วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

โลกในมุมมองของ Value Investor

 
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

   การลงทุนในหุ้นนั้น  หลาย ๆ  คนมักจะรู้สึกเครียดและมีกังวลอยู่ตลอดเวลา  เขากลัวว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นไม่ว่าจะเกิดในประเทศไทยหรือในโลก นี้ซึ่งจะทำให้หุ้นตกทั้งตลาดและทำให้หุ้นเขาตกลงไปด้วย   เขากังวลว่าหุ้นตัวที่เขาถืออยู่อาจจะมีปัญหาหรือมีเหตุการณ์ไม่ดีซึ่งทำ ให้หุ้นตกลงมาอย่างหนักและทำให้เขาขาดทุนมากมายอย่าง “ไม่คาดฝัน”  การลงทุนในหุ้นดูเหมือนว่าจะมี “ต้นทุน”  ที่ไม่ใช่ตัวเงินแฝงอยู่นั่นก็คือ  ความกังวลและความไม่สบายใจ  และนั่นอาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราซื้อ ๆ  ขาย ๆ  หุ้นบ่อยเพื่อ  “ลดความไม่สบายใจ”  ในสถานการณ์ที่  “ไม่แน่นอน”  แต่นี่มักจะทำให้ผลตอบแทนการลงทุนของเราลดลงในระยะยาว   คำถามก็คือ   จะทำอย่างไรถึงจะทำให้เราสามารถลงทุนอย่างสบายใจได้?
   สูตรการลงทุนอย่างสบายใจของผมก็คือ  ข้อแรก  จงตั้งความหวังผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนในหุ้นให้เหมาะสมนั่นก็คือ  ผลตอบแทนทบต้นต่อปีเฉลี่ยประมาณ 10%    ถ้าเราคิดว่าเรามีความสามารถสูงมาก  ก็อาจจะตั้งความหวังได้สูงขึ้น  แต่สูงสุดไม่ควรเกิน 15% ต่อปี   โดยคำว่าระยะยาวของผมนั้นจะต้องยาวไม่ต่ำกว่า 10 ปีขึ้นไป   การตั้งความหวังที่เหมาะสมนั้นจะทำให้เรามีโอกาสบรรลุผลได้ไม่ยากเกินไป ซึ่งจะทำให้เราไม่ต้อง  “เร่ง”  ผลตอบแทนโดยวิธีการต่าง ๆ  ที่มีความเสี่ยงสูง   เช่น  ไม่ต้องเล่น  “หุ้นร้อน”  หรือ  ไม่ต้องใช้มาร์จินในการซื้อขายหุ้น เป็นต้น   ซึ่งทำให้เราสามารถลงทุนหุ้นได้แบบ  “ชิว ๆ” 
   ข้อสอง  เลือกซื้อหุ้นที่เน้นความปลอดภัยของตัวกิจการเป็นหลัก  นี่คือหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงช้าในด้านของธุรกิจ  เป็นกิจการที่ไม่ล้ำสมัยแต่ไม่ล้าสมัย   เป็นกิจการที่เป็น  “ผู้นำ”  มีฐานะทางการเงินดี  และถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีกก็คือ  เป็นกิจการที่เราเองมีโอกาสได้พบเห็นหรือได้ใช้บริการเป็นประจำ
