เชื่อได้เลยว่าบรรดานักคอมพิวเตอร์ทั้งหลายนั้นจะต้องเป็นคนที่รักและทะนุถนอมคอมพิวเตอร์ของคุณกันทุกคนและ UPS (ยูพีเอส) ก็ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่สามารถรักษา ปกป้องคอมพิวเตอร์ของคุณได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว การที่มี UPS (ยูพีเอส) ไว้ใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ตัวโปรดของท่านนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่จะคอยปกป้องคอมพิวเตอร์ของคุณให้มีความปลอดภัยอยู่เสมอได้เป็นอย่างดี
ความต้องการ UPS (ยูพีเอส)
ทุกวันนี้ อุปกรณ์ที่ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก แต่ผู้คนไม่ค่อยที่จะให้ความสนใจมากนักสักเท่าไหร่ นั่นก็คือ UPS (ยูพีเอส) (UPS) โดยเจ้าเครื่อง UPS (ยูพีเอส) นี้ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่สามารถช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์ตัวโปรดของคุณให้มี ความปลอดภัยอยู่เสมอ สามารถที่จะป้องกันปัญหาเกี่ยวกับไฟฟ้าที่จะทำอันตรายต่ออุปกรณ์ต่อเชื่อม ของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นการเกิดไฟดับ ไฟกระชาก ไฟตก การเกิดโอเวอร์โหลด ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนี้สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เมื่อก่อน UPS (ยูพีเอส) นี้ยังไม่เป็นที่สนใจสำหรับนักคอมพิวเตอร์มากนัก เนื่องจากเห็นว่าอุปกรณ์นี้ยังไม่มีความสำคัญกับพวกเขามากสักเท่าไหร่นัก คือคิดว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจนทำให้อุปกรณ์ต่างๆ เกิดความเสียหายขึ้น พวกเขาก็สามารถที่จะส่งอุปกรณ์ไปซ่อมได้ เนื่องจากอุปกรณ์ดังกล่าวมีประกันอยู่แล้ว แต่ท่านลองคิดดูซิว่าถ้าอุปกรณ์นั้นเกิดหมดระยะประกันขึ้นมาแล้วหละก็ ท่านจะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นอีกเท่าไรเพื่อที่จะซื้ออุปกรณ์นั้นมาทดแทน อุปกรณ์ที่เสียไป ซึ่งมันไม่คุ้มกันเลยใช่ไหมครับ กับการที่จะต้องเสียเงินเพียงเล็กน้อยเพื่อซื้อ UPS (ยูพีเอส) สักเครื่องไว้ใช้งานกัน
ที่บอกมานั่นก็เป็นเพียงตัวอย่างที่สามารถที่จะบอกได้ว่า UPS (ยูพีเอส) นั้นมีความสำคัญมากขนาดไหน แต่สำหรับผู้ที่พอจะมีเงินเหลือใช้มากอาจจะบอกว่าเสียไปก็สามารถซื้อใหม่ได้ ที่บอกมานั่นก็มีความจริงอยู่บ้างสำหรับอุปกรณ์อื่นที่ไม่ค่อยมีความสำคัญ มากนัก แต่ถ้าเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญค่อนข้างมากอย่างเช่น ฮาร์ดดิสก์ หละแล้วท่านจะทำอย่างไร (ซึ่งฮาร์ดดิสก์เป็นอุปกรณ์ที่ได้รับอันตรายมากที่สุดในการเกิดปัญหาทาง ไฟฟ้าต่างๆ) จริงอยู่ราคาของฮาร์ดดิสก์นั้นมีราคาที่ลดลงมากแล้ว แต่ฮาร์ดดิสก์นั้นเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลที่สำคัญต่างๆ ถ้าหากว่าข้อมูลที่สำคัญนี้เกิดสูญหายไปหละ ท่านจะทำอย่างไร อาจจะคงต้องเสียเวลาอีกนานกว่าจะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้หรือไม่เพียงเท่านี้ อาจจะต้องต้องเสียอะไรอีกหลายๆอย่างตามมาก็เป็นได้
