๊อ คือ


นอบน้อม เพราะคนนอบน้อมจะไปทำอะไร ที่ไหน ย่อมไม่เป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไป


เมตตากรุณา เพราะคนมีเมตตากรุณา มักจะมี positive aura บนใบหน้าที่ทำให้สามารถเอาชนะใจคนได้โดยง่าย


จริงใจ เพราะจะส่งผลให้มีบุคลิก ซึ่งเป็นที่ไว้วางใจของผู้อยู่เหนือกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา และบุคคลทั่วไป


จริงจัง เพราะย่อมทำทุกสิ่งทุกอย่างลุล่วงลงได้


ใจคอกว้างขวาง เพราะย่อมใช้ให้คนทำงานแทนได้ และสามารถเป็นผู้นำที่ดี


ไม่กินอิ่มเกินไป ไม่แสวงหาความสะดวกสบายจนเกินไป เพราะจะทำให้กลายเป็นคนเกียจคร้าน ไม่แสวงหาหนทางปรับปรุงชีวิต พัฒนาตนเองในขณะที่ยังมีกำลังวังชา และสติปัญญาสมบูรณ์


มีอารมณ์มั่นคง ไม่หวั่นไหวง่าย ถ้ากล่าวแบบคนสมัยใหม่ ก็คือการมี EQ สูง


2. วิธีคิดของผู้มีปัญญา


คนเราเกิดมา มีปัญญาสูงต่ำไม่เท่ากัน มีโอกาสในการศึกษาไม่เท่ากัน แต่ขงจื๊อเห็นว่าในชีวิตประจำวันคนเราสามารถค่อยๆ สร้างสมพัฒนาสติปัญญาให้ได้ด้วยตนเอง โดยการเปลี่ยนปรับวิธีคิดเสียใหม่ เลิกคิดปรุงแต่ง และคิดถึงเรื่องไร้สาระ และหันมาพิจารณาเฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์แทน ดังนี้


‘ มนุษย์ที่แท้ จะต้องพิจารณาอยู่เสมอว่า ทำอย่างไร เราจึงจะมองอะไรแล้วสามารถจะเห็นและเข้าใจสิ่งนั้นทะลุปรุโปร่ง และเมื่อได้ยินอะไรแล้ว ทำอย่างไรเราจึงจะฟังให้เข้าใจได้หมด ซึ่งก็คือการใช้สมาธิตั้งใจดู ตั้งใจฟัง นั่นเอง ปัญหาของจำนวนมาก คือ ดู เห็น ฟัง แล้วเข้าใจไม่หมด ตีความผิด ตีความเข้าตนเอง เอาตนเองเป็นที่ตั้งอยู่ตลอด ถ้าแก้ไขจุดนี้ได้ เราก็จะมีฐานข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ ซึ่งต้องใช้ประกอบการคิด การตัดสินใจต่อไป


‘ อย่าคิดกังวลว่าใครจะยอมรับยกย่องเราหรือไม่ แต่ให้เป็นกังวลมากๆ ว่า ขณะนี้เรายังขาดคุณสมบัติข้อใดที่ทำให้ยังไม่เป็นที่ยกย่องของผู้คน และอย่าเป็นกังวลว่าคนอื่นจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของเรา แต่ให้กังวลว่าตัวเราจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของคนอื่นดีกว่า


จุดนี้คือ ขงจื๊อต้องการให้คนเราเน้นการพิจารณา เข้าใจ และปรับปรุงตนเอง ในขณะที่แนวโน้มของคนโดยทั่วไปจะชอบ 'ส่องนอก ไม่ส่องใน' และใช้เวลาไปกับการจับผิด วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเสียมาก


‘ เวลาเห็นช่องทางได้ผลประโยชน์ ต้องคิดถึงความยุติธรรมด้วยขงจื๊อเห็นว่ามนุษย์เรามีแนวโน้มจะคิดแบบเห็นแก่ ได้ และตัดสินใจผิดพลาด เมื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น เพื่อจะไม่ทำผิดคุณธรรม คนเราต้องพิจารณาเรื่องความยุติธรรมอยู่เสมอๆ ความยุติธรรมที่ให้พิจารณาก็คือ หลักการง่ายๆ ถ้าเราไม่ชอบอะไร รังเกียจอะไร ก็จงอย่าทำกับคนอื่นแบบนั้น คิดได้แค่นี้


‘ นอกจากนี้ ขงจื๊อยังให้ข้อเตือนใจไว้ว่า เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องหัดคิดการณ์ไกล เพื่อจะได้ไม่ต้องหลงทาง นอกจากนี้ เวลาร่ำเรียนศึกษาก็ต้องหัดคิดตาม เพราะคนที่ศึกษาหาข้อมูลต่างๆ โดยไม่คิด ย่อมไม่ฉลาดมากนัก ในทางตรงกันข้าม คนที่เอาแต่คิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆ โดยไม่ชอบศึกษาหาข้อมูล ก็จะเป็นเพียงการคาดเดาหรือ speculation ย่อมจะคิดผิดพลาดได้ง่ายๆ ดังนั้น คนเราต้องหัดฝึกฝนการคิดและการศึกษาหาข้อมูลไปพร้อมๆ กัน


3. ระเบียบวินัย


ขงจื๊อกล่าวถึงระเบียบวินัย 3 ประการ ของคนวัยต่างๆ กัน


‘ วัยหนุ่มสาว พลังยังไม่มั่นคง ต้องมีวินัยเรื่องกามคุณ


‘ วัยกลางคน พลังกายใจเข้มแข็งมากที่สุด ต้องมีวินัยเรื่องความพึงพอใจ อย่าเพิ่งเฉยชาหรือพอใจกับอะไรง่ายๆ


‘ วัยชรา หมดเรี่ยวแรง พลังงานถดถอย ต้องมีวินัยกับความโลภ คืออย่ามีความต้องการมากมายไม่มีที่สิ้นสุด


4. การคบคน


ขงจื๊อเชื่อว่า ชีวิตคนเรา จะสุข ทุกข์ ประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคนที่เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องคบหาด้วย ดังนั้น ขงจื๊อจึงมีกฎในการเลือกคบคน ดังนี้


‘ ข้อแรก ไม่คบหาคนที่มีคุณงามความดีไม่เท่าเรา


‘ ข้อสอง ไม่แสวงความเห็น หรือปรึกษาหารือคนที่มีเส้นทางชีวิตไม่เหมือนเรา


‘ ข้อสาม คนที่ควรคบหาคือ คนที่มีความซื่อตรง จริงใจ และมีความรู้


‘ ข้อสี่ พึงเลี่ยงคบหาบุคคลที่เสแสร้ง พูดจาไร้สาระ ฉวยโอกาส ฟุ้งเฟ้อ


‘ ข้อห้า เมื่อคบหาใครเป็นเพื่อนแล้ว จงมีความจริงใจต่อกัน แต่อย่าปล่อยให้เขาชักนำเราไปในทางที่ต่ำ


5. การพูด


คำพูดของเราต้องแสดงออกถึงความ ซื่อตรง สอดคล้องกับกิริยาทางกาย เพราะถ้าหากคำพูดเราเกิด พร้อมกับกิริยา มุ่งมั่นจริงใจ พูดสิ่งใดก็ย่อมประสบผลเป็นที่น่าเชื่อถือ


6. การวางตัว


คนเราจะมีคนรักทั่วทิศ หากวางตัวได้ดังนี้


‘ เวลาอยู่นอกบ้านแล้วพบผู้คน วางตัวเรากับคนผู้นั้นเป็นแขกสำคัญในบ้าน


‘ เมื่อต้องสั่งการ วางตัวราวกับเราเป็นแม่งานของพิธีการที่สำคัญยิ่งใหญ่ (คนที่เป็นแม่งานจะต้องเป็นภาพงานทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบอย่างรอบด้าน และมีจิตมุ่งมั่นต้องการทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ในระยะเวลาที่ตั้งใจเอาไว้ เพราะฉะนั้นเวลาคนเป็นแม่งานสั่งงาน จะไม่สักแต่ว่าขอให้ใครทำอะไร แต่จะคิด อย่างรอบคอบถึงผลที่ตามมา จะไม่สั่งการ แบบขอไปที แต่จะต้องมีการติดตามผล แนะนำเพื่อให้งานลุล่วงไปได้)


‘ อะไรที่เราไม่ชอบ ก็อย่าปฏิบัติต่อคนอื่น


‘ เข้มงวดต่อตนเอง แต่ให้อภัยคนอื่น


7. การวางจิต


ขงจื๊อเน้นการมีจิตใจที่ซื่อตรง เขาเห็นว่าประเทศชาติจะสงบสุขได้ครอบครัวต้องดีก่อน แต่ครอบครัวจะดีได้ มนุษย์แต่ละคนต้องมีคุณธรรม มนุษย์แต่ละคนจะมีคุณธรรม ก็ต้องมีจิตใจที่ซื่อตรงและจิตใจที่ซื่อตรง จะมีได้ก็ต้องมีเจตนาที่ซื่อตรงก่อน


ขงจื๊อเน้นจิตที่สามารถมองอะไรชัดเจน ทะลุปรุโปร่ง จิตเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็จากการมองเห็นและรู้จักตนเองอย่างรอบด้านก่อน


ขอบคุณ
ดร.บุญชัย โกศลธนากุล ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ
โดยMGR ONLINE

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

มา ตรวจสอบสภาพ Hard disk ก่อนติดตั้ง Windows กันดีกว่า

เริ่มต้นด้วยการ Boot จากแผ่น Hiren’s จากนั้นเลือกตามภาพครับ > Start Hiren’s BootCD



มาที่หัวข้อที่ 5. Testing Tool …



มาที่หัวข้อ 7. Test Hard Disk Drive 1.0 ในหน้าต่างข้างล่างนี้ยังมี Tool ในการ Test Hardware ต่างๆที่น่าใช้อยู่อีก
หลายโปรแกรมครับ แนะนำสำหรับเพื่อนให้ลองศึกษาการใช้งานดูครับ ส่วนมากไม่ยาก เหมาะสำหรับมือใหม่อย่างเราๆ
โปรแกรมไหนใช้ยากๆก็ลองโปรแกรมอื่นที่มี ครับ



หน้าตาของโปรแกรมเรียบง่ายครับ ให้เลือกหัวข้อ >Default IDE ports (1f0h,170h)



มาถึงหน้าต่างนี้ ขอบอกก่อนนิดนึงครับ ผมใช้ Virtual PC ในการทำภาพตังอย่าง โปรแกรมจึงไม่สามารถระบุยี้ห้อ หรือ
โมเดล ของ HDD ที่จะทำการทดสอบได้ ใน Primary master ของเพื่อนๆนั้น อาจจะรถบุไว้ชัดเจนครับ ให้เลือกดูดีๆนะ
ครับ อย่าสับสนระหว่าง CD-ROM กับ HDD

*** ในขั้นตอนนี้หากทำพลาดไปหรือเลือกผิดจะไม่มีผลไดๆหรือสิ่งที่เป็น
อันตราย ทั้งสิ้น เพียงแค่ออกจากโปรแกรม จากนั้นกลับมาเลือกให้ถูกต้อง ***




ในหน้าต่างนี้ให้เลือกเป็น >Surface Test



เลือก Start ได้เลยครับ



หลังจากนั้นโปรแกรมจะเริ่มตรวจสอบ พร้อมรายงานผล โปรแกรมจะใช้เวลามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของ HDD เป็น
สำคัญ หากไม่เสียหรือมี Bad Sector จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากมี Bad Sector โปรแกรมจะมีตัว B สีเข้มขึ้น บริเวณที่
ตรวจสอบพบ นั้นหมายความว่า HDD ของเราเสียนะครับ O_O



เท่านี้เราก็สามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ ด้วยตัวเองแล้วนะครับ หากเพื่อนๆคนไหนตรวจสอบแล้วว่า HDD ของตัวเองเสีย
นั้นอาจ จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่เราไม่สามารถติดตั้ง Windows หรือ Windows ของเรามีอาการค้างอยู่บ่อยๆ ก็เป็นไปได้

ขณะโปรแกรมกำลังตรวจ สอบอยู่ เราก็สามารถดูความเร็วรอบในการหมุนของ HDD ไปด้วย ว่าเป็นไป
ตาม มาตรฐานของ HDD หรือเปล่า ความเร็วรอบของ HDD PC กับ ของ NOTE BOOK นั้นต่างกันเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว
รายละเอียดอื่นๆ มือใหม่อย่างเราเอาไว้ก่อนดีกว่านะ ... :p

ข้อดี :
โปรแกรมสามารถตรวจสอบ HDD ได้โดยไม่จำเป็นต้อง Format HDD หรือทำให้เกิดความเสียหายของข้อมูลที่มีอยู่ในเครื่อง
สามารถทำได้ตลอด เวลาตามความต้องการ

