จะกล่าวถึงลักษณะการทำงาน แนวคิด การใช้ชีวิตของคน 4 ชาติ ได้แก่ คนจีน คนฝรั่ง คนญี่ปุ่น และคนไทย ซึ่งมีลักษณะที่โดดเด่นแตกต่างกันไป ถ้าเอาแนวคิดของคน 4 ชาตินี้ ก็จะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบทีเดียว คนจีน คนจีน หรือคนที่มีเชื้อสายจีน จะเป็นคนขยัน รู้จักทำมาหากิน พัฒนาอาชีพการงานของตนเองไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นธุรกิจที่ใหญ่โตทีเดียว อย่างที่กล่าวกันว่า เสื่อผืนหมอนใบ เป็นลักษณะเปรียบเทียบของชาวจีนที่อพยพย้ายถิ่นฐานจากเมืองจีนไปอยู่เมืองอื่น ด้วยของติดตัวไม่กี่อย่าง แล้วไปตั้งรกรากในประเทศนั้นจนมีธุรกิจกิจการใหญ่โต คนจีนจะเป็นคนที่ประหยัดมาก อย่าเข้าใจว่าขี้เหนียวขี้ตืดหละ การใช้จ่ายแต่ละบาทแต่ละสตางค์มีความหมายสำหรับเขา แม้แต่เศษเป็นจุดทศนิยมก็ยังนำมาคิด แต่ส่วนมากแล้วจะปัดเศษลงถ้าเป็นการใช้จ่าย และปัดเศษขึ้นถ้าเป็นรายได้เข้ามา เขาก็เอาแนวคิดที่ว่า เก็บสลึงพึงให้ครบบาท จากเศษอันนิดเดียวก็สามารถที่จะลดต้นทุนไปได้ เช่น มีลูกจ้างอยู่ 5 พันคน ถ้าทุกคนปัดเศษค่าจ้างที่เป็นจุดทศนิยมลงมาก็จะประหยัดไปประมาณ 50 บาทต่อเดือน ถ้าเป็นการจ่ายรายเดือน ถ้าเป็นปีก็ 600 บาท ซึ่งจะต่างจากรายได้ที่คิดจากต้นทุนที่เสียไปก็จะปัดขึ้น ที่เขียนให้เห็นนี้ เพื่อให้เห็นแนวคิดการประหยัดของคนจีน ในธุรกิจที่มีการลงทุนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ ถ้าของเดิมยังใช้ได้อยู่ ยังซ่อมได้ ก็ยากที่ไปเปลี่ยนแนวคิดเขาได้ ยกเว้นเราจะมีข้อมูลที่มากพอ เป็นตัวเลข ผลได้ ผลเสียที่จะได้กลับมา รวมทั้งระยะเวลาคืนทุน ต้องให้เขาเห็นชัดเจน ยกตัวอย่างบริษัทหนึ่ง ลวดเชื่อม ต้องนำซากของลวดเชื่อมอันเก่าที่ใช้แล้วไปแลกอันใหม่มาใช้จึงจะเบิกของใหม่มาได้ และเคยเจอขนาดก้านธูปที่ใช้แล้ว ต้องนำซากไปเบิกอันใหม่มา นี่ก็เป็นวิธีประหยัดของเขา ซึ่งถ้าเราไม่มีข้อมูลที่เพียงพอแสดงให้เขาเห็นก็คงหมดประโยชน์ที่จะเปลี่ยนแปลงเขา คนจีนค่อนข้างจะดูแลความเป็นอยู่ของลูกจ้างค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นที่พักที่อาศัย อาหารการกิน สวัสดิการต่างๆ ของลูกจ้าง จะดูแลค่อนข้างดี เพื่ออำนวยในเรื่องความสะดวกในการทำงานที่ต้องใช้กำลัง ต้องใช้แรงงานสมองในการผลิตหรือจัดทำสินค้าให้กับเขา คนจีนจะทำงานโดยไม่สนใจเวลา ไม่ว่าจะดึกแค่ไหนงานก็ต้องเสร็จ การแต่งกายในตอนทำงานก็จะไม่ได้สนใจเท่าไหร่ จะสกปรกหรือเลอะแค่ไหนก็ทำงานให้เสร็จจนได้ การรับประทานอาหารค่อนข้างจะเร็ว การเป็นอยู่จะเรียบง่ายไม่หวือหวา แต่เมื่อออกสู่สังคมข้างนอก ไม่ว่าจะห่างจากที่พักเท่าไหร่ คนจีนจะแต่งกายเรียบร้อย ดูสะอาดตา ซึ่งจะต่างจากการเป็นอยู่ส่วนตัวเลย คนฝรั่ง ฝรั่งจะเป็นชาติที่ยึดถือเรื่องเวลาเป็นที่สุด สายแม้ไม่เพียงกี่นาทีก็ถือว่าไม่รับผิดชอบ เพราะฉะนั้นงานทุกอย่างจะบังคับด้วยเวลา การนัดพบ การเจรจาทางธุรกิจสำคัญมาก ถ้าคุณพลาดเพียงไม่กี่นาที เขาก็ถือว่าคุณไม่ควรที่จะร่วมธุรกิจกับเขา งานต่างๆ ที่เขามอบหมายจะต้องเสร็จตรงเวลา เวลาที่เหลือจากงานเสร็จก็เป็นหน้าที่ของคุณเองที่คุณจะจัดการ เพราะเป้าหมายของเขาคือต้องเสร็จตรงเวลา คนฝรั่งจะ ไม่เชื่อเรื่องงมงาย หรือยอมคนง่าย ๆ จะฟังมากกว่าพูด เวลาฟังเขาจะไม่พูดสวนคำ จะหยุดคิดสักนิด เป็นคนที่ยอมรับเหตุผลมากกว่า เขาจะใช้ปัญญาแก้ปัญหาร่วมกัน เพื่อความถูกต้องสมบูรณ์ บ้านเมืองของเขาจึงร่วมกันแก้ปัญหาอย่างมีระบบ มี ความเข้าใจในการปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามระเบียบของสังคม และความเข้าใจในการปฏิบัติกับคนอื่น และมีความสุภาพอ่อนน้อมต่อกัน รวมไปถึงความเคารพในสิทธิของคนอื่น พลเมืองรู้หน้าที่ของตนว่าอะไรเป็นหน้าที่ และสิทธิ การทำมาหากินจะเริ่มตั้งแต่อายุน้อยในระหว่างเรียน หรือเรียนจบแล้วจะหางานทำช่วยพ่อแม่ทันที บางคนก็แยกตัวออกไปตั้งตัวเป็นอิสระ บางคนก็ไปเรียนต่อเมื่อมีเงินสนับสนุนตนเองได้ นอกจากฝรั่งจะมีวินัยในเรื่องเวลาแล้ว ก็ยังเป็นผู้ที่ยอมรับในเหตุและผล ยอมรับฟังคนอื่น เข้าใจเรื่องสิทธิและหน้าที่ รู้จักช่วยเหลือตนเองตั้งแต่อายุยังน้อย ฝรั่งจึงมักจะไปไหนด้วยตัวคนเดียวอยู่ตลอดไม่ว่าจะไปประเทศใด เพราะเขาเข้าใจในกฎเกณฑ์ กฎระเบียบของสังคมดี ค่อนข้างจะมีความมั่นใจในตนเองสูง กล้าทำกล้าทดลองสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง จนกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะมีแนวคิดที่มีเหตุผลในการพัฒนาธุรกิจ ตนเอง และบ้านเมือง กล้าลงทุนจากข้อมูลที่เพียงพอ ฝรั่งเลยเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาในแถบเอเชียอยู่ตลอดกระทั่งปัจจุบัน คนญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นเป็นคนที่พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน การใช้ชีวิต มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ญี่ปุ่นจึงมีแนวคิดและหลักการในการทำงานมากมายออกมา