วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ทำอย่างไรถึงรวย



ท่านอาจถามคำถามนี้มาตลอดชีวิต รวมทั้งได้ฟังได้ยินคนอื่นบ่นมาจนนับไม่ถ้วน หลายท่านอาจจะมีคำตอบ
อยู่แล้วในใจ หนึ่งในคำตอบนั้นก็คงเป็น ทำงานให้ได้เงินเยอะๆ ซิ ผู้เขียนก็เห็นด้วย แต่อย่าลืมว่าจะ
ต้องมีประเด็นอื่นๆ มาเกี่ยวข้องด้วย แล้วอะไรหละ ที่จะทำให้ท่านรวยได้ คำตอบอยู่ที่ว่าคุณจัดการ การ
เงินของคุณเองได้ดีแค่ไหน ต่อให้คุณทำงานได้เงินมาก เท่าที่คุณต้องการ ท่านก็ไม่อาจจะรวยได้ หากไม่
จัดการเงินของคุณให้ดี

จำลองเหตุการณ์
ลองกลับมาคิดกันดู สมมุติว่าวันนี้คุณมีเงินเดือน 20,000 บาท ผู้เขียนให้คุณเพิ่มอีก 20,000
บาท เป็น 40,000 ต่อเดือน ถามว่าคุณจะรวยขึ้นไหม คำตอบก็คือว่า ไม่ หากการใช้เงินของ
คุณยังเป็นแบบนี้ เดือนแรกคุณอาจจะเก็บเงินที่ได้เพิ่ม 20,000 บาทนั่นไว้ รวมกับเดือนที่ 2
..3 ..4 ..5 จนได้ 100,000 บาท ตอนนั้นคุณจะคิดอย่างไร ผู้เขียนขอเดาไว้เลยว่า หาก
คุณยังไม่มีรถ คุณก็คิดจะซื้อรถ หากมีอยู่แล้วก็อาจจะคิดซื้อคันใหม่ ไหนจะ ทีวีเครื่องใหม่ นาฬิกา
เรือนใหม่ มือถือรุ่นล่าสุด ฯลฯ ไม่มีที่สิ้นสุด จนสุดท้ายเงินเดือนที่ได้ 40,000 นั้นไม่พอเพราะ
รายจ่ายที่สูงขึ้น ต้องผ่อนส่งโน่น ผ่อนส่งนี่หมดไปเดือนละหลายหมื่นบาท อีกไม่รู้กี่ปีกว่าจะหมด
แล้วคุณก็จะกลับมาที่ความคิดเดิมว่า เมื่อไหร่จะรวยกับเค้าเสียที

หนทางสู่ความร่ำรวย
ทุกคนฝันถึงความร่ำรวยอย่างที่เห็นในทีวี ในหนัง บ้านหลังใหญ่ อยากจะซื้ออะไรก็ซื้อได้ การจะ
รวยได้ปุ้บปั้บยังพอมีทาง นั่นคือถูกลอตเตอรี่ หรือเล่นเกมโชว์ (เช่นเกมเศรษฐีช่อง 3 เย็นวัน
หยุดเป็นต้น) แต่จากการสำรวจพบว่า บุคคลเหล่านี้ส่วนจะกลับมายากจนอีกครั้งภายในเวลาไม่เ
กิน 5 - 10 ปี เพราะบริหารเงินไม่เป็น ได้มาง่ายก็หายไปง่าย 20 % จะหมดไปกับการแจก
ให้เพื่อนหรือญาติ ที่เหลือก็หายไปกับสิ่งอำนวยความสะดวก เพราะไม่ได้เรียนรู้นิสัยของคนรวยว่
าจะทำอย่างไร อีกวิธีก็คือการเสี่ยงไม่ว่าจะตลาดหุ้นหรือลงทุนทำธุรกิจ แต่ท่านจะกล้าเสี่ยงหรือ
แล้วจะเอาเงินทุนมาจากไหน ถ้ากู้ยืมเค้ามาลงทุนหากพลาดพลั้งนอกจากไม่รวยแล้วยังเป็นหนี้อีก