ข้อเสีย :
HDD SATA หมดสิทธิ์ T_T

ที่มา http://www.com-th.net/webboard/index.php?topic=104204.0

ยีสต์

ยีสต์ เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ขยายพันธุ์โดยการแตกหน่อ หรือแบ่งตัว อาหารที่จำเป็น คือ น้ำตาล อุณหภูมิที่เหมาะสมใน

การเจริญเติบโต คือ 70-95 องศาฟาเรนไฮน์ เราสามารถจำแนกยีสต์ได้ 3 ชนิด คือ
1. ยีสต์สด (Fresh yeast)


อีดแน่นหรือห่อเป็นก้อน มีสีน้ำตาลอ่อน ประกอบด้วยยีสต์ 30% ความชื้น 70% โดยประมาณ ต้องเก็บในอุณหภูมิต่ำ ประมาณ 4-6 องศาเซลเซียส ตลอดเวลา เก็บรักษาไว้ได้ไม่นาน
2. ยีสต์แห้งชนิดเม็ด (Compressed yeast)


เป็นยีสต์ที่อัดรวมกันเป็นเม็ด มีลักษณะเป็นเม็ดกลมเม็ดเล็กๆสีครีม มีความชื้นต่ำประมาณ 5-8% เก็บในกล่องหรือถุง ที่เป็นภาชนะสะอาดปิดสนิท มีอายุการเก็บรักษาหลายเดือนต้องเก็บในที่แห้งและเย็น การนำมาใช้ต้องละลายในน้ำอุ่นก่อน

3. ยีสต์แห้งสำเร็จรูป (Instant dry yeast)


เป็นยีสต์บริสุทธิ์ ไม่มีสารอื่นเจือปน มีกำลังในการทำให้ขึ้นฟู ใช้ในปริมาณน้อยกว่าชนิดที่สองกว่าครึ่งบรรจุหีบห่อในถุงอลูมิเนียม บรรจุด้วยระบบสูญญากาศ มีอายุการเก็บรักษา 18-12 เดือน โดยเก็บในที่แห้ง ปิดฝาให้สนิท ไล่อากาศออกให้หมด
คุณสมบัติของยีสต์
1. ช่วยประหยัดเวลาในการหมักช่วงแรก
2. ช่วยให้โปรตีนในแป้งอ่อนตัวลง มีกรดแอสคอบิค ช่วยเพิ่มความสามารถในการยืดหยุ่น
3. เนื้อขนมปังเนียนนิ่ม สีขาวสะอาด โพรงอากาศละเอียดและเนื้อแป้งสานกันเป็นเส้นใย
4. ทำให้ปริมาตรของขนมปังเพิ่มมากขึ้น ในกรณีที่ใช้เวลาหมักเท่าเดิม
หลังจากที่ได้ก้อนแป้งเรียบร้อยแล้ว ถ้าต้องการให้เนื้อขนมปังเนียนขึ้น เราสามารถจะนำก้อนแป้งไปเข้าเครื่องรีดขนมปัง
เครื่องรีดขนมปังจะทำให้เนื้อของขนมปังที่ได้ เนียนขึ้นและขนมปังจะมีรูปร่างสวยงาม หลังจากที่ได้ทำรูปร่างแล้วจะต้องหมัก
ทิ้งไว้อีกประมาณ 1-2 ชั่วโมง หรือมีขนาดเป็น 2 เท่า ก่อนนำขนมปังเข้าอบ เราต้องทาหน้้าของขนมปังด้วยไข่หรือนม ก็จะทำให้ผิวของขนมปังมีสีเหลืองสวยงาม
การทดสอบยีสต์ว่าเสื่อมคุณภาพหรือไม่?
1. ละลายน้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ ในน้ำอุ่น 1 ถ้วย
2. เติมยีสต์ที่ต้องการทดสอบลงในน้ำ 1 ช้อนโต๊ะ ตั้งทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที หากเห็นว่า ฟองปุดขึ้นบริเวณผิวหน้า แสดงว่ายีสต์ยังมีคุณภาพดีอยู่

หน้าที่ของยีสต์ที่มีต่อขนมปัง
1. สร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทำให้โดขยายตัว
2. ทำให้เกิดโครงสร้าง และลักษณะของโด
3. ทำให้ผลิตภัณฑ์มีกลิ่นรสเฉพาะตัว
4. ช่วยเสริมคุณค่าทางอาหาร

เมื่อเราไปที่ร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่ เราจะพบยีสต์หลายยี่ห่อมากมาย และซองที่ใช้บรรจุมีหลายสีถ้าเราไม่มีความรู้ ในการเลือกซื้อยีสต์ ก็อาจจะทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ไม่ดีพอ ดังนั้นเราสามารถแบ่งยีสต์ที่จะซื้อได้ 2 ประเภท ตามประเภทของขนมปัง ดังนี้คือ
1. ยีสต์ที่ใช้สำหรับทำขนมปังจืด ที่ข้างซองจะระบุว่า ใช้สำหรับขนมปังที่มีน้ำตาลในสูตรบวกลบ 10%
2. ยีสต์ที่ใช้สำหรับขนมปังหวานที่ข้างซองก็จะระบุว่าใช้สำหรับขนมปังที่มี ปริมาณน้ำตาลในสูตรตั้งแต่ 5% ถึง 30% หรือมากกว่านั้น ถ้าเราใช้ยีสต์ที่ใช้สำหรับทำขนมปังจืดมาทำขนมปังหวานก็สามารถทำได้ แต่จะทำให้การหมักขนมปังต้องใช้ระยะเวลานานขึ้น

นอกจากยีสต์แล้ว ในปัจจุบันยังพบว่าการทำขนมปัง เรายังมีสารอีกชนิดหนึ่งที่ใส่ลงไปในขนมปัง เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น คือ
Bread Improve หรือสารเสริมคุณภาพ ขนมปังใช้เป็นสารเสริมคุณภาพของขนมปังเท่านั้น มีลักษณะคล้ายผงฟูละเอียดโดยใช้ ประมาณ 10-20% ของน้ำหมักแป้ง ดดยผสมลงไปกับแป้งได้เลยมีลักษณะเป็นแป้งผงสีขาว เป็นส่วนผสมของวิตามิน C และ อาหารของยีสต์ ซึ่งจะช่วยให้ทุ่นเวลาในการหมักครั้งแรกได้ 1-1 ครึ่ง ชั่วโมง

เรื่องยีสต์กับอุณหภูมิการเจริญเติบโตหน่อยนะคะ

Yeast Activity Levels at Various Temperature Ranges:
อุณหภูมิ....................... สภาวะของยีสต์
34-40 F (1-4 C)............หลับอยู่ (แต่ปลุกได้)Yeast is dormant.
50 F(10 C)...................ตื่นขึ้นแบบช้า ๆ Yeast slowly wakes up.
60-70 F (16-21 C).........Yeast becomes more active.
70-80 F (21-27 C).........เจริญเติบโตดีที่สุด Optimum fermentation temperature.
120 F(50 C)..................ก่อตัวช้ามาก Fermentation slows significantly
140 F(60 C)...................ตายหรือถูกทำลาย Yeast is killed.

ที่มา
http://www.foodsubs.com/LeavenYeast.html
http://www.pantown.com/board.php?id=11499&area=&name=board32&topic=68&action=view

วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อันตราย ของการใช้ยา

ยาทุกตัว ย่อมมีทั้งคุณและโทษควบคู่อยู่ด้วยเสมอ ในการใช้ยาจึงต้องใช้อย่างรู้เท่าทันว่ายาแต่ละตัวออกฤทธิ์
อย่างไร, ใช้ขนาดเท่าไหร่, นานเท่าไหร่ และอาจมีโทษอะไรได้บ้าง ถ้าหากไม่จำเป็นจริง ๆ ก็ไม่ควรใช้ยาอย่าง
พร่ำเพรือ

อันตรายของยา

อาจเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้

1. การใช้ยาเกินขนาด (Overdosage toxicity) เช่น

- กินแอสไพริน ขนาดมาก ๆ ทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรด (acidosis) ถึงตายได้
- กินพารา เซตามอลขนาดมาก ๆ อาจทำลายตับ เกิดภาวะตับวายเฉียบพลันถึงตายได้
- กินฟี โนบาร์บิทาล ขนาดมาก ๆ ทำให้กดศูนย์ควบคุมการหายใจ ผู้ป่วยหยุดหายใจถึงตายได้
- กินยารักษาเบาหวานมากเกิน อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไปจนเป็นลม ถึงตายได้

2. ผลข้างเคียงของยา (Side effect) ยาทุกตัวจะมีผลที่ไม่เป็นคุณหรือเป็นโทษ อยู่ควบคู่กับประโยชน์ของมัน เสมอ เช่น

- ทำให้ระคายเคืองต่อกระเพาะ (กัดกระเพาะ) เป็นโรคกระเพาะ/แผลเพ็ปติกได้ เช่น ยาแอสไพริน ,
ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์ , สเตอรอยด์ , รีเซอร์พีน
- ทำให้หูหนวก เสียการทรงตัว หรือเป็นพิษต่อไต เช่น สเตรปโตไมชิน, คานาไมซิน (Kanamycin) ทำให้เกิด
ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (Agranulocytosis) เช่นไดไพโรน, ซัลฟา, เฟนิลบิวตาโซน, ยารักษาคอพอกเป็นพิษ
- ทำให้เป็นโรคโลหิตจางอะพลาสติก เช่น คลอแรมเฟนิคอล , เฟนิลบิวตาโซน
- ทำให้มีพิษต่อตับ เช่น เตตราไซคลีน , อีริโทรไมซิน , คีโตโคนาโซล , ไอเอ็นเอช , ไพราซินาไมด์ เป็นต้น
- ทำให้มีพิษต่อประสาทตา เช่น อีแทมบูทอล , คลอโรควีน เป็นต้น
- ทำให้ฟันเหลืองดำ เช่น เตตราไซคลีน ข้อที่ควรระวังอย่างยิ่งคือ ผลที่มีต่อเด็กเล็ก และทารกในครรภ์มารดา

3. การแพ้ยา (Drug allergy หรือ Drug hypersensitivity)

ดูรายละเอียดในหัวข้อ "การ แพ้ยา"

4. การดื้อยา (Drug resistance)

มักจะเกิดกับยาปฏิชีวนะที่ใช้กันอย่างผิด ๆ ยาปฏิชีวนะ"

5. การใช้ยาในทางที่ผิดและการติดยา (Drug abuse และ Drug dependence) เช่น

- การติดยามอร์ฟีน, เฮโรอีน, ยากระตุ้นประสาท-แอมฟีตามีน (ยาม้า, ยาขยัน)
- การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นยาลดไข้
- การใช้สเตอรอยด์เป็นยาลดไข้ หรือยาอ้วน
- การใช้เอฟีดรีน หรือแอมฟีตามีน เป็นยาขยัน
- การใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ (ORS) เป็นบำรุงร่างกาย

6. ปฏิกิริยาต่อกันของยา (Drug interaction)

จะเกิดขึ้นเมื่อให้ยาเข้าไปในร่างกายมากกว่า 2 ตัวขึ้นไป
พร้อมกัน ซึ่งอาจจะเสริมฤทธิ์กัน ทำให้มีผลในการรักษามากขึ้น หรือทำให้ฤทธิ์ยาแรงขึ้น หรือต้านฤทธิ์กัน
ทำให้ผลการรักษาลดน้อยลงไป เช่น
- แอลกอฮอล์ (เหล้า, เบียร์) ถ้ากินพร้อมกับยานอนหลับ, ยาแก้แพ้ จะช่วยเสริมฤทธิ์การนอนหลับมากขึ้น
- แอลกอฮอล์ ถ้ากินพร้อมกับแอสไพริน จะเสริมฤทธิ์การระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร
- อีริโทรไมซิน ถ้ากินพร้อมกับทีโอฟิลลีน จะทำให้ระดับของยาชนิดหลังในกระแสเลือดสูงขึ้น
- อีริโทรไมซิน หรือยารักษาเชื้อรา (เช่น คีโตโคนาโซล) ถ้ากินร่วมกับยาแก้แพ้-เทอร์เฟนาดีน จะทำให้ระดับยา
เทอร์เฟนาดีนในเลือดสูงขึ้น ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหยุดเต้นเป็นอันตรายได้
- เฟนิลบิวตาโซน ไอเอ็นเอช หรือซัลฟา ถ้ากินพร้อมกับยารักษาเบาหวาน จะเสริมฤทธิ์การลดน้ำตาล ทำให้เกิด
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้
- สเตอรอยด์ ไทอาไซด์ หรืออะดรีนาลิน จะต้านฤทธิ์การลดน้ำตาลของยารักษาเบาหวาน ถ้าใช้พร้อมกัน อาจทำ
ให้การรักษาเบาหวานไม่ได้ผล
- บาร์บิทูเรต, อะม็อกซีซิลลิน , เตตราไซคลีน หรือยารักษาโรคลมชัก (เช่น เฟนิโทอิน) ถ้ากินพร้อมกับยาเม็ด
คุมกำเนิด จะต้านฤทธิ์ยาคุมกำเนิด ทำให้การคุมกำเนิดไม่ได้ผลยาลดกรด ถ้ากินร่วมกับเตตราไซคลีน หรือยา
บำรุงโลหิต จะทำให้การดูดซึมของเตตราไซคลีน หรือยาบำรุงโลหิตลดน้อยลงแอสไพริน จะต้านฤทธิ์การ
ขับกรดยูริกของโพรเบเนชิด (Probenecid) จึงห้ามใช้แอสไพรินในอยู่ป่วยโรคเกาต์ที่กินโพรเบเนซิดอยู่

