วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

TV 3D ทะลุจอ

กระแสทีวี 3 มิติ !!!
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “กระแสทีวี 3 มิติ” นั้นถือว่า “มาแรง” มากในปัจจุบันนี้ และทราบหรือไม่ว่าเทคโลยีภาพ 3 มิติในวงการทีวีและภาพยนตร์นั้นมีหลายประเภทด้วยกันครับ แต่ก่อนที่เราจะดูนั้นคงต้องมาดูถึงหลักการที่ทำให้ภาพ 3 มิตินั้นลอยมีมิติออกมาก่อนครับ


“ทีวี 3 มิติ” คืออะไร?
อธิบายง่ายๆให้เห็นภาพเลยนะครับ 3D หรือ 3 Dimension คือภาพที่เราสามารถเห็นมิติ “ตื้น ลึก หนา บาง ลอย” อย่างเห็นได้ชัดเจนนั่นเอง ถ้าเปรียบเทียบกับภาพ 2 มิติจากทีวีธรรมดาซึ่งเป็นภาพ “แบนๆติดจอ” แล้ว ความสมจริงของภาพ 3 มิตินั้นจะมีมากกกว่า ซึ่งประโยชน์ที่ได้ก็คือ “ความสมจริงของภาพ” และ “อรรถรส” ในการรับชมที่มากกว่านั่นเอง ซึ่งหลายๆคนยอมรับว่ามันเหมือนเรากำลังอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆด้วย และนั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ผลิตทีวีจึงสนใจหันมาผลิต “ทีวี 3 มิติ” ซึ่งก็คือทีวีที่มีความสามารถในการแสดงภาพที่มีมิติ “ตื้น ลึก ลอย หนา บาง” ได้นั่นเอง เหนือกว่าทีวีธรรมดาทั่วไปที่สามารถแสดงได้แค่ภาพ 2 มิติแบนๆ

 

หลักการสร้างภาพ 3 มิติ
ภาพ 3 มิตินั้นถูกสร้งขึ้นโดยอาศัยหลักทางกายภาพว่า “ตาข้างซ้าย” และ “ตาข้างขวา” ของคนเรานั้น จะมองตำแหน่งวัตถุที่อยู่บริเวณกลางตา "ตำแหน่งไม่เท่ากัน" (ก็แหงครับ เพราะตำแหน่งของตาซ้ายและตาขวาเราห่างกันตั้ง 3-5 เซนติเมตร) สามารลองง่ายๆโดยการเอานิ้วชี้ยกขึ้นมาให้ห่างจากตาซัก 10 เซนติเมตร แล้วลองปิดตาซ้ายและตาขวาสลับตาดู เจ้าตำแหน่งของนิ้วชี้ที่เราเห็นด้วยตาแต่ละข้างก็จะไม่เท่ากัน แต่ลองนึกภาพดูว่าถ้าเราสามารถกระพริบตาซ้ายขวาสลับกันได้ถึง 120 ครั้งต่อวินาที ตำแหน่งนิ้งที่จะเหลื่อมซ้ายและขวากันนิดหน่อยนั้นก็จะรวมกันเป็นหนึ่งครับ และนี่ก็คือหลักการง่ายๆที่เอาทำมาทำเป็นภาพ 3 มิติครับ


ลองชูนิ้วชี้ของท่านขึ้นมาไว้ข้างหน้าสิครับ
แล้วปิดเปิดตาซ้ายและขวาสลับกันอย่างรวดเร็วดูสิครับ


รูป GIF แบบนี้จะทำให้เราเข้าใจขึ้นเมื่อเฟรมภาพเคลื่อนไหวซ้ายและขวาสลับกันอย่างรวดเร็ว
มิติภาพจึงเกิดขึ้นมา (ลองดูจากรูปกิ่งไม้และผู้หญิงในกิโมโนได้)


"ไดโนเสาร์"แทบ "ทะลุจอ" ออกมา อย่าตกใจว่าจอคอมพิวเตอร์หรือโน็ตบุ๊คของท่านเป็น 3 มิติ
เปล่าเลย !!! มันก็แค่รูปนิ่ง 2 รูปเหลื่อมซ้อนซ้ายขวากันนิดเดียวกระพริบสลับไปสลับมาก็แค่นั้นเอง
 