แล้วจะให้ทำอย่างไร
ดร โทมัส สแตนลี่ ผู้แต่งหนังสือขายดี (The Millionair Next Door) พบว่าจากการ
สำรวจเศรษฐี 1000 ราย พบข้อเท็จจริงที่น่าประหลาดใจว่า คนรวยมี 2 จำพวก พวกแรกคือ
รวยทางบัญชี อีกพวกคือรวยแต่เป็นหนี้ ตอนนี้จะขอกล่าวถึงพวกแรกซึ่งน่าสนใจ จากการสำรวจ
พบว่าจะเริ่มต้นทำธุรกิจ โดยการแสวงหาโอกาส เช่นสินค้าใหม่ๆ เป็นต้น พวกเขารักงานของ
เขา มุ่งขยายงาน ไม่ใช่ขยายเงิน มีชีวิตที่เพียบพร้อมแต่ไม่เวอร์ ถึงจะซื้ออะไรมาแพง แต่ไม่
นานก็ขายไป (พร้อมทั้งได้กำไร) สรุปแล้วคือใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้ ถึงจะเรียนไม่เก่งแต่มี
ความเชื่อมันในตัวเอง ลักษณะพิเศษคือคิดอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น

แล้วคุณจะรวยได้อย่างไร
เอาหละคุณหรือผู้เขียนก็คงอยากรวยแบบเขา แต่ไม่กล้าเสี่ยง งานที่ทำอยู่ก็มั่นคงดี ถ้าอยากรวย
ก็เหลืออยู่วิธีเดียวนั่นก็คือ ใช้จ่ายให้น้อยกว่ารายได้ หรือพูดง่ายๆ จัดการการเงินของคุณให้ดี
ลดความอยากในสิ่งที่ไม่เหมาะกับเรา อย่าไปสนใจคนรอบข้างที่ชอบโม้ว่ามีโน่นมีนี่ คิดเสียว่าคน
พวกนี้มีทรัพย์พร้อมปัญหา วิธีแก้ปัญหาของพวกเขาคือการได้มาโม้ให้คนอื่นฟัง ถือเป็นโรคจิต
ประเภทหนึ่ง ขอให้เราเชื่อมั่นในตัวเราเอง มุ่งมั่นกับงานของเราเพื่ออนาคตที่มั่นคง หักห้ามใจ
ตัวเอง แล้วดำเนินการดังนี้

เริ่มวางแผนชีวิตพร้อมแผนการเงินเสียตั้งแต่วันนี้
เริ่มคิดวันนี้เลย อย่าเลื่อนไปอีกวัน จนไม่รู้ว่าจะเริ่มเมื่อไหร่ หากทุกวันนี้คุณยังควบคุมรายจ่ายตั
วเองไม่ได้ ต่อให้ได้เงินมากแค่ไหนก็ไม่มีวัน รวย ลองถามคนที่คุณรู้สึกว่าเค้ารวยกว่าซิว่า เค้า
บริหารการเงินอย่างไร ความร่ำรวยไม่ได้เกิดขึ้นข้ามคืน ต้องใช้เวลาและความพยายามของคุณ
คุณอาจจะรู้สึกเสียดายว่าในอดีตน่าจะตั้งใจเรียน จะได้เรียนสูงๆ จบแล้วทำงานได้เงินเยอะ
แยะ คุณจะย้อนไปแก้ไขไม่ได้แล้ว แต่ถ้าคุณอยากรวย คุณทำได้ไม่ต้องย้อนอดีต เพราะมันคือ
อนาคตของคุณ เงินเดือนไม่ค่อยพอใช้ สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา จะรู้สึกว่าเงินเดือน
ออกมาไม่กี่วัน จ่ายค่าโน่นค่านี่จนหมดเกลี้ยง เหลือเงินติดกระเป๋าไม่กี่ร้อย แล้วจะใช้พอถึงสิ้น
เดือนหรือเปล่าละเนี่ย ไม่ว่าคุณจะมีเงินเดือนเท่าไหร่ คุณก็จะรู้สึกว่าไม่เคยพอเสียที ตั้งหน้าตั้ง
ตารอเงินเดือนขึ้นปลายปี พอเงินเดือนขึ้นแล้ว ก็ไม่ทราบว่าหายไปไหนหมด แล้วเงินเดือนเท่า
ไหร่ถึงจะพอกันละเนี่ย