ดังนั้นในการเลือกซื้อ UPS (ยูพีเอส) ไว้ใช้งานนั้นถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีมากสำหรับนักคอมพิวเตอร์ทั้งหลาย ไม่เพียงเท่านี้ เจ้าเครื่อง UPS (ยูพีเอส) นี้ได้กลายมาเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับสำนักงาน หน่วยงาน หรือบริษัทต่างๆไปแล้ว เพราะสามารถที่จะป้องกันอันตรายเกี่ยวกับไฟฟ้าได้ดี สำหรับท่านที่เคยใช้งาน UPS (ยูพีเอส) มาแล้ว ท่านคงจะพอรู้ว่าในการเลือกซื้อ เลือกใช้ UPS (ยูพีเอส) นั้นควรต้องทำอย่างไรบ้าง แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับ UPS (ยูพีเอส) นี้มาก่อนหละครับ คงทำให้ในการเลือกซื้อเป็นเรื่องที่ยากน่าดูเลยใช่ไหมครับ แต่ถ้าท่านได้อ่านบทความนี้คงจะทำให้ท่านทราบถึงวิธีการเลือกซื้อ UPS (ยูพีเอส) กันมากขึ้นครับ
หลักพิจารณาในการเลือกซื้อ UPS (ยูพีเอส)
หลักเกณฑ์ในการพิจารณาสำหรับการเลือกซื้อ UPS (ยูพีเอส) นั้น ความจริงแล้วนั้นมีอยู่มากเลยทีเดียว แต่ขอสรุปออกมาเป็นข้อๆ ให้เห็นกันดังนี้ครับ
ชนิดของ UPS (ยูพีเอส)
ก่อนอื่นสิ่งที่ท่านควรจะทราบก่อนการเลือกซื้อคือ ท่านต้องทราบว่า UPS (ยูพีเอส) ชนิดไหนที่เหมาะกับการใช้งานของท่าน โดย UPS (ยูพีเอส) นี้สามารถแบ่งได้เป็น 3 ชนิด ดังนี้คือ
1.True Online UPS (Double Conversion UPS) UPS (ยูพีเอส) แบบนี้เป็น UPS (ยูพีเอส) ที่มีความสามารถในการปกป้องอุปกรณ์ต่างๆและคอมพิวเตอร์ของคุณได้ดีที่สุด แต่ก็ต้องแลกกับราคาที่ค่อนข้างแพงด้วย โดยหลักการทำงานของ UPS (ยูพีเอส) ชนิดนี้คือ เครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่างๆที่ต่อเข้ากับ UPS (ยูพีเอส) นี้จะไม่ได้รับกระแสไฟฟ้าโดยตรงจากสายไฟเลย เพราะระบบจะทำการจ่ายกระแสไฟเข้าสู่แบตเตอรี่ก่อน ก่อนที่จะส่งกระแสไฟที่มีความราบเรียบเข้าไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์หรือ อุปกรณ์ต่อเชื่อมต่างๆ โดยจะมีอุปกรณ์ที่มีไว้สำหรับเป็นตัวปรับแรงดันไฟให้มีความสม่ำเสมอ ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะเกิดไฟตก ไฟเกิน ไฟกระชากได้เลย ซึ่งจากที่เครื่อง UPS (ยูพีเอส) แบบนี้มีราคาที่แพงมาก จึงไม่เหมาะที่จะนำไปใช้กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์โดยทั่วไป UPS (ยูพีเอส) ชนิดนี้เหมาะสำหรับที่จะนำไปใช้กับอุปกรณ์ที่จะเกิดความผิดพลาดไม่ได้เช่น เครื่องมือแพทย์, เซิร์ฟเวอร์, ตู้ ATM, ระบบคอมพิวเตอร์สื่อสาร, ระบบคอมพิวเตอร์การเงินหรือธนาคาร เพราะจำเป็นที่จะต้องการคุณภาพของพลังงานไฟฟ้าที่สมบูรณ์