7. การตอบสนองต่อยาในคนที่มีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ เช่น

คนที่มีภาวะพร่องเอนไชม์จี-6-พีดี ซึ่งเกิดจากกรรมพันธุ์ ถ้ากินแอสไพริน ซัลฟา คลอแรมเฟนิคอล ฟูราโซลิโดน พีเอเอส ควินิน ไพรมาควีน หรือไทอาเซตาโซน อาจทำให้เกิดโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก ได้
คนที่เป็นโรคเก๊าท์ ถ้ากินไทอาไซด์ หรือแอลกอฮอล์ (เหล้า เบียร์) ก็อาจทำให้โรคกำเริบได้
คนที่เป็นเบาหวาน ถ้ากินสเตอรอยด์ ไทอาไซด์ หรือยาเม็ดคุมกำเนิด ก็อาจทำให้น้ำตาลในเลือดสูงได้

การป้องกันอันตรายจาการใช้ยา

1. ต้องทำความรู้จักยาทั้งในแง่สรรพคุณ, ผลข้างเคียง, ขนาดที่ใช้, ระยะเวลาที่ใช้, ไม่ใช้อย่างเดาสุ่ม,
อย่างครอบจักรวาล, อย่างพร่ำเพรื่อ หรืออย่างไม่รับผิดชอบ

2. ต้องทำความรู้จักกับคนไข้ที่จะใช้ยา ถามประวัติการแพ้ยา, โรคภูมิแพ้ในตัวคนไข้และครอบครัว, อาการซีด
เหลืองที่เกิดขึ้นประจำ

3. ควรศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากการอ่านตำรา หรือสอบถามผู้รู้

4. ควรแนะนำให้ชาวบ้านรู้จักโทษของยา หากจะเลือกซื้อยากินเอง ควรรู้จักยาชนิดนั้น ๆ ให้ดี อย่าปล่อยให้ทาง
ร้านขายยาจัดยาชุดที่ไม่รู้จักให้ เพราะในยาชุดมักมียาอันตรายผสมอยู่ด้วย เช่น คลอแรมเฟนิคอล,เพร็ดนิโซโลน
ฯลฯ

5. ควรแนะนำให้ร้านขายยารับผิดชอบต่อการจ่ายยาให้แก่ลูกค้า อย่าจ่ายยาอันตรายอย่างพร่ำเพรื่อ

6. อย่าฉีดยาโดยไม่จำเป็น เลือกฉีดในรายที่อาการรุนแรงหรืออาเจียน กินไม่ได้ เพราะนอกจากจะเสี่ยงต่อการแพ้ยา
แล้ว ยังอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น เป็นฝีหัวเข็ม โรคตับอักเสบจากไวรัส หรือโรคเอดส์และอาจฉีดถูกเส้น
ประสาทได้อีกด้วย

(ขอบคุณข้อมูลจาก thailabonline.com)
http://www.ideaforlife.net/health/drug/0001.html

วันพุธที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

มารู้จักความหมายของ O-NET , A-NET และ B-NET

โอ-เน็ต (อังกฤษ: O-NET) , เอ-เน็ต (อังกฤษ: A-NET) , และ บี-เน็ต (อังกฤษ: B-NET) คือรูปแบบมาตรฐานการ ทดสอบความรู้ในระดับต่างๆ ของนักเรียนที่ดำเนินการโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์การมหาชนและใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า “National Institute of Educational Testing Service”

ระดับ และวัตถุประสงค์ของการสอบ
สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ได้กำหนดมาตรฐานการทดสอบทางการศึกษาออกเป็น 3 ระดับ ตามวัตถุประสงค์ดังนี้

โอ-เน็ต (O-NET)
การทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (Ordinary National Education Testing) หรือที่เรียกว่า O-NET เป็นการสอบความรู้รวบยอดปลายช่วงชั้น (6 ภาคเรียน) ของชั้น ป. 3 ป. 6 ม. 3 และ ม. 6 ตามมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 โดยทำการทดสอบความรู้ในกลุ่มสาระต่างๆ รวม 8 กลุ่ม

* ผู้มีสิทธิ์สอบ ผู้กำลังจะจบชั้น ป. 3, ป. 6, ม. 3 และ ม. 6 เป็นการสอบออก
* ช่วงเวลาสอบและจำนวนครั้งการสอบ เดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม ของทุกปี เป็นการสอบประจำปีอย่างถาวรตลอดไปและเป็นการสอบเพียง 1 ครั้งสำหรับผู้กำลังจะจบช่วงชั้นเท่านั้น
* วิธีการสอบและค่าใช้จ่าย ผู้เป็นนักเรียนปกติไม่ต้องสมัครสอบ แต่นักเรียนเทียบเท่าต้องสมัครสอบ ไม่มีการเสียค่าใช้จ่ายในการสอบ
* ผู้จัดสอบ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)

เอ-เน็ต (A-NET)
การทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง (Advance National Education Testing) หรือที่เรียกว่า A-NET เป็นการสอบความรู้ขั้นสูง (6 ภาคเรียน) ทดสอบเฉพาะนักเรียนชั้น ม. 6 ที่ประสงค์จะเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐในระบบรับร่วมและรับกลาง จำนวนวิชาสอบ 11 วิชา

* ผู้มีสิทธิ์สอบ ผู้กำลังเรียนหรือผู้จบชั้น ม. 6 ปกติหรือเทียบเท่าไปแล้ว
* ช่วงเวลาสอบและจำนวนครั้งการสอบ การทดสอบแบบนี้จะมีเพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้นคือเดือนมีนาคม ของทุกปี และสามารถเก็บคะแนนที่สอบไว้ได้ 2 ปี โดยใช้คะแนนที่ดีที่สุด การสอบจะมีเฉพาะช่วงรอยต่อของระบบเก่าและใหม่คือระหว่างช่วง พ.ศ. 2549 -2552 เท่านั้น
* วิธีการสอบและค่าใช้จ่าย ผู้เข้าทดสอบต้องสมัครสอบและเสียค่าใช้จ่ายในการสอบวิชาละ 100 บาท
* ผู้จัดสอบ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)

ในการรับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาปี 2553 ได้ยกเลิกระบบ A-NET แต่ใช้ระบบ GAT - PAT แทน

บี-เน็ต (B-NET)
B-NET ย่อมาจากชื่อภาษาอังกฤษว่า “Basic National Education Testing” เป็นการสอบความรู้ขั้นสูง (5 ภาคเรียน) เฉพาะนักเรียน ม. 6 ที่จะเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐในระบบรับตรง ระบบโควต้า และระบบพิเศษ โดยมีวิชาสอบ 5 วิชา

* ผู้มีสิทธิ์สอบ ผู้กำลังเรียนหรือผู้จบชั้น ม. 6 ปกติหรือเทียบเท่าไปแล้ว
* ช่วงเวลาสอบและจำนวนครั้งการสอบ การทดสอบแบบนี้จะเริ่มมีการสอบครั้งแรกในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 สำหรับมหาวิทยาลัยนเรศวรและบางโครงการของจุฬาลงกาสรณ์มหาวิทยาลัย สามารถเก็บคะแนนที่สอบไว้ได้ 2 ปี
* วิธีการสอบและค่าใช้จ่าย ผู้เข้าทดสอบต้องสมัครสอบ และเสียค่าใช้จ่ายในการสอบวิชาละ 100 บาท
* ผู้จัดสอบ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)


สาระ และมาตรฐานการเรียนรู้การสอบ โอ-เน็ต (O-NET) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6

สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ได้แบ่งกลุ่มสาระและมาตรฐานการเรียนรู้การสอบออกของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 6 ไว้ 8 กลุ่มสาระ ได้แก่

1) ภาษาไทย

2) คณิตศาสตร์

3) วิทยาศาสตร์

4) สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

5) สุขศึกษาและพลศึกษา

6) ศิลปะ

7) การงานอาชีพและเทคโนโลยี

8) ภาษาต่างประเทศ

โดยในแต่ละกลุ่มสาระจะมีมาตรฐานไว้ชัดเจน



ADMISSION หรือที่ภาษาไทยเรียกกันว่าแอดมิชชั่น(จะบอกทำไมเนี่ย) คือระบบการคัดเลือกบุคคลที่อยากจะเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งถูกนำมาใช้จริงครั้งแรกในปี ๒๕๔๘ (โชคดีของเด็กรุ่นนี้นะเนี่ย ได้ลองของใหม่) แทนการสอบเอนทรานซ์ในระบบเดิม ซึ่งในระบบใหม่นี้คะแนนของผู้ที่(อยาก)จะถูกคัดเลือกเข้าสู่สถาบันอุดมศึกษา จะไม่ได้มาจากการสอบเพียงอย่างเดียวทั้งหมดเท่านั้น แต่ยังมีคะแนนบางส่วนจากเกรดเฉลี่ยของที่โรงเรียนมาเป็นส่วนหนึ่งในการ พิจารณาเข้าศึกษาต่อด้วย

GPAX หรือถ้าจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆก็คือเกรดเฉเลี่ยสะสมของน้องๆ นั่นแหละ ซึ่งไม่ว่าน้องจะเข้าคณะไหนก็ตาม GPAX จะมีผลต่อคะแนนรวมของน้องถึง 10% เพราะฉะนั้นก็ตั้งใจเรียนในห้องเรียนให้มากๆ(ในทุกวิชา)ด้วยหล่ะ เพราะถ้าไม่ตั้งใจเรียนในห้อง นอกจากจะเกรดตกแล้ว คะแนน GPAX 10% ก็จะลดลงไปด้วยเน้อ

GPA หรือคะแนนสะสมรายวิชา มันก็คล้ายเจ้า GPAX นั่นแหละ แต่แค่วุ่นวายกว่าหน่อย เพราะ GPA เนี่ยนะแต่ละคณะเขาจะกำหนดเองเลยว่าจะเอาวิชาอะไร กี่% แต่ละคณะจะต้องเอาคะแนน GPA ของน้องๆอย่างน้อย 3 วิชา แต่ไม่เกิน 5 วิชา และคะแนน GPA ของน้องจะมีผลต่อคะแนนรวมถึง 20% เพราะฉะนั้นน้องๆควรจะรู้ตัวเองได้แล้วในชั้น ม.4 ว่าอยากเข้าคณะอะไร แล้วก็ไปดูตารางองค์ประกอบและค่าร้อยละของกลุ่มสาขาวิชาว่าคณะที่น้องๆอยาก เข้า ว่าคณะที่น้องๆอยากเข้าเขาจะถ่วงน้ำหนักให้วิชาใดเป็นพิเศษ จะได้ตั้งใจและเตรียมตัวแต่เนิ่นๆได้ถูกนะครับ

O-NET มาถึงสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับการแอดมิชชั่นครั้งนี้บ้าง นั่นก็คือโอเด็ต ไม่ใช่!!!! O-NET ต่างหาก (เล่นเอง แก้เอง แป๊กเอง) O-NET มันย่อมาจาก Ordinary National Educational Test (ไม่ต้องท่องนะ มันไม่ออกข้อสอบหรอก) หรือภาษาไทยเรียกว่าการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน จัดสอบกันทั้งหมด 5 วิชา คือ ภาษาไทย สังคมศึกษา ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ซึ่งใครก็ตามที่จะสอบแอดมิชชั่นจะต้อง O-NET ด้วย โดยในตัวข้อสอบก็จะเป็นเนื้อหาของความรู้พื้นฐานทั่วไปที่น้องๆ เรียนกัน รับรองว่าไม่ยากหรอก การสอบ O-NET จะมีผลต่อคะแนนแอดมิชชั่นรวมของน้องๆถึง 35-70% (ขึ้นอยู่การกำหนดของแต่ละคณะ)