จำลองเหตุการณ์
สมมุติว่าวันเมื่อ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมาหัวหน้าเรียกคุณไปพบ แล้วบอกว่าบริษัทย่ำแย่ ต้องลดเงิน
เดือนพนักงานทุกคนลงครึ่งหนึ่ง คุณก็โอดครวญกับหัวหน้าอยู่พักใหญ่แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับชะตากร
รม ดีกว่าต้องตกงาน ผู้เขียนขอถามว่าท่านจะอยู่ได้ไหม เงินเดือนคุณจะพอใช้ไหม คุณจะอยู่รอด
ไหม

อยู่ได้หรือไม่
หลายๆ ท่านก็จะมีคำตอบออกมาว่า ยังไงๆ ก็ต้องอยู่ได้ละ (ว่ะ) แล้วท่านก็จะหันมากดเครื่อง
คิดเลขกันอุตลุตว่า อะไรที่จำเป็นต้องจ่ายจริงๆ อะไรที่จำเป็นต้องตัดทิ้ง ถือว่าฟุ่มเฟือย เป็นต้น
ท่านก็อาจจะต้องทานข้าวนอกบ้านน้อยลง KFC PIZZA HUT หรือแม้แต่ร้านอาหารในศูนย์การค้า
ก็อาจจะไม่ใช่ที่นัดหมายรอใครอีกต่อไป มือถือก็อาจจะขอระงับชั่วคราวเพราะปกติคุณก็ไม่ค่อยจะ
มีใครโทรหาคุณอยู่แล้ว และไปใหนไกล้ๆ ก็วิ่งขึ้น ปอ. ดีกว่าค่าน้ำมันก็ไม่ต้องต้องจ่าย ไม่ต้อง
หาที่จอดรถให้เมื่อยแขน เสื้อตัวใหม่ที่เล็งๆ ไว้ก็เว้นไปก่อน เงินที่ส่งให้ที่บ้านก็ลดลงไป ตามสัด
ส่วน และอื่นๆอีกเยอะแยะ สุดท้ายคุณจะพบว่าคุณก็อยู่รอด เงินเดือนที่ได้นั้นนับว่าพอเพียงที่จะดำ
เนินอยู่ได้ เพียงแต่คุณรู้สึกว่าถ้าอยากจะซื้ออะไรแล้วซื้อแบบเมื่อก่อนนั้นทำไม่ได้แล้ว เสื้อผ้าที่
เคยเดินซื้อตามในห้าง ก็ต้องหันมาซื้อตอนเค้าจัดโปรโมชั่น หรือไม่ก็นั่งรถไปเลือกซื้อแถวหน้ารา
ม (สำหรับคุณสุภาพสตรี) ชุดทำงานชุดหนึ่งไม่ถึง 800 บาท แต่ดูดีเหมือนซื้อมาจากห้างเลย
(ไม่มีใครเค้ามาแบะคอเสื้อคุณแล้วขอดูยี่ห้อหรอก - ยกเว้นคุณจะเป็นประเภทชอบอวดมาก่อน)
ระหว่างนั้นคุณก็คิดหางานใหม่ หรือตั้งตารอเศรษฐกิจที่ไม่ยอมฟื้นซะที แต่เชื่อหรือไม่ว่าถ้าเงิน
เดือนคุณกลับมาเหมือนเดิม คุณก็รู้สึกว่าไม่พออยู่ดี