เพราะการที่เป็นคนไม่หยุดอยู่กับที่ มีความคิด มีแนวทาง และมีช่องทางในการพัฒนาอยู่ตลอดจึงทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว นอกจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องแล้วคนญี่ปุ่นก็ยังมีวินัยในตนเองค่อนข้างสูงด้วยเช่นกัน มีความเป็นระเบียบ เคารพในกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่มีอยู่ การทำงานของคนญี่ปุ่น เมื่อได้รับงานใดงานหนึ่งแล้ว ก็จะทำจนเสร็จ ทำเสร็จแล้วก็ยังไม่หยุดที่จะทำต่อ โดยการปรับปรุงงานก่อนหน้าให้ดีขึ้นกว่าเดิม และจะพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด คนญี่ปุ่นจะเป็นคนที่มีความอดทนสูง ชอบทำงานเป็นทีมซึ่งเปรียบเทียบดั่งแนวคิดที่ว่า หลายหัวดีกว่าหัวเดียว และคนญี่ปุ่นรักความเป็นศักดิ์ศรีของตนเองค่อนข้างมาก เหตุการณ์ที่พิสูจน์ได้อย่างที่ทุกคนได้เห็น เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีก็กลับมาฟื้นตัวได้ และจนปัจจุบันเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วเทียบได้กับประเทศทางตะวันตก เหตุผลที่ฟื้นตัวเร็วเพราะด้วยนิสัยของตนเองที่มีความอดทน รักศักดิ์ศรี มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ เมื่อมีปัญหาใดๆ ก็จะมีวิธีและแนวทาง แก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน จนปัญหาที่มีอยู่หมดไป แต่ก็ไม่หยุดที่จะเพิ่มประสิทธิภาพจากเดิม ซึ่งจะเป็นเช่นนี้อยู่เสมอ คนไทย ก็ที่รู้ๆ กันอยู่แล้วว่าคนไทยเป็นอย่างไร แต่จุดเด่นของคนไทยก็อยู่ที่การเป็นคนที่มีน้ำใจ เพราะเมืองไทยเป็นเมืองแห่งรอยยิ้มที่รู้จักกันทั่วไป วัฒนธรรมของคนไทยจะค่อนไปทางอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพผู้ใหญ่ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เพราะเหตุนี้จึงทำให้ชาวต่างชาติชอบมาเที่ยวเมืองไทย เพราะคนไทยโดยส่วนมากจะให้การต้อนรับที่ดีเหมือนกับอยู่บ้านของตนเอง ก็จะไม่ขอกล่าวมากสำหรับนิสัยของคนไทยเพราะส่วนมากจะรู้กันหมดแล้ว มาดูการทำงานของคนไทย คนไทยเป็นคนที่ต้องยอมรับว่าเก่งมากๆ ไม่ว่าจะแข่งขันอะไรทางด้านวิชาการก็มักจะติดอยู่ในอันดับ 1 ใน 10 อยู่ตลอด เพราะความเก่งนี้เองทำให้มีปัญหาในการทำงาน เพราะเมื่อรวมกลุ่มกันแล้ว ก็จะหาข้อสรุป ข้อยุติค่อนข้างยาก ดั่งที่ว่าคนไทย 1 คน เมื่อเทียบคนญี่ปุ่นแล้ว คนไทยจะเก่งกว่า แต่เมื่อรวมกลุ่มกัน คนญี่ปุ่นจะดีกว่า คนไทยจึงเหมาะที่จะทำงานด้วยกำลังของตนเอง