A-NET อีกหนึ่งสิ่งใหม่ของการสอบแอดมิชชั่นก็คือ A-NET ซึ่งย่อมาจาก Advanced National Educational Test หรือก็คือการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง ชื่อก็บอกแล้วว่าการสอบขั้นสูงเพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องความยากเลย ถ้าเทียบกันแล้ว โอเนทจะแค่ขำๆ แต่เอเนทอาจจะทำให้ขำไม่ออกเลยล่ะ (ขู่เฉยๆน่าอย่าพึ่งกลัวเลย) สำหรับ A-NET และพวกวิชาเฉพาะกับความถนัดเฉพาะทางจะคิดเป็น 0-35% ของคะแนนรวมทั้งหมด ซึ่งคะแนนจะยืดหยุ่น(แปรผันผกผัน)กับคะแนน O-NET ซึ่งบางคณะก็จะไม่ใช้คะแนน A-NET ในการสอบคัดเลือกเข้าเลยก็ได้ แต่คณะก็ใช้มากถึง 35% คณะไหนใช้เท่าไรก็ต้องไปตรวจสอบกันนะขอรับ


ที่มา
http://writer.dek-d.com/ubyi/story/view.php?id=126467
โอ-เน็ต - วิกิพีเดีย

วิธี เอาแถบนำทาง(Navigation Bar) บนหัว Blogger ออก

วิธีการทำ ให้ blogspot มีหน้าเพิ่ม (Static Pages)
อ้างถึง


พอเราเพิ่มหน้าStatic Pages แล้ว ทีนี้ไอ้แถบนำทาง หรือ Navigation Bar ที่มันดูว่ายังไม่ค่อยโปร เป็นแค่บล๊อก หรือบางคนอยากเอาออก
ให้มันดูเหมือนหน้า เว็ปมากขึ้น
วิธี ทำง่ายๆคือ

เข้าไปที่ >>รูปแบบ>>แก้ไข html
กด ctrl+f หาโค๊ด #header-wrapper

แล้วเอาโค๊ดนี้ไปแปะไว้ข้างหน้า #header-wrapper
อ้างถึง
#navbar-iframe {
height: 0px;
visibility: hidden;
display: none;
}

เสร็จแล้วกด save

จบครับ

ที่มา http://www.thaiseoboard.com/index.php?topic=71294.0

วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประกันชีวิต vs ประกันสุขภาพ


มีคนจำนวนมากเข้าใจว่าถ้าทำประกันชีวิตแล้ว เมื่อเจ็บป่วยหรือได้รับอุบัติเหตุ จะสามารถเบิกค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจากบริษัทประกันชีวิตได้ ความจริงก็คือเบิกได้ ถ้ากรมธรรม์ประกันชีวิตที่บุคคลนั้นถือครองอยู่เป็นกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ มีการซื้อสัญญาเพิ่มเติมในส่วนของการประกันสุขภาพแนบอยู่ด้วย แต่ถ้ากรมธรรม์ประกันชีวิตฉบับนั้นไม่ได้มีสัญญาเพิ่มเติมส่วนนี้ก็จะเบิก ไม่ได้ ดังนั้นในขณะที่จะซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิต ท่านต้องแน่ใจว่าท่านต้องการความคุ้มครองในส่วนของการประกันประกันสุขภาพ หรือไม่ เพราะส่วนของการประกันสุขภาพสำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตนั้นท่านต้องจ่าย เบี้ยประกันเพิ่มเติมจากกรมธรรม์หลัก และท่านสามารถเลือกวงเงินคุ้มครองในส่วนของการประกันสุขภาพได้ด้วยว่าท่าน ต้องการวงเงินคุ้มครองระดับใดโดยปกติจะแปรผันตามอัตราค่าห้องผู้ป่วยที่ท่าน เลือก กล่าวคือหากเลือกอัตราค่าห้องที่สูงกว่า ท่านก็จะได้รับวงเงินคุ้มครองในการเบิกค่ารักษาพยาบาลได้มากกว่า ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเลือกอัตราค่าห้องที่สูง เบี้ยประกันที่ท่านต้องจ่ายเพิ่มก็จะสูงตามไปด้วยและในส่วนของเบี้ยประกัน สุขภาพนี้มักจะมีการปรับเพิ่มขึ้นตามช่วงอายุของท่านที่เพิ่มขึ้น ปกติจะปรับเพิ่มขึ้นทุก ๆ 5 ปี แล้วแต่การแบ่งขอบเขตของช่วงอายุที่บริษัทนั้น ๆ กำหนดไว้ เช่น อายุ 30 – 35 ปี / อายุ 36 – 40 ปี / อายุ 41 – 45 ปี เป็นต้น

ส่วนของการประกันสุขภาพที่แนบอยู่กับกรมธรรม์ประกันชีวิตนั้น ถือเป็นกรมธรรม์ประเภทประกันวินาศภัยประเภทหนึ่งคล้ายกับการประกันรถยนต์ คือเป็นการรับประกันปีต่อปีและจ่ายค่าชดเชยเท่าความเสียหาย ( เจ็บป่วย ) ที่เกิดขึ้นจริงแต่ไม่เกินวงเงินคุ้มครองที่ซื้อไว้และไม่ว่าจะมีการเจ็บ ป่วยเกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมาหรือไม่ เมื่อครบช่วงเวลาที่บริษัทกำหนดไว้ว่าจะมีการปรับเพิ่มเบี้ยประกัน อัตราเบี้ยประกันสุขภาพในปีนั้นจะถูกปรับเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาผู้ถือกรมธรรม์จะไม่เคยเบิกค่ารักษาพยาบาลก็ตาม เหตุผลสำคัญที่ทำให้เบี้ยประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นก็เพราะ อัตราความเสี่ยงในการเจ็บป่วยก็จะมากขึ้นนั่นเอง

ในส่วนของการประกันสุขภาพที่ท่านซื้อไว้แนบท้ายกรมธรรม์ประกันชีวิตของท่าน นั้น แม้ว่าท่านจะไม่ซื้อสัญญาเพิ่มเติมความคุ้มครองอุบัติเหตุไว้ เมื่อท่านได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ท่านก็สามารถเบิกค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุได้ด้วยตามวงเงิน ที่ระบุไว้ในสัญญาเพิ่มเติมการประกันสุขภาพที่ท่านซื้อไว้ ทั้งนี้มักจะรวมถึงการบาดเจ็บเล็กน้อยในลักษณะของการรักษาแบบผู้ป่วยนอกด้วย แต่ต้องเป็นการเข้ารักษาในโรงพยาบาลภายในเวลา 24 โมง นับจากเกิดอุบัติเหตุ คือรีบเข้ารักษาพยาบาลทันทีนั่นเองและต้องเป็นการรักษาในโรงพยาบาลเท่านั้น ไม่รวมถึงการรักษาตามคลินิก จึงจะสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลจากการประกันสุขภาพที่แนบอยู่กับกรมธรรม์ ประกันชีวิตได้

ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่สามารถเบิกได้นั้นปกติจะครอบคลุมถึงค่าใช้ จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นจริงตั้งแต่ค่าห้อง ค่าอาหารค่าบริการพยาบาล ค่ายา ค่าน้ำเกลือ และค่าใช้จ่ายอื่นๆในการรักษาพยาบาล ค่าศัลยกรรม ค่าห้องผ่าตัด ค่าวางยาสลบ ค่าตรวจในห้องแลบขณะเป็นผู้ป่วยนอก ค่าตรวจ เยี่ยมประจำวันของแพทย์ ทั้งนี้หากผู้ถือกรมธรรม์มีการประกันสุขภาพอยู่หลายฉบับสามารนำค่าใช้จ่ายครั้งนั้นเบิกได้จากทุกกรมธรรม์ตราบเท่าที่ ยังไม่เกินค่าใช้จริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการประกันจากบริษัทเดียวกันหรือต่างบริษัทก็ตามและจะขอเบิก จากกรมธรรม์ใดก่อนก็ได้ ทั้งนี้รวมถึงข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่สามารถเบิกจากทางราชการได้อยู่แล้วหรือพนักงานของบริษัท ห้างร้านต่างๆที่สามารถเบิกค่าใช้จ่ายจากกองทุนประกันสังคมก็ยังสามารถเลือก ได้ว่าจะเบิกจากประกันสังคมหรือจะเบิกจากกรมธรรม์ประกันสุขภาพ ภายใต้หลักการเดียวกันคือเบิกได้ไม่เกินค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นจริง และไม่เกินวงเงินคุ้มครอง และเมื่อเลือกเบิกจากทางใดทางหนึ่งแล้วหากได้รับการชดใช้จนครบถ้วนตามใบ เสร็จครั้งนั้นแล้วก็ไม่สามารถไปขอเบิกจากที่อื่นได้อีก

ที่มา http://www.moneyfor-life.com/PRAKAN/webpage/knowledge/about%20assure/life_health.htm

วิธีดูแผ่น Verbatim แท้ / ปลอม ดูกันยังไง

ปัจจุบันลูกค้านิยมซื้อแผ่นคุณภาพสูงกันมากขึ้น แผ่น Mitsubishi และ Verbatim เป็นหนึ่งในแผ่นคุณภาพสูงที่ลูกค้านิยมใช้ เมื่อสินค้าราคาสูงย่อมมีการปลอมแปลง วันนี้ผมจึงบอกวิธีง่าย ๆ ในการดูแผ่น Mitsubishi และ Verbatim ครับ

เล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่อง Mitsubishi และ Verbatim ที่หลายคนสงสัยว่า 2 ยี่ห้อนี้เกียวอะไรกัน
บริษัท Verbatim ก่อตั้งในสหรัฐ อเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 1969 ในยุคเริ่มแรกของอุตสาหกรรม IT
ในปี ค.ศ. 1985 ได้ถูก Kodak ซื้อไป
และปี ค.ศ. 1990 บริษัท Mitsubishi Chemical Corporation ก็ไดเข้า้ซื้อ Verbatim

ณ ปัจจุบัน Verbatim มีสถานะเป็นบริษัทลูกของ Mitsubishi Chemical Corporation สินค้าที่จำหน่ายคือ สื่อบันทึกข้อมูล CD, DVD, BD และ Flash Memory แผ่น Verbatim ขายดีในยุโรบและมียอดขายเป็นอันดับ 1 ของโลก

การตรวจสอบแผ่น Mitsubshi และ Verbatim เบื้องต้นเราจะดู MID code ซึ่ง MID code คือ Media Identification Code เป็นรหัสของแผ่นเพื่อให้เครื่องไรท์รู้ว่าแผ่นตัวนี้ผลิตจากโรงงานไหน และความเร็วที่ไรท์ได้เท่าไหร่บ้าง


MID code ของแผ่น Mitsubishi และ Verbatim ใช้โปรแกรม Nero CD-DVD Speed ดูก็ได้ หรือโปรแกรม DVD Identifier ในการดู MID code

ตัวอย่าง:
MCC02RG20 เป็นแผ่น DVD-R 8X
MCC003 เป็นแผ่น DVD+R 8X
MCC03RG20 เป็นแผ่น DVD-R 16X
MCC004 เป็นแผ่น DVD+R 16X

ซึ่งการดู MID code เหล่านี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น และความน่าเชื่อถือจะมีไม่มาก เนื่องจากโรงงานผลิตสามารถกำหนด MID code ได้ เราจึงขอแนะนำให้ดู Stamper ID ของแผ่นดีกว่า ซึ่งตรงนี้การปลอมแปลงจะทำไม่ได้ และถ้าแผ่นใดที่ MID code เป็นของ Verbatim แต่ Stamper ID ไม่ใช่ นั่นคือแผ่น Fake Verbatim หรือแผ่น Verbatim ปลอมนั่นเอง คุณภาพก็จะต่ำกว่าของแท้เป็นอย่างมาก

การดู Stamper ID ที่แผ่น
Stamper ID จะติดอยู่กับแผ่น ให้สังเกตุเวลาที่เราหงายด้านบันทึกข้อมูลขึ้นมาดู ในส่วนของวงในจะมีตัวเลข / ตัวอักษร ที่สะท้อนแสงขึ้นมา ตรงนั้นคือ Stamper ID

Stamper ID ของแผ่น Verbatim
รหัส ZC........ สำหรับแผ่น CD-R

* แต่ในขณะนี้ (ปี 2010) แผ่น Verbatim CD-R ส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ Stamper ของ Verbatim แล้ว เนื่องจากทาง Verbatim ไปใช้ Stamper ของ CMC Magnetics แทน นัยว่าอาจจะไม่คุ้มทุนในการทำ Stamper การเลือกซื้อแผ่น CD-R ของ Verbatim ควรเลือกซื้อจากร้านที่เชื่อถือได้เท่านั้น