UPS (ยูพีเอส) ที่เป็นแบบ True Online UPS
2.Standby UPS (Off line UPS)
UPS (ยูพีเอส) ชนิดที่สองนี้ถือได้ว่าเป็น UPS (ยูพีเอส) ที่มีราคาที่ถูก ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของ UPS (ยูพีเอส) มีขนาดเครื่องที่เล็กและมีความซับซ้อนภายในเครื่องน้อยที่สุด โอกาสเสียจึงน้อยแต่ถ้าเกิดเสียขึ้นมาจริงๆก็สามารถที่จะซ่อมได้ไม่ยากนัก แต่ถือว่ามีระดับการป้องกันปัญหาทางด้านไฟฟ้าต่ำด้วย คือสามารถที่จะป้องกันไฟดับได้อย่างเดียว แต่ในปัจจุบัน UPS (ยูพีเอส) รุ่นใหม่ๆ จะมีวงจรที่ใช้ในการตรวจสอบความผิดพลาดของกระแสไฟโดยเมื่อเกิดปัญหาทางไฟฟ้า ขึ้น วงจรก็จะสลับจากการใช้ไฟบ้านเปลี่ยนเป็นไปจากแบตเตอรี่ที่ได้ทำการสำรองไว้ ซึ่งระหว่างการสลับกระแสไฟนี้จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นและอาจทำให้คอมพิวเตอร์ เกิดปัญหาขึ้นได้ โดยจะไม่เหมือนกับแบบแรกที่สามารถปรับระดับไฟให้มีความสม่ำเสมอได้เป็น UPS (ยูพีเอส) ที่หาได้ยากในปัจจุบันแล้ว
3.Line Interactive UPS สำหรับ UPS (ยูพีเอส) แบบนี้เป็น UPS (ยูพีเอส) ที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ร่วมกับคอมพิวเตอร์โดยทั่วไปหรืออาจจะนำมาใช้กับเซิร์ฟเวอร์ขนาดเล็กก็ได้ เป็น UPS (ยูพีเอส) ที่มีราคาไม่สูงมาก หาได้ง่ายในปัจจุบัน มีระดับการป้องกันที่ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจเลยทีเดียว ความซับซ้อนของอุปกรณ์อยู่ในระดับปานกลาง การซ่อมบำรุงทำได้ไม่ยากนัก ถือได้ว่าเป็น UPS (ยูพีเอส) ที่มีคนใช้มากและในปัจจุบันก็มี UPS (ยูพีเอส) แบบนี้ออกมาจำหน่ายอย่างมากมาย ในส่วนของการทำงานของ UPS (ยูพีเอส) ชนิดนี้จะมีการทำงานที่คล้ายๆกับ UPS (ยูพีเอส) แบบ Standby แต่จะมีความสามารถที่สูงกว่า จะมีการเพิ่มอุปกรณ์ที่เรียกว่า Stabilizer เข้าไป ซึ่งจะคอยตรวจสอบระดับแรงดันไฟฟ้าที่จะป้อนให้กับอุปกรณ์ที่ต่อเชื่อมและคอย ทำหน้าที่ควบคุมระดับแรงดันไฟฟ้าให้มีความสม่ำเสมอตลอด นับว่าเป็น UPS (ยูพีเอส) ที่เหมาะสมกับคุณมากเลยทีเดียว
ขนาดของ UPS (ยูพีเอส) และการนำไปใช้งาน
ก่อนที่เราจะไปเลือกซื้อ UPS (ยูพีเอส) มาใช้งานกัน เราต้องทราบก่อนว่าเราต้องนำ UPS (ยูพีเอส) นี้ไปใช้งานในด้านใดด้านใด เมื่อเราทราบแล้วว่าเราต้องการนำ UPS (ยูพีเอส) นี้ไปใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ใด จากนั้นต้องหา UPS (ยูพีเอส) ที่มีขนาดที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ต่อเชื่อมของเรา โดยขนาดของ UPS (ยูพีเอส) นี้จะมีหน่วยเป็นค่า VA หรือ KVA ซึ่งค่านี้อาจทำให้ท่านสับสนอยู่บ้างเพราะไม่ทราบว่าความจุขนาดนี้เหมาะสมกับการใช้งานขนาดใด ดังนั้นผมจึงมีวิธีการในการคำนวณหาค่า VA ที่เหมาะสมกับการใช้งานของท่านมาฝากกันครับ