 เทคโนโลยี “3 มิติ” ในทีวีทั้ง 3 ประเภทตั้งแต่ "อดีตจนถึงปัจจุบัน"

1. Anaglyphic 3D หรือ ภาพ 3 มิติแบบแว่น 2 สี (Passive)
เป็นการรับชมภาพ 3 มิติโดยใช้ “แว่นสองสี” โดยทั่วไปจะะใช้สีแดง-ฟ้า เพื่อกรองสีภาพเฉพาะที่ต้องการให้แสดงเข้าตาซ้ายและตาขวา เพื่อให้เกิดมีมิติภาพขึ้นมา โดยในปัจจุบันนี้ หนัง 3 มิติแบบ Anaglyphic สามารถหาซื้อได้ทั่วไปทั้งแผ่น DVD หรือหนังแบบ High Definition ก็มีมาให้เห็นแล้วเช่นเรื่อง Monster VS Aliens ที่ทำออกในในรูปแบบ Blu-ray ซึ่งจะแถมแว่นกระดาษ 2 สีมาให้ด้วยถึง 4 อัน หรือแม้กระทั่งล่าสุดอย่างเรื่อง The Final Destination ก็ทำหนัง High Definition ในรูปแบบ Blu-ray ออกมาในรูปแบบ Anaglyphic 3D เช่นกันครับ
 


แว่น 2 สี สีฟ้า-แดง มีทั้งรูปแบบประดาษและพลาสติกแข็ง


ภาพจะเหลื่อมซ้อนสีแบบนี้ครับ


แว่นทำหน้าที่กรองสีเข้าตาซ้ายและขวาแบบนี้

ข้อดี:
แว่นตามีราคาถูก ทั้งแบบกระดาษและพลาสติค และยังมีหนังแบบ DVD ขายอยู่
ข้อเสีย: สีเพี้ยน ภาพไม่ค่อยสมจริงเท่าไหร่ มิติภาพจะดูหลอกตา

อุปกรณ์ต้องมีในการรับชมภาพสามมิติแบบ Anaglyphic 3D
1. แผ่นหนัง DVD หรือ Blu-ray แบบ Anaglyphic
2. แว่นตา 2 สี ซึ่งมีสีที่คู่กันดังต่อไปนี้  แดง-ฟ้า / ฟ้า-เหลือง / ชมพู-เขียว (สีของแว่นกับหนังต้องสอดคล้องกันนะครับ)
3. TV ธรรมดาๆ LCD TV, Plasma TV, CRT TV ก็ดูได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นทีวีสามมิติ



2. Polarized 3D หรือ ภาพ 3 มิติแบบ "สลับเส้นเลขคู่เลขคี่" (Passive)
สำหรับประเภทของเทคโนโลยี 3D อย่างที่ 2 ก็คือ Polarized 3D ครับ ซึ่งหลักการทำงานของมันก็คือ เราจะต้องมี 3D TV แบบ Polarized และแว่นตาแบบ Polarized Glasses โดยหลักการก็คือ ทีวีจะปล่อยเส้นภาพเลขคู่ เช่น 2,4,6,8,…1080 สำหรับตาซ้าย (540 เส้น) และเส้นภาพเลขคี่ 1,3,5,7,…,1079 สำหรับตาขวา (อีก 540 เส้น) สลับกันอย่างรวดเร็ว วิธีการนี้เรียกว่า Line by Line หรือการส่งภาพ “สลับเส้นเลขคู่และเลขคี่” เพื่อส่งให้ตาทั้ง 2 ข้าง และเมื่อเราใส่แว่น Polarized เข้าไป เลนส์สำหรับตาซ้ายก็จะสามารถรับภาพเส้นเลขคู่ได้อย่างเดียว ในขณะที่เลนส์ขวาก็จะสามารถรับภาพจากเส้นเลขคี่ได้อย่างเดียว ทำให้การรับภาพโดยตาซ้ายและขวาสลับกันอย่างรวดเร็วเช่นกัน จึงเกิดภาพ 3 มิติลอยออกมาครับ ตัวอย่าง TV ที่ใช้เทคโนโลยี Polarization 3D ก็ได้แก่ LG LCD TV รุ่น LH503D ซึ่งเป็นการเอารุ่น LH50YR ของปีที่แล้วมาทำการดัดแปลงให้เป็น 3D TV แบบ Polarization และ JVC 3D LCD Monitor ที่เอามาโชว์ในงาน BAV Show 2010 ที่ผ่านมา และรวมถึง “โรงหนัง 3 มิติอย่าง Imax” อีกด้วย ง่ายๆเลยครับที่มีเจ้าหน่าที่แจกแว่นหน้าโรงภาพยนตร์นั่นแหละครับ นั่นแหละ “แว่น 3D แบบ Polarized”
 