รหัส ZD....-DVR-.... หรือ ZE....-DVR-.... สำหรับแผ่น DVD-R, DVD+R
Stamper ตัวนี้สำหรับแผ่น Mitsubishi, Verbatim DVD-R 8X, DVD+R 8X, DVD-R 16X, DVD+R 16X, DVD-R 16X Digital Movie, DVD+R 16X Digital Movie รวมถึงรุ่น Printable

และในบางรุ่นอย่าง Verbatim รุ่นที่ผลิตในญี่ปุ่นจะใช้ Stamper ID เป็น GG..... / GH..... ของ Taiyo Yuden แทน และ MID code จะใช้เป็น TYG03 (สำหรับแผ่น DVD-R 16X) และ YUDEN000 T03 (สำหรับแผ่น DVD+R 16X)

รูปตัวอย่าง Stamper ID



การดูแผ่น Mitsubishi และ Verbatim เบื้องต้นเพียงเท่านี้ก็ทำให้ท่านสามารถตรวจสอบแผ่นที่อยู่กับท่านได้ว่า เป็นของแท้หรือเปล่า แต่การเลือกร้านที่จำหน่ายแผ่นนั้นสำคัญกว่า เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบด้วย MID code หรือ Stamper ID ต้องซื้อแผ่นมาก่อนถึงจะแกะดูได้ ซึ่งกว่าจะรู้ว่าเป็นของปลอมก็ซื้อมาแล้ว การเลือกซื้อสินค้าควรเลือกซื้อจากร้านที่เชื่อถือได้เท่านั้น

สำหรับ DVDR2U ลูกค้ามั่นใจได้ว่าเราจำหน่ายแผ่น Mitsubishi และ Verbatim ของแท้ทุกรายการ


สงวนลิขสิทธิ์ โดย ปณิธิ รุ่งเรืองบางชัน
อนุญาตให้นำไปเผยแพร่ต่อได้ แต่ต้องลิงค์มาที่ http://www.dvdr2u.com/article/verbatim

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การทำงานของ try catch และ finally ใน .NET

try
{
// 1 - ทำตามปกติ
}
catch ("ชนิดException" "ชื่อตัวแปลที่รองรับException")
{
// 2.1 - ทำเมื่อ เกิด Exception ตามชนิดที่เขียนไว้
}
catch ("ชนิดException" "ชื่อตัวแปลที่รองรับException")
{
// 2.2 - ทำเมื่อ เกิด Exception ตามชนิดที่เขียนไว้
}
finally
{
// 3 - ทำหลังจากสิ้นสุดภายใต้ Try หรือ Catch ใดๆ โดยไม่ว่า จะเกิด Exception หรือไม่ ?
}


ตัวอย่าง


Object oItem = null;
try
{
oItem
.ToString();
}
catch (NullPointerException exNull)
{
MessageBox.Show("Error : " + exNull.Message);
}
catch (Exception exAll)
{
MessageBox.Show("Error : " + exAll.Message);
}
finally
{
oItem
= "Hello World";
}


จากตัวอย่างคือ พอเข้า Try และถึงคำสั่งที่ oItem.ToString(); นั้น จะเกิด NullPointerException เนื่องจาก oItem เป็น Null อยู่ จึงไม่สามารถเรียก Method ใดๆ ได้

นั่นคือจะเข้า catch (NullPointerException exNull) ครับ และสิ่งที่มันทำต่อจากนั้นคือ MessageBox.Show("Error : " + exNull.Message); และพอจบภายใน catch นี้ ก็จะเข้าไปทำต่อใน Finally นั่นก็คือ oItem = "Hello World";

แต่ถ้าตัวอย่างนี้


Object oItem = "Hello";
try
{
int.Parse(oItem.ToString());
}
catch (NullPointerException exNull)
{
MessageBox.Show("Error : " + exNull.Message);
}
catch (Exception exAll)
{
MessageBox.Show("Error : " + exAll.Message);
}
finally
{
oItem
= "Hello World";
}


จะเหมือนกับตัวอย่างด้านบนครับ แต่รอบนี้ จะเข้า Exception ใน catch (Exception exAll) ครับ เนื่องจากไม่มี NumericException มารองรับ ครับ



สรุปนะครับ นั่นคือ ทุกอย่างที่โปรแกรมจะ Execute ใน Try นั้น หากเกิดการผิดพลาด Exception สิ่งที่จะทำต่อไปคือ มันจะวิ่งไปหา Catch Exception ที่ตรงกับชนิดของ Exception ที่เกิดขึ้นก่อน หากไม่มี มันจะวิ่งไปหา catch (Exception) เป็นสิ่งสุดท้ายครับ


และหากจบการ execute ใน catch หรือ try เสร็จ หากมี finally ต่อหลังรออยู่ มันก็จะทำในนั้นต่อครับ

ที่มา http://www.narisa.com/forums/index.php?showtopic=27855

10 เว็บไซต์สอนเขียน JavaScript

สำหรับใครที่กำลังต้องการเรียนรู้การเขียนโปรแกรมภาษา และกำลังหาเว็บหรือหาหนังสือช่วยสอนอยู่ วันนี้ผมก็เลยมี Tutorials สอนการเขียน มาฝากครับ ซึ่งมี 10 เว็บด้วยกัน ซึ่งหนึ่งใน 10 เว็บไซต์ที่ผมนำมาแนะนำนั้น ก็มี 1 เว็บที่ผมเคยเข้าไปอ่านประจำสมัยที่หัดเขียนโปรแกรมใหม่ๆ ประมานว่าไม่รู้เลยว่าภาษาไหนเขาใช้เขียนเพื่อนงานลักษณะไหน ก็เรียนมัวกันไปหมดจนสับสนเลย 555+ นั้นก็คือ เว็บ http://www.w3schools.com ซึ่งผมก็ศึกษาการเขียนโปรแกรมบนเว็บ (Web Programming) ภาษาต่างๆ มาจากเว็บนี้แหละครับ ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิดเว็บนี้เปิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1999) ซึ่งผมเข้าก็อ่านบทเรียนต่างๆ มาจากเว็บนี้ เพราะแต่ก่อนไม่มีตังค์ซื้อหนังสือมาอ่านเอง (ตอนนี้ก็ไม่มี 555+) แน่นอนว่าเว็บเหล่านี้เป็นเนื้อหาภาษาอังกฤษ ก็ลองเข้าอ่านเข้าศึกษากันดูครับ ที่สำคัญเว็บเหล่านี้ไม่มีกั๊ก เนื้อหาแน่นอน

  1. http://www.w3schools.com/
  2. http://www.tutorialized.com/
  3. http://www.javascriptkit.com/
  4. http://www.htmlgoodies.com/
  5. http://www.echoecho.com/
  6. http://www.tizag.com/
  7. http://www.pageresource.com/
  8. http://www.howtocreate.co.uk/
  9. http://www.yourhtmlsource.com/
  10. http://javascript.about.com/

ที่มา : clickonpost.com

โซนี่เตรียมยกเลิกการผลิต Floppy Disk แล้ว

โซนี่ผู้ผลิตแผ่น Floppy Disk กว่าร้อยละ 70 ของตลาดเตรียมที่จะยกเลิกการผลิตในเดือนมีนาคมปี 2011 แล้ว เนื่องจากความจุของมันในตอนนี้ไม่เพียงพอกับขนาดของซอฟต์แวร์ที่มีขนาดที่ ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมากและยอดขายที่ลดลงในญี่ปุ่นจาก 47 ล้านแผ่นในปี 2002 ลดลงฮวบฮาบเหลือเพียง 12 ล้านแผ่นในปี 2009 (รำลึกความหลังกันต่อได้ที่หน้าใน)

ย้อนไปในปี 1981 โซนี่ได้ยกเลิกการผลิตแผ่นขนาด 5.25 นิ้ว แล้วผลิตขนาด 3.5 นิ้ว ด้านเดียว (ผู้เขียนไม่ทราบความจุ) จนถึง 3.5 นิ้ว ขนาด 1.44 MB สองด้าน (High Density : HD) ที่ยังเห็นกันอยู่ ณ ปัจจุบัน ซึ่งในตอนนั้นได้รับความนิยมมากเพราะมีขนาดที่เล็กลง ความจุที่สูงขึ้นและราคาไม่แพง ในเวลาต่อมาก็เริ่มพัฒนาให้มีความสูงขึ้น (SuperDisk) จากเดิมเป็น 2.88 MB จนถึง 200 MB เลยทีเดียว แต่เนื่องจากความจุที่มีอยู่อย่างจำกัดมาก อายุการใช้งาน รอบของการเขียน/ลบ/เขียนทับ ความแน่นอนและคงทนของข้อมูลลงในสื่อ สุดท้ายแล้วก็มาพ่ายให้กับ CD-R/RW ที่ตัว Writer โผล่ในช่วงเวลานั้นพอดี จึงเป็นที่นิยมเพราะความจุสูงกว่ามาก เขียน/อ่านข้อมูลได้เร็วกว่าและหาซื้อแผ่นราคาถูกได้ง่ายไม่แพ้กัน ทำให้ความนิยมในตัว Floppy Disk ลดลงเป็นอย่างมาก และตัว Zip Disk ที่ออกมาในช่วงที่ไล่เลี่ยกันก็ถึงกับขายไม่ออกเลยทีเดียวเพราะไม่เป็นที่ แพร่หลายนั่นเอง ในปี 1998 มีเพียงสองเจ้าเท่านั้นที่ชิงตัดไดร์ฟออกจากเครื่องเดสก์ทอปก่อนรายอื่นคือ Apple ที่นำไดร์ฟออกจาก iMac ซึ่งทำให้บางคนก็บ่นกันขรมว่าจะใช้สื่อบันทึกตัวใดแทน และในเวลาต่อมาก็มี Dell ทำตามในปี 2003 โดยตัดออกจากมาตรฐานการผลิตเลย

นอกเรื่อง
ยังจำสมัยเด็กๆ กันได้อยู่ไหมว่า ความจุของแผ่น 3.5 นิ้ว ขนาด 1.44 MB นี้ถ้าอยากจะเพิ่มความจุของมันให้เท่ากันกับขนาด 2.88 MB ก็ไปเล่นที่ Drive Space ของ Windows 98 เพื่อลองขยายมัน (แต่ถ้าลองคัดลอกไฟล์ที่บีบอัดข้อมูลลงไปอย่าง Zip ขนาดไฟล์ของมันจะเป็นสองเท่า) ประโยชน์ในตอนนี้เท่าที่ผู้แปลเห็นได้ก็คือการทำแผ่นบู๊ต หรือทำแผ่นสำหรับแฟลชไบออสแบบอัตโนมือ แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยแผ่น CD เรียบร้อยแล้ว และในวงการ Midi ก็ยังใช้ในการบันทึกไฟล์เสียงประเภทนี้อยู่ (ขนาดไฟล์เล็กมาก) ซึ่งนับวันจะถูกทดแทนด้วย Flash Drive เป็นการค่อยๆ ปิดม่านของ Floppy Disk ในยุคนี้ ตามรอย Jaz Drive และ Zip Disk

ที่มา http://www.blognone.com/node/16041

วิธี ทำ แผ่นอัพเดท MV KaraOK ใช้กับโปรแกรม All in one karaok

หลายท่านคงรู้จักโปแกรมคาราโอเกะกันดีอยู่แล้ว แต่บางท่านก็บอกว่าไม่ค่อยถึงใจเพราะเสียงเพลงที่ร้องมันเป็นเสียง มิดิ นิ๊ง หน่อง ๆ ไม่เพราะเหมือนกับเพลงจริง เลยหันหน้าไปเล่นพวก MV KaraOK กันจากเครื่องเล่น แต่ก็ต้องมาเสียเวลากดหาเพลงกดเปลี่ยนแผ่น บางทีหาแผ่นไม่เจออีกต่างหาก สงสัยเก็บดีจัดเก็บจนหาไม่เจอ
เลยเปลี่นมา ใช้โปรแกรมที่เป็นพวก All in one karaok พวกนี้ตัวโปรแกรมเองสามารถเล่น MV KaraOK ได้ แต่ไม่ใช่ว่าจะเอาเพลงMV ที่เรามีอยู่ใส่ไปดื้อแล้วมันจะเล่นให้เราจ้องมีการปรับแต่งกันนิดหน่อย เมื่อได้แล้วก็ก๊อปไปใส่ไว้ในโฟลเดอร์ C:\WinkaraX\Songs\VIDEO\VCD แล้วค่อยทำ Lister เพลงให้มันรู้จักเพลงใหม่ที่เราเอาใส่เข้าไป คราวนี้หากมีหลายเพลงแล้วจะต้องลงหลายเครื่อง ซึ่งเจ้าของแต่ละเครื่องก็ร้องเพลงคนละแนว หรือชอบกันไปคนละเพลง จะง่ายกว่าไหมหากเราทำเป็นแผ่นอัพเดท ที่มีเมนูสวยๆ และสามารถเลือกลงเป็นเพลงๆ หรือลงเฉพาะนักร้องที่ชอบได้ แผ่นที่เขาทำมามันเหมือนบังคับให้เราลง คือลงทีเดียวเอามาหมดทุกเพลงที่เขาทำมา ซึ่งบางเพลง ไม่ใช่แค่ร้องไม่ได้ แต่ไม่รู้จักเลยก็มี แล้วจะลงไว้ทำไมให้มันรกเครื่อง