ท่านลองประมาณค่าของเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณนั้นกินไฟสักกี่วัตต์ (Watts) แล้วนำค่าวัตต์นี้ไปหารด้วยค่า Power Factor (ค่านี้สามารถสังเกตได้จากบนเครื่องของ UPS (ยูพีเอส) ) แล้วท่านจะได้เป็นค่า VA ออกมา แต่ส่วนมากอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไปก็จะบอกขนาดวัตต์ให้คุณทราบเลย นอกจากจะใช้วิธีคำนวณเพื่อหาค่า VA ที่เหมาะสมจากข้างบนแล้ว ยังมีวิธีคำนวณอื่นๆด้วย คือ เมื่อท่านทราบว่า UPS (ยูพีเอส) มีขนาดกี่ VA แล้วและมีค่าของ Power Factor แล้ว เราก็นำค่า VA และค่า Power Factor นี้มาคูณกัน เพื่อจะได้ค่าเป็นจำนวนวัตต์ ที่ UPS (ยูพีเอส) ตัวนั้นสามารถที่จะรองรับได้
ตัวอย่างการคำนวณ
1.สมมติว่า UPS เครื่องหนึ่งมีขนาดเท่ากับ 500 VA และมีค่า Power factor เท่ากับ 0.8 เราก็สามารถที่จะหาขนาดวัตต์ที่ UPS นี้สามารถรองรับได้ คือ 500x0.8= 400 วัตต์
2.สมมติว่าขนาดของอุปกรณ์ต่อเชื่อมของคุณมีค่า 250 วัตต์ และมีค่า Power factor เท่ากับ 0.8 ก็สามารถที่จะคำนวณได้จาก 250/0.8 ซึ่งเท่ากับ 312.5 VA ดังนั้นคุณก็ควรเลือก UPS ที่มีขนาด 312.5 VA ขึ้นไป ซึ่งขนาดของ UPS (ยูพีเอส) ที่น้อยสุดในปัจจุบันมีค่า 500VA โดยเป็นค่าที่เหมาะสมมากกับการนำไปใช้งานเล็กๆน้อย ยิ่งจำนวนวัตต์ของคุณมีค่ามากเท่าไหร่ ท่านก็ควรจะหา UPS (ยูพีเอส) ที่มีค่า VA เพิ่มมากขึ้นเท่านั้นครับ
ความสามารถในการสำรองไฟ
ท่านคงจะทราบว่า UPS (ยูพีเอส) แต่ละตัวก็จะมีความสามารถในการสำรองไฟฟ้าหรือค่า Backup Time ที่แตกต่างกัน ซึ่งค่านี้หมายความว่า ระยะเวลาที่ UPS (ยูพีเอส) ของคุณสามารถที่ส่งกระแสไฟฟ้าไปให้อุปกรณ์ต่อพ่วงได้ โดยนับหลังจากเกิดกระแสไฟฟ้าดับหรือเหตุขัดข้องเกี่ยวกับไฟฟ้าต่างๆไปจนถึงเวลาที่ UPS (ยูพีเอส) ไม่สามารถดึงพลังงานของแบตเตอรี่เพื่อส่งให้อุปกรณ์ต่อพ่วงต่อไปได้ โดยระยะเวลาดังกล่าวนั้นจะมีค่าที่แตกต่างกันออกไปตามความสามารถของ UPS (ยูพีเอส) ที่ท่านใช้งานอยู่ ซึ่งบางเครื่องอาจสามารถสำรองไฟไว้ได้เป็นเวลานานในช่วงระหว่าง 10 – 30 นาที เป็นต้น ซึ่งในการบอกค่า Backup Time เป็นช่วงเวลานั้นก็เพราะว่าไม่สามารถบอกค่าที่แน่นนอนในการสำรองไฟได้ เพราะเราไม่ทราบว่าอุปกรณ์ที่นำไปต่อเข้ากับ UPS (ยูพีเอส) นี้มีจำนวนมากเท่าไร ยิ่งจำนวนของอุปกรณ์ต่อเชื่อมมีจำนวนมากขึ้นเท่าใด ระยะเวลาในการสำรองไฟนั้นก็มีค่าน้อยลงเท่านั้น ดังนั้นในการเลือกซื้อ UPS (ยูพีเอส) จึงควรที่จะหา UPS (ยูพีเอส) ที่มีระยะเวลาในการสำรองไฟที่มีค่ามากๆ ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดีครับ
จำนวนปลั๊กไฟฟ้าหรือพอร์ตเชื่อมต่อของ UPS
พอร์ตต่างๆนี้ถือว่ามีความสำคัญค่อนข้างมากในการเลือกซื้อ UPS (ยูพีเอส) ในปัจจุบันของเรา เพราะยิ่งจำนวนของพอร์ตเชื่อมต่อของ UPS (ยูพีเอส) มีจำนวนมากขึ้นเท่าไร ก็ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกมากขึ้นเท่านั้น ท่านจึงมั่นใจได้ว่าอุปกรณ์เชื่อมต่อทั้งหลายจะมีความปลอดภัยมากขึ้นด้วย พอร์ตเชื่อมต่อของ UPS (ยูพีเอส) ที่ได้ทำการผลิตออกมาให้ผู้บริโภคได้ใช้กันนั้น อย่างน้อยก็ต้องมีจำนวน 2 พอร์ตขึ้นไป คือเพื่อใช้ต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง (เคส 1 พอร์ตและจอมอนิเตอร์อีก 1 พอร์ต) แต่ในปัจจุบันได้มีการผลิตพอร์ตเหล่านี้เพื่อมากขึ้นเพื่อรองรับกับอุปกรณ์ ต่อเชื่อมที่เพิ่มมากขึ้น อาทิ เช่นเครื่องสแกนเนอร์ และเครื่องพรินเตอร์ แต่อุปกรณ์เหล่านี้ไม่ค่อยความเสียหายเกิดขึ้นมากเท่าไรเมื่อเกิดความผิด พลาดของกระแสไฟฟ้าขึ้น แต่ถ้ามีไว้ก็ไม่เสียหายอะไรใช่ไหมครับ แต่ UPS (ยูพีเอส) ตามท้องตลาดของบ้านเรานั้นได้มีการเพิ่มพอร์ตสำหรับเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับพรินเตอร์เลเซอร์กันมากขึ้น เพราะว่าราคาของพรินเตอร์เลเซอร์นั้นมีราคาที่สูง ข้อเสียของพอร์ตนี้ก็คือไม่สามารถที่จะสำรองไฟไว้ได้
นอกจากพอร์ตที่ได้บอกมานี้ ยังมีพอร์ตอีกชนิดหนึ่งที่คนให้ความสำคัญเป็นอย่างมากเหมือนกันคือ พอร์ตสำหรับเสียบสายโทรศัพท์หรือสำหรับโมเด็ม เพราะพอร์ตเหล่านี้สามารถที่จะป้องกันความเสียหายจากกระแสไฟฟ้าแรงสูงที่ ผ่านเข้ามาทางสายโทรศัพท์ได้ ทำให้ลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ดังกล่าวได้อีกขั้นหนึ่ง
ซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงานของ UPS
สิ่งที่ UPS รุ่นใหม่ๆ นั้นจำเป็นที่จะต้องมีคือซอฟต์แวร์พิเศษที่ใช้สำหรับควบคุมการทำงานของเครื่อง UPS (ยูพีเอส) นี้ด้วย ซึ่งซอฟแวร์เหล่านี้มีความสำคัญค่อนข้างมากแต่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจมาก นัก แต่จะมีความสำคัญในตอนที่ไม่มีใครคอยดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ ถ้าเกิดมีไฟดับขึ้นจริงๆและเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน จนไม่มีใครคอย Shutdown เครื่องคอมพิวเตอร์ให้ ซอฟต์แวร์นี้จะเป็นเสมือนผู้ช่วยที่จะคอย Shutdown คอมพิวเตอร์ให้คุณโดยอัตโนมัติ นอกจากความสามารถที่บอกแล้วเจ้าซอฟต์แวร์นี้สามารถที่จะบันทึกข้อมูลที่ สำคัญของคุณไว้ได้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ทางไฟฟ้าขึ้น และสามารถที่จะรายงานผลการทำงานของ UPS (ยูพีเอส) หรือสามารถที่จะตั้งเวลา Shutdown ในเวลาที่คุณกำหนดได้