 
Polarlized 3D ของ LG รุ่น LH503D เมื่อปี 2009 ที่ผ่านมาก


 แบ่งเส้น "เลขคู่" และ "เลขคี่" ในการส่งภาพออกจากจอสลับกันอย่างรวดเร็ว
และแว่นจะเป็นตัวกรองเส้นเลขคู่เลขคี่ให้เข้าตาซ้ายและขวาสลับกัน ภาพจึงลอยมีมิติ

ข้อดี: มิติภาพลอยออกมามากที่สุด แว่นใส่สบายตา
ข้อเสีย: ความคมชัดหายไปครึ่งนึง เนื่องจากทีวี Full HD จะมีความละเอียดหน้าจอ 1080 เส้น แต่ต้องแบ่งความละเอียดของภาพจาก 1080 เส้น ต้องแบ่งเป็น 540 เส้นสำหรับตาซ้ายและอีก 540 เส้นสำหรับตาขวา

หมายเหตุ ::
สำหรับ 3D แบบ Polarized เวอร์ชั่นล่าสุดคือ "Cinema 3D" ของ LG ครับ อ่านรีวิวได้เลย
http://www.lcdtvthailand.com/review/detail.asp?param_id=789

อุปกรณ์ที่ต้องมีเมื่อจะดู 3D แบบ Polarization
1. TV ที่เป็น 3D แบบ Polarized
2. แว่น 3D แบบ Polarized
3. Content เช่นแผ่นหนังแบบ 3D Line by Line หรือ ถ้าเป็น Content 3D แบบอื่นๆ ตัวทีวีก็จะมีความสามารถในการแปลงภาพให้เป็นแบบ Line by Line (ส่งภาพสลับเส้นเลขคู่และเส้นเลขคี่)
 
 3. Frame Sequential 3D: ส่งเฟรมภาพซ้าย-ขวาสลับกัน (Active)
แน่นอนครับว่าแบบใหม่ล่าสุดนี้อยู่ใน 3D TV ทั้ง Samsung, Sony, LG, Panasonic ซึ่งใช้หลักการ Frame Sequential ทั้งหมด โดยหลักก็คือทีวีจะส่ง “เฟรมภาพ” ทั้งเฟรม เข้าตาซ้ายและตาขวาสลับกันอย่างรวดเร็ว (สำหรับตาซ้าย 60 เฟรมภาพต่อวินาที และตาขวา 60 เฟรมภาพต่อวินาที) จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเราเห็นภาพ 3 มิติบนจอทีวีนั้นมีความเหลื่อมซ้อนซ้ายขวากัรอยู่พอสมควร และเมื่อเราใส่แว่น 3D Active Shutter Glasses ที่เลนส์ตาซ้ายและเลนส์ตาขวาจะเปิดปิดสลับกันอย่างรวดเร็วให้สอดคล้องกับ ทีวีที่ส่งเฟรมภาพสำหรับตาซ้ายและตาขวาสลับกัน ทำให้ภาพลอยมีมิติออกมาครับ
 

แผ่น Blu-ray 3D => เครื่องเล่น Blu-ray 3D => ภาพแสดงออกมาเป็นแบบ Frame Sequential
 (แสดงเฟรมภาพซ้ายและขวาสัลบกันอย่างรวดเร็ว) => ใส่แว่น 3D เข้าไปภาพก็จะลอยมีมิติ


แว่น 3D ของ Panasonic มีจุดเด่นกว่ายี่ห้ออื่นตรงที่
ใส่ดูแบบเอนคอ เอียงคอ กลับหัวกลับหาง ภาพก็ยังมีมิติดีอยู่


วีดีโอนี้จะทำให้ท่านเข้าใจหลักการที่ทีวีส่งเฟรมภาพ
เข้าตาซ้ายและขวาสลับกันซึ่งก่อให้เกิดภาพ 3 มิติ

