1.การประชาสัมพันธ์แบบต้องใช้ทุนบ้างเล็กน้อย หลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกครับ กับการต้องใช้จ่ายเพื่อให้งานฝีมือของเราได้รับการจดจำ หรือความสนใจจากผู้ที่รับ และชอบในงานศิลปะแขนงต่าง ๆ อย่างแรกเลยที่คุณควรมีก็คือ เอกสารประชาสัมพันธ์ , ใบปลิว , โบรชัวร์ ที่ลูกค้าหรือผู้ที่สนใจสามารถนำติดตัวกลับไปได้
คุณอย่าพึ่งคาดหวังว่า ลูกค้าที่หยิบเอกสารของคุณไปนั้นจะตัดสินใจซื้อสินค้างานฝีมือของคุณในทันที เพียงเพราะได้เห็นเอกสารของคุณ แต่อยากให้คุณคาดหวังว่าผู้ที่หยิบเอกสารไปนั้นนำเอกสารของคุณกลับไปบ้าน ไปที่ทำงาน หรือเอาไปฝากเพื่อน ไม่ใช่แค่หยิบไปอ่าน ๆ แล้วก็ทิ้งลงถังขยะไป ( ซึ่งเกิดขึ้นแน่ ๆ อยู่แล้ว )
คุณไม่จำเป็นต้องลงทุนทำเอกสารราคาแพง ๆ หรือใบปลิวจำนวนมากมายมหาศาลตามที่โรงพิมพ์บอก หากต้องการเริ่มต้นจริง ๆ แม้กระทั่งใบปลิวที่ถ่ายเอกสารมาก็สามารถใช้งานได้แล้ว แต่อย่างน้อยขอให้การออกแบบรูปร่าง หน้าตา และข้อความในใบปลิวของคุณ “
สะดุดตา – สะดุดใจ ” ผู้คนที่ได้รับโบรชัวร์ใบนั้นไป ซึ่งมีความหมายมากกว่าความพยายามอัดแน่นข้อมูลต่าง ๆ สารพัด ของงานฝีมือที่คุณสร้างขึ้นมา จนรู้สึกว่าเราพยายามยัดเยียดข้อมูลให้กับผู้บริโภคจนเกินงาม
เชื่อผมเถอะว่า เขาไม่อ่านทุกตัวอักษรหรอก เป็นคุณ..คุณก็ไม่อ่าน หรือไม่จริง !
สิ่งที่คุณควรบรรจุลงไปในใบปลิว ผมแนะนำให้ใช้รูปภาพสวย ๆ ชัด ๆ ไม่เกิน 4 - 5 รูป กับข้อความที่นำเสนอข้อมูลสินค้าสัก 5 – 6 บรรทัดก็เพียงพอแล้ว เคยได้ยินประโยคนี้ไหมครับ “ รูปภาพเพียงรูปเดียว บอกเล่าเรื่องราวได้มากกว่าหนังสือร้อยหน้า พันหน้า ด้วยซ้ำ ”
ในการถ่ายภาพเพื่อพิมพ์โบรชัวร์ คุณไม่จำเป็นต้องถ่ายภาพสินค้าทุกด้าน เพราะอยากนำเสนอความสวยงามของงานฝีมือไปเสียทั้งหมด ถึงอย่างไรก็ตามผู้ที่สนใจหรือลูกค้าก็ย่อมอยากได้เห็นของจริง ก่อนตัดสินใจซื้ออยู่ดี
อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญ คือประโยคสั้นที่สามารถสื่อถึงเอกลักษณ์ของสินค้าคุณได้ ซึ่งในปัจจุบันคุณไม่จำเป็นต้องเคยทำงาน Copy Writer ตัวฉกาจ คุณก็สามารถหาประโยคสวย ๆ จาก Internet ที่คุณอ่านแล้วสัมผัสได้ว่า ประโยคนี้แหละสามารถสื่อถึงสินค้าของคุณได้ และนำมาใช้งานได้ตั้งเยอะแยะ