ภาพแสดงตัวอย่างการทำงานของโปรแกรมควบคุมต่างๆ ของ UPS (ยูพีเอส)
การรับประกันของ UPS
ที่หลายๆ คนมองข้ามความสำคัญอีกอย่างนั่นก็คือเรื่องของการรับประกันของ UPS (ยูพีเอส) นั่นเอง ซึ่งสิ่งนี้สามารถที่จะประกันได้ว่า UPS (ยูพีเอส) จะมีความปลอดภัยและสามารถที่จะใช้งานได้ อย่างมั่นใจ เพราะถ้า UPS (ยูพีเอส) เกิดมีปัญหาขึ้นและยังอยู่ในประกันอยู่ คุณก็สามารถที่จะส่งซ่อมหรือเปลี่ยน UPS (ยูพีเอส) ตัวใหม่มาใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ระยะเวลาการประกันนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า UPS (ยูพีเอส) ของคุณนั้นมีการรับประกันกี่ปี แต่อย่างน้อยควรมีการรับประกัน 1 ปีหรือมากว่านั้นก็ยิ่งดีครับ แต่ UPS (ยูพีเอส) บางยี่ห้อนั้นอาจมีการรับประกันที่แตกต่างกันคือ อาจจะมีการรับประกันแบตเตอรี่หรือบางร้านอาจไม่มีก็ได้ ดังนั้นจึงควรสอบถามรายละเอียดเหล่านี้ให้มีความเข้าใจเสียก่อน เพื่อที่จะได้ไม่เกิดปัญหาในภายหลังได้ครับ
คุณสมบัติต่างๆ
• สิ่งที่จะทำให้ผู้บริโภคเห็นว่า UPS (ยูพีเอส) นี้มีคุณภาพนั้นก็คือ มาตรฐานของ UPS (ยูพีเอส) ที่ UPS (ยูพีเอส) นี้ได้รับ เช่น มาตรฐาน ISO 9001 หรือมาตรฐาน มอก. เป็นต้น
• แบตเตอรี่ จริงๆแล้วเมื่อท่านซื้อ UPS (ยูพีเอส) มาก็จะมีแบตเตอรี่อยู่ภายใน UPS (ยูพีเอส) นั้นแล้ว แต่เมื่อแบตเตอรี่เกิดเสื่อมขึ้นมา จึงจำเป็นต้องหา UPS (ยูพีเอส) ใหม่มาทดแทน ดังนั้นควรจะเลือกแบตเตอรี่ที่มีคุณภาพ เพราะจะทำให้มีคุณภาพในการสำรองไฟเพิ่มมากขึ้น และมีอายุการใช้งานเพิ่มมากขึ้น
• ฟังก์ชันพิเศษของ UPS (ยูพีเอส) UPS (ยูพีเอส) ที่ดีนั้นควรจะต้องมีไฟแสดงสถานะการทำงานของเครื่องเพื่อที่จะทำให้ทราบว่าตอนนี้เครื่องอยู่ในสถานะใด อีกทั้งยังทำให้สามารถสังเกตเห็นสถานะการทำงานได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ UPS (ยูพีเอส) ที่ดีควรต้องมีเสียงเตือนเมื่ออยู่ในสภาวะอันตรายของ UPS (ยูพีเอส) เช่นมีเสียงเตือนว่าไฟในแบตเตอรี่กำลังจะหมด เพื่อทำให้ผู้ใช้สามารถได้ยินได้อย่างชัดเจนและสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ทัน
• รูปทรง ขนาดของ UPS (ยูพีเอส) ก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน ควรต้องเลือก UPS (ยูพีเอส) ที่มีขนาดและรูปทรงที่เหมาะกับการใช้งานของคุณ และต้องดูว่าสถานที่จะท่านจะนำ UPS (ยูพีเอส) นี้ไปใช้มีขนาดของพื้นที่มากน้อยเท่าไรด้วย เพื่อที่จะได้มี UPS (ยูพีเอส) ที่มีขนาดที่เหมาะสมไว้ใช้งานกัน