ตัวอย่าง TV ในปัจจุบันที่เป็น 3D แบบ Frame Sequential ก็ได้แก่ Samsung 3D LED TV C9000 C8000 C7000, LG INFINIA LX9500, Sony LX900, Panasonic VT20 ซึ่งเป็น 3D TV ในปี 2010 ทั้งหมดเลยครับ

สิ่งที่ต้องมีเมื่อจะดู 3D แบบ Frame Sequential
1. 3D TV แบบปัจจุบัน ซึ่งเป็นแบบ Frame Sequential หมดแล้ว
2. แว่นตา Active Shutter Glasses
3. เครื่องเล่น Blu-ray แบบ 3D ที่สามารถ Output ด้วย HDMI V1.4
4. แผ่นหนัง Blu-ray แบบ 3D เช่นเรื่อง Monster VS Aliens และ Cloudy with a chance of Meatball

ข้อดี: ความคมชัดของภาพสูงสุด เพราะทีวีส่งเฟรมภาพออกมาทั้งเฟรม ไม่มีลดทอนเส้นแบบวิธี Line by Line ของ Polarized 3D และมิติภาพก็ถือว่าได้แนวลึกมีมิติดีเยี่ยม 
ข้อเสีย: แว่นตาต้องใส่แบตเตอรี่ ทำให้ต้องเปลี่ยนหรือชาร์จบ่อยๆ และรวมถึงต้องเชื่อมต่อแว่นกับทีวีด้วยสัญญาณ Infrared ตลอดเวลา ทำให้ระยะห่างในการรับชมมีจำกัด

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับทีวี 3 มิติ

1. ถ้า AV Reciever เป็นรุ่นเก่า HDMI V1.3 แล้วจะสามารถต่อ 3D Blu-ray Player ผ่าน AV Reciever ตัวนั้นได้หรือไม่ ?
- ไม่ได้ครับ ต้องเป็น AV Reciever รุ่นใหม่ที่เป็น HDMI V1.4 เท่านั้น ภาพ 3 มิติถึงจะแสดงได้ ทางแก้ไขคือตอนนี้เริ่มมี Blu-ray Player ที่มี HDMI แบบ Dual Port หรือ 2 ช่องไว้ต่อตรงเข้าทีวีตัวนึง (ภาพ 3 มิติ) และ อีกช่องก็ต่อเข้า AV Reciever สำหรับการส่งสัญญาณเสียงครับ

2. Crosstalk คืออะไร ?
- Crosstalk เป็นอาการเหลื่อมซ้อนซ้ายขวาของภาพ 3 มิติ ทั้งๆที่เราใส่แว่น 3 มิติไปแล้ว ทีวีที่จะลด Crosstalk ได้ดีจะต้องมี Response Time และ Video Processor ที่ดี ยกตัวอย่างในปี 2010 Panasonic 3D Plasma TV VT20 สามารถลด Crosstalk ได้เหนือกว่า 3D LED TV ทุกตัวในตลาด
 
 
เทคนิค 3 ข้อในการรับชมทีวี 3 มิติให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

1. ขนาดทีวียิ่งใหญ่ มิติภาพยิ่งดี !!!
สังเกตุได้ว่าทีวี 3 มิตินั้นไม่ค่อยทำขนาดเล็กๆอย่าง 32” เพราะมิติภาพจากจอขยาดกระจิ๋วหลิวนั้นแทบจะไม่เห็นอะไรมีมิติเด่นชัดเลย และทุกสำนักทีวีในต่างประเทศก็ฟันธงแล้วว่า ยิ่งขนาดของจอทีวีใหญ่เท่าไหน มิติภาพ 3 มิติก็จะยิ่งดีเท่านั้นนะครับ ลองเปรียบเทียบทีวีขนาด 40” และ 55” นั้นถ้าเปรียบเทียบทีวีขนาดเป็น  40” เท่ากับ 100% ทีวีขนาด 55” ก็จะเท่ากับ 180% ซึ่งได้ความใหญ่ของจอ + มิติภาพที่จะเพิ่มขึ้นอีกกว่า 1.8 เท่าครับ
 