หน้าตาเมนูติด ตั้งที่เราจะทำกัน (มันก็โปรแกรม WPI นั่นแหละ )



เลือกเพลงแล้วกด เริ่มติดตั้ง



เริ่มติดตั้งให้เราแล้ว

อันนี้ที่ผมทำเล่นๆไว้ สองเพลง เพื่อเป็นตัวอย่างให้ท่านได้เห็น เพื่อจะได้นึกภาพออก สวยไหมครับ


ออก จะหลายขั้นตอนสักนิด หากท่านใดสนใจวิธีทำก็ตามลงไปอ่านได้เลยครับ ผมจะพยายามบอกขั้นตอนให้ละเอียด เท่าที่ผมจะนึกได้

โปรแกรมที่เราจะ ใช้ มีดังนี้
1 Note pad ที่มากับวินโดว์
2 Winrar
3 WPI
ขั้น ตอนอาจจะหลายขั้นตอนหน่อยนะครับ บางท่านอาจจะบอกว่ายุ่งยากแต่หากจับจุดมันได้แล้วก็ไม่ถึงขั้นยุ่งยากสัก เท่าไหร่ เพราะหากคิดถึงเวลาที่ต้องลงหลายๆเครื่องแล้วต้องมานั่งเลือกลงโดยก็อปไปใส่ ทีละเพลงแล้วผมว่าน่าจะยุ่งยากกว่า


ขั้นตอนแรก การเตรียมเพลงที่จะใช้
1 ให้ก็อปเพลงที่ท่านต้องการจะทำลง HDD เอาไว้ก่อนครับ



2 มีแต่เพลงก็ยังใช้ไม่ได้ ต้องมีไฟล์ Lister ที่จะทำให้โปรแกรมรู้จักเพลงของเราอีกครับ เป็นไฟล์ *.snf ก็ก็อปมาไว้ที่เดียวกันซะ
3 แล้วทำการเปลี่ยนชื่อ ไฟล์เพลง MV KaraOK ที่เป็นนามสกุล *.DAT และ ไฟล์ *.snf ให้เป็น ชื่อตัวเลข 4 ตัวก็ได้จับเป็นคู่ๆกันไป



จะทำกี่เพลงก็ทำเป็นคู่เท่าจำนวนเพลงของเรา
จะให้ดี เปิด note pad ก็อปชื่อเพลงชื่อศิลปิน ที่เราเปลี่ยนไปเป็นตัวเลขไว้ด้วยก็ดี เวลาทำต่อไปจะได้ไม่งง
อย่างในภาพ จะมีไฟล์ 1008.DAT กับ 1008.SNF
ผมก็จะก็อปทำลิสไว้ว่าเพลง 1008 เป็นเพลงอะไรของศิลปินคนไหน
4 แล้วก็เริ่มทำเพลย์ลีสเตอร์ โดยการปรับแต่งไฟล์ *.SNF ให้เป็นของเพลงที่เป็นคู่ของมัน
ไปที่ไฟล์ *.SNF คลิ๊กขวา เลือก EDIT ภายในไฟล์ SNF เป็นแบบนี้



[SongInfo]
CODE=1007
ตรงนี้เป็น โค้ดเพลงที่จะใช้ในโปรแกรม คาราโอเกะ ให้เปลี่ยนให้ตรงกับ ไฟล์ MV ที่เราเปลี่ยนชื่อไว้ในตอนแรก
TYPE=VIDEO
SUB_TYPE=VCD
ALBUM=1
TITLE= คนล่าฝัน
เปลี่ยนให้เป็นชื่อเพลงให้ตรงกับเพลงที่เราเปลี่ยน MV Karaok ไว้
KEY=Cm
TEMPO=0
ARTIST_TYPE=F
ตรงนี้จะเป็นกำหนดว่าเป็น เพลงผู้ชาย หรือ ผู้หญิง F เท่ากับ ผู้หญิง M เท่ากับผู้ชาย ไม่ปรับก็ได้ปล่อยไป
ARTIST=คาราบาว
เปลี่ยนให้เป็นชื่อศิลปิน ให้ตรงกับเพลงที่เราเปลี่ยน MV Karaok ไว้
AUTHOR=1
RHYTHM=1
CREATOR=1
COMPANY=1
LANGUAGE=DEFAULT
YEAR=0
VOCAL_CHANNEL=RIGHT
FILE_NAME=1007.DAT ตรงนี้คือจะให้มันไปเปิดเพลงไหน อันนี้คือให้ไปเปิด 1007.DAT
START_TIME=0
STOP_TIME=0



จบแล้วก็ SAVE
เมื่อได้ครบดังนี้ หากใครจะใช้ก็อปปี้ ไปใส่เองเลยก็ได้ครับ ก็ให้ก็อปไปวางไว้ที่ C:\WinkaraX\Songs\VIDEO\VCD ใส่ไว้ตาม Sub Folder ที่เป็นตัวเลข 1 – 9 ได้เลยครับ

อันที่จริงมัน มีโปรแกรมทำไฟล์ lister ที่เป็น *.SNF นะครับ แต่ผมชอบทำแบบดิบด้วยตัวเอง เลยไม่ใช้โปรแกรมมาช่วย แต่ท่านใดจะใช้โปรแกรมช่วยก็ตามสบายนะครับ

ขั้น ตอนที่สอง เตรียมไฟล์ ไปใช้ทำเมนู
1 ใช้ Winrar ทำไฟล์ 1008.DAT และ 1008.SNF ให้เป็นไฟล์ *.EXE แบบ Self Extrack ( SFX ) โดย



คลิ๊กขวา เลือก Add to archive



ติ๊กตรง Create SFX archive
กำหนดปลายทางที่เราจะ แตกไฟล์ไปไว้ โดย



ไปที่ tab advance เลือก SFX Option



กำหนดปลายทางที่เราจะแตกไฟล์เป็น C:\WinkaraX\Songs\VIDEO\VCD\1
1 เท่ากับ sub folder ที่เราจะให้มันไปอยู่

เมื่อเสร็จแล้วเราจะได้ไฟล์ 1008.exe มา




ขั้น ตอนที่สาม คือการสร้าง เมนูในการติดตั้งให้กับมัน โดยโปรแกรม WPI
(ตรง นี้ก็ขออนุญาต แนะนำการใช้งานโปรแกรม WPI ในแบบที่ผมเล่น โดยสังเขป จริงๆมันมีตัวโปรแกรมช่วยในการ คอนฟิค ค่าของโปรแกรมมันเองอยู่ที่ Tools ของมัน คือเปิดโปรแกรมกดตรงคอนฟิค แต่ผมชอบเข้าไปแก้กันจะๆ ไม่ต้องใช้ตัวช่วย ผมว่าง่ายกว่า
1 เปิด Folder WPI เราจะเห็นดังในรูป



2 ก๊อปปี้ไฟล์ Winrar SFX ที่เป็น 1008.exe ไปไว้ที่ INSTALL



3 เปิดโฟลเดอร์ WPISCRIPTS แล้วคลิ๊กขวาที่ไฟล์ config เลือก edit ตามรูป

นี่คือ ภายในของ Config.js มันจะกำหนดค่าต่างของโปรแกรม WPI
//---------------------------------------------------------------------------------------------
// Reference ... prog[0] won't be used. It's just an example.
// Look in program.js to see explanation of these properties.
//---------------------------------------------------------------------------------------------
// pn=0; // start value for prog numbering
// prog[pn]=['ProgramName'];
// ordr[pn]=[0];
// desc[pn]=['Description'];
// uid[pn]=['APP1'];
// dflt[pn]=['no'];
// cat[pn]=['Application Category'];
// forc[pn]=['false'];
// configs[pn]=['List of configs to be auto checked. Comma seperated'];
// deps[pn]=[];
// excl[pn]=[];
// cond[pn]=['Javascript Conditional Statement'];
// gcond[pn]=['Javascript Conditional Statement to gray item'];
// regb[pn]=['Registry Key Path'];
// cmd1[pn]=['CommandLine 1'];
// cmd2[pn]=['CommandLine 2'];
// cmd3[pn]=['CommandLine 3'];
// cmd4[pn]=['CommandLine 4'];
// cmd5[pn]=['CommandLine 5'];
// cmd6[pn]=['CommandLine 6'];
// cmd7[pn]=['CommandLine 7'];
// cmd8[pn]=['CommandLine 8'];
// cmd9[pn]=['CommandLine 9'];
// cmd10[pn]=['CommandLine 10'];
// rega[pn]=['Registry Key Path'];
// picf[pn]=['Picture File'];
// picw[pn]=['Width'];
// pich[pn]=['Height'];
// textl[pn]=['Text Location'];
// pn++;

//---------------------------------------------------------------------------------------------
// Your programs here ...
//---------------------------------------------------------------------------------------------
pn=1;
prog[pn]= ['คนล่าฝัน'];
ordr[pn]=[002];
uid[pn]=['คนล่าฝัน'];
dflt[pn]=['yes'];
cat[pn]= ['คาราบาว'];
cmd1[pn]=['"%wpipath%\\Install\\1007.exe" /S'];
pn++;

prog[pn]= ['คนจนผู้ยิ่งใหญ่'];
ordr[pn]=[001];
uid[pn]=['คนจนผู้ยิ่งใหญ่'];
dflt[pn]=['yes'];
cat[pn]= ['คาราบาว'];
cmd1[pn]=['"%wpipath%\\Install\\1006.exe" /S'];
pn++;

//---------------------------------------------------------------------------------------------
// End of program definitions ...
//---------------------------------------------------------------------------------------------

เยอะ แยะไปหมด ไม่ต้องตกใจเราจะปรับแค่นิดหน่อยไม่มากอะไร

สิ่งที่เรา ต้องปรับคือ หากตัวเต็มๆมันอาจจะคำสั่งมากบรรทัดกว่านี้ แต่ผมตัดออก เอาแค่ที่ผมต้องการจะใช้

prog[pn]=['คนจนผู้ยิ่งใหญ่']; ตรงนี้ใส่ชื่อเพลงของเรา
ordr[pn]=[001]; ตรงนี้จะเป็นลำดับการลงว่าจะให้ลงเพลงไหนก่อนไหนหลังไล่กันไป
uid[pn]= ['คนจนผู้ยิ่งใหญ่']; ตรงนี้ก็ใส่ชื่อเพลงของเรา
dflt[pn]=['yes']; ตรงนี้จะกำหนดว่า จะให้มันลงเองโดยอัตโนมัติ หรือเราจะเลือกเอง yes เท่ากับลงเลย no เท่ากับเดี๋ยวฉันมาเลือกเอง
cat[pn]=['คาราบาว']; ตรงนี้เป็นกำหนด หมวดให้มัน ให้ใส่ชื่อ ศิลปิน
cmd1[pn]=['"%wpipath%\\Install\\1006.exe" /S'];
ตรงนี้จะกำหนดว่าจะหากเลือกตัวนี้แล้วจะให้รันไฟล์ไหน เราก็เลือกไปที่
['"%wpipath%\\Install\\1006.exe" /S'];

ใน ส่วนนี้ หากใครคุ้นเคยกับโปรแกรม WPI อยู่แล้วก็คงนึกออกว่าคืออะไร หากใครไม่คุ้นผมจะอธิบายคร่าวๆแล้วกัน ชุดนี้เป็นคำสั่งให้มันรันไฟล์ไหน จากไหน โดยที่

%wpipath% คือเมนโฟลเดอร์ของโปรแกรม WPI กำหนดแบบนี้มันจะวิ่งไปหาโฟลเดอร์ WPI โดยที่ไม่สนใจว่าจะอยู่ ไดร์ฟไหน หากกำหนดเป็น %CDROM% มันก็จะไปหาจาก CDROM

Install คือ sub folder ที่เราเก็บไฟล์ setup ที่เป็น *.exe ไว้ มันจะเข้ามาหาในนี้
1006.exe คือไฟล์ที่มันจะรัน

/S เป็นคำสั่งที่ให้มันลงไปเลยโดยที่เราไม่ต้องคอยกด next ๆๆๆ

อันที่ จริงยังมีอีกหลายคำสั่งที่เราจะใช้ใส่ต่อท้ายตรงนี้ แต่วันนี้เอาคร่าวๆแค่นี้ก่อน หากว่างๆจะมาอธิบายให้มากกว่านี้ หากมีเวลาจะทำกระทู้การทำโปรแกรมติดตั้งโดย WPI มาฝากกันอีกที