ปัจจัยทางเทคนิคอื่นๆที่ควรพิจารณา
ความสามารถในการ Swap หรือเปลี่ยนแบตเตอรี่
แน่นอนว่าไม่มี Perfect UPS ในโลกนี้ เมื่อคุณใช้งานไปเรื่อยๆแบตเตอรี่ก็จะเสื่อมไปตามเวลา (ก็เหมือนแบตเตอรี่ของ notebook หรือมือถือที่เราใช้กัน) ทางเลือกของคุณไม่ใช่การเปลี่ยน UPS ใหม่ทั้งตัว แต่หากเป็นการเปลี่ยนแบตเตอรี่ก็พอแล้ว ทั้งนี้ UPS บางรุ่นอาจออกแบบมาให้สามารถเพิ่มแบตเตอรี่เพื่อเวลาในการสำรองไฟที่มากกว่า สำหรับผู้ใช้ที่เจอปัญหาไฟฟ้าบ่อยๆ
นอกจากนี้สำหรับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการปิดระบบ UPS ขณะเปลี่ยนแบตเตอรี่, UPS ชั้นสูงบางรุ่นจะถูกออกแบบมาให้เปลี่ยนแบตเตอรี่โดยไม่ต้องปิดระบบได้ (Hot-Swappable Batteries) เพราะในบางธุรกิจแล้วการที่ระบบหยุดเพียงไม่กี่วินาที มูลค่าความเสียหายมีค่ามหาศาล
ความสามารถในการปรับคุณภาพไฟฟ้า
สำหรับการใช้งานของผู้ใช้ตามบ้านทั่วไป ประเด็นนี้อาจจะยังไม่ได้มีการตระหนักมากนัก แต่สำหรับในบาง Application เช่น voIP หรือ Data Center ที่ความมีเสถียรภาพของข้อมูลเป็นสิ่งที่สำคัญมาก การใช้ UPS แบบทั่วไปจะไม่สามารถรองรับการปฏิบัติการได้เลย ซึ่งแม้ว่า UPS เหล่านั้นจะสำรองไฟได้ แต่ถ้าหากจังหวะที่ไฟตกหรือไฟกระชากมีการป้อนไฟที่ไม่เสถียรแล้ว ระบบก็ล่มได้เหมือนกัน (คุณเคยสังเกตุไหมว่า แม้ว่าบางช่วงที่ไฟไม่ดับ แต่ระบบคุณล่มอยู่บ่อยครั้ง) ดังนั้นความสามารถบางอย่างเช่น Zero-Transfer Time เป็นสิ่งที่สำคัญมาก และแน่นอนว่าไม่ใช่ UPS ทุกรุ่นที่มีความสามารถนี้
ดังนั้นถ้าคุณเป็นผู้ใช้ตามบ้าน (แบบ Hardcore/Serious User) หรือระดับ SME จนถึง Large Enterprise ขนาดใหญ่ เราอยากแนะนำว่าคุณต้องใช้แต่เพียง True Online เท่านั้น
การให้บริการ
แน่นอนว่าอุปกรณ์ทุกอย่างในโลกนี้ย่อมเสื่อมไปตามกาลเวลา และคงไม่ใช่ผู้ใช้งานทุกคนที่สามารถซ่อมแซมหรือบำรุงเองได้ รวมทั้งพวกเขาก็คงไม่ต้องการที่จะซื้ออะไหล่มาเปลี่ยนเองทั้งหมด ดังนั้นการเลือกซื้อ UPS จากบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือก็เปรียบเสมือนใบรับประกันที่บริษัทเหล่านั้น จะดูแลอุปกรณ์ UPS แทนคุณได้เหมือนกับคุณเป็นลูกค้าชั้นดีจากบริษัทใหญ่เลยทีเดียว
ความสามารถในการทนความร้อนและความเย็น
แน่นอนว่านี่คือประเด็นเรื่องความปลอดภัย UPS บางรุ่นที่มีช่วงทนอุณหภูมิแคบอาจทำงานล้มเหลวเมื่ออุณหภูมิร้อนเกินไปหรือ เย็นเกินไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างไม่คาดคิดได้ ดังนั้นคุณจึงควรสอบถามพนักงานขายเกี่ยวกับช่วงอุณหภูมิที่อุปกรณ์รับได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วก็จะอยู่ในช่วงอุณหภูมิห้องปกติ แต่ถ้าเป็น UPS ชั้นดีแล้วจะสามารถทนความร้อนหรือความเย็นได้ในระดับที่สูงมาก (คุณลองจินตนาการอุณหภูมิในห้อง Server ที่มีการใช้งานอย่างเข้มข้น)