   ข้อสาม  ต้องมีการกระจายความเสี่ยงในการถือหุ้นอย่างเหมาะสม  นั่นก็คือ  ถ้ามีเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป  ก็ควรต้องมีหุ้นอย่างน้อยประมาณ 5 ตัวโดยที่ตัวใหญ่สุดไม่ควรจะเกิน 30%  ของพอร์ต  นอกจากนั้น  ควรจะถือหุ้นในหลาย ๆ  อุตสาหกรรม   แต่ถ้ามีเงินลงทุนค่อนข้างมากเช่นเป็น  10 ล้านบาทขึ้นไป  หุ้นที่ลงก็อาจจะมากขึ้นไปได้   แต่ก็ต้องไม่มากจนเกินไป  เพราะมิฉะนั้นเราก็อาจจะมีหุ้นที่เป็น  “เบี้ยหัวแตก”  ที่ทำให้เราขาดการเอาใจใส่และทำให้ผลตอบแทนการลงทุนของเราด้อยลงไปได้  โดยทั่วไปแล้ว  ผมคิดว่าถ้ามีเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท  ก็ไม่ควรถือหุ้นเกิน  10-15  ตัว
   ข้อสี่  เราควรพยายามตั้งเป็นกฎคร่าว ๆ  ว่าในแต่ละปีเราจะมีการซื้อขายหุ้นไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ตการลงทุน  กฎง่าย ๆ  ของผมก็คือ  ปริมาณการซื้อขายหุ้นของเราในแต่ละปีไม่ควรจะเกิน 2 เท่าของขนาดของพอร์ตของเรา   เช่น  ถ้าพอร์ตของเราเท่ากับ  1  ล้านบาทในตอนต้นปี  เราควรซื้อขายหุ้นในปีนั้นไม่เกิน 2 ล้านบาท  นั่นแปลว่า  เราจะถือหุ้นแต่ละตัวเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี โดยเฉลี่ย  ถ้าเราซื้อขายหุ้นมากกว่านั้นก็แสดงว่าเราอาจจะถือหุ้นสั้นเกินไปและอาจจะ หมายความว่าเราเป็น  “นักเก็งกำไร”  แทนที่จะเป็น  “นักลงทุน”  และประเด็นของผมก็คือ  การเป็นนักเก็งกำไรนั้น  ก่อให้เกิดความตึงเครียดสูงกว่านักลงทุนมาก
   ข้อห้า  อย่าสนใจการขึ้นหรือลงของหุ้นแต่ละตัวมากนัก  พยายามมองภาพรวมของพอร์ตหุ้นว่าเติบโตขึ้นหรือลดลง  การไปเน้นดูหุ้นแต่ละตัวก่อให้เกิดความเครียดเพราะเราจะพบหุ้นที่มีราคาตกลง ไปมากและอาจจะพยายามไปทำอะไรกับมันที่อาจจะไม่ก่อให้เกิดผลดี   ที่สำคัญก็คือ  อย่าไปดูราคาหุ้นทุกตัวทุกวัน  วิธีที่ผมแนะนำก็คือ  ทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน  เราก็คำนวณดูว่าพอร์ตการลงทุนของเราเป็นเท่าไรโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่ง มีอยู่มากมาย   โดยการดูเป็นพอร์ตนี้  เราก็จะเห็นว่าความผันผวนมันน้อยลงเมื่อเทียบกับหุ้นแต่ละตัว   และนี่ทำให้เราเครียดน้อยลง  และถ้าเราลงทุนเลือกหุ้นได้ถูกต้องโดยเฉลี่ย  เราก็ควรจะเห็นพอร์ตของเราโตขึ้นอย่างช้า ๆ  และมั่นคงเมื่อเวลาผ่านไป
   ข้อหก  การที่เราจะทำอะไรกับหุ้นแต่ละตัวนั้น  ไม่ควรจะเน้นไปที่ด้านของราคาหุ้นรายวัน  สิ่งที่เราควรทำก็คือ  ทุกไตรมาศ  เราต้องติดตามดูว่าผลประกอบการของบริษัทเป็นอย่างไร  มันเป็นไปอย่างที่เราคาดไว้ไหม?  เช่น  ดีขึ้น  ดีขึ้นมาก  แย่ลง  แย่ลงมาก  เพราะอะไร?  จากนั้นก็สามารถนำมาตัดสินได้ว่าเราจะทำอะไรกับหุ้น  โดยปกติถ้าเราลงทุนหุ้นถูกตัวแล้ว  ส่วนใหญ่เราก็มักจะไม่ต้องทำอะไร   แต่ในบางกรณีที่เราคาดการณ์ผิด  เราก็อาจจะขายทิ้งได้   เช่นเดียวกัน  บางครั้งเราก็อาจจะซื้อเพิ่ม  โดยวิธีนี้   เราก็ไม่ต้องกังวลเป็นรายวันกับราคาของหุ้นมากนัก