แต่โดยมารยาทที่ดีแล้ว คุณไม่ควรคัดลอกของคนอื่นมาทั้งดุ้น แต่ควรใช้วิธีคัดลอกและดัดแปลง ให้เป็นเอกลักษณ์ของตัวคุณเอง ซึ่งผู้ที่ได้อ่านจะไม่เกิดความรู้สึกว่า คิดเองไม่เป็นหรือไง ! เสียภาพลักษณ์ของสินค้าไปเปล่า ๆ
ถ้าคุณออกแบบโบรชัวร์ด้วยคอมพิวเตอร์ไม่เป็น คุณลองหาข้อมูลใน Google ก็ได้ เดี๋ยวนี้นักออกแบบกราฟฟิกมีเยอะแยะ ราคาต่อหน้าไม่ถึงพันบาทก็มี ไม่จำเป็นต้องใช้นักออกแบบมืออาชีพ อาจเป็นน้อง ๆ นักศึกษาก็สามารถออกแบบโบรชัวร์ให้สวยงามได้แล้วครับ
2.จุดแจกโบรชัวร์ ถ้าคุณคิดว่าต้องเสียเงินทอง กับการจ้างเด็กเพื่อวิ่งไล่แจกโบรชัวร์ หรือเสียค่าเช่าที่แพง ๆ เพื่อเอาโบรชัวร์ไปตั้ง คุณกำลังคิดผิดแล้วครับ ลองมองสิ่งใกล้ตัวที่จะช่วยคุณแจกโบรชัวร์ของคุณได้ เอาง่าย ๆ ที่สุดเลย ลูกค้าทุกคนที่สั่งซื้อสินค้าจากคุณ คุณก็แถมโบรชัวร์ให้เขาซัก 4 – 5 ใบ มีโอกาสสูงมากครับ ที่เขาจะนำโบรชัวร์ของคุณแจกจ่ายไปยังเพื่อนฝูงอีกจำนวนมาก
หรือไม่ก็ลองมองดูรอบๆตัว มีเพื่อนฝูง ญาติสนิท มิตรสหาย คนไหนมีหน้าร้าน หรือร้านค้า ที่มีคนเดินเข้าออกบ่อยๆ ก็ฝากวางไว้ได้ แล้วก็ตามไปตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ว่าใกล้หมดหรือยัง เหลือสักห้าหกใบก็เอาไปเติม ลองดูสิครับ คุณหาที่วางได้แน่ๆ
ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่าครับ อย่าเสียเงินสั่งพิมพ์โบรชัวร์แพง ๆ แล้วไล่แจกให้กลายเป็นขยะอยู่ในถังขยะเลยครับ
3.เปิดตัวสู่สังคมบ้าง หัวข้อนี้คุณอาจโต้แย้งในใจว่า จะไปเข้าสังคมที่ไหน ? จะไปเข้าสังคมด้วยวิธีการอย่างไร ? ฉันไม่ค่อยมีเพื่อนมากมายนัก ฯลฯ
ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอกครับ สังคม Internet นี่แหละ เพียงคุณเข้าไปในเว็ปไซต์ , เว็ปบอร์ด หรือ Blog ที่มีผู้คนที่สนใจงานประเภทเดียวกันกับคุณ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ สร้างความสัมพันธ์ หรือพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ โดยไม่หวังผลทางการค้า ก็จะช่วยสร้างความจดจำให้กับผู้คนอีกมากมาย คุณก็จะเป็นที่รู้จักไปพร้อม ๆ กับงานฝีมือที่คุณบรรจงสร้างมันขึ้นมา
ตัวอย่างง่าย ๆ ที่เห็นได้ชัด ... วันนี้คุณก็จำได้แล้วว่า “ นาย วายุอัคคี ” คนนี้เป็นเจ้าของสินค้าอะไร เห็นไหมครับ !