แล้วถ้าตอนนี้ไม่พอจะทำอย่างไร
คำตอบง่ายๆคือคุณต้องจัดการตัวคุณเอง จัดการเรื่องเงินให้เป็นนิสัย ดึงกระดาษเปล่าออกมา 1
แผ่นพร้อมปากกา แล้วหาเครื่องคิดเลขมา แล้วเขียนรายรับ (เงินเดือนหนึ่งละ) แล้วก็รายจ่าย
ในเดือนหน้า (ต้องเขียนให้หมดว่าคุณต้องจ่ายอะไรบ้าง) ติดตามอ่านรายละเอียดได้จากการทำ
งบการเงิน สุดท้ายคุณจะพบว่าคุณจะมีเงินเหลือหรือขาดไปเท่าไหร่ อยากให้คุณลองทำดู เพราะ
คุณอาจจะไม่เคยทำ ตอนร่ำเรียนมานั้นคุณต้องทำรายงานส่งอาจารย์ จากตัวเลขวาดเป็นกราฟ
ต่างๆ นาๆ แลกกับคะแนน ตอนนี้ก็ลองทำรายการต่างๆ ให้เป็นกราฟแท่งบ้าง กราฟเส้นบ้าง
(เทียบรายจ่ายแต่ละหมวดเดือนต่อเดือนเป็นต้น) คุณอ่านเว็บเพจนี้ได้คุณก็ต้องมี Execel หรือ
Spread Sheet อยู่บนเครื่องคุณ ใช้ให้เป็นประโยชน์ หัวหน้าผ่านไปมาจะรู้สึกว่าคูณตั้งใจทำงา
น ไม่มัวแต่ chat ICQ อยู่ คุณจะเห็นรายจ่ายบางอย่างที่ไม่จำเป็น บางอย่างก็สูงเกินไป ปรับ
ลดลงตามความเป็นจริงให้สมกับสถานะของคุณ คุณจะพบว่าคนที่มีเงินเดือนสูงก็ต้องมีรายจ่ายสูง
คนที่มีเงินเดือนน้อยรายจ่ายก็น้อย เพื่อรักษา LifeStyle ของแต่ละคน ขอเพียงแต่อย่ามี
LifeStyle เกินตัวเอง การที่ใครร่ำรวยในวันนี้ มีบ้าน มีรถ ไม่ใช่ว่าเค้าจะร่ำรวยจริงไปเสี
ยทั้งหมด หลายๆ คนร่ำรวยจากการนำเอารายได้ ในอนาคตมาใช้ก่อนแล้วจ่ายค่าธรรมเนียม
(ดอกเบี้ย) ไปเพื่อความสะดวกสะบายอันนั้น มันเป็นความเสี่ยงอีกประเภทหนึ่ง ถ้าหากวันในคน
ผู้นั้นไม่มีรายได้ทุกอย่างของเขาก็ต้องหายไป (ยกเว้นประเภทที่พ่อแม่หรือญาติมาช่วย)

บทสรุป
คุณจะพบว่าเงินเดือนของคุณความจริงแล้วนั้น พอ เพียงแต่ความอยากได้ทำให้มันไม่พอ อาจจะ
มากกว่าพอด้วยซ้ำ ให้คุณลองมองไปยังคนอื่นๆที่อายุรุนราวคราวเดียวกับคุณว่าเค้ามีอะไรบ้าง
คุณจะพบว่าคนที่อยู่บ้านหลังใหญ่นั้นอายุจะมากๆ กันทั้งนั้น คนที่ขับเบนส์ก็ไม่ค่อยมีหนุ่มๆ ถ้ามีก็จะ
เป็นรถที่ยืมพ่อมา หรือรถที่ซื้อในนามบริษัท (กู้เงินมา ถ้าบริษัทเจ้งรถก็ไม่มี) คนเหล่านี้สมัยที่
เค้าอายุเท่าคุณเค้าลำบากกว่าคุณอีก แต่เค้ารู้จักการบริหารการเงิน คุณทำงานควบคุมคนอื่นๆ
ได้ แต่ทำไมควบคุมตัวเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นเริ่มตั้งแต่วันนี้เลย เพื่ออนาคตของคุณเองอน

ทำไมคนอื่นถึงรวยกว่าเรา
เวลามองดูคนรอบข้าง ท่านอาจจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นจน กว่าคนอื่น รถก็ไม่มี บ้านก็เช่าอยู่ แล้ว
ทำไมคนนั้นถึงรวยกว่า ทำไมคนนี้มีรถบีเอ็มขับ บทความชิ้นนี้คงจะช่วยให้คุณได้มองภาพให้กระจ่า
งขึ้น และมีกำลังใจต่อสู้ต่อไปุ

จำลองเหตุการณ์
นายหนึ่ง เพื่อนเจ้านายเราขับรถ sport มาทำงานทุกวัน วันก่อนจัดงานปาร์ตี้ที่บ้านเชิญเราไป
ด้วย บ้านใหญ่กว่าบ้านทรายทองเสียอีก เค้ารวยจน(น่า)อิจฉา แล้วเค้าทำได้ไงน้า ทำไมเค้า
รวยจัง