   ข้อเจ็ด  เมื่อเราได้รับปันผลมา  อย่านำเงินไปใช้หรือเอาออกจากพอร์ตถ้าไม่จำเป็น   นำปันผลนั้นกลับไปซื้อหุ้นกลับเข้าพอร์ตเพื่อทำพอร์ตให้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ  และเป็นหลักการลงทุนแบบทบต้นซึ่งจะทำให้พอร์ตโตเร็วขึ้นแบบทวีคูณ  เป้าหมายของเราควรจะตั้งไว้ว่าเราต้องการสร้างพอร์ตนี้เพื่อเป็นเงินเพื่อ การเกษียณหรือเป็นเงินมรดกเพื่อลูกหลาน  เงินที่เราจะนำไปใช้จ่ายนั้นควรเป็นเงินที่เราทำมาหาได้จากน้ำพักน้ำแรง มากกว่า   ถ้าคิดได้แบบนี้  เราก็จะสบายใจว่านี่เป็น  “เงินเย็น”  ที่จะอยู่กับเราต่อไปอีกนานเราจะเครียดน้อยลง
   ข้อแปด  ทุกปี  เราต้องคำนวณหาผลตอบแทนประจำปีดูว่าเราทำได้เท่าไรเทียบกับผลตอบแทนของตลาด และเทียบกับเป้าหมายระยะยาวของเราซึ่งก็คือ  10-15% ที่เราตั้งไว้  ถ้าเราทำได้ดีกว่าตลาดและดีกว่าเป้า  เราก็ควรจะดีใจโดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่น   ถ้าเราทำได้แพ้ตลาดแต่ยังทำได้ตามเป้าเราก็ยังควรจะดีใจเพราะในไม่ช้าเป้า หมายระยะยาวของเราก็ไปได้ถึง   แต่ถ้าเราแพ้ทั้งตลาดและก็ไม่ได้ตามเป้าส่วนตัวของเรา   เราก็อาจจะเสียใจบ้างแต่ก็ควรจะดูต่อไปว่าปันผลที่ได้รับในปีนั้นของเรา เพิ่มขึ้นหรือไม่  ถ้ามันยังเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน  นั่นก็อาจจะเป็นเครื่องปลอบเราว่าที่จริงการลงทุนของเรานั้นไม่ได้ผิดพลาด  มันยังก้าวหน้าไป  เพียงแต่ในระยะสั้น ๆ  ตลาดหุ้นอาจจะไม่เป็นใจทำให้ราคามันลดลง  แต่ในอนาคต  มันก็คงจะปรับตัวขึ้นไปได้ไม่ยาก  ว่าที่จริง ในระยะยาวจริง ๆ  แล้ว   ปันผลนั้นถือว่าเป็นเครื่องวัดที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่งว่า   เราลงทุนได้ถูกต้องหรือเปล่า  ถ้าปันผลเพิ่มขึ้นทุกปีในอัตราที่น่าประทับใจ  เราก็ไม่มีอะไรต้องวิตกเลย
   ทั้งหมดนั้นก็เป็นกลวิธีการลงทุนที่จะทำให้เรามีความสบายใจ  ใช้เวลาไม่มาก  ไม่เครียด  และได้ผลดี  โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีงานประจำเต็มเวลา  การลงทุนแบบนี้เปรียบไปก็จะคล้าย ๆ  กับการปลูกต้นไม้ใหญ่ยืนต้นที่เราเฝ้าดูแลมันเติบโตขึ้นช้า ๆ  แต่มั่นคง   โดยที่เราไม่ต้องเร่งมัน   แต่เมื่อถึงวันหนึ่ง  เราก็จะได้อาศัยร่มเงาและผลของมันมากินได้ต่อเนื่องยาวนานและเป็นที่พึ่งของ เราได้

ที่มา http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=51356