4.กัดฟันใช้เงินก้อนบ้างก็ดี ผมหมายถึง การออกงาน Event น่ะครับ คุณอาจเลือกมองหางานแสดงสินค้าที่ใกล้เคียงและเหมาะสม กับงานฝีมือของคุณมากที่สุด เพื่อเป็นการนำเสนอและโชว์ผลงานของคุณ ให้กับประชาชนจำนวนมาก ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่คุณต้องการนำเสนอ รวมถึงการมีโอกาสได้แจกใบปลิวบ้าง
การออกงาน Event ในสมัยนี้ อย่าไปคาดหวังเลยครับว่า จะสามารถขายสินค้าได้อย่างถล่มทลาย แค่ได้ค่าเช่าที่ ก็ถือว่าบุญแล้ว สิ่งที่คุณได้รับจากการออกงาน Event น่าจะเป็นโอกาสได้นำเสนอตัวเอง แก่กลุ่มลูกค้าและสื่อมวลชนมากกว่าการเปิดร้านจำหน่ายสินค้า คุณอาจไม่จำเป็นต้องทุ่มเทเงินทองที่มากมายอยู่คนเดียวก็ได้ ถ้าคุณได้มีเพื่อนฝูงที่ผลิตสินค้างานฝีมือคล้าย ๆ กัน ( แต่คนละชนิด ) ลองชวน ๆ กันไปแชร์ค่าพื้นที่ สัก 3 คนต่อ Booth ก็ได้ จะได้ไม่หนักคุณจนเกินไป
5.หัวข้อ Event ที่ผ่านมามีคำว่า “ สื่อมวลชน ” เข้ามาแทรกด้วย คุณอาจไม่เคยคาดหวังว่า TV. , หนังสือพิมพ์ , นิตยสาร จะมาทำข่าวหรือสัมภาษณ์ผู้ผลิตงานฝีมือเล็ก ๆ แบบเรา ๆ แต่ถ้าคุณเริ่มเปิดตัวในสังคม คุณต้องไม่ลืมว่าสื่อมวลชนต่าง ๆ เหล่านั้น เขาก็ต้องพยายามหาข่าวที่น่าสนใจ เพื่อไปนำเสนอเช่นเดียวกัน
และถ้าสินค้าของคุณมีมุมมองที่น่าสนใจ รับรองได้เลยว่าสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ ก็อยากจะนำเสนอผลงานของคุณเช่นเดียวกัน
6.สื่อ Online เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า โลก Internet ก็เป็นสื่อที่ทำให้ข้อมูลข่าวสารได้รับการเผยแพร่เป็นอย่างดี การมีเว็ปไซต์เป็นของตัวเองนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คุณสามารถนำเสนอข้อมูลข่าวสาร และผลงานของคุณได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งการมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองในปัจจุบัน เป็นเรื่องที่ง่ายกว่าในอดีตหลายเท่า
คุณไม่จำเป็นจ้าง Programmer มานั่งเขียนเว็บไซต์ให้ดูเป็นมืออาชีพ คุณอาจเลือกใช้เว็บไซต์สำเร็จรูป ที่มีไว้คอยบริการอยู่มากมาย หรือไม่กระทั่งพื้นที่เว็บไซต์ฟรีที่เปิดพื้นที่ให้คุณเข้าทำเว็บไซต์ได้อย่างอิสระ หรืออย่างน้อยก็ใช้ Blog สำเร็จรูปที่มีมากมาย ยกตัวอย่างเช่น Pantown ของ พันทิป นี่ก็ได้
เมื่อคุณมีเว็บไซต์แล้ว คุณอาจคาดหวังว่าอยากให้ search google แล้วอยู่ที่หน้า 1 ซึ่งเป็นความคาดหวังที่มีโอกาสเป็นไปได้ยาก เพราะทุกคนก็คิดเหมือนกันหมด แล้วคุณก็มามีคำถามกับตัวเองว่า ทำไมเว็บของคุณไม่ติดอันดับเสียที แล้วก็หมดกำลังใจทำ
ไม่จำเป็นหรอกครับ ! ถ้ามันติดหน้า 1 ได้ก็ดี แต่อย่าลืมว่าคนอื่น ๆ ที่เขาทำเว็บไซต์มาก่อนคุณเขาย่อมมีสิทธิ์ติดหน้า 1 มาก่อนคุณเป็นธรรมดา
แรก ๆ ของการทำเว็บไซต์คุณอาจต้องใช้เวลาสักหน่อย ที่จะเชิญชวนผู้คนให้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเนื้อหาในเว็บไซต์มากกว่า คุณควรมีการ Update ข้อมูลเป็นประจำ เพื่อให้คนที่เคยเข้ามาแล้ว กลับเข้ามาอีก ไม่ใช่เข้ามากี่ที ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สุดท้ายก็เลยไม่เข้ามาในเว็บไซต์ของคุณอีกเลย