( ในส่วนนี้ใครอยากได้มากกว่า สองเพลงก็ก็อป
prog[pn]=['เปลี่ยนชื่อ เพลง'];
ordr[pn]=[เปลี่ยนลำดับการลง];
uid[pn]=['เปลี่ยนชื่อเพลง'];
dflt[pn]=['yes'];
cat[pn]= ['เปลี่ยนชื่อ หมวดหมู่ หรือชื่อ ศิลปิน'];
cmd1[pn]= ['"%wpipath%\\Install\\เปลี่ยนชื่อไฟล์ที่จะเอามารัน" /S'];
pn++;
ใส่ เข้าไปเรื่อยๆ จะเอากี่ตัวก็ตามใจ แล้วเปลี่ยน ชื่อ เปลี่ยน ลำดับที่จะลง เปลี่ยนไฟล์ที่จะให้มันรัน )



แค่นี้เป็นอันจบ เวลาจะใช้ ก็เขียนใส่แผ่นก็ได้ แล้วไปเปิดที่ไฟล์ WPI.HTA หรือใครจจะเขียนคำสั่ง autorun ให้ใส่แผ่นปั๊ป รัน wpi.hta เพื่อติดตั้งทันทีก็ไม่ผิด

หาก ใครอยากใส่ภาพของตัวเองให้สวยตามใจชอบ

ลองเล่นกันดูครับ
เกิดจาก ผมว่างงานแล้วก็นั่งคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อย เลยลองเอา WPI มาเล่นในอีกรูปแบบนึงที่ไม่ใช่แค่การลงโปรแกรม คือเอามาสร้าง เมนู อัพเดทคาราโอเกะ

หากใครอยากจะเปลี่ยน ภาพพื้นหลังให้สวยตามที่ตัวต้องการก็ให้ไปที่โฟลเดอร์ THEMES ในโปรแกรม WPI แล้วหาภาพที่ต้องการมา ตั้งชื่อ WALLPAPER แล้วเซฟเข้าไป มันจะถามว่ามีอยู่แล้ว ต้องการแทนที่ภาพเดิมไหมก็ ตกลง ไปครับ

ที่มา http://www.com-th.net/webboard/index.php?topic=104248.0

ไนตรัส อ็อกไซค์ (NITROUS OXIDE)

หลายท่านคงได้ยินได้ฟังเรื่องราวของการยิงแก๊สไนตรัส
กับการแข่งขันรถยนต์แบบควอเตอร์ไมล์
(402 เมตร) เขายิง (ฉีด) เขายิงแก๊ซไนตรัสเข้าไปทำไม
? ฉีดบริเวณไหน?
แล้วมันให้ผลอย่างไรต่อเครื่องยนต์ถึงผลิตแรงม้าที่รอบสูงๆ
เพิ่มขึ้นได้อีกมากมาย?
ผมจะบอกหรืออธิบาย
เป็นความเข้าใจตามหลักการอย่างแท้จริง
ถึงแม้ไม่ใช่ไนตรัสก็เข้าใจได้
เช่น ฉีดแอลกอฮอล์, เมธานอล,
หรือใดๆ
ก็ตามที่นอกเหนือจากน้ำมันเบนซินที่เรารู้จักกันเพียงเบนซิน
91 เบนซิน 95 หรือน้ำมันรถแข่ง
ออกเทน 120
ถ้าวันใดวันหนึ่งต้องการให้ออกเทน
120 เป็น ออกเทน 130 จะทำอย่างไร
ก็ต้องรู้ที่มาไปแล้วคุณเองก็ทำได้
หัดชงน้ำมันเหมือนชงกาแฟนั่นแหละ
เราจะค่อยๆ คุยกันไปนะครับ



ปัญหา หรือโจทย์ที่เราตั้งไว้ว่า เครื่องยนต์จะมีกำลังแรงขึ้นกว่าเดิมมันต้องเป็นอย่างไร มองเพียง 1 เรื่อง คือคุณภาพหรือประสิทธิภาพ ในการอัดของไอดีที่อยู่ในห้องเผาไหม้ คือกระบอกสูบและโดมฝาสูบ ด้วยธรรมชาติของการอัดในกระบอกสูบนั้นเครื่องยนต์ที่มีการอัดที่ดีๆ คือดูดมาได้เต็มกระบอกสูบแล้วอัดให้เหลือที่แคบๆ บนฝาสูบนั่นแหละ ดีจริงๆ เราแบ่งการทำงานของเครื่องยนต์เป็น 3 ช่วง คือ

ช่วงที่ 1 รอบเดินเบา ประมาณ 1,000-1,300 รอบต่อนาที ช่วงที่ ลูกเร่งปิดเกือบสนิท เปิดแค่จิ๊ดเดียวเท่าที่สกรูปรับรอบเข้าไป เบียดยกลูกเร่ง (ตามภาพ)

ปริมาณอากาศที่ผ่านจากคาร์บูเรเตอร์จะมาเบียดผ่านช่องแคบๆ ที่ลูกเร่งยกขึ้นนิดเดียวแค่ประมาณครึ่งมิลลิเมตรเท่านั้น ฉะนั้นปริมาณของอากาศที่ลูกสูบต้องดูดเข้าไปครั้งละ 125 CC นั้น อากาศที่ประจุเข้าไปคงเข้าไปได้แค่นิดหน่อยเท่านั้น เพราะมันเบียดช่องแคบๆ เข้าไปไม่ทันหรอกคุณ จะเหมือนกับการดึงหลอดฉีดยาแล้วเอามืออุดที่ปลาย มันก็จะเด้งดึ๋งดูดกลับไปอย่างนั้นแหละ
เรียกว่าประสิทธิภาพทางการอัดแย่มาก เครื่องยนต์ไม่มีประสิทธิภาพมันจึงเดินรอบได้ เพียงเบาๆ เท่านั้น เรียกว่า “รอบเดินเบา”

ช่วงที่ 2 ช่วงลูกเร่งยกขึ้นมาประมาณครึ่งช่วงชักขึ้นไป หรือ 2 ใน 3 ของช่วงชัก

5,000-7,000 รอบต่อนาที


ช่วงนี้อากาศเข้าได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เครื่องยนต์เดินได้เต็มสูบ อากาศกับไอดีเข้ากระบอกสูบได้เพียบ ช่วงนี้แหละแรงม้าได้เต็มๆ ซี.ซี.ก็ได้ เพราะปริมาณอากาศเข้าไปอัดตัวได้ดี เครื่องยนต์จึงมีประสิทธิภาพสูง ช่วงนี้ถือว่าสุดยอดครับ ความเร็วรอบเครื่องประมาณ 5,000-7,000 รอบต่อนาที

ช่วงที่ 3 ช่วงที่ลูกเร่งยกสุด หรือเปิดสุด ทำความเร็วสูงสุด

7,000-10,000 รอบ/นาที ลูกสูบดูดเร็วมาก

ช่วงนี้ลูกสูบดูดอากาศเข้าไปในกระบอกด้วยความเร็วในการชัก รวดเร็วมาก จนไอดีจากคาร์บูเรเตอร์ไหลเข้าไปไม่ทัน การที่จะทำให้อากาศกับไอดีไหลเข้าไปในกระบอกสูบตั้งแต่ศูนย์ตายบนจนถึงศูนย์ ตายล่างให้เต็มกระบอกเป็นไปได้ยากมาก เพราะมันเร็วจริงๆ ต่อให้ใช้แคมชาร์ฟระยะยกมากๆ ช่วยให้วาล์วไอดีปิดช้าลงเพื่อชดเชยแล้วก็ตาม แต่มันก็มีปัญหาอยู่ทำให้ประสิทธิภาพการอัดแย่ลงไป เครื่องยนต์จะลดประสิทธิภาพลงไปมากครับช่วงนี้ไม่มีแรงม้าเพิ่มขึ้นเท่าไร นัก ที่เขียนมาเพื่อต้องการให้เข้าใจถึงความสำคัญของการทำให้ไอดีพากันกรูเข้าไป ในกระบอกสูบได้เต็มทุกครั้งที่มีการดูด แต่ตอนเปิดคันเร่งสุดๆ อาการที่อากาศเข้าประจุไม่ทันจะเกิดขึ้น

เข้าเต็มสูบที่รอบเครื่องยนต์ต่ำ

เข้ามาได้น้อยเพราะลูกสูบดูดเร็วและ เลื่อนขึ้นไป เร็วกว่าที่อากาศจะเข้าบรรจุ

ทีนี้ก็มาเข้าเรื่องล่ะนะ เมื่อคันเร่งบิดสุด ความเร็วสูงสุด แต่อยากวิ่งต่อให้เร็วขึ้นวิศวกรผู้รู้โครงสร้างของเครื่องยนต์ ก็จับประเด็นว่าทำอย่างไรประสิทธิภาพในการอัดตัวจะดีขึ้น โดยที่ลูกสูบยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากอยู่ พื้นฐานของอากาศที่เราหายใจกันอยู่นี้ สูบเข้าไปฟืด ในปอดคนเราจะมี ไนโตรเจน 72% ออกซิเจน 28 % รวมเป็น 100 % ฉะนั้นใน 1 ครั้ง ของการอัดบนฝาสูบ จะประกอบไปด้วย ไนโตรเจน+ ออกซิเจน+เบนซิน ครับ ในสัดส่วน 14.7:1 ตามท่าคุ้นเคยกันอยู่ ฉะนั้นถ้าเราจะเพิ่ม 3 ตัวที่ว่านี้จะทำอย่างไร?
ก็คือ

เผอิญผมมีเคมีภัณฑ์อยู่ตัวหนึ่งมีสูตรเคมีว่า N2O ภาษอังกฤษ เรียกว่า “แก๊สไนตรัส” ในเคมีตัวนี้มี N2 คือไนโตรเจน และ O ก็คือ ออกซิเจน บ๊ะ...โดนใจไหมละครับ ในเมื่อการอัดตัวของลูกสูบแต่ละครั้งดูดเองไม่ทัน เราก็เอาแก๊สไนตรัสฉีดช่วยเข้าไปนิดหน่อย ตัวมันเองจะไประเบิดขยายตัวเองออกมากมายหลายเท่าจนอิ่มตัวเต็มกระบอกสูบ เหมือนประทัดงานตรุษจีนนั่นหละ ตัวเล็กๆแต่พอขยายตัวมันมากมาย มันจึงทำหน้าที่เพิ่มการอัดตัวให้มีประสิทธิภาพการอัดดีขึ้น และมันยังแฝงออกซิเจนไปเพิ่มอีกที่รอบสูงๆ การบ้านของนักโมดิฟายน้ำมันเชื้อเพลิงก็คือไปหาไนโตเจนและออกซิเจนที่อยู่ รวมกันกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ได้ ก็จะไปพบ เคมี “ไนตรัสออกไซค์” เข้า เขาจึงนำตัวนี้มาฉีดพ่นเสริมเข้าที่คาร์บูเรเตอร์ให้ไหลไปพร้อมๆ กับไอดี ที่หมดประสิทธิภาพการไหลเข้าด้วยตัวเองแล้ว หรือมองอีกแง่มุมหนึ่งก็คือมีผู้วิเศษไปปาดฝาสูบให้เราตอนรอบสูงๆ แต่พอรอบต่ำฝาสูบก็หนากลับคืนมาอีก แหม...วิเศษจริงๆ แต่ตัวไนตรัสไม่ติดไฟนะครับ ออกซิเจนก็ไม่ติดไฟ แต่!!! ช่วยให้ไฟติด ไม่เหมือนกับไนโตรมีเทน ในฉบับที่แล้วที่ตัวมันติดไฟได้เองด้วย สรุปไนตรัสเป็นผู้วิเศษคอยช่วยชดเชยเหลือชดเชยเติมเต็มอาการด้อยของเครื่อง ยนต์ที่รอบสูงครับ



การฉีดไนตรัส เขาฉีดกันตอน บิดเร่งสุดแล้วนะครับ ฉะนั้น จะต้องมีอุปกรณ์การฉีด ที่ควบคุมด้วยวาล์วไฟฟ้าครับ
อุปกรณ์-ชิ้นส่วนในระบบ
อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการติดตั้งในระบบ
1. โซลินอยด์ ทำงานด้วยไฟฟ้า 12 โวลท์ ใช้สวิทซ์กดที่แฮนด์
2. ท่อทางเดินของแก๊สไนตรัส
3. ถังเก็บ-ถังบรรจุแก๊สไนตรัส
4. วงจรไฟฟ้าควบคุมพร้อมชุดหัวฉีด เจ๊ต