ไม่เหมาะจะลงทุนร่วมธุรกิจกับพรรคพวกเพื่อนฝูงเพราะจะมีปัญหาตลอดในเรื่องธุรกิจ เรื่องความชิงดีชิงเด่นกัน การเรียนรู้ในเรื่องการทำงานจะมีน้อย เพราะคิดว่าตนเองเก่งอยู่แล้ว ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการเรียนรู้และพัฒนาหน้าที่การงาน ชอบเล่นพรรคเล่นพวกกันในการทำงานหรือชิงความเป็นใหญ่ในธุรกิจหรือการงาน ซึ่งส่วนมากจะออกมาในรูปแบบการทำงานแบบครอบครัวเสียมากกว่า การเข้าถึงระบบค่อนข้างที่จะยากพอสมควร สรุป จากที่เขียนมาก็นำแนวคิดวิธีการทำงานของแต่ชาติมาผสมกัน จะทำให้เป็นคนที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเข้าได้กับผู้อื่นได้ดี และที่แนะนำควรจะเป็นคนที่ฉลาด คนฉลาดจะเป็นคนที่ชอบเรียนรู้จากคนเก่ง ถ้าคนเก่ง 100 คน คนที่ฉลาดจะไปเรียนรู้แนวทาง แนวคิด วิธีการ ความรู้จากคนเก่ง 100 คน เพียงเท่านี้ คุณก็จะเป็นคนที่เก่งและมีความฉลาดไปในตัวด้วย ความรู้ต่างๆ คนฉลาดจึงมักจะนำเข้ามาใส่ตนเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน วิธีการ หลักการ แนวคิด ซึ่งนอกจากตำราแล้ว ก็ยังได้รับจากคนเก่งอีกทางหนึ่ง เป็นคนแกล้งโง่ในบางครั้งบางเวลา แกล้งโง่นี่ไม่ใช่ว่าโง่หรอก แต่รู้แล้วก็ทำเป็นไม่รู้เพื่อที่จะนำเอาความรู้ใหม่ๆ เข้ามาใส่ตนอยู่เสมอ และเป็นคนที่ยอมรับความคิดของคนอื่นอยู่เสมอ และแกล้งฉลาดในบางครั้งบางเวลาเพื่อแสดงศักยภาพให้คนได้รู้ เพื่อการยอมรับในการทำงาน การใช้ชีวิต และสังคม แต่ไม่ใช่การโอ้อวด อวดเก่ง อย่างนี้ใช้ไม่ได้ การปฏิบัติ 2 อย่างนี้ขึ้นอยู่กับเวลาและโอกาสที่ตนอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ เพื่อเป็นการแก้ปัญหา หรือเพื่อการนำไปสู่ความสำเร็จของตนเอง นิสัยของคนแต่ละชาติที่กล่าวมา ถ้าเราเป็นคนที่ฉลาดแล้วก็จะนำแนวทางการทำงาน แนวคิด วิธีการต่างๆ ของคน 4 ชาติมารวมกัน ดังที่กล่าวไว้ “ขยันแบบคนจีน มีวินัยแบบคนฝรั่ง พัฒนาต่อเนื่องอย่างคนญี่ปุ่น มีน้ำใจแบบคนไทย” ยกตัวอย่างเช่น จะทำงานสักชิ้นหนึ่ง เราก็ต้องทำให้เสร็จตามเวลาที่กำหนดไม่ว่าจะหนักแค่ไหน และพัฒนางานนั้นอย่างต่อเนื่องจนหาที่ติไม่ได้ และไม่หยุดพัฒนาถ้าหากยังมีข้อบกพร่องอยู่ หาความรู้หรือคำแนะนำจากคนอื่น จากตำรา หรือจากหลักการต่างๆ มาพัฒนาปรับปรุงอยู่เสมอ เมื่อทำเสร็จแล้วควรจะแนะนำผู้อื่นบ้าง เพื่อสร้างการทำงานเป็นทีม เพียงเท่านี้คุณก็จะได้ลักษณะบางส่วนของคน 4 ชาติมาใช้แล้ว |
ที่มา http://www.cgpcenter.com/generalknowledges/fourperson.html