เว็บไซต์ที่ดี อาจดีกว่าการไปเช่าหน้าร้านตามห้างสรรพสินค้าแพง ๆ ด้วยซ้ำ หัวใจสำคัญอยู่ตรงที่ว่า คุณทำงานสม่ำเสมอกับเว็บไซต์ต่างหาก เดี๋ยวผู้เยี่ยมชมก็เข้ามาเอง
7.นำสื่อทุกอย่างที่คุณมี เชื่อมโยงเข้าหากันให้หมดตัวอย่างเช่น ในโบรชัวร์ก็มีเว็ปไซต์ , ในเว็ปไซต์ก็โปรโมท Event , ใน Event ก็มีหนังสือ , ในหนังสือก็มีโบรชัวร์ เชื่อมโยงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่คือการทำตลาดสองชั้น โดยไม่ปล่อยให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งขาดหายไป คนที่สนใจงานฝีมือของคุณก็จะมีโอกาสได้รับข้อมูลข่าวสารมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
อย่ามองข้าม สถาบันที่อ้างอิงชื่อเสียงได้ เช่น OTOP , สมาคมต่าง ๆ ส่งผลงานประกวดและการเก็บสถิติ ผู้ที่สนใจผลงานของคุณ รวมถึงลูกค้าที่ได้ซื้อผลงานของคุณไปแล้ว เพื่อใช้ในการสร้างความเชื่อมั่น ให้แก่ลูกค้ารายใหม่ ๆ
ตัวอย่าง เช่น ในยุคแรก ๆ ที่คุณพ่อทำเรือจำลองเราก็นำไปส่งคัดสรรจนได้รับการยอมรับเป็น OTOP 4 ดาวระดับประเทศในปีแรกที่ส่ง ซึ่งทาง OTOP เองก็ได้ช่วยนำเสนอผลงานของคุณพ่อทางเว็ปไซต์ ThaiTumbon จนมีสื่อชนิดอื่น ๆ ให้ความสนใจเข้ามาทำข่าวอย่างมากมาย
เห็นไหมครับว่า จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ก็สามารถสร้างชื่อเสียงให้คุณจนคุณเองก็คาดไม่ถึงได้ และที่สำคัญ คุณไม่จำเป็นต้องทุ่มเทเงินทองหลายแสน หลายล้าน เพื่อการ PR. สินค้าของคุณก็ได้ เพียงแต่คุณควรเข้าใจเลือกใช้การ PR. ที่เหมาะสมกับงานฝีมือของคุณและงบประมาณในกระเป๋าก็สามารถประชาสัมพันธ์ได้ดีเช่นกัน
ในมุมตรงกันข้ามคุณอาจเคยได้ยินถึงสินค้าบางประเภทที่โฆษณาเท่าไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ นั่นอาจเป็นเพราะโฆษณาในมุมมองที่แคบเกินไปก็เป็นได้
เชื่อผมเถอะครับว่าการโฆษณาที่ดีที่สุด ไม่ใช่ความพยายามที่จะหว่านแหเพื่อการขายสินค้าให้ได้
แต่กลับกลายเป็นว่าการโฆษณาที่ได้ผลที่สุด คือการบอกต่อของผู้ใช้และลูกค้า
ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราดูรีวิวโรงแรม ร้านอาหาร หรือแหล่งท่องเที่ยวในพันทิป ที่ผู้โพสกระทู้อาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับกิจการนั้นเลยเรายังรู้สึกอยากไปทดลองใช้บริการ
แต่พอเราไปดูเว็ปขายของหลาย ๆ เว็ป หรือแม้กระทั่ง Email ขยะ ที่ส่งโฆษณาชวนเชื่อเข้ามาจำนวนมาก เรากลับไม่อยากสนใจเปิดอ่านซะดื้อ ๆ แถมรู้สึกรำคาญอีกต่างหาก
คาถาสำคัญสำหรับการ PR. ที่ควรท่องให้ขึ้นใจก็คือ “ เราต้องเป็นผู้ให้(ข้อมูล) ไม่ใช่ผู้ขอ(ให้ซื้อ) ” ลองนำไปใช้กันดูนะครับ
หัวข้อ PR. นี่ค่อนข้างยาว วันนี้ผมขอจบเพียงเท่านี้ก่อน พิมพ์ไม่ไหวแล้ว พรุ่งนี้จะมาโพสในหัวข้อของ “ ภาพลักษณ์ ” ที่ดีของงานฝีมือนะครับ
และหากสนใจก็ติดตามต่อกันได้นะครับ หรือมีคำถามที่ยังไม่เข้าใจ ก็ฝากคำถามไว้ได้นะครับ หรืออยากถามเป็นส่วนตัว ก็จิ้มที่อมยิ้มได้เลย ยินดีและเต็มใจตอบทุกคำถามครับ
ที่มา
http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2010/10/J9825393/J9825393.html