ขอขอบคุณข้อมูลโดย อ.อนุชิต กลับประสิทธิ์
จากนิตยสาร ฟาส์ต โซน ฉบับที่ 21/2547


http://www.yamaha-motor.co.th/Content/scoopdetail.asp?spID=34

ความ ลับ เบนซิน ผสม ไนโตรมีเทน


เชื้อเพลิงเบนซินมันมีขีดจำกัดการน๊อคของเครื่องยนต์มัน อยู่ อาการน๊อคที่ว่านี้เป็นการจุดระเบิดแบบไม่ทั่วถึงคือ จุดมั่ว มุมนี้แย่งกันจุด แทนที่จะจุดที่บริเวณเดียวแล้วขยายกว้างออกไป แต่นี้พอรอบสูงๆ ก็เริ่มแย่งกันเผาไหม้จนระส่ำระส่ายบนฝาสูบ เกิดอาการรอบเครื่องสิ้นสุดอยู่แค่นั้น




แบบแรกที่จะคุยให้ฟังคือ การเพื่มออกเทนนัมเบอร์ให้สูงขึ้นเกินกว่า95ซุปเปอร์ ทำอย่างร
วิธีการ คือ ให้เติมสารตะกั่วลงไป ชื่อของมันคือ TEL.เตรตราอี..ลีด เรียกว่าบู๊ชออกเทน (ไม่ใช่บู๊ชเทอร์โบนะ)
เขาบู๊ชกันถึงออกเทน130 แน่ะ การเติมสารTELลงไปก็เติมแบบการชงกาแฟเลยล่ะ แต่เราไม่รู้แน่ชัดหรอกว่า
มัน ชงแล้วอยู่เลขเท่าไหร่เพราะเครื่องทดสอบการน๊อคมันแพงมากๆๆ เอาเป็นว่าถ้าผสม
เบนซิน1แกลลอน+TEL6ซีซี จะได้เบนซิน95 ซึ่งถ่าเพิ่มtelเข้าไปอีกค่าออกเทนมันจะสูงขึ้นตามไปอีก
แต่การใช้(สาร ตะกั่วตัวนี้มาเติมในเบนซินมันทำให้สิ่งแวดล้อมแย่ลง) เขาจึงทำน้ำมันไร้สารตะกั่วในปจุบันโดยเอาตัวอื่นๆ ที่เป็นเคมีผสมใหม่เข้าไปแทนสารตะกั่วตัวเดิม (เช่นแก๊สโซฮอล) ซึ่งรัฐบาลจะยกเลิกเบนซิน95ทั้งหมด หันมาสนับสนุนผลงานทางการเกษตรไทยคือ แก๊สโซฮอล

พอมาถึง .เบนซิน+แอลกอฮอล์ แก๊สโซฮอล แล้วจะรู้ได้ทันทีว่าแอลกอฮอล์เป็นเชื้อเพลิงยานยนต์ได้

แล้วถ้าหัน มาดูการแข่งขันรถยนต์แบบควอเตอร์ไมล์นั้น ทางทีมแข่งมีความรู้มากๆ เขาจะผสมสารตัวอื่นในเบนซินตลอดเลยนะคับ ไอ้ที่ว่าไปซื้อเบนซิน95เพียวๆมาลงแข่ง ยากส์มากคับแพ้แน่นอน

ปี พศ นี้
ชั่วโมงนี้ มีช่างแก่กล้าเอาในโตรเจนในรูปต่างๆมาฉีดผสมเข้าไปในการแข่งขันมอเตอร์ไซย์ คือแบบแอบฉีดกันเยอะแล้วนะจึงขอให้ความรู้นิดๆหน่อยๆ เกี่ยวกับการยิงแก๊สในตรัสหรือการผสมน้ำยาเคมี ในโตรมีเทน+เบนซิน120 ที่ใช้ในการแข่งขันมอเตอร์ไซย์กันหน่อยว่ามันเป็นยังไง ดียังไง ทำไมเครื่องถึงพังหว่า

ลองจับรถ3คัน ที่มีรายละเอียนตามรูปด้านบน มาแข่งขันกันแบบโหดๆ ผลที่ออกมารอบสูงๆ รถคันที่ใช้ไนโตรมีเทนผสมเข้าไปทำงานได้ดีกว่ามาก ไฟแลบออกท่อยาวเป็นศอกเลย เครื่องมุทะลุดุดันแบบสุดๆ ลองมาดูว่า ไนโตรมีเทน (มันจำเป็นต่อเครื่องยนต์ยังไง) และหาซื้อได้ที่ไหน เริ่มเลยนะคับ


การ เผาไหม้ของเครื่องยนต์ เบนซินมันต้องมี(องค์คชาติ)เอ๊ย องค์ประกอบ อขงเชื้อเพลิงเบนซิน และ (อากาศ) ในสาดดดส่วนที่เหมอะสมที่สุดคือ 14.7ส่วน ต่อเบนซิน1 ส่วน
เรียกว่า14.7:1 เครื่องมันต้องการแบบนี้และทุกๆรอบความเร็ว ตั้งแต่รอบเดินเบาที่ลูกสูบดูดเอาอากาศผ่านคาร์บูเรเตอร์ พาเอาน้ำมันมาผสมเข้าไปด้วยก็ไม่มีปัญหา รอบกลางก็ยังไม่มีปัญหาอีกนั่นแหละ แตพอถึงรอบสูงๆสัก 7.000-10.000 รอบ เกิดอะไรขุ้นหว่าอยู่ๆ รถตันซะงั้นแหละ150/ชม หยุดแล้ว จากเหตุการณ์นี้มีเรื่องให้คิด2ข้อคือ
1. ทำไมมันถึงหยุด
2. ถ้าจะทำให้รอบเดินเบาต่อไปแบบมีแรงจะต้องเอาอะไรป้อนเข้าไป

ตอบข้อ1
ทำไมมันถึงต้องหยุด ก็เพราะว่ารอบเครื่องยนต์สูงมากๆ นั้น ลูกสูบขึ้นลงเร็วมาก ประมาณ 100 ครั้ง (ขึ้น-ลง) ในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีกระดิก1ติ๊ก อากาศที่ถูกดูดผ่านกรองอากาศเข้าไปนั้น สุดที่จะปฎิบัติตามพ่อลูกสูบนั้นได้แล้ว ฉันวิ่งเต็มที่ได้แค่นี้อากาศบอกเช่นนั้น



อาการนี้เกิดกับเครื่องยนต์ทุกๆ เมื่อรอบรอบการทำงานสูงๆแล้วเกิดภาวะการขาดอากาศเผื่อการเผาไหม้ก็คือเร่ง สุดได้แค่นี้...เข้าใจไหมครับ
เราต้องตอบว่าทำไมรถมันถึงหยุดวิ่ง ที่100-120-150 กม/ชม. แล้วไปต่อไม่ได้แล้ว (อย่าบอกว่ากล้องมันตัดนะครับ) เพราะต่อให้ปลดรอบเครื่องที่กล้อง CDI แล้วก็ตามเครื่องมันจะเดินสุดได้แค่นั้นสำครับเครื่องแบบลูกชัก

ตอบ ข้อ2
ถ้าจะให้รถวิ่งได้เพิ่มอีกทำยังไง !!!!
2.1อันดับแรก เพิ่มอากาศเปล่าๆ เข้าไปโดยเอากังหันปั๊มเข้าไปช่วย วีธีนี้เรียกว่า เทอร์โบชาร์จ เอาอากาศอัดเข้าไปเฉยๆรอบมาอีกบานเลย (เครื่องแทบพัง) จะเห็นว่ามันเป็นตำตอบที่ชัดเจนพอควนที่เอาอากาศป้อนเข้าไปแล่ววิ่งดีขึ้น



2.2 อันนี้สำคัญตอนพิเศษ คือ ผสม ไนโตรมีเทน เข้ากับเบนซินหลังที่ใช้ เพื่อให้ไนโตรมีเทนไปคายอ๊อคซิเจนให้กับห้องเผาไหม้เพื่อเกิดปฎิกริยากับ ความร้อน ดูจากสูตรเคมีทางนี้ครับไม่ยากหรอก ยังไงมันก็ต้องพูดถึง

ในอากาศปกติที่เราหายใจกันอยู่นั้น มีก๊าซหลักๆ อยู่ 2 ตัว คือ มีไนโตรเจน 77 เปอร์เซน และมีอ๊อคซินเจนประมษณ 23 เปอร์เซน เท่านั้น
ดู ซิอุตส่าหายใจเข้าไปตั้งลึกมีออกซิเจนแค่ 23% เองนอกนั้นเสียเปล่า ซึ่งแก๊สไนโตรเจนนั้นไม่ติดไฟเป็นก๊าซแบบเฉี่อย เข้าไปในห้องเผาไหม้แบบตัวเองเป็น
ส่วนเกินจริงๆเลย



การทำงานคือ เมื่อไนโตรมีเทนผสมเข้าไปกับเบนซินแล้ว สิ่งที่เป็นน้ำเคมีไนโตรมีเทนมันมีออกซิเจนแฝงไปด้วยในรูปของน้ำนั้นแหละ พอเข้าห้องเผาไหม้เจอความร้อนออกซิเจนจะทำการแยกตัวเป็น อิสระแวไปเสริมกับอากาศที่มาจากกรองอากาศจากคาบูเรเตอร์เป็นการเพิ่มอากาศ แบบผสมไปกับน้ำนั่นเอง



และขุมพลังมหาศาลที่ได้ก็คือ ไนโตรเจนที่ค้างอยู่จะขยายตัวพาให้ผสมเพิ่มแรงอัดบนฝาสูบสูงมาก เมื่อจุดระเบิดตูม ออกมากำลังจะมากขึ้นอีกเพราะเหมือนกับเราไปปาดฝาสูบลงอีกนั้นแหละ มันจึงเป็นเหตุว่า ถ้าผสมมากๆ(โลภมาก) เครื่องมันจะพังแบบกระจายเลย เพราะความร้อนสูงมากๆ
อาการที่จะพบได้อีกอันหนึ่งก็คือ จากธรรมชาติของไนโตรมีเทนมันเผาไหม้สมบูรณ์ ได้ที่สาดดดส่วน 107:1 เท่านั้น แต่เบนซินต้องใช้อากาศถึง 14.7 ต่อ1 ฉะนั้น ไนโตรมีเทนมันจะเหมอะมากที่จะเป็นเชื้อเพลิงที่รอบสูงๆที่เบนซินธรรมดา 95-120 เริ่มขาดอากาศแล้ว พอมาถึงตรงนี้คงจะเกิดปิ๊งแล้วละซิ-----
ว่า ทำไม เขาถึงยิงแก๊สไนตรัสกันตอนจะเข้าเส้นชัยเท่านั้น ถ้าฉีดตั้งแต่ออกสตาร์ทรับรอง200เมตรแรกเครื่องแตกกระจายออกมากองแน่นอน
สรุป รอบต้น รอบกลาง เบนซินทำงานดีกว่า ส่วนไนโตรมีเทน จะใช้รอบสูงๆที่เบนซินทำงานไม่ได้ เพราะอากาศไม่พอผสมไนโตรมีเทนมันต้องการอากาศน้อยกว่าก็ใช้มันไป ใช้ตอนรอบสูงๆ ก็แล้วกัน แต่! มันเป็นของเหลวที่นำมาผสมกับเบนซินโดยตรง



มันจึงเลือกไม่ได้ว่ารอบไดเป็นอย่างไร คุณต้องบิดคันเร่งเรียกรอบให้สูงลิบไว้ตลอดเพราะว่ารอบต่ำปานกลาง หรือเวลาเร่งสุดแล้วปรากฎการณ์พิเศษขึ้นแบบเลี่ยงไม่ได้เลยคือ SPIT FIRE เรียกว่าไฟแลบปลายท่อยาวเป็นศอกเลยคุณ

พอเห็นอย่างนั้นเอ๊า..มันใช้น้ำมันพิเศษแน่เลยว่ะ

ถ้าน้องๆช่างทั้งหลายไม่อยากผสมกับเบนซินก็ลองทำแบบรุ่นเซียน ที่จากเราไปแล้ว ก็คือ คุณวิรัช ปากน้ำ ที่เขาเริ่มใช้ เจ๊ต ฉีดเข้าที่ปากคาร์บูเรเตอร์ที่รอบสูงๆ นั้นแหละก็ช่วยได้บ้าง (คาบูเรเตอร์ของ ซูซ฿กิ รุ้น RGV มีเจ๊ตในตัวครับ)


ใครอยากลองก็ บอกได้เลยว่าแพงมากครับ ครึ่งลิตร 2000 บาท 45

เครดิดของ อ.อนุชิต กลับประสิทธิ์

ที่มา :
http://www.cbrclubthailand.com/index.php?topic=348.0
http://sonic125-club.com/index.php?topic=5161.msg84629