ประเภทของความร่ำรวย
ความร่ำรวยนั้นได้มาหลายวิธีด้วยกัน คือ
1. ร่ำรวยจากมรดก
2. ร่ำรวยจากการค้าขายทำธุรกิจ
3. ร่ำรวยจากการกู้ยืม
4. ร่ำรวยจากการฉ้อโกงย
ข้อ 1 นี่คงจะพูดได้ไม่มาก หลายคนถือว่าเป็นบุญ สาเหตุเพราะรุ่นก่อนทิ้งไว้ให้ แต่ถ้าจัดการไม่
ดีก็มีสิทธิ์ กลับมายากจนได้เช่นกัน
ข้อ 2 นี่คือเขาสร้างขึ้นมาเอง อาศัยความเสี่ยง และความคิดที่แตกต่าง อย่าไปคิดอิจฉาว่าเค้า
สร้างอาณาจักรการค้าได้อย่างไร ทำไมเราไม่ทำแบบเค้าบ้าง ให้ลองกลับไปมองนักธุรกิจที่ผิดพ
ลาดด้วย คนรวยหนึ่งคนอาจจะโผล่มาจาก คนที่ล้มเหลวทางธุรกิจอีกเป็นสิบๆ คน ภาพที่ออกมา
ไม่เคยบอกว่าเพื่อนที่ทำธุรกิจมาด้วยกันนั้น ล้มไปกี่คนจึงจะมีผู้ร่ำรวยคนนี้ เพราะฉะนั้นคิดให้ดี
อย่าคิดอยากทำอย่างเขา หรืออิจฉาเขาเลย เพราะคุณอาจจะล้มไปเสียก่อนก็ได้ คนที่รอดคือคน
รวยมันก็แค่ statistic คุณยังรวยกว่าคนจนอีกเป็นล้านๆ คน
ข้อ 3 คือคนที่เราพบเห็นเป็นส่วนมาก เหมือนเพลงคาราบาวคือเศรษฐีเงินผ่อน (อาจจะเกี่ยว
เนื่องกับข้อ 2) ความร่ำรวยที่เกิดขึ้นคือภาพลวงตา เขาอาจจะมีเครดิตดี หรือมีเพื่อนพ้องในวง
การธนาคาร กู้ยืมเงินมาลงทุน บางส่วนก็เอามาซื้อบ้าน ซื้อรถ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าบุคคลเหล่
านี้ทุกลมหายใจ จะมีแต่คำว่าหนี้ อยากมีชีวิตที่สะดวกสะบาย (ทางกายภาพ) แต่ก็ต้องมีหนี้
(บาปทางใจ) ถ้าเศรษฐกิจทรุด หรือออกจากงาน ก็จนในพริบตา ลองถามเพื่อนคุณดูว่า ถ้าหัก
ลบทรัพย์สินที่มีอยู่ กับหนี้ที่มีจะเหลือเท่าใหร่ คุณอาจจะพบว่าคุณมีมากกว่าเขาด้วยซ้ำ
ข้อ 4 นี่ไม่ต้องพูดถึง ร่ำรวยแต่กาย แต่ในใจรุ่มร้อน กลางคืนนอนไม่หลับกลัวจน กลัวถูกจับได้
กลัวถูกสอบสวน อยากจะเป็นอย่างเขาหรือเปล่า อยู่สบายๆ ไม่เป็นหนี้ใคร แต่นอนหลับฝันดี น่า
สนใจกว่า

บทสรุป
สรุปแล้วท่านอยากเป็นคนรวยประเภทไหน รวยมากแต่มีหนี้สินเยอะ สุดท้ายต้องวิ่งหนีหนี้ สูญเสียทุกอย่าง
หรือจะอยู่แบบสบายๆ สะสมเงินทองไปเรื่อยๆ รำรวยในความสุข พอมีพออยู่ ชีวิตมีรสชาด มีความหวัง
อย่าไปอิจฉาลูกเศรษฐี หากไม่มีสมบัติดั้งเดิม บุคคลเหล่านั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่าคุณหรอก คุณอาจจะเก่งกว่า
ด้วยซ้ำ ขอเพียงคุณจัดการชีวิตการเงินของคุณให้ดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว

ที่มา http://board.dserver.org/y/yeeyahaa/00000027.html