หากเทียบพื้นที่เป็นตารางหน่วยของทีวี 40" เป็น 100% ทีวี 55" ก็จะเป็น 180%
นั่นหมายถึงมิติภาพก็ดีกว่าถึง 80% เลยหากคำนวนณแบบบ้านๆ
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้ก็เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าทีวีจอยิ่งใหญ่ มิติภาพยิ่งดี

2. คุมแสงไฟในห้องให้ดี
เนื่องจากแว่นตาเป็น Active Shutter Glasses เลนส์ของแว่นตาทั้งเลนส์ซ้ายและเลนส์ขวาจะเปิดปิดสลับกันอย่างรวดเร็ว หากมีแสงเข้ามารบกวน อาจจะทำให้เกิดอาการกระพริบของภาพได้ รวมถึงให้คุมแสงในห้องให้ดีๆ มิติภาพก็จะโชว์เด่นชัดอย่างผิดหูผิดตาด้วยครับ



การดู 3D TV ควรจะคุมแสงในห้องได้หรือปิดไฟให้มืดสนิทไปเลยจะดีที่สุด
Flicker หรือการมี่ไฟกระพริบกวนสายตาก็จะเกิดขึ้นน้อย แถมมิติภาพก็จะยิ่งเด่นชัด

3. อย่าขวาง !!! ตำแหน่งของ 3D Transmitter
การเชื่อมต่อของตัวทีวี 3 มิติ และแว่น 3 มิติแบบ 3D Active Glasses นั้นจะถูกเชื่อมต่อด้วยสัญญาณ Infrared ครับ โดยส่วนใหญ่มักจะ Built-In มากับตัวเครื่อง ตำแหน่งของเซนเซอร์นั้นมักจะอยู่ที่มุมล่างขวา หรือลางซ้ายของตัวจอทีวี เราจะต้องรู้ว่าตำแหน่งของมันอยู่ไหน และพยามยามอย่าให้มีสิ่งขวางกั้นการับส่งสัญญาณระหว่างทีวีกับแว่นครับครับ ไม่เช่นนั้นแว่นจะกระพริบดับๆติดๆ (Flicker) โดยทั่วไปการเชื่อมต่อสัญญาณระหว่างแว่นและทีวีจะได้ไกลประมาณ 10 เมตรตามความสามารถของ Infrared แต่ระยะที่เรานั่งดูทีวีก็ประมาณ 2-3 เมตรเองครับดังนี้เรื่องระยะห่างก็ไม่ใช่อุปสรรคเท่าไหร่


External 3D Transmitter ของ Philips 9705 ตัวนี้ ถูกติดตั้งไว้ตรงกลางบนตัวเครื่อง
เพื่อกระจายสัญญาณ Infrared ให้ครอบคลุม ทั่วถึงระยะที่เรานั่งรับชม (จะ Sync กับแว่นที่เราใส่)
ในขณะที่หลายๆแบรนด์ก็ทำแบบ Built In มากเลย ตำแหน่งก็จะอยู่กรอบทีวีด้านซ้ายหรือขวาล่าง

ทีวี 3 มิตินั้นเป็นเทคโนโลยีที่ปฏิวัติวงการทีวี การเข้าใจถึงเทคโนโยีจะทำให้เราสามารถใช้ทีวี 3 มิติให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้ครับ เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้เทคโนโลยี 3D ก็จะมีการพัฒนาให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และรวมถึงจอภาพ 3D แบบไม่ต้องใส่แว่น Autostereoscopic ซึ่งในปัจจุบันเป็นจอ LCD แบบ Commercial เชิง "Signage" หรือโชว์เพื่อการประชาสัมพันธ์สินค้ามากกว่าครับ เช่นจอที่ติดในห้าง Siam Paragon เป็นต้น และแบรนด์อย่าง Philips และ Toshiba ก็มีเอาจอประเภทนี้มาโชว์ในงาน IFA 2010 ที่ Berlin ด้วย อนาคต 3D มันจะมาแน่นอน เพียงตอนนี้แต่กำลังจะปรับปรุงและพัฒนาให้สมบูรณ์แบบขึ้นครับ



Philips 3D LCD Monitor ( Autostereoscopic 3D) เป็นจอ 3D ที่ไม่ต้องใส่แว่นดูครับ
เลนส์ Shutter Glasses ทั้งบานถูกติดไว้ที่หน้าจอของเครื่องแบบเต็มใบ