ความดังของเสียงเวลาทำงาน
อาจดูเหมือนเป็นประเด็นเล็กน้อย แต่จริงๆแล้วสามารถเป็นฝันร้ายของผู้ซื้อ UPS ที่ไม่ได้ตรวจสอบก่อนซื้อไปสำรองไฟให้กับคอมพิวเตอร์แสนรักในห้องนอน บางคนเลิกใช้ UPS เพราะความดังของมัน ดังนั้นจึงควรดูระดับความดังของเสียง UPS ด้วย ซึ่งจะบอกเป็นลักษณะเช่น < 40dBA, at 1 meter (ในระยะ 1 เมตรมีความดังน้อยกว่า 40 เดซิเบล) ซึ่งถ้าเป็น UPS ชั้นดีแล้วก็จะสามารถปฏิบัติการด้วยความเงียบมาก
อายุการใช้งานและอัตราการทำงานผิดพลาด
เป็นการยากที่จะเปิดเผยว่า UPS รุ่นไหนที่มีอายุการใช้งานยาวนานและมีการทำงานผิดพลาดหรือเสียหายน้อยที่สุด แต่คุณสามารถสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมว่าพวกเขาใช้ UPS รุ่นไหนแล้วได้รับความพอใจที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ UPS ใน Data Center ที่เป็นธุรกิจที่การเกิด Downtime หรือระบบล่มเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย
ราคาต่อคุณภาพ
เราเชื่อว่าหลังจากคุณได้ศึกษาข้อมูลอย่างถี่ถ้วนแล้ว คุณก็สามารถที่จะประเมินได้ว่า UPS รุ่นไหนที่มีราคาสอดคล้องกับคุณสมบัติที่คุณต้องการ สิ่งสำคัญที่คุณต้องดูคือการตั้งราคาของแต่ละผู้จำหน่ายว่าตั้งราคาสูงเกิน คุณสมบัติของสินค้าหรือเปล่า แน่นอนว่าถ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์การใช้งาน UPS ใน Critical Application จากบริษัทขนาดใหญ่คงจะให้คำตอบคุณได้อย่างดีและเป็นกลาง
สิ่งที่ได้บอกมาในข้างต้นนั้น เป็นสิ่งที UPS (ยูพีเอส) ที่ดีควรจะมี เพราะเป็นสิ่งที่จะเพิ่มความปลอดภัยให้คอมพิวเตอร์ตัวโปรดของคุณให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้น แต่ตามหลักความจริงแล้ว UPS (ยูพีเอส) ทุกเครื่องนั้นคงจะไม่มีเครื่องไหนที่มันสมบูรณ์แบบไปหมดหรอกครับ อาจจะมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ขาดไปบ้าง อันนี้ก็อยู่ที่คุณแล้วครับ ว่าจะตัดสินใจเลือกเครื่อง UPS (ยูพีเอส) แบบไหนไว้ใช้งาน อันจะทำให้เกิดความคุ้มค่าและความปลอดภัยมากที่สุด...
สนับสนุนบทความโดย
EMERSON NETWORK POWER (THAILAND) CO., LTD.
Address: 123 Suntowers Bldg.-B 16th Fl, Vibhavadi-Rangsit Rd.,Chompol,Chatuchak, Bangkok 10900 Thailand
Telephone: 0-2617-8260
Website: www.EmersonNetworkPower.com, www.liebert.com
ที่มา http://www.buycoms.com/buyers-guide/ups/index.asp